ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1690 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 33781 - 33800 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
33781 | รายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ (วันที่ 8 - 14 มีนาคม 2554) | ทส | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ (วันที่ ๘ - ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔) สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำในภาพรวม สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มีปริมาณน้ำเก็บกักประมาณร้อยละ ๕๙ อยู่ในเกณฑ์ดี สำหรับเขื่อนที่มีปริมาณน้ำมาก โดยมีน้ำมากกว่าร้อยละ ๘๑ คือ เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล เขื่อนลำตะคอง เขื่อนกระเสียว เขื่อนประแสร์ และเขื่อนบางลาง ส่วนเขื่อนที่มีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้อย โดยมีน้ำน้อยกว่าร้อยละ ๓๐ คือ เขื่อนทับเสลา เขื่อนปราณบุรี และเขื่อนแก่งกระจาน ในส่วนของสภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์น้อย ซึ่งเป็นระดับปกติในฤดูร้อน ๒. สถานการณ์ภัยแล้ง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติ (ภัยแล้ง) จำนวน ๔๒ จังหวัด สำหรับการให้ความช่วยเหลือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำ ได้จัดตั้งศูนย์ติดตามสถานการณ์น้ำและช่วยเหลือภัยแล้งในพื้นที่สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค ๑ - ๑๐ ตั้งอยู่ที่จังหวัดลำปาง สระบุรี หนองคาย ขอนแก่น นครราชสีมา ปราจีนบุรี ราชบุรี สงขลา พิษณุโลก และสุราษฎร์ธานี เพื่อติดตามและรายงานสถานการณ์น้ำ โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีการแจกจ่ายน้ำเพื่อการอุปโภค - บริโภค และจัดเตรียมเครื่องสูบน้ำและสนับสนุนชุดประปาเคลื่อนที่เพื่อช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยแล้ง รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยแล้งของหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้จัดเตรียมเครื่องสูบน้ำและรถบรรทุกน้ำเพื่อช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัย นอกจากนี้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาลร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมป่าไม้และกรมควบคุมมลพิษ ได้เตรียมความพร้อมของอุปกรณ์ เครื่องและกำลังคน เพื่อช่วยเหลือด้านน้ำอุปโภค - บริโภค และการเกษตรบางส่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||
33782 | การลงนามใน "พิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน รอบที่ 5 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน" | กค | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการลงนามใน “พิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน รอบที่ ๕ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน” ในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน [ASEAN Finance Ministers’ Meeting (AFMM)] ครั้งที่ ๑๕ ช่วงต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๔ ณ เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย และให้เสนอพิธีสารฯ เพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังได้ยืนยันว่าข้อตกลงดังกล่าวอยู่ภายใต้กรอบปฏิญญาว่าด้วยแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน [ASEAN Economic Community Blueprint (AEC Blueprint)] ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทนลงนามในพิธีสารฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในพิธีสารฯ ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งเลขาธิการอาเซียน ว่าประเทศไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อให้พิธีสารฯ มีผลใช้บังคับ เมื่อรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบพิธีสารฯ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
33783 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2554 | นร | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๔ เรื่อง ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลกระทบทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลกระทบต่อประเทศญี่ปุ่นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิ ความเสียหายต่อภาคการผลิตในพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ (สัดส่วนประมาณร้อยละ ๘ ของ GDP ญี่ปุ่น) ได้ก่อให้เกิดความเสียหายกับทุกภาคการผลิต โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม และมีความเป็นไปได้ว่าผลกระทบจากภัยพิบัติในครั้งนี้อาจทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นปรับตัวเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังอยู่ในภาวะอ่อนแอ โดย GDP ในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาหดตัวร้อยละ ๑.๓ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และคาดว่าในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จะขยายตัวประมาณร้อยละ ๐.๑ - ๐.๓ ดังนั้น ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอาจทำให้อัตราการขยายตัวในไตรมาสแรกหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปี ๒๕๕๓ ๑.๒ ผลกระทบของเหตุการณ์ภัยพิบัติในญี่ปุ่นต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม คาดว่าอาจจะส่งผลกระทบในระยะสั้น คือ หนึ่ง การลงทุนจากญี่ปุ่นที่คาดว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ วงเงินลงทุนที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น ๑๑๐,๓๐๕ ล้านบาท นักลงทุนญี่ปุ่นอาจจะชะลอการลงทุนในบางกิจการ เนื่องจากมีความจำเป็นจะต้องนำเงินลงทุนบางส่วนไปลงทุนเพื่อฟื้นฟูบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่นก่อน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น สอง เงินทุนเคลื่อนย้ายออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากในเดือนมีนาคมของทุกปี บริษัทญี่ปุ่นจะนำผลกำไรส่งกลับไปญี่ปุ่นซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายในการปิดงบบัญชี ซึ่งคาดว่าบริษัทญี่ปุ่นจะส่งผลกำไรเพื่อกลับไปฟื้นฟูประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะขายสินทรัพย์เสี่ยงและให้น้ำหนักในการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง ประกอบกับรัฐบาลญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะขายสินทรัพย์บางส่วนในต่างประเทศเพื่อนำเงินกลับไปแก้ปัญหาสภาพคล่องในประเทศ และ สาม นักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นคาดว่าลดลงจากการคาดการณ์เดิม ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะสินค้าเกษตร ได้แก่ กล้วยไม้ และยางพารา และะสินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ ยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการปนเปื้อนของสารเคมีต่าง ๆ ตลอดจนติดตามการแก้ไขปัญหาและการฟื้นฟูประเทศของญี่ปุ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||
33784 | การแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ รวม 3 ฉบับ | ลต | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ รวม ๓ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรนนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33785 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2553 | ผผ | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๕๓ ประกอบด้วยผลการดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน และผลการดำเนินงานของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สรุปได้ ดังนี้
๑. งานด้านการตรวจสอบและสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน มีเรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจการแผ่นดินรับไว้พิจารณาดำเนินการ จำนวน ๓,๒๕๘ เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๑,๘๙๓ เรื่อง ๒. งานด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้แก่ การเสนอแนะหรือให้คำแนะนำในการจัดทำหรือปรับปรุงประมวลจริธธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท การส่งเสริมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีจิตสำนึกในด้านจริยธรรม และการรายงานการกระทำที่มีการฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมดังกล่าว ๓. งานด้านการติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้แก่ กฎหมายที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด มีกฎหมายที่ดำเนินการทั้งหมด จำนวน ๒๘๕ ฉบับ ดำเนินการเสร็จ (ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จำนวน ๑๔๘ ฉบับ) อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๑๓๗ ฉบับ มาตรการที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด มีมาตรการที่ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๑,๗๓๒ งาน/โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๓๒๘ งาน/โครงการ และดำเนินงานกรณีการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33786 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ข้อมูล ณ วันที่ 18 มีนาคม 2554 | กค | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔ สรุปได้ดังนี้
๑. อนุมัติแล้ว จำนวน ๔๓,๑๐๕ โครงการ วงเงิน ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรร ๒.๑ รอจัดสรร จำนวน ๘๗๓ โครงการ วงเงิน ๙,๒๖๑.๒๘ ล้านบาท ๒.๒ จัดสรรแล้ว จำนวน ๔๒,๒๓๒ โครงการ วงเงิน ๓๔๐,๖๙๙.๑๕ ล้านบาท ๓. การจัดซื้อจัดจ้าง ๓.๑ ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ จำนวน ๒,๖๔๙ โครงการ วงเงิน ๑๓,๕๗๕.๕๖ ล้านบาท ๓.๑.๑ ยังไม่เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒๗๖ โครงการ วงเงิน ๕,๙๖๕.๐๒ ล้านบาท ๓.๑.๒ เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒,๓๗๓ โครงการ วงเงิน ๗,๖๑๐.๕๔ ล้านบาท ๓.๒ ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน ๓๙,๕๘๓ โครงการ วงเงิน ๓๒๗,๑๒๓.๕๙ ล้านบาท ๓.๓ มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน ๓๙,๕๘๓ โครงการ วงเงิน ๓๑๗,๑๒๐.๒๐ ล้านบาท ๔. การดำเนินการ ๔.๑ ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน ๑,๔๖๒ โครงการ วงเงิน ๔๘,๑๕๒.๖๘ ล้านบาท ๔.๒ เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) จำนวน ๑๒,๕๐๙ โครงการ วงเงิน ๑๓๐,๐๕๕.๕๖ ล้านบาท ๔.๓ เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน ๒๕,๖๑๒ โครงการ วงเงิน ๑๓๘,๙๑๑.๙๖ ล้านบาท ๔.๔ เบิกจ่ายทั้งหมด (๔.๒+๔.๓) จำนวน ๓๘,๑๒๑ โครงการ วงเงิน ๒๖๘,๙๖๗.๕๒ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
33787 | รายงานสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่ | พณ | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสถานการณ์และการดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่ ดังนี้
๑. การผลิต ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ได้สรุปสถานการณ์การผลิตปัจจุบัน มีแม่ไก่ไข่ยืนกรง จำนวน ๓๘ - ๓๙ ล้านตัว ปัญหาโรคระบาดที่เกิดขึ้นในระบบการเลี้ยงไก่ไข่ ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นมา ทำให้อัตราการให้ไข่โดยรวมลดลงร้อยละ ๒๐ ส่งผลให้ผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดลดลงจากวันละ ๓๐ - ๓๑ ล้านฟอง เหลือวันละ ๒๔ - ๒๕ ล้านฟอง ๒. การตลาด ปริมาณไข่ไก่ที่เข้าสู่ระบบตลาดมีจำนวนลดลง ผู้ประกอบการค้าส่งไข่ไก่ได้รับไข่ไก่ลดลงกว่าปกติ ปริมาณที่ขาดไปเฉลี่ยตั้งแต่ร้อยละ ๑๐ - ๓๐ สำหรับด้านการส่งออกไข่ไก่ ในเดือนมกราคม ๒๕๕๔ มีการส่งออกไข่ไก่ จำนวน ๗ ล้านฟอง ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ ๗๕ (มกราคม ๒๕๕๓ ส่งออกไข่ไก่ จำนวน ๒๘ ล้านฟอง) โดยมีสาเหตุมาจากปริมาณไข่ไก่ที่ลดลง ไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ และข้อเสียเปรียบประเทศคู่แข่งในด้านราคา ๓. การดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่ มีดังนี้ ๓.๑ กำกับดูแลราคาขายส่งขายปลีก และการเปิดป้ายแสดงราคาขายปลีก โดยติดตามตรวจสอบภาวะการค้า และขอความร่วมมือผู้ค้ากำหนดราคาขายส่งขายปลีกให้สอดคล้องกับภาวะอุปสงค์อุปทานและต้นทุนที่แท้จริง รวมทั้งเผยแพร่ราคาขายปลีกไข่ไก่แนะนำเพื่อเป็นข้อมูลด้านการตลาดให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคทราบ โดยราคาขายปลีกแนะนำสำหรับไข่ไก่ เบอร์ ๒ อยู่ที่ฟองละ ๓.๕๐ บาท และเบอร์ ๓ อยู่ที่ฟองละ ๓.๔๐ บาท และได้ประสานเชื่อมโยงผู้เลี้ยงไก่ไข่นำไข่ไก่ไปจำหน่ายในราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ภายในงานธงฟ้าที่จัดขึ้นทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ ๓.๒ กำกับดูแล รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ประกอบการอาหารสัตว์ให้จำหน่ายอาหารสัตว์ในราคาที่สอดคล้องกับราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ๓.๓ การติดตามพฤติกรรมทางการค้า ภายใต้พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ และการติดตามกำกับดูแลด้านราคา ภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการกำหนดราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒ รวมทั้งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ ด้านการลดค่าครองชีพสินค้า สุกร ไก่เนื้อ และไข่ไก่ ของรัฐบาล ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔ โดยการกำหนดให้ไข่ไก่เป็นสินค้าควบคุม การกำหนดมาตรการให้ผู้ครอบครองข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีปริมาณตั้งแต่ ๕๐ ตันขึ้นไปต้องแจ้งปริมาณ สถานที่เก็บ และจัดทำบัญชีคุมสินค้า และการจัดจำหน่ายไข่ไก่เป็นกิโลกรัม
|
|||||||||||||||||||||||||||
33788 | แต่งตั้งข้าราชการ (จำนวน 3 ราย 1. นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ฯลฯ) | อก | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ๒. นายประพัฒน์ วนาพิทักษ์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ๓. นายพสุ โลหารชุน ดำรงตำแหน่งธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||
33789 | ร่างระเบียบคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ว่าด้วยการจัดการเงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กก | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างระเบียบคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ว่าด้วยการจัดการเงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ แก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ข้อ ๘ ให้กองทุนฯ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ๑.๑.๑ ส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินกิจการกีฬาตามแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติและแผนยุทธศาสตร์สร้างกีฬาไทยสู่ความเป็นเลิศ รวมทั้งยุทธศาสตร์อื่น ๆ ตามที่รัฐบาลหรือคณะกรรมการกำหนด ๑.๑.๒ ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาองค์กรกีฬาและบุคลากรทางการกีฬา ๑.๑.๓ ช่วยเหลือด้านสวัสดิการ ค่าตอบแทน ค่าการศึกษา และการดำรงชีพแก่บุคลากรทางการกีฬา ๑.๑.๔ ให้รางวัลแก่องค์กรกีฬาและบุคลากรทางการกีฬาที่ประกอบคุณความดีแก่วงการกีฬา หรือนำชื่อเสียงเกียรติภูมิมาสู่ประเทศชาติตามที่คณะกรรมการกำหนด ๑.๒ แก้ไขเพิ่มเติมชื่อตำแหน่งของกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ โดยให้อธิบดีกรมพลศึกษา ผู้แทนคณะกรรมการบริหารกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการ แทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ ๒. ให้รับข้อเสนอเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่ขอแก้ไขคำว่า “รัฐบาล” ในร่างระเบียบฯ ข้อ ๓ ซึ่งแก้ไขข้อ ๘(๑) ของระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยใช้คำว่า “คณะรัฐมนตรี” เพื่อให้สอดคล้องกับคำตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
33790 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 กันยายน 2553 (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด) | กษ | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรมประมงได้ยกร่างแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทย ระยะเวลา ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๘) ซึ่งขณะนี้ได้จัดทำถึงระดับกลยุทธ์เรียบร้อยแล้ว และจะนำเสนอให้คณะทำงานจัดทำแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทยเป็นผู้พิจารณา ๑.๒ ให้กรมประมงร่วมกับกรมพัฒนาที่ดินจัดทำโครงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะทำการศึกษาในฟาร์มเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไม และโรงเพาะฟักกุ้งก้ามกราม ๑.๓ ให้กรมประมงรวบรวมข้อมูลจำนวนเกษตรกรและพื้นที่เลี้ยงสัตว์น้ำที่มีการใช้ความเค็มในพื้นที่น้ำจืด เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นประกอบการดำเนินงานและจัดเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด ๑.๔ ในการประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการด้านการประมง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ที่ประชุมได้พิจารณาการห้ามใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด และรับทราบปัญหาของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งในพื้นที่น้ำจืด โดยให้กรมประมงรวบรวมความเห็นและข้อร้องเรียนเสนอกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อดำเนินการต่อไป ๒. ให้ชะลอการดำเนินการศึกษาวิจัยผลกระทบจากการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดไว้ก่อน |
|||||||||||||||||||||||||||
33791 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2554 | กษ | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด เห็นชอบในหลักการให้มีผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจาก ๕ หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กรมประมง กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนจากสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความเหมาะสมของข้อกำหนดที่กรมพัฒนาที่ดินเคยใช้ในการกำหนดเขตพื้นที่ระงับการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำระบบความเค็มต่ำในพื้นที่น้ำจืดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๑ กับสภาพของดินและสภาพพื้นที่ซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) รับไปประสานงานและดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน แล้วให้นำผลการพิจารณาเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. การขอผ่อนผันการจดทะเบียนเรืออวนลาก ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาทบทวนเรื่องนี้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามการจดทะเบียนเรืออวนลากเพิ่มเติมให้เป็นไปตามกรอบเงื่อนไขที่กำหนดอย่างใกล้ชิด และควบคุมไม่ให้มีจำนวนเรือประมงอวนลากและอวนรุนทั้งระบบเพิ่มขึ้นอีก และในระยะต่อไปควรหามาตรการจูงใจเพื่อให้มีการลดจำนวนเรือประมงฯ ดังกล่าวเพื่อลดผลกระทบต่อถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ รวมทั้งส่งเสริมภาคเอกชนในการร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ในการทำประมงนอกน่านน้ำไทยให้กว้างขวางมากขึ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
33792 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลคลองปาง อำเภอรัษฎา จังหวัดตรัง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลคลองปาง อำเภอรัษฎา จังหวัดตรัง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลคลองปาง อำเภอรัษฎา จังหวัดตรัง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
33793 | การปฏิบัติการคุ้มครองประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ | รง | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพงานที่เพิ่มขึ้นและรองรับการดำเนินงานขยายความคุ้มครองประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการ ปฏิรูปประเทศไทย ตลอดจนสามารถปฏิบัติงานตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศและการให้บริการแก่นายจ้าง ผู้ประกันตน ลูกจ้าง และประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีที่เห็นชอบในหลักการให้มีสำนักงานประกันสังคมสาขาตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ในราชการบริหารส่วนภูมิภาค โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ดำเนินการเรื่องการอนุมัติจัดสรรอัตรากำลัง จำนวน ๒๐๐ อัตรา เพื่อปฏิบัติงานใน สปส. สาขา กระทรวงแรงงาน แต่เรื่องนี้ต้องผ่านการพิจารณาของสำนักงาน ก.พ.ร. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ก่อน จึงควรเร่งรัดการดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าว ไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. อนุมัติหลักการกรอบอัตรากำลังที่ขอรับจัดสรรเพื่อรองรับการดำเนินงานให้บริการผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ ของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ตามที่ คปร. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงแรงงานรับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. และความเห็นของ คปร. เกี่ยวกับการจัดเตรียมแผนการดำเนินงานเพื่อปรับเปลี่ยนสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ไปเป็นองค์กรอิสระในอนาคต การปรับปรุงระบบการบริหารงานของกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนใหม่ให้เหมาะสม รวมทั้งการจัดสรรกรอบอัตราเพิ่มเติมเพื่อให้บริการแก่ประชาชนแรงงานนอกระบบ และการเพิ่มอัตรากำลังตั้งใหม่เพื่อรองรับการปฏิบัติการคุ้มครองประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. และ คปร. พิจารณาโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน และกรอบอัตรากำลังเพิ่มเติมให้แก่หน่วยงานดังกล่าว เพื่อให้เป็นไปตามมติที่ประชุมเรื่อง การดำเนินงานขยายความคุ้มครองประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๔ โดยด่วน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
33794 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลแซร์ออ ตำบลช่องกุ่ม ตำบลหนองน้ำใส อำเภอวัฒนานคร ตำบลหนองม่วง อำเภอโคกสูง และตำบลหันทราย ตำบลหนองสังข์ ตำบลป่าไร่ ตำบลบ้านด่าน อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลแซร์ออ ตำบลช่องกุ่ม ตำบลหนองน้ำใส อำเภอวัฒนานคร ตำบลหนองม่วง อำเภอโคกสูง และตำบลหันทราย ตำบลหนองสังข์ ตำบลป่าไร่ ตำบลบ้านด่าน อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลแซร์ออ ตำบลช่องกุ่ม ตำบลหนองน้ำใส อำเภอวัฒนานคร ตำบลหนองม่วง อำเภอโคกสูง และตำบลหันทราย ตำบลหนองสังข์ ตำบลป่าไร่ ตำบลบ้านด่าน อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีแนวเขตปฏิรูปที่ดินบางส่วนอยู่ในพื้นที่ควรสงวนไว้ไม่นำไปปฏิรูปที่ดิน สมควรที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมต้องประสานกับกรมป่าไม้เมื่อจะเข้าดำเนินการปฏิรูปที่ดินในพื้นที่ควรสงวนไว้ไม่นำไปปฏิรูปที่ดิน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
33795 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 เรื่อง การขอยกระดับสถานกงสุลประจำนครเซาเปาโล และเลื่อนสถานะกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำนครเซาเปาโล | กต | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เรื่อง การขอยกระดับสถานกงสุลประจำนครเซาเปาโล และเลื่อนสถานะกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำนครเซาเปาโล โดยแก้ไขชื่อเมืองในมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว เพื่อให้ตรงตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. จาก ยกระดับสถานกงสุลประจำนครเซาเปาโล เป็นสถานกงสุลใหญ่ประจำนครเซาเปาโล สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เป็น ยกระดับสถานกงสุลประจำนครเซาเปาลู เป็นสถานกงสุลใหญ่ประจำนครเซาเปาลู สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ๒. จาก เลื่อนสถานะ นางทรรศนีย์ วันเดอร์ลีย์ วานิค เดอ ซูซา กงสุลกิตติมศักดิ์ประจำนครเซาเปาโล เป็นกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำนครเซาเปาโล สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เป็น เลื่อนสถานะ นางทรรศนีย์ วันเดอร์ลีย์ วานิค เดอ ซูซา กงสุลกิตติมศักดิ์ประจำนครเซาเปาลู เป็นกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำนครเซาเปาลู สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล
|
|||||||||||||||||||||||||||
33796 | สาธารณรัฐสโลวีเนียประสงค์จะขอยกระดับสถานกงสุลสาธารณรัฐสโลวีเนียประจำประเทศไทยเป็นสถานกงสุลใหญ่ฯ และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ สาธารณรัฐสโลวีเนียประจำประเทศไทยเป็นกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ฯ (นางภัทรา พุฒิพรรณพงศ์) | กต | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ยกระดับสถานกงสุลสาธารณรัฐสโลวีเนียประจำประเทศไทย เป็นสถานกงสุลใหญ่ฯ ๒. แต่งตั้งนางภัทรา พุฒิพรรณพงศ์ กงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐสโลวีเนียประจำประเทศไทย เป็นกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33797 | สรุปผลการจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ (Thailand International Creative Economy Forum : TICEF) | พณ | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ (Thailand International Creative Economy : TICEF) ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ กรุงเทพฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปผลการจัดงานได้ ดังนี้
๑. การจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติประสบความสำเร็จด้วยดี โดยมีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายวิชาชีพทั้งภาครัฐ และเอกชนจากในประเทศ และต่างประเทศ ตลอดจนผู้แทนระดับสูงจากองค์กรระหว่างประเทศ รวมประมาณ ๑,๕๐๐ คน จากกว่า ๕๐ ประเทศ เช่น อาเซียน อินเดีย จีน ศรีลังกา เนปาล บังคลาเทศ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เป็นต้น สำหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย งานเทศกาลออกแบบนานาชาติ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ การประชุมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ และงานเทศกาลกระจายภาพและเสียงกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๒๘ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ รวมทั้งการจัดนิทรรศการแสดงพระอัจฉริยภาพด้านการสร้างสรรค์และทรัพย์สินทางปัญญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ (Creative King) นิทรรศการจำลองประเทศไทยเสมือนจริง (Thailand Planet) นิทรรศการการ์ตูนแอนิเมชั่นเชลดอน (Shelldon) นิทรรศการอัญมณี และผลิตภัณฑ์จากศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศ นิทรรศการของ WIPO UNDP และนิทรรศการของนายแกรม ทอมส์ ผู้สร้างอุปกรณ์ประกอบภาพยนตร์แอนิเมชั่นอวตาร เป็นต้น ๒. ในส่วนของการจัดประชุมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานชาติ ระหว่างวันที่ ๒๘ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งประกอบด้วยการเสวนาห้องใหญ่ (Plenary Session) และการเสวนากลุ่มย่อยใน ๔ หัวข้อ คือ (๑) เมืองและสังคมสร้างสรรค์ (๒) แบรนด์และการออกแบบที่สร้างสรรค์ (๓) เนื้อหาและสื่อสร้างสรรค์ และ (๔) ภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยมีประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ การพัฒนาประเทศไทยไปสู่เมืองสร้างสรรค์ จำเป็นที่รัฐและประชาชนจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างถูกต้อง นำไปสู่การกำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจร่วมกัน รัฐควรให้การสนับสนุนด้านนโยบาย และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่าง ๆ เช่น ระบบการศึกษา ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การสร้างห้องสมุด ศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์วิจัยและพัฒนา การฝึกอบรมบุคลากร การจัดแสดงผลงาน การสนับสนุนการตลาด การจัดช่องทางให้นักสร้างสรรค์ได้พบกับผู้บริโภค การสนับสนุนด้านการเงิน การพัฒนากฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกฎระเบียบด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้เหมาะสมและทันสมัย เป็นต้น ๒.๒ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี สังคม สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ เป็นพื้นฐานสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ แต่การพัฒนาผลงานความคิดสร้างสรรค์ให้มีความโดดเด่นดึงดูดใจผู้บริโภค จำเป็นที่จะต้องอาศัยการศึกษาวิจัย การทำการตลาด และการพึ่งพาเทคโนโลยีซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและตลอดเวลา มาเป็นองค์ประกอบในการสร้างสรรค์งาน ๒.๓ การนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาช่วยในการสร้างสรรค์งาน จะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนและลดช่องว่างรายได้ของประเทศได้ โดยมีการจัดการองค์ความรู้ของท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ มีฐานข้อมูลเพื่อสะดวกในการต่อยอด และให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลงาน ๒.๔ การสร้างสรรค์อย่างแท้จริง ควรจะต้องช่วยสร้างงาน และการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และที่สำคัญควรจะต้องเรียนรู้ที่จะคงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และวิวัฒนาการต่าง ๆ ของโลก
|
|||||||||||||||||||||||||||
33798 | แผนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สู่ความยั่งยืน | อก | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สู่ความยั่งยืน ประกอบด้วย โครงการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์สู่ความยั่งยืน และโครงการพัฒนาศูนย์ทดสอบยานยนต์ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ บุคลากร ห้องทดสอบเพื่อการวิจัยและพัฒนา และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยแผนฯ ดังกล่าวควรกำหนดยุทธศาสตร์ที่บูรณาการร่วมกับสถาบันการศึกษาภาคเอกชนที่มีศักยภาพและกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดของแต่ละยุทธศาสตร์ให้เกิดความชัดเจน เพื่อให้เกิดความร่วมมือและความรับผิดชอบร่วมกันของหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งภาครัฐและเอกชน ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการ เนื่องจากกรอบวงเงินค่าใช้จ่ายที่เสนออยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง จึงควรวิเคราะห์ความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ ความคุ้มค่าของการลงทุน ความเหมาะสมของระยะเวลา รายละเอียดของแผนการดำเนินงาน และหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ชัดเจนเพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อน และอาจพิจารณาให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมโดยใช้การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPPs) และหากจำเป็นจะต้องใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินสมทบในกรณีดังกล่าว ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีมาตรการจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม รวมไปถึงการประสานกับภาคเอกชนหรือภาครัฐในต่างประเทศซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียกับการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยโดยตรงเพื่อช่วยสนับสนุนด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี การฝึกอบรมพนักงาน/แรงงาน บุคลากรในสถาบันด้านอาชีวศึกษา เพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างยั่งยืนและลดการพึ่งพิงงบประมาณของภาครัฐในระยะยาว นอกจากนี้ ภาครัฐและเอกชนควรร่วมมือกันจัดทำระบบการกำหนดค่าตอบแทนตามสมรรถนะควบคู่ไปกับการจัดทำหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่องที่สอดคล้องกับแนวทางความก้าวหน้าในวิชาชีพ (Career Path) ให้ชัดเจน โดยในส่วนของบุคลากรที่มีทักษะระดับสูงบางสาขาที่ประเทศไทยไม่สามารถผลิตได้ทันตามความต้องการ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับภาคเอกชนกำหนดหลักเกณฑ์และปริมาณเพื่อกำหนดมาตรการนำเข้าแรงงานต่างชาติ พร้อมมาตรการการดูแลระหว่างแรงงานไทยและต่างชาติอย่างเป็นระบบ รวมทั้งพิจารณาให้ความสำคัญกับการให้บริการที่ได้รับการยอมรับด้านอัตราค่าบริการและมาตรฐานการทดสอบจากผู้ประกอบชิ้นส่วนยานยนต์ไทยและผู้ผลิตยานยนต์ในระดับ Tier 1 ควรมีการพิจารณาแนวทางในการบริหารจัดการและการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนประกอบด้วย เพื่อให้การใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
33799 | รายงานผลการกู้เงินภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการกู้เงินงวดสุดท้าย การเบิกจ่ายเงินกู้ และการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ สรุปได้ ดังนี้ กระทรวงการคลังได้ลงนามในสัญญาผูกพันเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ เพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดย ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ได้มีการเบิกจ่ายเงินกู้เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๒๖๐,๙๙๒.๗๕ ล้านบาท จากวงเงินกู้ทั้งสิ้น ๓๔๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ จากเงินกู้ระยะสั้นที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็นเงินกู้ระยะยาวที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ ในวงเงิน ๑๒๘,๘๓๐ ล้านบาท จากวงเงินกู้ทั้งสิ้น ๓๔๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท เพื่อบริหารต้นทุนและความเสี่ยงในการบริหารหนี้สาธารณะของประเทศในระยะยาว โดยเป็นการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๘๒,๒๓๐ ล้านบาท และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔๖,๖๐๐ ล้านบาท ๒. รับทราบแนวทางการบริหารเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ โดยกระทรวงการคลังต้องได้รับข้อมูลประมาณการเบิกจ่ายเงินกู้จากหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ จากสำนักงบประมาณ เพื่อที่กระทรวงการคลังจะสามารถจัดทำแผนการบริหารเงินสดภายใต้บัญชีเงินคงคลังเพื่อกำหนดระดับการถือครองเงินสดที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาและบริหารต้นทุนในการถือครองเงินสดของรัฐบาลในภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับจัดสรรเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ เร่งดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยให้บันทึกข้อมูลเข้าระบบสารสนเทศโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ (Projects Financial Monitoring System : PFMS) ให้ครบถ้วนและเป็นปัจจุบันภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
33800 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. .... | กค | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการ โดยยกเลิกพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ ๑.๒ กำหนดให้กรรมการได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน สำหรับกรรมการในคณะกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย หรือโดยประกาศพระบรมราชโองการ หรือโดยคณะรัฐมนตรี หรือโดยรัฐมนตรีเจ้าสังกัดซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบสูง ปฏิบัติงานในด้านการกำหนดนโยบายอันมีผลกระทบต่อการบริหาร เศรษฐกิจ สังคมในภาพรวมของประเทศหรือเกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ ๑.๓ กำหนดให้อนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน สำหรับอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการตามข้อ ๑.๒ ๑.๔ กำหนดให้เลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งตามอัตราเบี้ยประชุมที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด โดยมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมไม่เกินหนึ่งคน เว้นแต่บทบัญญัติของกฎหมาย หรือประกาศพระบรมราชโองการ หรือคำสั่งที่จัดให้มีคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการตามพระราชกฤษฎีกานี้กำหนดให้มีเลขานุการมากกว่าหนึ่งคน ให้เลขานุการมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมไม่เกินสองคน และผู้ช่วยเลขานุการมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมไม่เกินสองคน ๒. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติให้คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ ในส่วนราชการที่คณะรัฐมนตรีได้ลงมติให้ได้รับค่าตอบแทนหรือเงินสมนาคุณเป็นรายเดือน แทนการเบิกจ่ายเบี้ยประชุมตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนตามร่างพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. .... แทน ๓. เห็นชอบอัตราวงเงินเบี้ยประชุมขั้นต่ำและสูงเพื่อกระทรวงการคลังประกาศกำหนด โดยเบี้ยประชุมรายครั้ง อัตราครั้งละ ๘๐๐ บาทถึง ๓,๐๐๐ บาท สำหรับเบี้ยประชุมรายเดือนเห็นควรคงอัตราเดิม คือ อัตราเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ถึง ๒๐,๐๐๐ บาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๗
|
.....