ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1686 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 33701 - 33720 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
33701 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 26 | กห | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกการประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ ๒๖ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ ๑๓ - ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ ซึ่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองประเทศได้ร่วมลงนามในบันทึกการประชุมฯ โดยสาระสำคัญของบันทึกการประชุมฯ เป็นรายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูงไทย - มาเลเซีย ระหว่างผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดน การบังคับใช้ใบอนุญาตขนส่งระหว่างประเทศและความร่วมมือด้านต่าง ๆ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย - มาเลเซีย ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
33702 | การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) เป็นองค์การมหาชนในกระทรวงวัฒนธรรม | วธ | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการจัดตั้งศูนย์คุณธรรมเป็นองค์การมหาชนในกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้จัดตั้งศูนย์คุณธรรมขึ้นเป็นองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน เพื่อเป็นหน่วยงานในการประสาน เชื่อมโยง ส่งเสริม สนับสนุนบูรณาการกระบวนการพัฒนาความดี รวมถึงคุณธรรมจริยธรรมที่เหมาะสมสำหรับบุคคล ครอบครัว องค์กร ชุมชน สังคม ตลอดจนการบริหารในภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจาณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับร่างมาตรา ๘ วรรคสอง ที่กำหนดให้การเข้าร่วมทุนและการกู้ยืมเงิน ควรให้การดำเนินการดังกล่าวผ่านการกลั่นกรองและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารศูนย์คุณธรรมก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้ศูนย์คุณธรรมรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรจะต้องไม่ส่งผลต่อการเพิ่มงบประมาณค่าใช้จ่ายภาครัฐ และเห็นควรที่จะได้มีการประเมินผลการดำเนินงานขององค์การมหาชนที่จัดตั้งไว้แล้วและจัดตั้งใหม่ เนื่องจากหน่วยงานดังกล่าวรัฐต้องลงทุนค่าใช้จ่ายที่มีอัตราสูงกว่าองค์การภาครัฐที่เป็นส่วนราชการ นอกจากนี้ การจัดตั้งองค์การมหาชนในอนาคต ควรเป็นองค์การที่มีประสิทธิภาพด้วยการให้บริการที่สูงกว่าหน่วยงานของรัฐที่มีอยู่ และมีศักยภาพในการจัดหารายได้ในรูปของการบริการที่มีผลสัมฤทธิ์สูง สามารถบริหารจัดการองค์กรได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพางบประมาณรายจ่าย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
33703 | การปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ | รง | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจเพิ่มได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ ๕ โดยเมื่อมีการปรับอัตราค่าจ้างดังกล่าวแล้วต้องมีอัตราค่าจ้างเดิมรวมกับที่ได้ปรับครั้งนี้ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท และให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ โดยให้ใช้เงินงบประมาณของแต่ละรัฐวิสาหกิจเอง ทั้งนี้ เมื่อแต่ละรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการปรับอัตราค่าจ้างดังกล่าวแล้ว ให้ส่งบัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้างลูกจ้างทุกบัญชีให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ทราบด้วย ๒. ให้ส่วนราชการที่มีรัฐวิสาหกิจในสังกัดรับความเห็นของกระทรวงการคลังไปเพื่อกำกับให้รัฐวิสาหกิจพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้รัฐวิสาหกิจจัดหารายได้เพิ่มเติม และ/หรือลดค่าใช้จ่ายขององค์กรเพื่อให้เพียงพอรายจ่ายบุคลากรที่เพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อประชาชนและไม่เป็นเหตุให้รัฐวิสาหกิจขอนำมาปรับเปลี่ยนค่าเป้าหมายตามบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจประจำปี ๒.๒ ให้รัฐวิสาหกิจนำส่งเงินรายได้แผ่นดินไม่น้อยกว่าอัตรา หรือจำนวนเงินที่กำหนดในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๕ แล้วแต่กรณีใดจะสูงกว่า |
||||||||||||||||||||||||
33704 | เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมขอปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบ | กษ | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ปรับราคารับซื้อน้ำนมดิบเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ ๑.๐๐ บาท (จากเดิมราคา ๑๗.๐๐ บาท/กิโลกรัม เพิ่มเป็น ๑๘.๐๐ บาท/กิโลกรัม) ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่กระทรวงพาณิชย์โดยคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการอนุญาตให้ผู้ประกอบการนมพาณิชย์ปรับราคาขายผลิตภัณฑ์นมในตลาดนมพาณิชย์ได้ ๑.๒. ให้มีการกำหนดราคากลางใหม่จากราคากลางตามมติคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒ โดยให้มีผลตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๒.๑ นมพาสเจอร์ไรส์ ราคากลางเดิม ๖.๒๖ บาท/ถุง เป็นราคากลางใหม่ ๖.๓๗ บาท/ถุง ๑.๒.๒ นม ยู.เอช.ที. ชนิดกล่อง จากราคากลางเดิม ๗.๕๕ บาท/กล่อง เป็นราคากลางใหม่ ๗.๖๑ บาท/กล่อง และชนิดซอง จากราคากลางเดิม ๗.๔๕ บาท/ซอง เป็นราคากลางใหม่ ๗.๕๑ บาท/ซอง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพัฒนาวิธีการเลี้ยง สูตรอาหาร ปรับปรุงพันธุ์โค และสนับสนุนการทดแทนแม่โคที่มีอายุมากเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำนมโคให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโค ซึ่งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจการเลี้ยงโคนมและเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนมากกว่าการปรับขึ้นราคาน้ำนมดิบอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
33705 | การโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 และ2553 ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี | นร | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และ พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น โดยให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๑ เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการกันเงินงบประมาณไว้เบิกเหลื่อมปี และการขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน เช่นเดียวกับที่เคยถือปฏิบัติตลอดมา โดยการพิจารณาอนุมัติการโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณที่กันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีให้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของสำนักงบประมาณตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้หน่วยงานสามารถขยายเวลาเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และ พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ได้ต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
33706 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นนโยบายงบประมาณขาดดุลจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท รายได้สุทธิจำนวน ๑,๙๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๑.๒ แนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๒.๑ ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ภายในกรอบวงเงินของแต่ละกระทรวงหรือวงเงินของหน่วยงานที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๑.๒.๒ งบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้สำหรับรายจ่ายผูกพันตามสัญญา ตามมติคณะรัฐมนตรี ตามกฎหมาย รายจ่ายชำระหนี้ เงินอุดหนุนที่จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนรายจ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายบุคลากรและค่าสาธารณูปโภค ไม่ควรเปลี่ยนแปลงรายการไปจัดสรรให้รายการอื่น ๆ ๑.๒.๓ เพื่อรักษาสัดส่วนรายจ่ายลงทุนของแต่ละกระทรวงให้อยู่ในระดับที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้ในภาพรวม จึงไม่ควรเปลี่ยนแปลงรายจ่ายลงทุนไปเพิ่มในรายจ่ายประจำ ๑.๒.๔ การปรับปรุงงบประมาณไม่ควรเพิ่มรายการใหม่ที่มีภาระผูกพันงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ๑.๓ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น นำเสนอการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามแนวทางข้อ ๑.๒ เสนอนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อให้ความเห็นชอบและส่งผลการพิจารณาข้อเสนอการปรับปรุงให้สำนักงบประมาณภายในวันอังคารที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๔ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันอังคารที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ ๒. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอขอแก้ไขข้อความในหนังสือสำนักงบประมาณ ลับ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๖/๑๑๐๗๖ ลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔ ดังนี้ ๒.๑ หน้า ๑ จากเดิม “ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ ...” เป็น “ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ...” ๒.๒ หน้า ๑๐ จากเดิม “(๑) ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ...” เป็น “(๑) ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ...”
|
||||||||||||||||||||||||
33707 | ขอทบทวนค่าใช้จ่ายดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร ปี 2553/54 และงบประมาณดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2553/54 รอบที่ 2 | กค | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการค่าใช้จ่ายดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๓/๕๔ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยคำนวณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเหมาจ่ายต่อเกษตรกร ๑ ราย ในอัตรารายละ ๓๑๕ บาท กรณีเกษตรกรได้สิทธิชดเชยรายได้ และในอัตรารายละ ๒๘๙ บาท กรณีเกษตรกรไม่ได้สิทธิชดเชยรายได้ ส่วนโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง ปีการผลิต ๒๕๕๓/๕๔ ของ ธ.ก.ส. ให้คำนวณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการในอัตราเดิม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๓/๕๔) และวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๓/๕๔) ที่กำหนดให้ใช้อัตราเหมาจ่าย ๒๐๐ บาท ต่อเกษตรกร ๑ ราย ๒. เห็นชอบให้ใช้เงินทุนของ ธ.ก.ส. เพื่อจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับเกณฑ์กลางอ้างอิงให้แก่เกษตรกรตามสัญญาประกันรายได้เกษตรกรสำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๓/๕๔ รอบที่ ๒ ระหว่างที่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกรที่จัดทำสัญญาประกันรายได้และใช้สิทธิตามสัญญาประกันรายได้ โดย ธ.ก.ส. คิดต้นทุนเงินเพื่อขอเบิกชดเชยจากรัฐบาลในร้อยละ ๒.๕๑๒๕ ต่อปี แทนอัตรา FDR + Spread ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้ ธ.ก.ส. จัดทำรายละเอียดของงบประมาณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
33708 | แผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 และเรื่องการขอปรับแผนพัฒนาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2553 - 2556 และแผนปฏิบัติราชการประจำปี ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และเรื่องการกำหนดกลุ่มจังหวัดและการกำหนดจังหวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 | นร | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการบริหารจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการ ก.น.จ. เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบกับแผนพัฒนาจังหวัด จำนวน ๗๕ จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด จำนวน ๑๘ กลุ่มจังหวัด ๒. เห็นชอบแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด ๗๕ จังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ๗๕ จังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยมีโครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุนงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัดลำดับที่ ๑ จำนวน ๒,๙๒๘ โครงการ วงเงิน ๑๘,๖๐๕,๘๔๘,๘๙๕ บาท จำแนกเป็น โครงการของจังหวัด ๗๕ จังหวัด จำนวน ๒,๔๒๗ โครงการ วงเงิน ๑๓,๐๐๐,๙๖๔,๙๘๕ บาท และโครงการของกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด จำนวน ๕๐๑ โครงการ วงเงิน ๕,๖๐๔,๘๘๓,๙๑๐ บาท และโครงการลำดับที่ ๒ จำนวน ๑,๗๓๖ โครงการ วงเงิน ๙,๒๒๓,๔๔๖,๙๒๒ บาท จำแนกเป็น โครงการของจังหวดั ๗๕ จังหวัด จำนวน ๑,๕๘๒ โครงการ วงเงิน ๗,๔๙๔,๔๓๘,๐๘๗ บาท และโครงการกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด จำนวน ๑๕๐ โครงการ วงเงิน ๑,๗๒๙,๐๐๘,๘๓๕ บาท ๓. เห็นชอบการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปี และคำของบประมาณของจังหวัดบึงกาฬ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้ถือว่าแผนพัฒนาจังหวัดและแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ของจังหวัดหนองคาย เป็นแผนพัฒนาจังหวัดและแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ของจังหวัดบึงกาฬ ไปก่อน สำหรับการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดบึงกาฬ ๔ ปี ให้เริ่มใช้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ โดยจัดทำพร้อมกับกระบวนการทบทวนแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป สำหรับงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ของจังหวัดบึงกาฬ ในระยะเริ่มแรกให้นำคำของบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของจังหวัดหนองคายที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้วมาแบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ เป็นคำของบประมาณของจังหวัดหนองคาย และเป็นคำของบประมาณของจังหวัดบึงกาฬ (ส่วนที่ดำเนินการในพื้นที่ ๘ อำเภอ ที่แยกมาเป็นจังหวัดบึงกาฬ) ๔. เห็นชอบการปรับแผนพัฒนาจังหวัด พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๖ และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เนื่องจากแผนพัฒนาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๖ ในยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อการค้า ได้กำหนดให้มีโครงการเชื่อมท่ออ่างเก็บน้ำคลองจะกระ - อ่างเก็บน้ำคลองช่องลมไว้อยู่ในแผนแล้ว โดยจะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กรณีนี้เป็นการขอปรับแผนในการดำเนินการมาเป็นปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อแก้ไขปัญหาช่วยเหลือและฟื้นฟูจากภัยแล้งและแก้ไขปัญหาการขาดแคลน้ำในการอุปโภค บริโภคของราษฎรอย่างเร่งด่วนซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดความยั่งยืน โดยให้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขอทำความตกลงขอใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๕. เห็นชอบการกำหนดกลุ่มจังหวัด และการกำหนดจังหวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ ประกอบด้วย จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดอุดรธานี โดยให้จังหวัดอุดรธานีเป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัด ๖. รับทราบเรื่องการกำหนดให้เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ากลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน เพื่อให้การพัฒนาพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเป็นเอกภาพ และสามารถบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับกลุ่มจังหวัด/จังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
|
||||||||||||||||||||||||
33709 | การแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิในที่ดินทำกินของกลุ่มเครือข่ายสหกรณ์นิคมผู้เช่า 13 นิคมสหกรณ์ | นร | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะอนุกรรมการสนับสนุนการศึกษาแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิในที่ดินทำกินของกลุ่มเครือข่ายสหกรณ์นิคมผู้เช่า ๑๓ นิคมสหกรณ์ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอ โดยที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ได้มีความเห็น ดังนี้ ๑.๑ กำหนดกลุ่มเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน โดยพิจารณาให้สิทธิเฉพาะสมาคมนิคมสหกรณ์การเช่าที่ดิน ๑๓ นิคมสหกรณ์ ตามบัญชีรายชื่อเดิมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมสหกรณ์) หรือทายาทโดยธรรมเท่านั้น ทั้งนี้ รายละไม่เกิน ๕๐ ไร่ ๑.๒ การจัดทำบัญชีรายชื่อสมาชิกผู้เช่าที่ดินฯ ให้มีการเปรียบเทียบระหว่างรายชื่อเดิมกับรายชื่อใหม่ ในกรณีที่เป็นรายชื่อใหม่ให้ระบุความสัมพันธ์กับสมาชิกรายเดิม และบัญชีรายชื่อจะต้องสอดคล้องกับรายแปลง ตั้งแต่เดิมเมื่อครั้งจัดตั้งนิคมสหกรณ์ ๑.๓ การพิจารณาจัดทำรายละเอียดพื้นที่ และแนวเขตป่าที่เป็นที่ตั้งนิคมสหกรณ์ในภาพถ่ายทางอากาศจะต้องแสดงแนวเขตวงรอบ - กันเขต - รายแปลงให้ชัดเจน ส่วนการรังวัดปักหลักเขตแสดงแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เหลือ ซึ่งจะดำเนินการภายหลัง เห็นควรสนับสนุนงบประมาณ (งบกลาง) ให้แก่กรมป่าไม้เพื่อดำเนินการต่อไป ๑.๔ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในส่วนที่นิคมสหกรณ์ไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือไม่มีผู้ครอบครอง รวมถึงพื้นที่ป่าในพื้นที่กลางวงรอบ - กันเขต ให้กันแนวเขตเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และคืนกรมป่าไม้ รวมทั้งกรณีนิคมสหกรณ์แม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีถนนในเขตป่าไม้ให้ส่งคืนกรมป่าไม้ ๑.๕ พื้นที่ที่เป็นที่ตั้งหน่วยงานราชการ พื้นที่ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งอยู่ในเขตนิคมสหกรณ์ เมื่อดำเนินการจัดตั้งนิคมสหกรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เห็นควรให้กันพื้นที่ออกจากนิคมสหกรณ์ และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๖ กรณีนิคมสหกรณ์ปากพญา จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้ดำเนินการเฉพาะพื้นที่ที่เป็นที่อยู่อาศัย สำหรับพื้นที่ที่เป็นที่ทำกิน ให้คงสภาพให้เช่าเช่นเดิม ๑.๗ ให้นำพื้นที่ของนิคมสหกรณ์ผู้เช่าเฉพาะที่มีความพร้อมเสนอคณะรัฐมนตรีในวันจันทร์ที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๔ โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมป่าไม้ เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาฯ และร่างกฎกระทรวงฯ ตามลำดับ จำนวน ๓ แห่ง ได้แก่ นิคมสหกรณ์นครเดิฐ จังหวัดสุโขทัย นิคมสหกรณ์ขามทะเลสอ จังหวัดนครราชสีมา และนิคมสหกรณ์สตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ๒. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวออกไปอีก ๑๕ วัน โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับการจัดตั้งนิคมสหกรณ์ และกรมป่าไม้เสนอร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติ ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอเพิ่มเติม ๓. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของรองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เกี่ยวกับการป้องกันไม่ให้สมาชิกผู้ใช้ที่ดินของกลุ่มเครือข่ายสหกรณ์นิคมนำที่ดินไปขายให้กับนายทุน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
33710 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2554 (ครั้งที่ 10) | กษ | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและอนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๐) วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธาน กนป. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้คงราคาน้ำมันพืชปาล์มชนิดบรรจุขวด ขนาด ๑ ลิตร ในราคาขายปลีกที่ ๔๗.๐๐ บาทต่อลิตร ๑.๒ เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลน ปี ๒๕๕๔ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร หลักฐานการผลิต การจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์มฝาสีชมพูที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มนำเข้า จำนวน ๓๐,๐๐๐ ตัน และน้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศ จำนวน ๑๕,๐๐๐ ตัน รวมถึงน้ำมันปาล์มดิบที่ผลิตภายในประเทศ จำนวน ๔๐,๐๐๐ ตัน ที่อยู่ระหว่างการทบวนของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ๑.๓ เนื่องจากสถานการณ์น้ำมันปาล์มเริ่มปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติ และเพื่อป้องกันมิให้ปัญหาการขาดแคลน้ำมันปาล์มเกิดขึ้น และเกษตรกรได้รับการดูแลเรื่องราคาผลปาล์มน้ำมัน จึงให้มีการดำเนินการ ดังนี้ ๑.๓.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มทบทวนการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลน ตามมติ กนป เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ให้โรงกลั่นน้ำมันปาล์มรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบที่ผลิตภายในประเทศ จำนวน ๔๐,๐๐๐ ตัน จากสมาคมโรงสกัดน้ำมันปาล์มในราคาน้ำมันปาล์มดิบตลาดมาเลเซีย บวก ๒.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม และโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มรับซื้อผลปาล์มน้ำมันจากเกษตรกรในราคาที่สอดคล้องกับราคาน้ำมันปาล์มดิบ โดยรัฐชดเชยส่วนต่างราคาในอัตราลิตรละ ๙.๕๐ บาท ณ ฐานคำนวณราคาน้ำมันปาล์มดิบที่กิโลกรัมละ ๔๔.๗๕ บาท ทั้งนี้ ให้อัตราเงินชดเชยปรับเปลี่ยนตามราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณได้ตามราคาตลาดมาเลเซีย บวก ๒.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม และเสนอ กนป. เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ๑.๓.๒ ให้กระทรวงพลังงานปรับอัตราการใช้ไบโอดีเซลจากอัตราร้อยละ ๒ (B2) เป็นอัตราร้อยละ ๓ (B3) หรือมากกว่า เพื่อดูดซับน้ำมันปาล์มดิบที่คาดว่าจะออกสู่ตลาดมาก ซึ่งมีผลต่อราคาเกษตรกรขายได้ โดยเบื้องต้นให้กำหนดราคารับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มในราคามาเลเซีย บวก ๓.๐๐ บาทต่อกิโลกรัม เป็นระยะเวลา ๓ เดือน (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๕๔) และเสนอ กนป. ในการประชุมครั้งต่อไป เพื่อพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๒. อนุมัติงบประมาณเพื่อจ่ายชดเชยส่วนต่างราคาและชดเชยต้นทุนการผลิตน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ให้แก่ผู้ประกอบการที่ให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลน จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงินรวมประมาณ ๑๖๔.๔๗ ล้านบาท และให้กระทรวงพาณิชย์ขอตกลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายดังกล่าวกับสำนักงบประมาณ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมเป็นรองประธานกรรมการใน กนป. รวมทั้งให้ฝ่ายเลขานุการ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) เร่งดำเนินการแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตีร (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธาน กนป. เสนอเพิ่มเติม
|
||||||||||||||||||||||||
33711 | การขอจัดตั้ง "สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย" (Thailand Institute of Justice - TIJ) | ยธ | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้จัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) เพื่อรับผิดชอบงานตามนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓) ๒. อนุมัติในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ จัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นองค์การมหาชน ตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นการล่วงหน้าก่อน และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับเรื่องนี้พร้อมกับร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเสนอคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการพิจารณาตามขั้นตอนโดยด่วน และแจ้งผลให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
33712 | ขออนุมัติถัวจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและวาตภัยครัวเรือนละ 5,000 บาท | นร | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้นำวงเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและวาตภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในครั้งที่ ๑ ไปจ่ายให้แก่จังหวัดในครั้งที่ ๒ ในลักษณะถัวจ่าย ซึ่งมีวงเงินเพียงพอ โดยเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจ่ายเงินช่วยเหลือให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และให้ยุติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
33713 | การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2554 | มท | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เสนอแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๔ ซึ่งคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เห็นชอบแผนดังกล่าวแล้ว โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ช่วงเวลาการดำเนินการรณรงค์ ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๗ เมษายน ๒๕๕๔ รวม ๗ วัน โดยมีเป้าหมายการดำเนินการเพื่อลดจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ (admit) ให้ลดลงร้อยละ ๕ และให้หน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการเน้นหนัก ๕ มาตรการ ได้แก่ มาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการด้านวิศวกรรมจราจร มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์ มาตรการด้านการบริการการแพทย์ฉุกเฉิน การกู้ชีพ กู้ภัย ๒. ช่วงเวลาในการดำเนินงาน กำหนดเป็น ๒ ช่วง ดังนี้ ๒.๑ ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ ๒๔ มีนาคม - ๑๐ เมษายน ๒๕๕๔ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดเตรียมความพร้อมและดำเนินงานในภารกิจต่าง ๆ การจัดทำแผนงานดำเนินงาน เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งด้านการปฏิบัติและงบประมาณ ตลอดจนการประสานความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการณรงค์ประชาสัมพันธ์และตั้งจุดตรวจตักเตือนประจำชุมชน หมู่บ้าน และให้มีการจัดตั้งจุดตรวจเพื่อดำเนินการบังคับใช้กฎหมายจราจร ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ ๒.๒ ช่วงปฏิบัติการเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๗ เมษายน ๒๕๕๔ ให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ในระดับจังหวัด อำเภอ และการดำเนินการตามมาตรการเน้นหนัก ๓. แผนการดำเนินงาน แบ่งเป็น ๔ แผนงาน ดังนี้ ๓.๑ แผนงานที่ ๑ การจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๔ ๓.๒ แผนงานที่ ๒ การจัดตั้งจุดตรวจร่วม/ด่านตรวจร่วม บนเส้นทางสายหลัก (เส้นทางหลวงแผ่นดิน) และสายรอง (เส้นทางหลวงชนบท และเส้นทางขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ๓.๓ แผนงานที่ ๓ การตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน ๓.๔ แผนงานที่ ๔ การตั้งหน่วยสนับสนุน และบริการประชาชนระดับพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||
33714 | การจ่ายค่าตอบแทนพิเศษสำหรับพนักงานสถาบันการเงินเฉพาะกิจจากการดำเนินงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2552 และปี 2553 | กค | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ยกเว้นการถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ที่กำหนดให้รัฐวิสาหกิจจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษตามระบบประเมินผลซึ่งครอบคลุมการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจอยู่แล้วเท่านั้น ๒. อนุมัติให้จ่ายเงินตอบแทนพิเศษให้พนักงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ๕ แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำนวน ๑ เท่าของเงินเดือน โดยให้จ่ายจากเงินงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่ง โดยให้จ่ายในคราวเดียว
|
||||||||||||||||||||||||
33715 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 4 ราย 1. นายอดิศักดิ์ ทองไข่มุกต์ ฯลฯ) | ทส | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายอดิศักดิ์ ทองไข่มุกต์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมทรัพยากรธรณี ๒. นางพรทิพย์ ปั่นเจริญ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ๓. นางอรพินท์ วงศ์ชุมพิศ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๔. นายชำนาญ เอกวัฒนโชตกูร ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
||||||||||||||||||||||||
33716 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ. 2524 (จำนวน 4 ราย 1. นายณรงค์ ดูดิง ฯลฯ) | วธ | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย (ชุดใหม่) จำนวน ๔ ราย ตามที่กระทรวงวัฒธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ มีนาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายณรงค์ ดูดิง ๒. นายพรชัย เพชรทองคำ ๓. ว่าที่ร้อยตรี โมฮามัดยาสรี ยูซง ๔. นายนิรันดร์ พันทรกิจ
|
||||||||||||||||||||||||
33717 | การให้ความช่วยเหลือด้านพลังงานแก่ประเทศญี่ปุ่น | พน | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการให้ความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมตามที่บริษัท Tokyo Electric Power Company Incorporated (TEPCO) ร้องขอมายังการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยให้บริษัท TEPCO ยืมเครื่องกังหันก๊าซที่ใช้ดีเซลเป็นเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าหนองจอก จำนวน ๒ ชุด ไปใช้งานที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นการชั่วคราวราว ๓ - ๕ ปี เพื่อแก้ไขวิกฤตการขาดแคลนไฟฟ้า อันเนื่องมาจากภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวและสึนามิที่เกิดขึ้น ในลักษณะความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยโดยไม่มีค่าตอบแทน และให้บริษัท TEPCO เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรื้อถอน ขนย้าย ติดตั้ง รวมทั้งค่าบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่อง ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการนำกลับมาติดตั้งคืนเมื่อเสร็จภารกิจ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอเพิ่มเติมว่า กฟผ. มีเครื่องกังหันก๊าซที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไฟฟ้าที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศญี่ปุ่น (บริษัท TEPCO) ได้จำนวน ๓ ชุด และในระยะต่อไปหากบริษัท TEPCO ประสงค์จะขอยืมเครื่องกังหันก๊าซที่เหลืออีก ๑ เครื่อง กฟผ. ก็พร้อมที่จะให้ยืมได้ภายใต้เงื่อนไขเดิม
|
||||||||||||||||||||||||
33718 | รายงานเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 6.7 ริกเตอร์ ที่สหภาพพม่าและผลกระทบต่อประเทศไทย | ทส | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด ๖.๗ ริกเตอร์ ที่สหภาพพม่า และผลกระทบต่อประเทศไทย สรุปได้ ดังนี้
๑. กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า เมื่อเวลา ๒๐.๕๕ น. วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด ๖.๗ ริกเตอร์ โดยมีศูนย์กลางแผ่นดินไหวที่ละติจูด ๒๐.๘๗ องศาเหนือ ลองติจูด ๙๙.๙๑ องศาตะวันออก ที่ระดับความลึก ๑๐ กิโลเมตร บริเวณรัฐฉาน สหภาพพม่า โดยแผ่นดินไหวครั้งนี้ รู้สึกทั่วทั้งพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และกรุงเทพมหานคร พบผู้เสียชีวิต ๑ ราย ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย อาคาร บ้านเรือน โบราณสถาน ถนน และพื้นดินแตกร้าวหลายแห่ง โดยเฉพาะที่อำเภอแม่สาย และอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ๒. กรมทรัพยากรธรณี ได้ดำเนินการเฝ้าระวังเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด ๖.๗ ริกเตอร์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทย โดยรวบรวม วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลแผ่นดินไหวเพื่อแจ้งผ่านข้อความสั้น (SMS) ให้สื่อมวลชนและเครือข่ายเฝ้าระวังแจ้งเตือนธรณีพิบัติภัยทราบ และดำเนินการตรวจสอบ ติดตามสถานการณ์ผลกระทบจากแผ่นดินไหวจากเว็บไซต์ สื่อมวลชนและเครือข่ายเฝ้าระวังแจ้งเตือนธรณีพิบัติภัย รวมทั้งได้จัดทำแผนที่ประเมินความรุนแรงแผ่นดินไหว ซึ่งในเบื้องต้นพบว่าที่บริเวณอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายมีความรุนแรงระดับ ๖ เมอร์คัลลี่ (ต้นไม้สั่น บ้านแกว่ง สิ่งปลูกสร้างบางชนิดพัง) ในขณะที่กรุงเทพมหานครมีความรุนแรงระดับ ๔ เมอร์คัลลี่ (อาคารสูงแกว่ง คนที่สัญจรไปมารู้สึกได้) แผ่นดินไหวในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยมากที่สุด นอกจากนี้ ได้ดำเนินการเฝ้าระวังติดตามพฤติกรรมการเลื่อนตัวของรอยเลื่อนมีพลังของประเทศ โดยติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดคลื่นไหวสะเทือนขนาดเล็ก และเครื่องตรวจวัดอัตราเร่งของพื้นดินในจังหวัดเชียงราย
|
||||||||||||||||||||||||
33719 | รายงานความเสียหายของโบราณสถาน อันเกิดจากแผ่นดินไหว | วธ | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมรายงานความเสียหายของโบราณสถาน อันเกิดจากแผ่นดินไหวในเขตประเทศพม่าเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๔ วัดความแรงขนาด ๖.๗ ริกเตอร์ ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนบน เป็นเหตุให้โบราณสถานเมืองประวัติศาสตร์เชียงแสน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ได้รับความเสียหายหลายเล็กน้อยหลายแห่ง และได้รับความเสียหายค่อนข้างรุนแรง ซึ่งอยู่ในระหว่างดำเนินการสำรวจความเสียหาย ออกแบบ และประมาณราคาการบูรณะซ่อมแซมโดยเร่งด่วน จำนวน ๔ แห่ง ดังนี้
๑. เจดีย์วัดพระธาตุจอมกิติ สภาพความเสียหาย ฉัตรหักงอ ส่วนยอดบริเวณกลีบมะเฟืองหักงอ ทองจังโกฉีกขาด ส่วนองค์เรือนธาตุพบรอยแตกร้าวขยายตัวกว้างมาก และพบแผ่นทองจังโกที่หุ้มเจดีย์มีรอยฉีกขาดโดยทั่วไป ๒. มณฑปวัดพระธาตุภูข้าว สภาพความเสียหาย ผนังก่ออิฐถือปูนมีรอยแตกร้าวโดยทั่วไป ส่วนหลังคาแตกร้าวแยกออกจากกัน ๓. เจดีย์วัดป่าสัก (ร้าง) สภาพความเสียหาย พบรอยแตกร้าวบริเวณบัลลังก์ใกล้องค์ระฆัง และองค์ยอดของเจดีย์เอียงเล็กน้อย ๔. เจดีย์วัดเจดีย์หลวง สภาพความเสียหาย ส่วนยอดที่เป็นปล้องไฉนหักพังทลายลงมา ส่วนองค์ระฆังพบรอยแตกร้าวโดยทั่วไป ใต้องค์ระฆังลงมา พบอิฐพังทลายลงมาเกิดจากส่วนยอดของเจดีย์หักลงมากระแทก
|
||||||||||||||||||||||||
33720 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 25 มีนาคม 2554 | กค | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔ สรุปได้ดังนี้
๑. อนุมัติแล้ว จำนวน ๔๓,๑๘๕ โครงการ วงเงิน ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรร ๒.๑ รอจัดสรร จำนวน ๘๗๓ โครงการ วงเงิน ๘,๘๐๖.๐๒ ล้านบาท ๒.๒ จัดสรรแล้ว จำนวน ๔๒,๓๑๒ โครงการ วงเงิน ๓๔๑,๑๕๔.๔๒ ล้านบาท ๓. การจัดซื้อจัดจ้าง ๓.๑ ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ จำนวน ๒,๖๖๔ โครงการ วงเงิน ๑๓,๕๐๙.๐๔ ล้านบาท ๓.๑.๑ ยังไม่เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒๐๐ โครงการ วงเงิน ๕,๘๓๕.๘๖ ล้านบาท ๓.๑.๒ เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒,๔๖๔ โครงการ วงเงิน ๗,๖๗๓.๑๘ ล้านบาท ๓.๒ ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน ๓๙,๖๔๘ โครงการ วงเงิน ๓๒๗,๖๔๕.๓๘ ล้านบาท ๓.๓ มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน ๓๙,๖๔๘ โครงการ วงเงิน ๓๑๗,๗๑๕.๘๐ ล้านบาท ๔. การดำเนินการ ๔.๑ ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน ๑,๓๓๘ โครงการ วงเงิน ๔๗,๖๕๒.๙๖ ล้านบาท ๔.๒ เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) จำนวน ๑๒,๖๒๙ โครงการ วงเงิน ๑๓๐,๗๕๓.๕๐ ล้านบาท ๔.๓ เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน ๒๕,๖๘๑ โครงการ วงเงิน ๑๓๙,๓๐๙.๓๔ ล้านบาท ๔.๔ เบิกจ่ายทั้งหมด (๔.๒+๔.๓) จำนวน ๓๘,๓๑๐ โครงการ วงเงิน ๒๗๐,๐๖๒.๘๔ ล้านบาท
|
.....