ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1687 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 33721 - 33740 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
33721 | การจัดซื้ออาหาร เครื่องบริโภค และวัสดุเพื่อการหุงหาอาหาร กระทรวงยุติธรรม | ยธ | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาการยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๒ (เรื่อง ขอให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการจัดระบบการจัดซื้ออาหาร เครื่องบริโภค และวัสดุเพื่อการหุงหาอาหารในส่วนของการจัดซื้ออาหารสด (เนื้อสัตว์ และพืช) และวัสดุปรุงอาหารต่อไป เป็นเวลา ๖ เดือน นับตั้งแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และในระหว่างระยะเวลาดังกล่าวให้ทดลองดำเนินการจัดซื้อรายการเนื้อสัตว์ประเภทหมูและไก่ เป็นโครงการนำร่องโดยแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ ๑ จังหวัดกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ กลุ่มที่ ๒ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี สระบุรี อ่างทอง และสุพรรณบุรี กลุ่มที่ ๓ จังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ตราด ปราจีนบุรี นครนายก และสระแก้ว เป็นเวลา ๓ เดือน นับตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ โดยในระหว่างระยะเวลาดังกล่าวให้ใช้วิธีการจัดซื้อที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันและตามที่ได้รับยกเว้นอยู่ต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33722 | ขออนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพลตำรวจเอก กฤษณะ ผลอนันต์) | ยธ | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และ พลตำรวจเอก กฤษณะ ผลอนันต์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด แทน พลเอก อภิชาต เพ็ญกิตติ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม และ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่พ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ เนื่องจากเกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33723 | เหตุการณ์ไฟไหม้ตลาดปักธงชัย | นร | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการทบทวนแผนปฏิบัติการระงับเพลิงและอุบัติภัยต่าง ๆ รวมทั้งตรวจสอบปรับปรุงอุปกรณ์ดับเพลิงต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพพร้อมใช้งาน เพื่อให้หน่วยงานดับเพลิงแต่ละพื้นที่ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับกระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ในการพิจารณาเร่งรัดการขออนุญาตก่อสร้างหรือปรับปรุงอาคารที่ถูกเพลิงไหม้ในที่ดินที่เป็นที่ราชพัสดุ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่
|
|||||||||||||||||||||||||||
33724 | ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่อีกหนึ่งวาระ (จำนวน 6 ราย 1. ร้อยตรี ประพาส ลิมปะพันธุ์ ฯลฯ) | นร | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่อีกหนึ่งวาระ ดังนี้
๑. ร้อยตรี ประพาส ลิมปะพันธุ์ ครบวาระในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน ๒. นายจิตติชัย แสงทอง และนายอภิชัย เตชะอุบล ครบวาระในวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ๓. นายประกิจ พลเดช ครบวาระในวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม ๔. นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ครบวาระในวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ๕. เรืออากาศเอก สุริยะ ศึกษากิจ ครบวาระในวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||
33725 | สรุปสถานการณ์ภัยแล้ง วาตภัย และการจัดการฝึกซ้อมแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจากภัยการก่อวินาศกรรมด้านสารเคมี และวัตถุอันตราย (รังสี) ที่มีผลกระทบรุนแรง (NBC 2011) | มท | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เสนอสรุปสถานการณ์ภัยแล้ง วาตภัย และการจัดการฝึกซ้อมแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจากภัยการก่อวินาศกรรมด้านสารเคมี และวัตถุอันตราย (รังสี) ที่มีผลกระทบรุนแรง (NBC 2011) สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภัยแล้ง ระหว่างวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ - ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๔ มีพื้นที่ประสบภัย ๔๕ จังหวัด ๓๓๓ อำเภอ ๒,๒๕๗ ตำบล ๒๑, ๘๘๘ หมู่บ้าน แยกเป็น ภาคเหนือ ๑๗ จังหวัด ๑๔๐ อำเภอ ๙๐๕ ตำบล ๗,๕๘๘ หมู่บ้าน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑๓ หมู่บ้าน ๑๒๕ อำเภอ ๙๗๑ ตำบล ๑๑,๑๐๐ หมู่บ้าน ภาคกลาง ๕ จังหวัด ๓๐ อำเภอ ๑๗๘ ตำบล ๑,๔๓๑ หมู่บ้าน ภาคตะวันออก ๗ จังหวัด ๓๑ อำเภอ ๑๗๔ ตำบล ๑,๕๐๔ หมู่บ้าน และภาคใต้ ๓ จังหวัด ๗ อำเภอ ๒๙ ตำบล ๒๖๕ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๖,๐๑๗,๐๒๗ คน ๑,๖๖๔,๙๘๙ ครัวเรือน พื้นที่การเกษตรที่คาดว่าจะเสียหาย ๑,๗๒๖,๗๓๗ ไร่ แยกเป็นพื้นที่นา ๗๒๕,๕๔๕ ไร่ พื้นที่ไร่ ๘๔๑,๕๖๗ ไร่ และพื้นที่สวน ๑๕๙,๖๒๕ ไร่ ๒. สถานการณ์วาตภัย อุทกภัย ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ได้เกิดพายุฤดูร้อน ฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และคลื่นลมแรงในหลายพื้นที่ ทำให้ได้รับความเสียหายใน ๗ จังหวัด ๗ อำเภอ บ้านเรือนราษฎรได้รับความเสียหายบางส่วน ๘ หลัง ห้องแถว ๑๒ หลัง และเรือประมง ๒๐ ลำ ๓. การฝึกซ้อมแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจากภัยการก่อวินาศกรรมด้านสารเคมี และวัตถุอันตราย (รังสี) ที่มีผลกระทบรุนแรง (NBC 2011) ประกอบด้วย ครั้งที่ ๑ ฝึกซ้อมแผนฯ NBC 09 จากภัยการก่อวินาศกรรมจากสารซีเซียม ๑๓๗ ในรูปแบบการฝึกซ้อมการบัญชาการเหตุการณ์ (Command Post Exercise : CPX) และการฝึกซ้อมภาคสนาม (Field Training Exercise : FTX) เมื่อวันที่ ๑๕ - ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๒ ณ จังหวัดสมุทรปราการ และครั้งที่ ๒ ฝึกซ้อมแผนฯ NBC 10 จากภัยการก่อวินาศกรรมจากสารไอโอดีน ๑๓๑ เมื่อวันที่ ๒๔ - ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๓ ในรูปแบบการฝึกซ้อมการบัญชาการเหตุการณ์ (CPX) และเมื่อวันที่ ๒๒ - ๒๓ เมษายน ๒๕๕๓ ณ จังหวัดนครปฐม ในรูปแบบการฝึกซ้อมภาคสนาม (FTX) ทั้งนี้ ได้กำหนดการฝึกซ้อมแผนฯ NBC 2011 ในวันที่ ๔ - ๕ เมษายน ๒๕๕๔ (จำนวน ๒ วัน) ณ บริเวณเทศบาลตำบลศรีพนมมาศ อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ (ภาคเหนือตอนล่าง) และจัดการประเมินผลการฝึกซ้อมแผน ในห้วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
33726 | โครงการจัดระบบการปลูกข้าว (ปรับช่วงเวลาและงบประมาณ ฯ) | กษ | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับช่วงเวลาและงบประมาณ แผนงานโครงการจัดระบบการปลูกข้าว จากเดิมให้ดำเนินโครงการตั้งแต่ “ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๖ ระยะเวลา ๓ ปี วงเงินงบประมาณ ๒,๑๘๐.๓๖ ล้านบาท” เป็น “ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๗ ระยะเวลา ๔ ปี วงเงินงบประมาณ ๑,๐๘๓.๒๔ ล้านบาท”ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีมาตรการในการบริหารจัดการโครงการที่ชัดเจนในพื้นที่โครงการชลประทานที่ครอบคลุมหลายจังหวัดให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีระบบการผลิตที่สอดคล้องกัน รวมทั้งมีมาตรการด้านการตลาดที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดกรณีที่เกษตรกรได้รับผลตอบแทนจากการปลูกพืชหลังนาน้อยกว่าการทำนาปรัง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการดำเนินงานโครงการตามเป้าหมายและให้มีการรับซื้อคืนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวชั้นพันธุ์จำหน่าย ๓,๕๐๐ ตัน เพื่อเตรียมการไว้ปลูกในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑๕๖,๐๘๘,๐๐๐ บาท โดยให้ขอทำความตกลงรายละเอียดแผนการดำเนินการและค่าใช่จ่ายกับสำนักงบประมาณ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพื่อการดังกล่าวเกินกว่ากรอบวงเงินที่อนุมัติ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
33727 | การเสนอรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (จำนวน 6 คน 1.นายโสภณ จันเทรมะ ฯลฯ) | ยธ | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ จำนวน ๖ คน และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามลำดับเป็นเรื่องด่วนต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายโสภณ จันเทรมะ เป็นประธานกรรมการ ๒. นายคัมภีร์ แก้วเจริญ เป็นกรรมการ ๓. นายกนก พรรณรักษา เป็นกรรมการ ๔. นายถวิล อินทรักษา เป็นกรรมการ ๕. นายประสิทธิ์ แสนศิริ เป็นกรรมการ ๖. นายปรีชา จำปารัตน์ เป็นกรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33728 | รายงานสถานการณ์และการดำเนินการกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์ที่ประเทศญี่ปุ่น (ระหว่างวันที่ 14 - 21 มีนาคม 2554) | วท | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานสถานการณ์และการดำเนินการกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์ที่ประเทศญี่ปุ่น สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๔.๔๖ น. (ตามเวลาในประเทศญี่ปุ่น) ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่น ความรุนแรง ๙.๐ ตามมาตราริกเตอร์ มีจุดศูนย์กลางไปทางตะวันออกของชายฝั่งเมืองซานริกุ มีผลกระทบบริเวณชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ อยู่ทั้งหมด ๕ บริเวณ ทั้งบนเกาะฮอกไกโด และฮอนซู โดยมีจำนวนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รวมทั้งหมด ๑๗ โรง ขณะที่เกิดแผ่นดินไหว โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่กำลังเดินเครื่องอยู่ได้ทำการปิดตัวลงโดยอัตโนมัติ และจากผลการวัดรังสีโดยรอบบริเวณโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ พบว่าโรงไฟฟ้าโรงที่ ๑ โรงที่ ๒ และโรงที่ ๓ ของโรงไฟฟ้า Fukushima - Daiichi มีระดับรังสีสูงกว่าปกติในห้องควบคุมของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และเมื่อวันที่ ๑๒ - ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๔ เกิดการระเบิดของก๊าซไฮโดรเจนของเครื่องปฏิกรณ์ไฟฟ้าโรงที่ ๑ โรงที่ ๒ และโรงที่ ๓ รวมทั้งเกิดไฟไหม้บ่อเก็บแท่งเชื้อเพลิงใช้แล้วของเครื่องปฏิกรณ์โรงไฟฟ้าที่ ๔ ทำให้กัมมันตรังภาพรังสีถูกปล่อยโดยตรงสู่บรรยากาศ โดยสถานการณ์ปัจจุบัน วัดได้ ๓๔.๒ มิลลิซีเวิร์ตต่อชั่วโมง ๒. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้สนับสนุนข้อมูลและเครื่องมือแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเฝ้าระวังและเตรียมการสำหรับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยในส่วนของสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ได้ดำเนินการด้านการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินทางนิวเคลียร์จากประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ การให้บริการตรวจวัดการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีแก่สิ่งแวดล้อม การให้บริการตรวจวัดสารกัมมันตรังสีแก่บุคคล และการเตรียมพร้อมแผนฉุกเฉิน โดยจัดทำแนวทางพิจารณาเพื่อการตัดสินใจอพยพคนไทยในญี่ปุ่น เป็นต้น สำหรับสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้ส่งเจ้าหน้าที่พร้อมอุปกรณ์ประกอบการปฏิบัติงาน เพื่อเข้าร่วมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือคนไทยที่ประสบเหตุที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อตรวจวัดกัมมันตภาพรังสีและตรวจวัดการเปรอะเปื้อนทางรังสีให้กับคนไทย ณ ประเทศญี่ปุ่น และเพื่อเป็นการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในอนาคต สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติได้ประสานข้อมูลกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ และหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามสถานการณ์และสนับสนุนข้อมูล เครื่องมือ ในการเฝ้าระวังเครื่องมืออย่างต่อเนื่องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
33729 | ดัชนีราคาและผลผลิตสินค้าเกษตรเดือนกุมภาพันธ์ 2554 และแนวโน้ม เดือนมีนาคม 2554 | กษ | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานดัชนีราคาและผลผลิตสินค้าเกษตรเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และแนวโน้มเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมราคาสินค้าเกษตร เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา ดัชนีราคาสินค้าเกษตร สูงขึ้นร้อยละ ๓๒.๓๘ โดยสินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ อ้อยโรงงาน มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ส่วนสินค้าที่ราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ กระเทียม มันฝรั่ง และปาล์มน้ำมัน ทั้งนี้ ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ คาดว่าดัชนีราคาจะปรับตัวลดลง เนื่องจากสินค้าสำคัญหลายชนิดออกสู่ตลาดมากขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปรัง ปาล์มน้ำมัน หอมแดง หอมหัวใหญ่ และกระเทียม ๒. ภาพรวมด้านการผลิตสินค้าเกษตร เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ดัชนีผลผลิตสูงขึ้นร้อยละ ๒.๘๐ โดยสินค้าสำคัญที่ผลผลิตสูงขึ้น ได้แก่ อ้อยโรงงาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา สับปะรดโรงงาน หอมแดง กระเทียม หอมหัวใหญ่ ไก่เนื้อ และกุ้งขาวแวนนาไม ส่วนสินค้าที่ผลผลิตลดลง ได้แก่ มันสำปะหลัง มันฝรั่ง ปาล์มน้ำมัน และมะพร้าว และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม ๒๕๕๔ ดัชนีผลผลิตลดลงร้อยละ ๙.๙๙ โดยสินค้าสำคัญที่ผลผลิตลดลง ได้แก่ อ้อยโรงงาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา และไข่ไก่ ส่วนสินค้าที่ผลผลิตสูงขึ้น ได้แก่ มันสำปะหลัง สับปะรดโรงงาน มันฝรั่ง หอมหัวใหญ่ ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว และกุ้งขาวแวนนาไม ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ คาดว่าผลผลิตในภาพรวมจะยังคงสูงขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตสินค้าสำคัญหลายชนิดออกสู่ตลาดมากขึ้น ได้แก่ ปาล์มน้ำมัน หอมแดง หอมหัวใหญ่ กระเทียม และข้าวนาปรังที่เริ่มออกสู่ตลาด
|
|||||||||||||||||||||||||||
33730 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (จำนวน 5 ราย 1. นายวีระพงษ์ แพสุวรรณ ฯลฯ) | วท | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ จำนวน ๕ คน ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายวีระพงษ์ แพสุวรรณ ประธานกรรมการ ๒. นายประสาท สืบค้า กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายชวินท์ ธัมมนันท์กุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. พลตรี อภิชาติ นพเมือง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายอภิชัย ชวเจริญพันธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33731 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางฉวีวรรณ คงเจริญกิจกุล และนายบุญชัย พิทักษ์ดำรงกิจ) | กค | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นางฉวีวรรณ คงเจริญกิจกุล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี กรมศุลกากร ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ๒. นายบุญชัย พิทักษ์ดำรงกิจ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ภาษีสรรพสามิต กรมสรรพสามิต ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
|
|||||||||||||||||||||||||||
33732 | การประชุมคณะรัฐมนตรีในวันจันทร์ ที่ 28 มีนาคม 2554 | นร | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้เลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๔ มาเป็นวันจันทร์ที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๔ เนื่องจากในวันอังคารที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๔ อาจจะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา
|
|||||||||||||||||||||||||||
33733 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2553 | ทส | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบต่อ (ร่าง) กรอบแนวคิดและทิศทางของแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) นำเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำประเด็นยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ภายใต้ (ร่าง) กรอบแนวคิดฯ บรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ๒. เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์การจัดการสิ่งแวดล้อมภูมิทัศน์ ตามที่คณะอนุกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านมลทัศน์เสนอ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จัดทำแผนปฏิบัติการในการจัดการสิ่งแวดล้อมภูมิทัศน์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแปลงยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติ ๓. เห็นชอบการทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดโครงการของหน่วยงานของรัฐที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าเพิ่มเติม และกลไกการดำเนินงานด้านการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการต่าง ๆ ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ สผ. ตรวจสอบการกำหนดประเภทและขนาดโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติมให้สอดคล้องกับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๒ จำนว ๓๔ ประเภท ก่อนนำความเห็นของคณะกรรมการฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน เกี่ยวกับการควบคุมความสูงของอาคารบริเวณรอบรัฐสภาแห่งใหม่ และให้กรุงเทพมหานครประสานกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย พิจารณาดำเนินการออกประกาศกระทรวงหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นในการควบคุมความสูงของอาคารบริเวณโดยรอบรัฐสภาแห่งใหม่เป็นการเร่งด่วน รวมทั้งให้ สผ. ประสานกรุงเทพมหานครและกรมโยธาธิการและผังเมืองดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นและมติของคณะกรรมการฯ ๕. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ .. (พ.ศ. ๒๕๕๓) เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ สผ. จัดทำร่างประกาศฯ เสนอประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป ๖. เห็นชอบต่อมาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียง ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการแก้ไขปัญหามลพิษในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนเรื่องน้ำมัน Euro 4 ให้กระทรวงพลังงานพิจารณาส่งเสริมให้มีการนำมาใช้ในพื้นที่มาบตาพุดก่อนกำหนดที่บังคับใช้ตามกฎหมาย (วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕) และให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมธุรกิจพลังงานและพลังงานจังหวัดระยอง และกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดำเนินการตามมาตรการเพิ่มเติมฯ โดยให้กรมควบคุมมลพิษประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการฯ ทราบทุก ๖ เดือน รวมทั้งให้ สผ. แจ้งกระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ สผ. เพื่อเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง และรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการฯ ทราบต่อไป ๗. เห็นชอบรายงานการศึกษาทบทวนรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยรี จังหวัดอุตรดิตถ์ และให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการศึกษาทบทวนรายงานการวิเคราะห์ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ กรมชลประทานรับผิดชอบในการขอจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ๘. เห็นชอบกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๔ สายตรัง - พัทลุง ตอน บ้านนาโยงเหนือ - เขาพับผ้า (บ้านนาวง) ของกรมทางหลวง ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคม ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน โดยให้กรมทางหลวงถือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้กรมทางหลวงปฏิบัติตามมาตรการฯ เพิ่มเติมใน ๓ มาตรการ ได้แก่ การตัดต้นไม้ในเขตทางให้ดำเนินการเฉพาะเท่าที่จำเป็น โดยไม่ให้ตัดต้นไม้นอกเขตพื้นผิวจราจรที่จะก่อสร้าง กำกับดูแลในระหว่างจัดเตรียมพื้นที่และการก่อสร้างมิให้ขุดตักดินในเขตทางและบริเวณใกล้เคียงมาใช้ในการก่อสร้างและให้คงสภาพตามลักษณะภูมิประเทศเดิม และกำกับผู้รับจ้างออกแบบก่อสร้าง และ/หรือผู้ดำเนินการก่อสร้างให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด และให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลโครงการด้วย ๙. เห็นชอบรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สผ. แจ้งจังหวัดกระบี่และจังหวัดพังงาเพื่อพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมต่อไป ๑๐. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ หินอุตสาหกรรม ชนิดหินปูนเพื่อทำปูนขาว และหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ของบริษัท สหศิลาเพิ่มพูน จำกัด คำขอประทานบัตรที่ ๑๕/๒๕๕๑ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๙ ตำบลเขาวง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมถลุงหรือแต่งแร่ ทั้งนี้ ให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ และให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการสั่งอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ของบริษัทฯ โดยให้ถือว่าเป็นเงื่อนไขที่กำหนดตามกฎหมายว่าด้วยแร่ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
33734 | การเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Climate Change Talks, Bangkok) | นร | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอว่า เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๔ กระทรวงการต่างประเทศได้รับหนังสือสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) นำส่ง Host Country Agreement สำหรับการจัดการประชุม United Nations Climate Change Talks ที่กรุงเทพฯ โดยสำนักเลขาธิการ UNFCCC ได้เพิ่มการประชุมคณะกรรมการบริหารกลไกการพัฒนาที่สะอาด (CDM EB Meeting) ครั้งที่ ๖๐ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๙ - ๑๕ เมษายน ๒๕๕๔ ณ โรงแรมรอยัล ออร์คิด เชอราตัน และขอให้เอกสิทธิและความคุ้มกันแก่คณะกรรมการบริหารของ CDM (CDM Executive Board Members) และบรรดาผู้เข้าร่วมการประชุม (Altemate Members) ใน CDM EB Meeting รวมทั้งระบุให้โรงแรมรอยัล ออร์คิด เชอราตัน เป็นสถานที่ของสหประชาชาติซึ่งจะถูกละเมิดมิได้ตลอดระยะเวลาการประชุม ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสามารถลงนามใน Host Country Agreement สำหรับการจัดการประชุมดังกล่าวต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
33735 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันอังคารที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๓ ปีที่ ๔ ครั้งที่ ๑๗ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพุธที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ และครั้งที่ ๑๘ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33736 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 2/2554 | นร | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยได้พิจารณาเรื่อง ความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และความคืบหน้าในการเบิกจ่ายเงินโครงการลงทุนในสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยคณะกรรมการฯ มีประเด็นความเห็น ดังนี้ ๑.๑ พิจารณาความจำเป็นในการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ยังไม่มีการเบิกจ่าย และยังไม่มีการดำเนินโครงการที่ชัดเจน โดยหากหน่วยงานเจ้าของโครงการเห็นว่ายังมีความจำเป็นในการดำเนินการ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอโครงการต่อคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กศส.) เพื่อพิจารณาแหล่งเงินลงทุนจากงบประมาณปกติต่อไป ๑.๒ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการประเมินผลโครงการในสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้เน้นประโยขน์และผลลัพธ์ของโครงการเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นโครงการต้นแบบแก่หน่วยงานในการจัดทำโครงการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อไปในอนาคต รวมทั้งให้ความสำคัญในการสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้สามารถใช้ประโยชน์จากการพัฒนาโครงการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ๒. สำหรับประเด็นความเห็นของคณะกรรมการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ จากการตรวจสอบพบว่า มีโครงการที่ยังไม่มีการเบิกจ่าย จำนวน ๓ โครงการ ของกรมส่งเสริมการส่งออก กรมทรัพย์สินทางปัญญา และกระทรวงการต่างประเทศ แต่ได้มีการดำเนินการโครงการที่ชัดเจนแล้วทั้ง ๓ โครงการ ดังนั้น ตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการฯ เสนอมานี้ จึงไม่มีโครงการที่เข้าข่ายในลักษณะดังกล่าว ๒.๒ การให้หน่วยงานเจ้าของโครงการประเมินผลโดยเน้นประโยชน์และผลลัพธ์ของโครงการ นั้น อาจไม่ได้ผลการประเมินที่ชัดเจน ซึ่งตามหลักการ การประเมินในระดับผลลัพธ์นั้นควรให้หน่วยงานภายนอกหรือหน่วยงานอิสระเป็นผู้ประเมินผล ประกอบกับขณะนี้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างดำเนินการจ้างที่ปรึกษา ๔ ภาค เพื่อดำเนินการติดตามผลลัพธ์เพื่อให้ทราบถึงปัจจัยที่ทำให้โครงการประสบความสำเร็จ ผลประโยชน์ ความคุ้มค่าและประเมินผลโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยจะทำการประเมินผลในระดับผลกระทบของโครงการ ดังนั้น จึงจะมีการประเมินผลในระดับผลลัพธ์ของโครงการในสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์อยู่แล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
33737 | ขออนุมัติดำเนินโครงการ "จัดหาอาคารที่พักอาศัยสำเร็จรูปพร้อมที่ดินโครงการสินทวีพุทธสาคร" เป็นอาคารที่พักอาศัยให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรตามโครงการพระราชดำริและสถานีตำรวจ | ตช | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินโครงการจัดหาอาคารที่พักอาศัยสำเร็จรูปพร้อมที่ดิน เป็นอาคารที่พักอาศัยให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรตามโครงการพระราชดำริและสถานีตำรวจ โดยไม่ระบุสถานที่และพื้นที่ดำเนินการ รวมทั้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาเกี่ยวกับความเหมาะสมของต้นทุนต่อหน่วย (Unit-cost) ของอาคารที่พักอาศัยของโครงการดังกล่าว และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ส่วนงบประมาณในการดำเนินโครงการ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้จ่ายจากเงินกันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาดำเนินการก่อน ส่วนที่ยังขาดอยู่ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการ ๒. กรณีการจัดหาที่พักอาศัยให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยังขาดแคลนอยู่ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดทำแผนในภาพรวม โดยระบุกรอบ สถานภาพ และความขาดแคลนที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งจัดลำดับความจำเป็นเร่งด่วน แล้วเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
33738 | สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 16 (COP16) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 6 (CMP6) ณ เมืองแคนคูน สหรัฐเม็กซิโก | ทส | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๑๖ (The 16th United Nations Climate Change Conference : COP16) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๖ (The 6th Session of the Conference of the Parties serving as the meeting of the Parties to the Kyoto Protocol : CMP6) ณ เมืองแคนคูน สหรัฐเม็กซิโก ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน - ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ โดยสาระสำคัญของการประชุม COP16 ที่ประชุมเห็นชอบกับข้อตกลงที่เรียกว่า “ข้อตกลงแคนคูน” (Cancun Agreement) ซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือระยะยาวภายใต้อนุสัญญาฯ (Long Term Cooperative Action under the Convention : LCA) โดยมีการเจรจาในประเด็นการดำเนินการในอนาคตร่วมกันของประเทศสมาชิก ส่วนการเจรจาในภาพรวมภายใต้แผนปฏิบัติการบาหลี (Bali action Plan) ได้กำหนดเป้าหมายในการจำกัดการเพิ่มของอุณหภูมิของโลกไม่เกิน ๒ องศาเซลเซียส โดยให้มีการจัดตั้งกองทุน “Green Clemate Fune” เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวเพื่อรับมือจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และให้สนับสนุนการดำเนินงานด้านป่าไม้แก่ประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะการสนับสนุน REDD+ ไปพัฒนาโครงการในลักษณะสมัครใจ โดยไม่มีการผูกมัดใด ๆ จากประเทศพัฒนา นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับการจัดตั้งกระบวนการ International Consultation and Analysis (ICA) และให้มีการดำเนินการตามมาตราการ Measurement, Reporting and Verification : MRV สำหรับการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนระหว่างประเทศและภายในประเทศ ส่วนผลการประชุม CMP6 ที่ประชุมมีความเห็นพ้องให้มีข้อตกลงตามพันธกรณีรอบที่สอง โดยประเทศกำลังพัฒนายืนยันให้มีการต่ออายุพิธีสารเกียวโตหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๒ และให้มีการลดก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ ๒๕ - ๔๐ ภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ สำหรับปีฐานการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงใช้ปี ค.ศ. ๑๙๙๐ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับเอกสารผลการประชุม COP 16 ได้ละเว้นการกล่าวอ้างถึงหลักการสำคัญ ๆ ของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะเรื่อง historical responsibility ซึ่งเป็นผลประโยชน์สำคัญของประเทศกำลังพัฒนา จึงเห็นควรติดตามประเด็นเหล่านี้อย่างใกล้ชิด และควรเร่งรัดการจัดตั้งสำนักงานประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้นอย่างเป็นทางการ และส่งเสริมการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในประเด็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และพันธกรณีที่ไทยมีกับประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อสามารถร่วมกันกำหนดท่าทีของไทยในเชิงรุกทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคีให้มากขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของประเทศไทยเพื่อให้เกิดการปรับตัวและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๓.๑ เตรียมความพร้อมในการรับมือหากประเทศไทยต้องมีการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากพันธกรณีดังกล่าว เช่น ภาคการพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร โดยให้มีการจัดทำกรอบทิศทางและแนวทางการวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศอย่างเป็นระบบ ๓.๒ ให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility study) และศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคต่าง ๆ (Nationalily Approplate Mitigation Actions : NAMAs) เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการวางแผนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๓.๓ ให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility study) ของการดำเนินโครงการ REDD+ ในประเทศไทย ๓.๔ ให้มีการใช้ประโยชน์จากกลไก The ASEAN Working Group on Climate Change : AWGCC ในการผลักดันการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับภูมิภาคให้เป็นรูปธรรม โดยให้มีการจัดประชุมคณะทำงานดังกล่าวเพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับภูมิภาค ๓.๕ เร่งรัดการจัดตั้งสำนักงานประสานการจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้นอย่างเป็นทางการภายใต้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้เป็นรูปธรรมโดยเร่งด่วน ๔. เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งสำนักงานประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้นอย่างเป็นทางการภายใต้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้เป็นรูปธรรมโดยเร่งด่วน โดยให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
33739 | ร่างกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระยะ พ.ศ. 2554 - 2563 ของประเทศไทย (ICT 2020) | ทก | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระยะ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ ของประเทศไทย (ICT 2020) ที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้จัดทำขึ้น โดยกำหนดทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศในระยะ ๑๐ ปี เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของโลก และเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นำกรอบนโยบายฯ ไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีเป้าหมายหลักคือ โครงสร้างพื้นฐาน ICT ความเร็วสูง (Broadband) ที่กระจายอย่างทั่วถึง ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน เสมือนการเข้าถึงบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานทั่วไป เพิ่มบทบาทและความสำคัญของอุตสาหกรรม ICT (โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์) ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และยกระดับความพร้อมด้าน ICT โดยรวมของประเทศไทย ในการประเมินวัดระดับระหว่างประเทศ ๑.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานหลักทำหน้าที่ในการกำกับดูแลบริหารจัดการตามกรอบนโยบาย ICT ให้เป็นวาระแห่งชาติด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศ ๑.๓ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับผิดชอบการจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารฯ จำนวน ๒ ฉบับ แต่ละฉบับครอบคลุมระยะเวลา ๕ ปี ในช่วงระยะเวลาของกรอบนโยบาย ICT 2020 พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ และประเมินผลเพื่อติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานเมื่อครบกำหนดครึ่งระยะเวลาของกรอบนโยบายฯ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๘) ๑.๔ ให้กระทรวง ทบวง กรม และรัฐวิสาหกิจทุกหน่วยงานดำเนินการตามบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบของหน่วยงานตามที่ระบุไว้ในกรอบนโยบาย ICT 2020 เพื่อให้การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ๑.๕ ให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดสรรทรัพยากร ได้แก่ สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ. นำกรอบนโยบาย ICT 2020 มาใช้เป็นแนวทางในการจัดสรรทรัพยากรทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศ ตลอดช่วงระยะเวลาของกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระยะ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ ของประเทศไทย (ICT 2020) ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงนโยบาย ICT 2020 กับข้อตกลงการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระดับภูมิภาค รวมทั้งประเด็นด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) ความมั่นคงและปลอดภัยของระบบเครือข่ายสื่อสาร (Security) และการป้องกันและละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลและความถูกต้องของข้อมูล (Privacy & Accuracy) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
33740 | การบูรณาการป้องกันทุจริตของโครงการภาครัฐ | ยธ | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบให้ดำเนินการตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบและพิจารณาแนวทางการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการบูรณาการป้องทุจริตของโครงการภาครัฐ (เบื้องต้น) ไว้ชั้นหนึ่งก่อน ๑.๒ ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) เร่งรัดดำเนินการในขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ๑.๒.๑ จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบูรณาการประเมินจริยธรรมคุณธรรมภาครัฐ ภายใต้คำสั่งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงกลไกการขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ ๑.๒.๒ ให้คณะอนุกรรมการบูรณาการประเมินจริยธรรมฯ ที่ได้รับการแต่งตั้งนำร่างแผนปฏิบัติการ (เบื้องต้น) อันเกิดจากการประชุมหาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับมาตรการและแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติการบูรณาการประเมินจริยธรรมคุณธรรมภาครัฐ เป็นข้อมูลประกอบในการจัดทำมาตรการ แนวทาง วิธีการดำเนินงานเพื่อป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐภายใต้รูปแบบกลไกการติดตามประเมินผล ๑.๒.๓ การนำเสนอกรอบมาตรการ แนวทาง วิธีการดำเนินงานฯ รวมทั้งงบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินงานขับเคลื่อนกลไกการบูรณาการป้องกันทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามและประเมินผล) ของคณะอนุกรรมการบูรณาการประเมินจริยธรรมฯ ต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๒.๔ หากมีความจำเป็นจะต้องว่าจ้างหน่วยงานภายนอกเพื่อดำเนินการ ให้คณะอนุกรรมการบูรณาการประเมินจริยธรรมฯ ทำการพิจารณาข้อกำหนดคุณลักษณะการดำเนินงานตามแผนงาน โครงการ กิจกรรมที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ๑.๒.๕ เมื่อปรากฏมาตรการ แนวทาง วิธีการดำเนินงานสำหรับป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ ภายใต้รูปแบบกลไกการติดตามประเมินผลแล้ว ให้คณะอนุกรรมการบูรณาการประเมินจริยธรรมฯ นำเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ให้ความเห็นชอบ และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและสั่งการให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรผลักดันนำองค์ความรู้ในการกำหนดตัวชี้วัดการป้องกันทุจริตที่เหมาะสมในการประเมินผลหน่วยงานเจ้าของโครงการผ่านหน่วยตรวจสอบ และหน่วยประเมินผล ที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ได้พัฒนาระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ซึ่งเป็นศูนย์รวมข้อมูลการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ และสามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตรวจสอบโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐตามแนวทางที่กำหนดการประเมินผลไว้ ส่วนอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการบูรณาการประเมินจริยธรรมฯ จะต้องเป็นการบูรณาการอย่างจริงจังระหว่างงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบและประเมินผลการบริหารหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงกลไกและเครื่องมือในการติดตามประเมินผลที่เกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตในภาครัฐของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เพื่อลดภาระของผู้ถูกตรวจสอบและจูงใจให้เห็นถึงความสำคัญและจำเป็นของการยกระดับความมีคุณธรรมจริยธรรมในภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ส่วนเรื่องงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเร่งรัดดำเนินการในขั้นตอนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว หากดำเนินการได้แล้วเสร็จและมีค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่วางไว้ ให้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป |