ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1688 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 33741 - 33760 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
33741 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศ เพื่อเป็นแหล่งเงินลงทุนสำหรับแผนงานระยะยาว ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินในประเทศไทยภายในกรอบวงเงินรวม ๑,๗๗๖.๑๒๘ ล้านบาท เพื่อการลงทุนในแผนระยะยาวที่กำหนดจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๓ แผน คือ แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าระบบปรับอากาศ วงเงิน ๑๑๑.๓๒๔ ล้านบาท แผนงานบำรุงรักษาอุปกรณ์ในระบบไฟฟ้า จำนวน ๓๑๕.๖๘๕ ล้านบาท และแผนงานจัดหามิเตอร์สับเปลี่ยนตามวาระ จำนวน ๑,๓๔๙.๑๑๙ ล้านบาท โดยทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นรายปี จนกว่าจะแล้วเสร็จ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน
|
||||||||||||||||||||||||
33742 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิรูประบบคุรุศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... | ศธ | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิรูประบบคุรุศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีคณะกรรมการคุรุศึกษาแห่งชาติ (ก.ค.ช.) โดยมีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี หรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน ก.ค.ช. ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน ทำหน้าที่สนับสนุนการปฏิรูประบบคุรุศึกษาของประเทศโดยส่งเสริมการพัฒนาระบบ กระบวนการผลิต การพัฒนาและการใช้ครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาที่มีคุณภาพ มาตรฐานเหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง รวมทั้งการสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งให้แก่สถาบันผลิตครู ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรปรับองค์ประกอบ ก.ค.ช. โดยเพิ่มผู้แทนจากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาด้วย ส่วนการกำหนดค่าตอบแทนสำหรับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ที่ไปช่วยปฏิบัติงานของสำนักงานและกรรมการที่ทำงานเต็มเวลา ควรกำหนดให้สอดคล้องกับระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยอาจให้กระทรวงการคลังพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการกำหนดบทบาทภารกิจ อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ ตลอดจนงบประมาณของส่วนราชการต่าง ๆ ที่ดำเนินการเกี่ยวกับกระบวนการผลิต การพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาให้มีความชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
33743 | ขอความเห็นชอบแนวทางในการรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมของประเทศไทย | ทก | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางในการรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียม ๒ ตำแหน่ง ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ตำแหน่งวงโคจรดาวเทียม ๑๒๐ องศาตะวันออก เนื่องจากมีพื้นที่ครอบคลุมประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชีย ทวีปออสเตรเลีย มหาสมุทรอินเดีย และบางส่วนของมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญ รวมทั้งสามารถใช้ประโยชน์จากย่านความถี่เพื่อความมั่นคงของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเร่งรัดการดำเนินงานเพื่อให้มีการจัดหาดาวเทียมสื่อสารที่มีย่านความถี่ต่าง ๆ เช่น KU-Band C-Band X-Band หรืออื่น ๆ ที่เหมาะสม โดยให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน การจัดทำคำของบประมาณเพื่อการลงทุน โดยให้ดำเนินการจัดหาตามระเบียบการจัดซื้อของหน่วยงาน ๑.๒ ตำแหน่งวงโคจรดาวเทียม ๕๐.๕ องศาตะวันออก ให้ดำเนินการจัดหาดาวเทียมด้วยการให้สัมปทานภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อใช้ประโยชน์ตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมตำแหน่งนี้โดยเร่งด่วนต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเร่งรัดการดำเนินงานโดยทันที และรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบความก้าวหน้าภายใน ๔๕ วัน ๒. ให้กระทวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางในการจัดหาดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรทั้ง ๒ ตำแหน่ง เห็นควรศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) โดยละเอียดและชัดเจนครอบคลุมทั้งในด้านความต้องการของตลาด ความเหมาะสมด้านเทคนิค ความคุ้มค่าในการลงทุน รูปแบบและทางเลือกในการลงทุน ความพร้อมของบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ และการวิเคราะห์ความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่ไม่สามารถส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรได้ในระยะเวลาที่กำหนด และดำเนินการให้สอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ส่วนการจัดหาดาวเทียมโดยหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัด หรือการให้สัมปทานภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ จะต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาในแต่ละรูปแบบของหน่วยงานนั้น ๆ โดยหากเป็นการจัดหาดาวเทียมโดยการร่วมลงทุนกับเอกชนไม่ว่าโดยวิธีใดหรือมอบให้เอกชนลงทุนฝ่ายเดียวโดยวิธีการอนุญาต หรือสัมปทาน หรือให้สิทธิไม่ว่าลักษณะใด และการลงทุนนั้นมีวงเงินหรือทรัพย์สินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไปแล้วย่อมเข้าลักษณะเป็นการร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐภายใต้พระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมที่ ๑๒๖ องศาตะวันออก และ ๑๔๒ องศาตะวันออก ที่ได้จองตำแหน่งวงโคจรไว้แต่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเร่งศึกษาความจำเป็นเหมาะสมของการใช้ประโยชน์และรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
33744 | รายงานความก้าวหน้าโครงการจัดการน้ำชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ในพื้นที่นอกเขตชลประทานโดยชุมชนอย่างยั่งยืน 84 แห่ง | วท | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) รายงานความก้าวหน้าโครงการจัดการน้ำชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ในพื้นที่นอกเขตชลประทานโดยชุมชนอย่างยั่งยืน ๘๔ แห่ง สรุปผลการดำเนินงานได้ ดังนี้
๑. โครงสร้างของการบริหารจัดการน้ำชุมชน บริหารจัดการน้ำโดยชุมชนเป็นเจ้าของในการพัฒนาโครงสร้างน้ำ รวมทั้งวางแผนบนพื้นฐานของการพึ่งตนเองและประสานการทำงานร่วมกับ สสนก. และเครือข่ายความร่วมมือและวิชาการ ๒. โครงสร้างและหน้าที่ แบ่งการรับผิดชอบเป็น ๓ องค์ประกอบ ได้แก่ ๒.๑ สสนก. ทำหน้าที่บริหารโครงการและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการจัดการน้ำ ๒.๒ เครือข่ายความร่วมมือและเครือข่ายความรู้และวิชาการ ทำหน้าที่ประสานงานและปฏิบัติงานร่วมกับชุมชน ๒.๓ ชุมชน ประกอบด้วย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และคณะกรรมการน้ำชุมชน/หมู่บ้าน ทำหน้าที่ดำเนินงานโครงการ ๓. การดำเนินงานมี ๔ ระยะ ได้แก่ ๓.๑ ระยะที่ ๑ รวบรวมข้อเท็จจริงและสรุปสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไข ๓.๒ ระยะที่ ๒ เขียนแผนงานและจัดทำโครงการ ๓.๓ ระยะที่ ๓ ติดตาม ประเมิน ทบทวน ขยายผล ๔. ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ ๘๔ แห่ง ประกอบด้วย ภาคเหนือ ๓๗ แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๒๕ แห่ง ภาคกลาง ๑๑ แห่ง และภาคใต้ ๑๑ แห่ง
|
||||||||||||||||||||||||
33745 | ความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การพัฒนาระบบการเงินการคลังสุขภาพแห่งชาติ | สช | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การพัฒนาระบบการเงินการคลังสุขภาพแห่งชาติ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ๒. คณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขได้มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งสำนักงานพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๓ และได้ออกระเบียบสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขว่าด้วยการบริหารงานของสำนักงานพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ นอกจากนั้นได้แต่งตั้งให้นายเทียม อังสาชน เป็นผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการสำนักงานพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ๓. คณะกรรมการอำนวยการฯ ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาเสนอรายชื่อคณะกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ พร้อมทั้งได้ประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหากรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ ๔. นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๔ ๕. สำนักงานพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติอยู่ระหว่างเตรียมการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติเพื่อเสนอแผนการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
33746 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลห้วยบง และตำบลหินดาด อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลห้วยบง และตำบลหินดาด อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลห้วยบง และตำบลหินดาด อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากรณีร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีแนวเขตปฏิรูปที่ดินบางส่วนอยู่ในพื้นที่ควรสงวนไว้ไม่นำไปปฏิรูปที่ดิน สมควรที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมต้องประสานกับกรมป่าไม้เมื่อจะเข้าดำเนินการปฏิรูปที่ดินในพื้นที่ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
33747 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การดำเนินการของรัฐต่อการคิดค่าความเสียหายจากประชาชนในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน | ทส | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) รับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การดำเนินการของรัฐต่อการคิดค่าความเสียหายจากประชาชนในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ไปพิจารณาในรายละเอียดรวมกับเรื่องข้อเสนอเพื่อการปฏิรูป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ (เรื่อง ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูป) แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
33748 | ยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา | ศธ | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการ/แนวคิด ยุทธศาสตร์และกลไกการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษาในระดับขั้นพื้นฐานและการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ตามกรอบแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๖๑) ที่ให้นำเครื่องมือทางการเงินมาเป็นกลไกในการปรับประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรทางการศึกษา และให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ตามกรอบหลักการแนวคิดยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา รวมทั้งให้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา เพื่อดำเนินงานตามกรอบหลักการ/แนวคิด และยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการ คปร. เกี่ยวกับการสนับสนุนงบประมาณให้กับกองทุนเงินให้เปล่าสำหรับผู้เรียนด้อยโอกาส/ยากจน และค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาอื่น ๆ ตามยุทธศาสตร์การเงินการคลังเพื่อการศึกษาขั้นพื้นฐานและเพื่อการอุดมศึกษา อาจส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณ กระทรวงศึกษาธิการควรประเมินผลกระทบจากการปฏิรูปการจัดการศึกษาต่องบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษา และดำเนินการปฏิรูปโดยใช้ทรัพยากรในการจัดการศึกษาที่มีอยู่เดิมก่อน ส่วนการถ่ายโอนกิจการด้านการจัดการศึกษาควรพิจารณาถึงความพร้อมในการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่อคุณภาพการให้บริการซึ่งมีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว นอกจากนี้ การปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ และกำหนดแนวทางดำเนินงานอย่างเป็นขั้นตอนและสอดคล้องกับทุกฝ่าย เนื่องจากผู้เรียนยังไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเลือกสถานศึกษาได้ด้วยตนเอง รวมทั้งควรดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรด้านการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล โดยมีการระดมทรัพยากรและทุน มีการจัดสรร การติดตาม ประเมินผลและการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะกลไกเชิงระบบการติดตามและประเมินประสิทธิภาพประสิทธิผลและความคุ้มค่าในด้านการดำเนินงาน (Performance Audit) ด้านการบริหารจัดการ (Management Audit) และด้านการเงิน (Financial Audit) เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรทางการศึกษาของสถานศึกษาส่งผลถึงผู้เรียนให้ได้รับบริการการศึกษาที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่ายุทธศาสตร์แต่ละด้านที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ เป็นเพียงกรอบในการดำเนินการ ซึ่งยังไม่มีรายละเอียด ดังนั้น ในขั้นการแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำรายละเอียด แนวทางการดำเนินการที่ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งก่อนดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
33749 | สรุปรายงานภาวะสังคมไตรมาสสี่ และภาพรวมปี 2553 | นร | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอสรุปรายงานภาวะสังคมไตรมาสสี่ และภาพรวมปี พ.ศ. ๒๕๕๓ สาระสำคัญประกอบด้วย ความเคลื่อนไหวและสถานการณ์ทางสังคมในด้านต่าง ๆ รวมถึงเรื่องเด่นประจำฉบับ สรุปไ ด้ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทย การจ้างงาน และรายได้แรงงาน ในไตรมาส ๔/๒๕๕๓ การจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๗ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ ๐.๙ เป็นผู้ว่างงาน ๓๓๗.๔ พันคน ผู้ประกันตนที่ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานลดลงอย่างต่อเนื่องเป็น ๑๐๙,๙๙๑ คน ตลอดปี พ.ศ. ๒๕๕๓ มีการจ้างงานเฉลี่ย ๓๘.๐๒ ล้านคน มีการว่างงานเฉลี่ยเพียงร้อยละ ๑.๑ สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตแรงงาน ได้แก่ ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงสุด จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตอาจทำให้ผู้ประกอบการชะลอการจ้างงาน และการปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานและการขาดแคลนแรงงานระดับล่าง โดยเฉพาะแรงงานพื้นฐานทั้งในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การค้าส่งค้าปลีก และการก่อสร้าง ทำให้ผู้ประกอบการหันไปใช้แรงงานต่างด้าวมากขึ้น ๒. ในด้านสังคมยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างและภาวะสังคมหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหายาเสพติด ความขัดแย้งในสังคม และปัญหาเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ปัญหาและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์การศึกษายังต่ำในทุกระดับโดยเฉพาะในวิชาชีพพื้นฐานหลัก พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม อาทิ ปัญหาการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงและเยาวชนอายุ ๑๕ - ๒๔ ปี ปัญหาการใช้ชีวิตของเด็กวัยรุ่นและเยาวชนไทยทั้งในเรื่องการใช้ความรุนแรง และปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร รวมทั้งคดีอาชญากรรมโดยรวมยังพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะคดียาเสพติด ซึ่งในไตรมาสที่สี่มีการจับกุมคดียาเสพติดมากที่สุดจำนวน ๗๗,๘๓๙ คดี และรวมทั้งปีมีการจับกุมสูงถึง ๒๖๖,๐๑๐ คดี โดยเยาวชนวัย ๒๐ - ๒๔ ปี ถูกจับกุมมากที่สุด ๓. เรื่องเด่นประจำฉบับ “เด็กปฐมวัย : ต้นทุนของการพัฒนา” รัฐบาลได้กำหนด “แผนการพัฒนาเด็กและเยาวชนเพื่อสร้างอนาคตของชาติ รวมทั้งมีแผนในการยกระดับสวัสดิการสังคมสำหรับเด็กปฐมวัย/แม่และเด็ก ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาในทุกช่วงวัยโดยเฉพาะช่วงปฐมวัย ซึ่งเป็นช่วงวัยที่สำคัญและจำเป็นที่สุดของการวางรากฐานการพัฒนาความเจริญเติบโตในทุกด้านของมนุษย์ และได้กำหนดยุทธศาสตร์การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและขยายสวัสดิการสังคมในกลุ่มเด็ก ๐ - ๒ ปี และหญิงมีครรภ์ โดยจัดให้หญิงตั้งครรภ์ทั่วไปได้รับแร่ธาตุและสารอาหารที่จำเป็นกับหญิงตั้งครรภ์กลุ่มเสี่ยง ตรวจสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์ การอบรม อสม. เยี่ยมบ้านพ่อแม่มือใหม่ และบริการให้คำปรึกษาแนะนำในการเลี้ยงลูก เป็นต้น นอกจากนี้ ได้จัดสวัสดิการด้านการศึกษา โดยจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและพัฒนาให้มีคุณภาพทั่วประเทศ และส่งเสริมภาคเอกชนดำเนินกิจกรรมเพื่อรับผิดชอบต่อสังคมในการจัดสวัสดิการสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนและการดูแลเด็กเล็กในเขตพื้นที่ก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่
|
||||||||||||||||||||||||
33750 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... | คค | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ (ทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๖ สายกรุงเทพมหานคร - ระยอง ตอนกรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงหมายเลข ๓๔ (บางวัว) และทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง) และบนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ (ทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๗ สายถนนวงแหวนรอบนอก กรุงเทพมหานคร ตอนบางปะอิน - บางพลี) ตั้งแต่เวลา ๑๖.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๔ ถึงเวลา ๑๒.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
33751 | มาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจพาณิชยนาวี | กค | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบมาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจพาณิชยนาวีที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวีแล้ว ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ เพื่อส่งเสริมการพัฒนากองเรือไทยให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยช่วยเหลือผู้ประกอบการพาณิชยนาวีไทยให้มีแหล่งเงินทุนในการจัดหาเรือที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำและระยะเวลาชำระคืนที่ผ่อนปรน และอนุมัติวงเงินงบประมาณสนับสนุนเป็นจำนวนไม่เกิน ๑,๐๕๐ ล้านบาท เป็นระยะเวลา ๗ ปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินมาตรการอย่างใกล้ชิดเพื่อความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณและผลประโยชน์ตอบแทนต่อการพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย รวมถึงกิจการพาณิชยนาวีของประเทศโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจพาณิชยนาวีตามที่กระทรวงการคลังเสนอในครั้งนี้แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งกองทุนพาณิชยนาวีขึ้นมาอีก |
||||||||||||||||||||||||
33752 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลกรณีพิเศษในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ครั้งที่ 1ที่ครบกำหนดไถ่ถอนเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2554 | กค | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลกรณีพิเศษในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๗ ครั้งที่ ๑ ที่ครบกำหนดไถ่ถอนเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๔ จำนวน ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้จำนวนดังกล่าวทั้งจำนวนโดยการชำระคืนต้นเงินพันธบัตรรัฐบาลฯ ในส่วนของกู้เงินระยะสั้น อายุไม่เกิน ๔ เดือน จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท จากสถาบันการเงิน ๓ แห่ง ได้แก่ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ จำกัด สาขากรุงเทพฯ อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่างร้อยละ ๒.๑๕ - ๒.๓๑ ต่อปี และทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังที่เปิดไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น และเงินทดรองจ่ายฯ ดังกล่าว ได้ดำเนินการโดยการประมูลพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและการจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๑ (LB17OA) อายุคงเหลือ ๖.๗๒ ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๒.๘๐ ต่อปี โดยมีการประมูลในวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๔ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๔ และ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๔ ครั้งละ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมจำนวน ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
33753 | รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย | พณ | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย ดังนี้
๑. โครงการสร้างเว็บไซต์ “ผู้ผลิตผู้บริโภคตื่นตัว (Produce & Consumer Alert) ได้รวบรวมข้อมูลด้านราคา ด้านปริมาณการผลิต ด้านปริมาณพ่อพันธุ์/แม่พันธุ์ และด้านการเคลื่อนย้ายของสินค้าหมู ไก่ ไข่ และกำหนดรูปแบบเว็บไซต์ซึ่งอยู่ระหว่างการร่างขอบเขตงาน (TOR) ๒. โครงการจัดจำหน่ายไข่ไก่เป็นกิโลกรัม เริ่มดำเนินการวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ในกรุงเทพมหานคร จุดจำหน่ายตลาดสด ๕ แห่ง ห้าง Modern Trade ๒ แห่ง ในภูมิภาค ๔ แห่ง ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี อ่างทอง เชียงใหม่ โดยสหกรณ์ไก่ไข่ขายตรงผู้บริโภค ๓. การทบทวนเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาดภายใต้พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า ได้ออกประกาศแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องการกำหนดเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาด เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เพื่อทำหน้าที่ทบทวนเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาดต่อไป ๔. การปรับปรุงกฎหมายการแข่งขันทางการค้า ได้มีการนำเสนอเรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายการแข่งขันทางการค้า อยู่ระหว่างรอเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๕. ศึกษารูปแบบองค์กรการกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าเป็นองค์กรอิสระ ได้จัดทำ TOR เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างรอการจัดสรรงบประมาณ ๖. จัดตั้งคณะทำงานติดตามข้อมูล - พฤติกรรม โดยออกคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงและพฤติกรรมทางการค้าของผู้ประกอบการสินค้าไข่ไก่ ไก่เนื้อ และสุกร เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๔ ๗. มาตรการแจ้งปริมาณ/สถานที่เก็บข้าวโพด คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ให้ออกประกาศกำหนดให้แจ้งปริมาณสถานที่เก็บและจัดทำบัญชีคุมสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๔ ประกาศเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ -๕๕๔ ๘. ประกาศไข่ไก่เป็นสินค้าควบคุม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ที่เห็นชอบให้ออกประกาศกำหนดไข่ไก่เป็นสินค้าควบคุม มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||
33754 | รัฐบาลสาธารณรัฐบอตสวานาเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายพูลาเอนต์เล ทูเมดีโซ เคโนซี (Mr. PulaentleTumediso Kenosi)] | กต | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายพูลาเอนต์เล ทูเมดีโซ เคโนซี (Mr. Pulaentle Tumediso Kenosi) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐบอตสวานาประจำประเทศไทยคนใหม่ สืบแทน นายออสการ์ มอสวาคาเอ (Mr. Oscar Motswagae) โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงโตเกียว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
33755 | สถานการณ์อาชญากรรมประจำเดือนมกราคม 2554 (รายงานข้อมูลปัญหาอาชญากรรม) | นร | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอรายงานสถานการณ์อาชญากรรมในรอบเดือนมกราคม ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์อาชญากรรมในเดือนมกราคม ๒๕๕๔ มีการรับแจ้งความรวมทั้งสิ้น ๘,๖๕๑ คดี แบ่งเป็นคดีชีวิต ร่างกาย และเพศ ๒,๒๐๔ คดี และคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์มีการแจ้งความรวม ๔,๐๓๖ คดี ส่วนคดีที่มีการรับแจ้งความสูงสุด ได้แก่ คดีลักทรัพย์ ๔,๐๓๖ คดี คดีทำร้ายร่างกาย ๑,๑๗๕ คดี คดีโจรกรรมรถจักรยานยนต์ ๑,๐๖๑ คดี คดียักยอก ๖๙๗ คดี และคดีฉ้อโกง ๕๐๘ คดี สำหรับคดียาเสพติดมีการจับกุมผู้กระทำผิดจำนวน ๒๕,๒๖๐ ราย ๒. ประเด็นเฝ้าระวังด้านอาชญากรรม มีดังนี้ ๒.๑ จากรายงานของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔) พบเด็กที่มีอายุน้อยกว่า ๑๐ ขวบเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด เป็นการครอบครอง การเสพ การครอบครองเพื่อจำหน่าย การจำหน่าย และการผลิต ในขณะที่กลุ่มช่วงอายุ ๑๕ ปีขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งอายุ ๒๐ - ๒๔ ปี จะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเป็นจำนวนสูงที่สุด รัฐบาลควรเร่งรัดการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดโดยเฉพาะผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่พร้อมกับดำเนินมาตรการป้องกันโดยการสร้างครอบครัวให้อบอุ่น เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังไม่ให้เด็กและเยาวชนต้องมาเกี่ยวข้องกับยาเสพติด พร้อมทั้งเสริมสร้างชุมชนให้มีความเข้มแข็งควบคู่กันไป ๒.๒ จากรายงานการค้ามนุษย์ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องจับตามองโดยถูกจัดให้เป็นประเทศต้นทาง ปลายทาง และทางผ่าน สำหรับการค้าผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กเพื่อการบังคับใช้แรงงานและการบังคับค้าประเวณี จึงเป็นปัญหาสังคมที่ต้องมีการป้องกันและปราบปรามอย่างจริงจังและเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ๒.๓ แผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทยได้สนับสนุนให้มีการขยาย “เครือข่ายยุติธรรมชุมชน” ในลักษณะศูนย์บริการครบวงจรที่เน้นการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการยุติธรรม การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่าง ๆ และการประสานงานกับภาครัฐในการร่วมแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วและทันการณ์อย่างครบวงจร ดังนั้น รัฐบาลจึงควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนชุมชนที่มีความพร้อมให้มีการจัดตั้งเครือข่ายยุติธรรมชุมชน เสริมสร้างศักยภาพให้กับชุมชนอื่น ๆ เพื่อที่จะสามารถดำเนินการขยายเครือข่ายยุติธรรมต่อไป และสนับสนุนให้มีภาคีการพัฒนาต่าง ๆ เข้ามาสนับสนุนการดำเนินการของเครือข่ายยุติธรรมชุมชน อันจะนำไปสู่ความสมานฉันท์ของสังคมในภาพรวมที่มีความสงบเรียบร้อยและปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาด้านสังคมและเศรษฐกิจของประเทศต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
33756 | การกำหนดแนวทางการควบคุมดูแลโรงเรียนกวดวิชา | ศธ | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกำหนดแนวทางการควบคุมดูแลโรงเรียนกวดวิชา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การกำหนดแนวทางการควบคุมดูแลโรงเรียนกวดวิชาไม่ให้มีการดำเนินการในลักษณะที่แสวงหากำไรจนเกินควร โดยกำหนดให้โรงเรียนกวดวิชาที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งก่อนพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้เก็บค่าธรรมเนียมการเรียนตามที่ได้รับอนุญาต หากจะมีการเปลี่ยนแปลงให้ยื่นขออนุญาต โดยจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับกิจการของโรงเรียนนอกระบบและกำหนดหลักเกณฑ์การคิดค่าธรรมเนียมการศึกษาได้ไม่เกินร้อยละ ๒๐ โดยการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการศึกษาในโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนโดยใช้ครูผู้สอนจะเก็บในอัตราที่สูงกว่าการเรียนการสอนลักษณะผสมโดยมีทั้งครูผู้สอนและสื่อ ส่วนหลักเกณฑ์การคิดค่าธรรมเนียมการศึกษาให้กำหนดอัตราผลตอบแทนได้ไม่เกินร้อยละ ๒๐ สำหรับการเก็บค่าธรรมเนียมการศึกษาในโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนโดยใช้ครูผู้สอนจะเก็บในอัตราที่สูงกว่าการเรียนการสอนลักษณะผสม ทั้งนี้ ให้โรงเรียนติดประกาศใบอนุญาตการเก็บค่าธรรมเนียมการศึกษา/หลักเกณฑ์การกำหนดค่าธรรมเนียมการศึกษาและจำนวนค่าธรรมเนียมการศึกษาเพื่อให้นักเรียน ผู้ปกครอง และประชาชนสามารถตรวจสอบได้ ๒. การกำหนดมาตรการในการกำกับดูแล ครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาของรัฐให้ปฏิบัติหน้าที่ในการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนอย่างเต็มตามหลักสูตรเพื่อนักเรียนจะไม่ต้องไปเรียนเพิ่มเติมในโรงเรียนสอนกวดวิชาอีก โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกับสถานศึกษาอื่นของรัฐ และสำนักงานเลขาธิการคุรุสภากำหนดมาตรการเพื่อกำกับดูแล ครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาของรัฐให้ปฏิบัติหน้าที่ในการจัดการเรียนการสอนในชั้นอย่างเต็มตามหลักสูตร ๓. การพิจารณาออกระเบียบ ข้อบังคับในเรื่องการตรวจสอบและปรับปรุงในเรื่องความปลอดภัยของอาคารสถานที่ก่อนการอนุมัติอนุญาตให้ใช้เป็นสถานที่สำหรับการเรียนกวดวิชาของโรงเรียนสอนกวดวิชา โดยให้มีมาตรฐานและมาตรการในการป้องกันอัคคีภัยในโรงเรียนกวดวิชา ตามที่ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการกำหนดมาตรฐานโรงเรียนเอกชนประเภทกวดวิชา พ.ศ. ๒๕๔๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ กำหนดอย่างเคร่งครัด และกำหนดให้อาคารที่จะนำมาใช้จัดตั้งโรงเรียนนอกระบบต้องเป็นอาคารเพื่อการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร โดยจัดให้มีมาตรการในเรื่องความปลอดภัยของอาคารสถานที่ตามที่กฎหมายดังกล่าวกำหนดไว้
|
||||||||||||||||||||||||
33757 | การดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดของคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด | พณ | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ของคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีความคืบหน้าการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการที่ผ่านมา ได้แก่ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจ เพื่อพิจารณาและศึกษากฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับและสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ การจัดทำโครงการจัดจ้างออกแบบการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดเพื่อจ้างผู้เชี่ยวชาญภาคเอกชนออกแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่และเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ รวมถึงการทำการตลาด เพื่อจูงใจภาคเอกชนในการลงทุน และการขอใช้พื้นที่ป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี โดยสำนักงานพัฒนาที่ดินจังหวัดตากได้ดำเนินการยื่นเรื่องเข้าสู่คณะอนุกรรมการพัฒนาที่ดินประจำจังหวัด เพื่อตั้งคณะทำงาน ๒ คณะ ดำเนินการจัดทำประชาพิจารณ์กับประชาชนในพื้นที่คณะหนึ่ง และสำรวจพื้นที่ ๕,๖๐๓ ไร่ ๕๖ งาน ระหว่างตำบลแม่ปะ - ตำบลท่าสายลวด ที่จะใช้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดอีกคณะหนึ่ง ๑.๒ การดำเนินงานขั้นต่อไป ได้แก่ การจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญภาคเอกชนออกแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่ เพื่อให้ได้พื้นที่ที่ชัดเจนในการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง ศูนย์บริการนำเข้า - ส่งออกแบบเบ็ดเสร็จ วนอุทยานนิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้าทัณฑ์บน โลจิสติกส์พาร์ค ศูนย์ขนถ่ายกระจายสินค้า จุดตรวจปล่อยจุดเดียว พื้นที่สำหรับหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่อยู่อาศัย และสวนสาธารณะ รวมทั้งการกำหนดรูปแบบการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด องค์กร และกฎระเบียบต่าง ๆ ที่จำเป็น ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นผลมาจากการศึกษาวิเคราะห์ของคณะอนุกรรมการฯ ๒. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๔๐,๐๔๔,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการจัดจ้างออกแบบการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด โดยให้หน่วยงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินเพื่อขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรกำหนดขอบเขตของการดำเนินโครงการให้มีความชัดเจน โดยเน้นถึงผลที่จะได้รับการดำเนินโครงการ ๓ ด้านสำคัญ ได้แก่ การออกแบบการใช้พื้นที่เบื้องต้นของโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ลักษณะการลงทุนและการวิเคราะห์ความคุ้มค่าด้านการเงิน และรูปแบบการบริหารจัดการในส่วนของงบประมาณที่เห็นควรให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งเห็นควรเพิ่มเติมขอบเขตของการดำเนินโครงการครอบคลุมถึงการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment) เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และการเตรียมการรองรับผลกระทบดังกล่าว พร้อมทั้งจัดทำข้อเสนอทางเลือกในการพัฒนาที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ ในการจัดตั้งองค์กรเพื่อบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จะต้องกำหนดขอบเขตภารกิจและอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบให้มีความชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๔. ให้โครงการจัดจ้างออกแบบการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดดำเนินการเมื่อได้ข้อยุติในเรื่องของพื้นที่ป่าไม้ที่จะใช้ดำเนินการแล้ว โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม (การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) เร่งรัดการพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
33758 | การดำเนินงานในระยะเริ่มแรกตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2554 | ทก | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติเฉพาะในส่วนของสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ (สบทร.) และบรรดาภารกิจที่เกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารด้านรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไปเป็นของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ แล้วดำเนินการต่อไปได้ และเห็นชอบตามข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการโอนงบประมาณที่ได้มีการทำสัญญาไปแล้วในส่วนของ สบทร. และสำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จะโอนให้กับ สรอ. นั้น ให้มีการเปลี่ยนคู่สัญญาในส่วนดังกล่าว จาก สบทร. และสำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตามแต่กรณี ไปเป็นของ สรอ. โดยปริยาย โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นต้นไป รวมทั้งให้มีการโอนเปลี่ยนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ สรอ. ยื่นขอผ่านทางสำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ณ ขณะที่กฎหมายจัดตั้ง สรอ. ยังไม่มีผลใช้บังคับนั้น ไปเป็นของ สรอ. ด้วย โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ สรอ. รับไปดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
33759 | การโอนอำนาจหน้าที่ ภารกิจ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้และงบประมาณ รวมทั้งการจัดทำร่างระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... | ทก | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่ และงบประมาณของภารกิจที่เกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารด้านการพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และบรรดาภารกิจที่เกี่ยวกับการศึกษา วิจัยและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศที่สนับสนุนการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติไปเป็นของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ แล้วดำเนินการต่อไปได้ และเห็นชอบตามข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการโอนงบประมาณที่ได้มีการทำสัญญาไปแล้วในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จะโอนให้กับ สพธอ. นั้น เห็นควรให้มีการเปลี่ยนคู่สัญญาในส่วนดังกล่าวจากสำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็น สพธอ. โดยปริยาย โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นต้นไป รวมทั้งให้มีการโอนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ สพธอ. ยื่นขอผ่านทางสำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ณ ขณะที่กฎหมายจัดตั้ง สพธอ. ยังไม่มีผลใช้บังคับนั้น ไปเป็นของ สพธอ. ด้วย โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ สพธอ. รับไปดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
33760 | การขยายระยะเวลาโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2553/54 | พณ | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๓/๕๔ จากเดิมพฤษภาคม ๒๕๕๓ - กรกฎาคม ๒๕๕๔ เป็นพฤษภาคม ๒๕๕๓ - พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๒๓) เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการนโยบายมันสำปะหลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำระบบข้อมูล การขึ้นทะเบียนเกษตรกร และการทำสัญญาให้ชัดเจน เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนของข้อมูล และความยุ่งยากในการจ่ายชดเชยส่วนต่าง เนื่องจากช่วงเวลาที่ขอขยายออกไปเป็นช่วงที่จะเริ่มดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรฤดูกาลใหม่แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
.....