ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1682 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 33621 - 33640 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
33621 | รายงานผลการศึกษาและขอความเห็นชอบในการเสนอตัวเพื่อประมูลสิทธิ์ให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลกเวิลด์ เอ็กซ์โป (World Expo 2020) | นร | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการคัดเลือกพื้นที่ที่มีความเหมาะสมและมีศักยภาพสำหรับการจัดงานมหกรรมโลกเวิลด์ เอ็กซ์โป ตามผลการศึกษา (Feasibility Study) ความเป็นไปได้เชิงลึก และตามความเห็นของเลขาธิการสำนักงานมหกรรมโลก [Bureau of International Expositions (BIE)] ว่า จังหวัดที่มีศักยภาพมากที่สุดเพื่อเสนอเป็นพื้นที่จัดงาน คือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) ดำเนินการเสนอตัวเพื่อการประมูลสิทธิ์ให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานฯ ภายใต้หัวข้อหลักและการพัฒนาแนวคิดหลัก คือ Balanced Life, Sustainable Living โดยให้หารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ในการรณรงค์หาเสียงสนับสนุนประเทศไทย และให้ สสปน. ดำเนินการในเรื่องการพัฒนาแนวคิดภายใต้หัวข้อย่อย (sub - theme) ก่อนดำเนินการยื่นประมูลสิทธิ์ของประเทศไทยอย่างเป็นการถาวร รวมทั้งดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม ศึกษาวิเคราะห์ความคุ้มค่าและผลประโยชน์ที่จะได้รับ (Cost and Benefit Analysis) ก่อนดำเนินการยื่นประมูลสิทธิ์ในนามประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานคณะทำงานเตรียมการสำหรับโครงการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก World Expo 2020 ของประเทศไทยเสนอ ๒. อนุมัติค่าใช้จ่ายสำหรับการเตรียมการดำเนินการสนับสนุนการประมูลสิทธิ์ และการรณรงค์หาเสียงสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดงานฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๔ แล้วในวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท และให้ สสปน. ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้ สสปน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อประมูลสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพจัดงานฯ ควรเตรียมการให้เห็นชัดถึงความพร้อมของทุกองค์ประกอบภายในประเทศ เพื่อโน้มน้าวให้คณะผู้แทนขององค์การมหกรรมโลก (BIE) เห็นว่าประเทศไทยมีความเหมาะสมและความพร้อมอย่างแท้จริง และเมื่อได้รับการพิจารณาจาก BIE ให้เป็นประเทศที่มีคุณสมบัติพร้อมที่จะแข่งขันเป็นเจ้าภาพจัดงานฯ กับประเทศผู้สมัครอื่น ๆ แล้ว (short - listed) หน่วยงานของไทยทุกหน่วยจะต้องร่วมมือกันดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างบูรณาการและเป็นเอกภาพ เพื่อโน้มน้าวให้ได้รับคะแนนเสียงจากรัฐบาลของประเทศสมาชิก BIE รวมทั้งกำหนดบุคคลที่สมควรเป็นหัวหน้าคณะหาเสียงหรือทูตพิเศษ (Special Envoy) ที่จะต้องเดินทางหาเสียงให้ประเทศไทย (Road Show) เพื่อนำเสนอความน่าสนใจและความพร้อมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
33622 | การขยายผลการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน | นร | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การเสนอผลงานเพื่อขอรับรางวัลคุณภาพการให้บริการประชาชน มีหน่วยงานและกระบวนงานบริการที่ผ่านเกณฑ์การประเมินได้รับรางวัล จำนวน ๑๐๖ กระบวนงาน ได้แก่ ระดับดีเด่น จำนวน ๕๒ กระบวนงาน และระดับชมเชย จำนวน ๕๔ กระบวนงาน ๑.๒ การประเมินผลงานการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนของส่วนราชการต่าง ๆ ที่เสนอขอรับรางวัล พบว่าหน่วยงานที่เสนอผลงานเพื่อขอรับรางวัลฯ ส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานเดิมที่เคยได้รับรางวัลทุกปี และหน่วยงานที่ได้รับรางวัลฯ ไม่มีการนำผลงานที่ได้รับรางวัลไปขยายผลหรือต่อยอดการพัฒนาการให้บริการในหน่วยงานอื่น ๆ หรือในหน่วยงานของตนเอง ซึ่งผลงานการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้รับรางวัลเป็นการพัฒนาคุณภาพการให้บริการที่ทำให้ประชาชนได้รับการบริการที่ดี สะดวก และรวดเร็ว อีกทั้งก่อให้เกิดความคุ้มค่า และลดค่าใช้จ่าย ของหน่วยงานภาครัฐ ๒. เห็นชอบให้ส่วนราชการดำเนินการขยายผลการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน โดยกรณีส่วนราชการไม่เคยเสนอผลงาน ให้ทุกส่วนราชการที่มีงานบริการประชาชนเป็นภารกิจหลักเสนอผลงานการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนอย่างน้อย ๑ งานบริการ ในแต่ละปีอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณีส่วนราชการเคยได้รับรางวัล ให้ส่วนราชการที่มีหน่วยบริการประชาชนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคนำผลงานการพัฒนาคุณภาพการให้บริการที่ได้รับรางวัล ไปขยายผลการดำเนินการต่อในหน่วยบริการประชาชนอื่น ๆ รวมทั้งการสร้างขวัญและกำลังใจ โดยกำหนดสิ่งจูงใจทั้งระดับเจ้าหน้าที่และระดับองค์กร ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๔ ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับข้อสังเกตและความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการสร้างขวัญและกำลังใจควรมุ่งเน้นที่การยกระดับคุณภาพชีวิต เสริมสร้างความมั่นคงในอาชีพ มากกว่าการกำหนดสิ่งจูงใจที่เป็นตัวเงิน โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย และควรปรับปรุงการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานในการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามตัวชี้วัดการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนให้สอดคล้อง ครอบคลุมและเหมาะสมกับภารกิจหลักของแต่ละส่วนราชการ โดยการแยกกลุ่มภารกิจระหว่างส่วนราชการที่มีการให้บริการแก่ประชาชนโดยตรง รวมทั้งจัดทำระบบติดตามประเมินผลตัวชี้วัดการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน โดยการเพิ่มเกณฑ์การประเมินความคุ้มค่าเข้าไปในตัวชี้วัดด้านการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อการปฏิบัติราชการโดยตรงอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
33623 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน ครั้งที่ 2/2554 | นร | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (กพบ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๔ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติคณะกรรมการ กพบ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กพบ. เสนอ โดยผลการพิจารณาและมติคณะกรรมการ กพบ. มี ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการก่อสร้างสะพานมิตรภาพ แห่งที่ ๓ (นครพนม - คำม่วน) ซึ่งมีผลงานการก่อสร้างแล้วเสร็จร้อยละ ๘๑.๕๙ เร็วกว่าแผนงานร้อยละ ๑๐.๐๒ และความก้าวหน้าการก่อสร้างสะพานมิตรภาพ แห่งที่ ๔ (เชียงของ - ห้วยทราย) ซึ่งมีความก้าวหน้าของงานร้อยละ ๘.๕๓ เร็วกว่าแผนงานการก่อสร้างเล็กน้อย รวมทั้งความก้าวหน้าการเตรียมความพร้อมในฝั่งไทยเพื่อรองรับการเปิดสะพานมิตรภาพฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ติดตาม และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปิดใช้สะพานได้ตามกำหนดเวลา พร้อมรับความเห็นของคณะกรรมการ กพบ. เกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับการใช้สะพานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน และการหารือเพื่อกำหนดการเก็บค่าธรรมเนียมในการใช้สะพาน และการจัดสรรตอบแทน (ค่าธรรมเนียม) ระหว่างไทยกับ สปป.ลาว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ที่ประชุมรับทราบผลการศึกษาเส้นทางเชื่อมโยงบ้านภูดู่ (อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์) - เมืองปากลาย แขวงไซยะบุรี สปป.ลาว ซึ่งมีขั้นตอนการศึกษา ๒ ระยะ คือ ระยะที่ ๑ การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ได้แก่ การศึกษาด้านวิศวกรรม การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม ผลประโยชน์ของโครงการ การศึกษาด้านผลกระทบทางสังคม และการศึกษาความคุ้มค่าต่อการลงทุน ขณะนี้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว และระยะที่ ๒ การสำรวจและออกแบบรายละเอียด ซึ่งเริ่มในวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และกำหนดการดำเนินงานให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๑๕๐ วัน ๓. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการการเตรียมความพร้อมในส่วนของไทยในการประชุมสุดยอดผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๔ ซึ่งสหภาพพม่าจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมาย ๕ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ว่าด้วยการอนุมัติการให้เป็นไปตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง) ร่างพระราชบัญญัติการรับขนของทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... (เป็นกฎหมายแยกต่างหากเฉพาะเรื่องผ่านแดนของ GMS) และร่างพระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารและสัมภาระทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... เพื่อให้สามารถให้สัตยาบันเอกสารที่ยังค้างอยู่อีก ๖ ฉบับ เพิ่มเติมได้ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำ ครั้งที่ ๔ รวมทั้งผลักดันกระบวนการภายในประเทศและประสานประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้ไทยสามารถลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยนำร่องการอำนวยความสะดวกการข้ามพรมแดนของคนและสินค้าระหว่างไทย - ลาว - จีน ณ ด่านเชียงของ - ห้วยทราย และด้านบ่อเต้น - โมฮั่น ร่วมกันภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การแลกเปลี่ยนสิทธิจราจรระหว่างไทย - กัมพูชาได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเร่งรัดกระบวนการเพื่อให้ไทยสามารถลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระบบโครงข่ายทางด่วนสารสนเทศและข้อมูลข่าวสารร่วมกับประเทศสมาชิกได้ในการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านโทรคมนาคม ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ณ นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ๔. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการการตรวจลงตราเดียวเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง โดยพิจารณาแนวทางการดำเนินงานที่เป็นไปได้ระหว่าง ๔ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนก่อน ได้แก่ ไทย - จีนตอนใต้ - พม่า - ลาว และให้ใช้ต้นแบบของไทย - กัมพูชา ที่ดำเนินการนำร่องการตรวจลงนามเดียวในกรอบ ACMECS และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำรายละเอียดเสนอต่อคณะกรรมการ กพบ. พร้อมทั้งผลักดันให้บรรจุเรื่องการตรวจลงตราเดียวเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงเป็นวาระการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ๕. ที่ประชุมเห็นชอบเรื่องที่ต้องเร่งรัดดำเนินงานในส่วนของไทยตามผลการประชุมเพื่อขับเคลื่อนตามข้อสั่งการของผู้นำแผนงาน IMT - GT ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๐ - ๒๑ มกราคม ๒๕๕๔ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของผู้นำแผนงาน IMT - GT ทั้งในด้านการจัดประชุมคณะทำงานและการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถรายงานต่อที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ แผนงาน IMT - GT ในโอกาสการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๘ ที่อินโดนีเซีย ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานและติดตามความก้าวหน้าเสนอคณะกรรมการ กพบ. และให้จัดประชุมระดมความเห็นของฝ่ายไทยกับภาคีที่เกี่ยวข้องในการปรับรูปแบบการดำเนินงานแผนงานโดยพิจารณาจากข้อเสนอตามผลการประชุมที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อหาข้อสรุปเสนอต่อที่ประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ ๑๘ ก่อนเสนอที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ ที่อินโดนีเซียต่อไป รวมทั้งเป็นหน่วยงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำร่างกรอบความร่วมมือระหว่าง IMT - GT กับรัฐบาลญี่ปุ่น และระหว่าง IMT - GT กับ ERIA แล้วรายงานต่อคณะกรรมการ กพบ.
|
|||||||||||||||||||||||||||
33624 | ขออนุมัติค่าสมาชิกสำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย - แปซิฟิก (Asia - Pacific Economic Cooperation - APEC) | กต | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศเบิกจ่ายเงินค่าธรรมเนียมสมาชิกเอเปคจากงบประมาณหมวดเงินอุดหนุนของกระทรวงการต่างประเทศ ประกอบด้วย ค่าธรรมเนียมสมาชิกประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๙๕,๖๐๐ ดอลลาร์สิงคโปร์ และ ๑๑,๒๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ค่าธรรมเนียมสมาชิกเอเปคประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๙๓,๕๐๐ ดอลลาร์สิงคโปร์ และ ๑๒,๗๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ และค่าธรรมเนียมสมาชิกเอเปคประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๘๔,๒๐๐ ดอลลาร์สิงคโปร์ และ ๑๘,๙๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศตั้งงบประมาณรองรับเพื่อชำระเงินค่าธรรมเนียมสมาชิกเอเปคประจำปีในหมวดเงินอุดหนุน ตามแผนงบประมาณที่จัดทำโดยสำนักเลขาธิการเอเปคในรอบต่อ ๆ ไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเบิกจ่ายเงินและตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อชำระเป็นค่าธรรมเนียมสมาชิกเอเปคได้ตามเหตุผลและความจำเป็นที่ให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยค่าธรรมเนียมสมาชิกประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33625 | การวิจัยเรื่องการศึกษามาตรการป้องกันเพื่อปรับปรุงกระบวนการใช้อำนาจเกินขอบเขตกรณีเจ้าพนักงานตำรวจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ | นร | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานการวิจัยเรื่องการศึกษามาตรการป้องกันเพื่อปรับปรุงกระบวนการใช้อำนาจเกินขอบเขต กรณีเจ้าพนักงานตำรวจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ และข้อเสนอแนะเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานตำรวจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) โดยในส่วนของข้อเสนอแนะเร่งด่วน มีดังนี้ ๑.๑ เร่งแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ โดยนำแนวคิดและหลักการของคณะกรรมการพัฒนาระบบงานของตำรวจมาศึกษาและปรับใช้ โดยเฉพาะในส่วนที่คณะกรรมการพัฒนาระบบงานฯ ได้นำเสนอร่างแก้ไขพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ แล้วในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขตามที่เสนอ ๑.๒ สนับสนุนแนวคิดการกำหนดให้ข้าราชการตำรวจมีทั้งประเภทมียศ และไม่มียศ ของคณะกรรมการพัฒนาระบบงานฯ ๑.๓ ให้มีการศึกษาถึงข้อดี ข้อเสีย ของการเป็นตำรวจประเภทมียศ และไม่มียศ รวมถึงการพิจารณาโครงสร้างการทำงานของพนักงานสอบสวนว่า ควรอยู่ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป หรือควรแยกออกมาเป็นหน่วยงานอิสระ และพิจารณาปรับฐานเงินเดือนและค่าตอบแทนให้เหมาะสมกับหน่วยงานอื่นในกระบวนการยุติธรรมด้วยกัน ๑.๔ สนับสนุนแนวคิดการจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณารับเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับตำรวจ โดยนำแนวคิดและโครงสร้างที่คณะกรรมการพัฒนาระบบงานฯ ได้นำเสนอไว้แล้วมาพิจารณา ๑.๕ พิจารณาปรับอัตรากำลังข้าราชการตำรวจ โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจชั้นประทวนที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อยและใกล้ชิดกับประชาชนในระดับสถานีตำรวจ ให้มีจำนวนที่เพียงพอ และสมดุลกับปริมาณงาน ๑.๖ กำหนดระยะเวลาการอยู่ในสถานีตำรวจหรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ให้มีการหมุนเวียนสับเปลี่ยนกำลัง โดยเฉพาะชั้นประทวนในสถานีตำรวจ ๑.๗ ปรับอัตราเงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการให้กับข้าราชการตำรวจให้มีความเป็นอยู่ที่เหมาะสม สามารถดำรงชีวิตตนเองและครอบครัวในสังคมได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย ๑.๘ สนับสนุนโครงการตำรวจบ้าน โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติให้ชัดเจน ทั้งแหล่งที่มาของงบประมาณ (เช่น งบประมาณบางส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) การกำหนดค่าตอบแทนของตำรวจบ้านให้เทียบเท่าอาสาสมัครของหน่วยงานราชการหน่วยงานอื่น อย่างไรก็ตาม แนวคิดตำรวจบ้านควรเน้นการป้องกัน การตรวจตราในพื้นที่ ไม่ควรเน้นการใช้อาวุธหรือการปราบปราม ๑.๙ สนับสนุนแนวคิดกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (restorative justice) ด้วยการให้ชุมชนมีบทบาทในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ซึ่งจะช่วยลดภาระของคดีที่จะเข้าสู่พนักงานสอบสวน และกระบวนการยุติธรรมในภาพรวม ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับรายงานและข้อเสนอแนะไปพิจารณาในรายละเอียด โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เห็นควรพิจารณาปรับปรุงการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจกรณีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบในรูปแบบต่าง ๆ และพิจารณาแก้ไขปัญหาการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อปรับปรุงการปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามข้อเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยเฉพาะเรื่องที่คณะกรรมการพัฒนาระบบงานฯ ได้นำเสนอไว้แล้ว เช่น การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ การกำหนดให้ข้าราชการตำรวจมีทั้งประเภทมียศ และไม่มียศ และการจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณารับเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับตำรวจ เพื่อให้ปัญหาดังกล่าว ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม รวมทั้งเห็นควรเพิ่มมาตรการแก้ไขปัญหาในมิติด้านการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมของข้าราชการตำรวจควบคู่ไปกับการปรับปรุงระบบเงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการให้เหมาะสมและได้มาตรฐานในระหว่างบุคคลภาครัฐ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
33626 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้างอาคารศูนย์สุขภาพ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา | ศธ | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการเปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้างอาคารศูนย์สุขภาพ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จากรายการก่อสร้างอาคารศูนย์สุขภาพ 1 หลัง เป็นรายการก่อสร้างกลุ่มอาคารศูนย์สุขภาพ ในวงเงิน 167,800,000 บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 - พ.ศ. 2556 จำนวน 136,337,500 บาท และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบอีก จำนวน 31,462,500 บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33627 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการสั่งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ประจำส่วนราชการเป็นการชั่วคราว พ.ศ. .... | นร | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการสั่งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ประจำส่วนราชการเป็นการชั่วคราว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเกี่ยวกับการสั่งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ประจำส่วนราชการเป็นการชั่วคราว โดยให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่เดิม และกำหนดการให้ได้รับเงินเดือน การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือน การดำเนินการทางวินัย และการออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญดังกล่าว ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการสั่งข้าราชการพลเรือนสามัญ สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ประเภทบริหารระดับต้น และประเภทอำนวยการ ประเภทวิชาการ และประเภททั่วไป ให้ประจำกระทรวง ประจำกรม หรือประจำจังหวัด แล้วแต่กรณี เป็นการชั่วคราว โดยให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่เดิม ในกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็น อาจกระทบต่อสิทธิในการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการในตำแหน่งดังกล่าว สมควรจะได้พิจารณาดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
33628 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเด็กเล็ก | กค | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเด็กเล็ก โดยกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กในสถานประกอบกิจการเพื่อเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานให้แก่ลูกจ้างโดยไม่ถือเป็นประโยชน์เพิ่ม และจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนช่วยสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและกิจกรรมของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในท้องถิ่น ๑.๒ อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเท่ากับรายจ่ายตามจำนวนและหลักเกณฑ์ที่กำหนดในการสนับสนุนในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการจัดตั้งสถานรับเลี้ยงเด็กในสถานประกอบกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แล้วแต่กรณี ๑.๒.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้ที่คำนวณได้จากมูลค่าที่ลูกจ้างได้รับจากการนำบุตรของลูกจ้างไปอยู่ในความดูแลของสถานรับเลี้ยงเด็กตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก ที่นายจ้างจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสวัสดิการในการดูแลบุตรของลูกจ้าง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรพิจารณามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเด็กเล็กให้ครอบคลุมแก่ผู้ดำเนินกิจการสถานรับเลี้ยงเด็กที่ไม่ได้จัดตั้งในสถานประกอบกิจการ รวมทั้งเห็นควรให้ภาคเอกชนที่สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและกิจกรรมของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในศาสนสถานได้รับการลดหย่อนภาษีเช่นเดียวกันกับที่ภาคเอกชนสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีแนวทางการพิจารณากระบวนการตรวจสอบรายจ่าย หรือยอดการบริจาคเงินที่ชัดเจน และควรดำเนินการปฏิรูประบบภาษีทั้งระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
33629 | รายงานปัญหาอุปสรรคของการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สัญญาเงินกู้เลขที่ TXXXI-1 | กค | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมในฐานะผู้กำกับดูแลบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และกระทรวงพลังงานในฐานะผู้กำกับดูแลบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (Fuel Pipeline Transportation Limited : FPT) ร่วมเจรจากับการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อเร่งรัดให้บริษัท FPT ปฏิบัติตามสัญญาเช่าที่ดิน (สัญญาเงินกู้เลขที่ TXXXI-1) เพื่อดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการรื้อย้ายแนวฝังท่อน้ำมันเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และให้กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในโอกาสแรกต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33630 | ขออนุมัติดำเนินโครงการ "ซื้อที่ดินจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยไว้ใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการ และอาคารที่พักอาศัยให้กับข้าราชการตำรวจของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง" | ตช | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินโครงการ “จัดซื้อที่ดินจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย” ไว้ใช้เป็นสถานที่ดำเนินการก่อสร้างอาคารที่ทำการและอาคารที่พักอาศัยให้กับข้าราชการตำรวจ ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ไม่เกินวงเงินที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติประเมินเบื้องต้น จำนวน ๗๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณตรวจสอบรายละเอียดความเหมาะสมของราคาที่ดินและการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกันพิจารณาเกี่ยวกับการขอรับการสนับสนุนด้านสินเชื่อจากธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยในวงเงิน ๗๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อนำมาชำระเงินเป็นค่าจัดซื้อที่ดินให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย และการจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้แก่ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย |
|||||||||||||||||||||||||||
33631 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีวงเงินการก่อหนี้ ผูกพันข้ามปีเกิน 1,000 ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางลอดถนนตากสินกับถนนรัชดาภิเษก | มท | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรุงเทพมหานครขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณทางลอดถนนตากสินกับถนนรัชดาภิเษก จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๕๒ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๕๖ ตามผลการประกวดราคาด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ในวงเงิน ๙๖๙,๑๔๒,๖๕๕.๑๔ บาท (เก้าร้อยหกสิบเก้าล้านหนึ่งแสนสี่หมื่นสองพันหกร้อยห้าสิบห้าบาทสิบสี่สตางค์) โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ จำนวน ๒๑๖,๘๐๐,๐๐ บาท (สองร้อยสิบหกล้านแปดแสนบาทถ้วน) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ จำนวน ๒๖,๒๐๐,๐๐๐ บาท (ยี่สิบหกล้านสองแสนบาทถ้วน) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สองล้านบาทถ้วน) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สองล้านบาทถ้วน) ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๗๒๒,๑๔๒,๖๕๕.๑๔ บาท (เจ็ดร้อยยี่สิบสองล้านหนึ่งแสนสี่หมื่นสองพันหกร้อยห้าสิบห้าบาทสิบสี่สตางค์) ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อๆ ไป รวมทั้งให้กรุงเทพมหานครดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน ๒๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ยี่สิบหกล้านบาทถ้วน) โดยใช้จ่ายจากรายได้ของกรุงเทพมหานคร ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33632 | ขออนุมัติโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตระยอง | ศธ | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ดำเนินการโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตระยอง ในวงเงิน ๑,๖๖๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินโครงการ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเสนอขอจัดตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมเป็นปี ๆ ไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับงบประมาณดำเนินโครงการฯ เห็นควรให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตระยอง เสนอแผนการดำเนินงาน และกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการฯ โดยขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นปี ๆ ไป เพื่อให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและความเหมาะสมตามสภาวะการเงินของประเทศ และให้มหาวิทยาลัยประสานจัดการเรียนการสอนกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่ใกล้เคียงที่มีคณะและหลักสูตรเกื้อกูลกันควบคู่ไปกับการจัดตั้งวิทยาเขตดังกล่าว ซึ่งจะแล้วเสร็จในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เนื่องจากอาจมีปัญหาอุปสรรคด้านงบประมาณของประเทศในระหว่างการดำเนินการตามโครงการฯ ก็ได้ นอกจากนี้ เห็นควรให้ภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่มีส่วนร่วมในการสนับสนุนทรัพยากร ทั้งด้านงบประมาณในสัดส่วนที่เหมาะสม สิ่งปลูกสร้าง บุคลากร และการพัฒนามหาวิทยาลัย เพื่อทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัยร่วมกัน อีกทั้งช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐได้ในระดับหนึ่ง ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
33633 | การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (World Telecommunication/ICT Indicators Meeting) ค.ศ. 2012 | ทก | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ประเทศไทย โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (World Telecommunication/ICT Indicators Meeting : WTIM 2012) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยในส่วนของงบประมาณในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม WTIM 2012 ซึ่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ไว้แล้ว นั้น ให้สำนักงบประมาณพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33634 | การปรับแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง | กค | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ ของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง ภายใต้วงเงินลงทุนที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง แผนงานโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ของโรงงานยาสูบ) ๑.๒ ให้โรงงานยาสูบฯ ใช้แหล่งเงินทุนจากเงินรายได้ของโรงงานยาสูบฯ ในการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติไว้เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง แหล่งเงินทุนโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่) ๒. ให้กระทรวงการคลังและโรงงานยาสูบรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรหาแนวทางป้องกันความเสี่ยง เช่น การวางแผนการซ่อมบำรุงล่วงหน้า (Preventive Maintenance) เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตของโรงงาน และควรมีแผนการบริหารจัดการบุคลากรให้สอดคล้องกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับปรุงประสิทธิภาพระบบการผลิต รวมทั้งพิจารณารายละเอียดความเหมาะสมและความจำเป็นของวงเงินลงทุนของโครงการฯ ในรายการที่สำคัญให้เกิดความชัดเจนเพื่อเสนอประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เช่น การปรับกระบวนการผลิตด้านใบยาและยาเส้น (Primary Process) การเปลี่ยนแปลงระบบลำเลียงและควบคุมอัตโนมัติให้เป็นเทคโนโลยีใหม่ด้วยระบบ Automatic Racking ในขั้นตอนการมวนและบรรจุ การปรับผังอาคารโรงงานเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้งาน และการปรับแผนการก่อสร้างอาคารที่พัก โดยปรับขนาดการก่อสร้างอาคารที่พักจากสำหรับพนักงาน ๑,๐๐๐ คน พื้นที่ ๒๓,๐๐๐ ตารางเมตร เป็นสำหรับพนักงาน ๔๒๐ คน พื้นที่ ๙,๒๘๐ ตารางเมตร ในวงเงินลงทุนเท่าเดิม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
33635 | โครงการการแปลงแผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทยสู่การปฏิบัติ | ทก | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) รายงานการดำเนินการจัดทำโครงการแปลงแผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทยสู่การปฏิบัติ ๔ โครงการย่อย เพื่อปรับปรุงกระบวนการสารสนเทศของภาครัฐโดยการบริหารจัดการ ซึ่งมีเป้าหมายให้เกิดระบบนำเสนอข้อมูลสถิติและสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ (Thailand One Minute) บุคลากรด้านสถิติขององค์กรภาครัฐมีความเป็นมืออาชีพด้านข้อมูลสถิติและสารสนเทศ และเกิดวัฒนธรรมการใช้ข้อมูลสถิติและสารสนเทศสนับสนุนการตัดสินใจในระดับต่าง ๆ โดยมีสาระสำคัญของแต่ละโครงการและงบประมาณดำเนินการ ดังนี้
๑. โครงการบูรณาการสารสนเทศภาครัฐ (Governmental Information Integration System) ระบบข้อมูลของ สสช. เป็นการเก็บข้อมูลตามระเบียบวิธีทางสถิติซึ่งมีรอบระยะเวลาในการดำเนินการและกรอบตัวอย่างที่มีความแตกต่างจากข้อมูลปฐมภูมิหรือข้อมูลการจดทะเบียนตามภารกิจ ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงปฏิบัติการของหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ดังนั้น เพื่อให้ระบบการจัดทำทะเบียนและกระบวนการทางสถิติสามารถสนับสนุนนโยบายและการดำเนินนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สสช. จึงได้จัดทำโครงการบูรณาการสารสนเทศภาครัฐ เพื่อปรับปรุงกระบวนการสารสนเทศของภาครัฐเพื่อการบริหารจัดการ งบประมาณดำเนินการโครงการฯ จำนวน ๙๕ ล้านบาท ๒. โครงการพัฒนาระบบภูมิสารสนเทศเพื่องานสถิติ (Geographical Information System for Statistics) ปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐมีการประยุกต์ใช้ข้อมูลสารสนเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้การสื่อสารด้วยระบบแผนที่ดิจิตอลระหว่างหน่วยงานมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ข้อมูลภูมิสารสนเทศสามารถสนับสนุนภารกิจหรือกระบวนการทางสถิติได้ใน ๒ ระดับ คือ ระดับของการแสดงผลซึ่งอยู่ในรูปแผนที่แสดงแนวเขตตำบล อำเภอ และจังหวัด โดย สสช. ได้มีการพัฒนาและให้บริการต่อภาครัฐและบุคคลทั่วไปแล้ว และระดับการติดตามและประเมินผลซึ่งเน้นการใช้แผนที่แสดงพื้นที่ที่สนใจ โดยจะช่วยในกระบวนการติดตามและประเมินผลเชิงนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการประเมินคุณภาพการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี การประยุกต์ใช้แผนที่เพื่องานสถิติเชิงปฏิบัติการนี้จำเป็นต้องมีเครื่องมือและทักษะที่เหมาะสมในการกำหนดปัญหาเชิงพื้นที่ งบประมาณดำเนินการโครงการฯ จำนวน ๗๐ ล้านบาท ๓. โครงการสร้างวัฒนธรรมการประยุกต์ใช้สถิติและสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ (Evidence - based Statistics for Decision Making) เป็นโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ข้อมูล (Capacity Building Project) ที่นำหลักการของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการตัดสินใจผ่านกระบวนการทางสถิติ และการตั้งสมมติฐานก่อนดำเนินการทางสถิติ กล่าวคือ การเก็บข้อมูลทางสถิติต้องมีประเด็นที่สำคัญและความคาดหมายหรือผลของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งล้วนแต่เป็นขั้นตอนการวิจัยทั้งสิ้น เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถและสร้างวัฒนธรรมสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ งบประมาณดำเนินการโครงการฯ จำนวน ๒๐ ล้านบาท ๔. โครงการพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System) ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเป็นการนำเสนอข้อมูลรายงานสถิติสารสนเทศมาประกอบกับข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับผู้บริหารในการตัดสินใจในเหตุการณ์ที่ไม่มีใครสร้างแน่นอนโดยใช้ข้อมูลสถิติที่มีอยู่ และช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ วิเคราะห์ข้อมูลที่มีรูปแบบที่ซับซ้อน ระบบนี้ยังครอบคลุมถึงการทำให้หน่วยงานทุกภาคส่วนและประชาชนที่ใช้ระบบสามารถรู้ข้อมูลสถิติด้านต่าง ๆ เช่น สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ในภาพรวมของประเทศไทยได้ภายในเวลาสั้น โดยสามารถดูข้อมูลในระดับประเทศ ภาค จังหวัด และลงลึกได้ถึงระดับองค์การบริหารส่วนตำบล งบประมาณดำเนินการโครงการฯ จำนวน ๒๘ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
33636 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน ที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาค (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเปิดทำการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. .... รวม 4 ฉบับ | ศย | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๔ ฉบับ ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน ที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาค (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติ มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเปิดทำการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. .... ๒. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเปิดทำการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลจังหวัดบึงกาฬ ให้สำนักงานศาลยุติธรรมพิจารณาใช้จ่ายจากค่าธรรมเนียมศาลเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอขอให้พิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และสำนักงบประมาณจะได้พิจารณาตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
33637 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลดงมูลเหล็ก ตำบลบ้านโคก และตำบลห้วยใหญ่ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. .... | กษ | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลดงมูลเหล็ก ตำบลบ้านโคก และตำบลห้วยใหญ่ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลดงมูลเหล็ก ตำบลบ้านโคก และตำบลห้วยใหญ่ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อก่อสร้างระบบส่งน้ำ ตามโครงการระบบส่งน้ำห้วยใหญ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน การส่งน้ำสำหรับพื้นที่การเกษตร การอุปโภคและบริโภค ตลอดจนป้องกันและบรรเทาอุทกภัย และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
33638 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... | กก | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ
๑. กำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว ใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ ใบแทนใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว ใบแทนใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ ค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวรายสองปี และการต่ออายุใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ ๒. กำหนดให้ในการชำระค่าธรรมเนียมของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวในคราวแรกต้องชำระค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวรายสองปีและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว และในคราวต่อ ๆ ไปทุกสองปีภายในวันที่ครบกำหนดรอบสองปีของการชำระค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวรายสองปี ๓. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่ออกตามพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต้องขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวก่อนใบอนุญาตเดิมสิ้นอายุไม่เกินสามสิบวัน เว้นแต่กรณีใบอนุญาตเดิมมีอายุไม่ถึงสามสิบวัน และให้ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||
33639 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. .... | กก | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ
๑. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินกิจการต่อนายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กลางหรือสาขาภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีปฏิทินของทุกปี ดังนี้ ๑.๑ บุคคลธรรมดา ให้ส่งสำเนากรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุให้กับนักท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยว ๑.๒ นิติบุคคล ให้ส่งสำเนากรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุให้กับนักท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยว และบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นประจำปีที่มีการยื่นแจ้งข้อมูลรับรองโดยนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ๒. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวแจ้งการแก้ไขปรับปรุงรายการจดทะเบียนนิติบุคคลทุกครั้งภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่มีการแก้ไขปรับปรุงรายการจดทะเบียนดังกล่าว ๓. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวต้องส่งใบสั่งงานมัคคุเทศก์ (JOB ORDER) ต่อนายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กลางหรือสาขา ตามที่นายทะเบียนร้องขอภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||
33640 | รายงานผลการติดตามประเมินผลโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี รอบที่ 1 ช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2554 | นร | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการติดตามประเมินผลโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐนตรี รอบที่ ๑ ช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยได้ตรวจติดตามประเมินผลรวมทั้งสิ้น ๑๕๕ โครงการ (เป็นโครงการที่ดำเนินการและตรวจรับงานแล้วเสร็จ) ดังนี้
๑. โครงการก่อสร้างถนน (โครงการถนนไร้ฝุ่น) จำนวน ๙๒ โครงการ พบว่า สภาพถนนไม่มีปัญหาทางกายภาพ และใช้ประโยชน์ได้ดี จำนวน ๗๓ โครงการ สภาพถนนมีปัญหาทางกายภาพ เช่น ผิวถนนมีการชำรุดจากการทรุดตัว หลุดร่อน แตกเป็นลาย มีรอยร้าว คันทางทรุดตัว และมีรอยซ่อมแซม ซึ่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีได้เสนอแนะแก้ไขให้กับหน่วยรับผิดชอบในพื้นที่ไปแล้ว จำนวน ๑๑ โครงการ และเป็นโครงการที่สมควรแจ้งหน่วยรับผิดชอบในส่วนกลางได้รับทราบเพื่อตรวจสอบแก้ไข จำนวน ๘ โครงการ ๒. โครงการชลประทานขนาดเล็ก (โครงการจัดหาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน) จำนวน ๖๓ โครงการ พบว่า สภาพแหล่งน้ำสามารถใช้ประโยชน์ได้ดี จำนวน ๕๒ โครงการ สภาพของโครงการไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนหน้าฝายมีน้อย ไม่มีน้ำซับ สันฝายต่ำ/ไม่มีคันกั้นน้ำ ทำให้ไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้มากพอ หรือไม่สามารถนำน้ำไปใช้ในพื้นที่การเกษตรได้ จำนวน ๑๑ โครงการ ซึ่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีได้ให้ข้อเสนอแนะที่สามารถดำเนินการแก้ไขได้ในระดับพื้นที่ทั้ง ๑๑ โครงการแล้ว
|
.....