ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1652 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 33021 - 33040 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
33021 | การดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา กรณีเรือบรรทุกน้ำตาลล่มในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณ ตำบลภูเขาทอง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา | ทส | 07/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหากรณีเรือบรรทุกน้ำตาลล่มในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณตำบลภูเขาทอง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บูรณาการเพื่อแก้ไขและฟื้นฟูผลกระทบจากอุบัติเหตุเรือบรรทุกน้ำตาลล่มร่วมกัน ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุเรือบรรทุกน้ำตาลล่มทั้งทางตรงและทางอ้อม ภายใต้บทบัญญัติตามกฎหมายที่แต่ละกระทรวงรับผิดชอบ โดยให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมความเสียหายที่เกิดขึ้นจากทุกหน่วยงาน และดำเนินการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ประกอบการที่เป็นผู้ขออนุญาตขนส่งน้ำตาล ๑.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทำการฟื้นฟูทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุเรือน้ำตาลล่ม โดยดำเนินการติดตามและฟื้นฟูคุณภาพน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่จุดที่เกิดเหตุบริเวณจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนถึงปากแม่น้ำบริเวณจังหวัดสมุทรปราการ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการเพื่อปล่อยสัตว์น้ำทดแทนสัตว์น้ำที่ตายจากอุบัติเหตุดังกล่าว ๒. การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายเกี่ยวกับที่พักอาศัย และการป้องกันกระแสน้ำกัดเซาะตลิ่ง ให้กระทรวงคมนาคมประสานงานกับหน่วยงานและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งและปลูกสร้างที่พักอาศัยเดิมให้แก่ผู้เสียหายในพื้นที่เดิมโดยเร็ว รวมทั้งให้เร่งรัดการดำเนินการทางกฎหมายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้การช่วยเหลือให้แก่ผู้เสียหายและเกษตรกรที่เกี่ยวข้องตามนัยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลความเสียหายของเกษตรกรที่เลี้ยงปลาในกระชังทั้งหมด แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เป็นประธานกรรมการ เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
33022 | การแต่งตั้งคณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน | นร | 07/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า โดยที่พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๔๔ กำหนดให้ในวาระเริ่มแรกให้คณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการตามพระราชกฤษฎีกานี้ไปพลางก่อน จนกว่าจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ และโดยที่นายกรัฐมนตรีเป็นรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงเป็นผู้มีอำนาจในการแต่งตั้งผู้แทนองค์กรชุมชนและผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการ แต่โดยที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๔ มีผลใช้บังคับแล้ว นายกรัฐมนตรีจะสามารถแต่งตั้งกรรมการดังกล่าวได้หรือไม่ เพียงใด จึงเห็นควรขอความเห็นคณะกรรมการการเลือกตั้งในประเด็นดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||
33023 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554 เรื่อง การขออนุมัติเปิดสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิประจำประเทศไทย | กต | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เรื่อง การขออนุมัติเปิดสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิประจำประเทศไทย โดยแก้ไขชื่อ จาก สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิประจำประเทศไทย เป็น สถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิประจำประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
33024 | ตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 | นร | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเรื่อง ตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากรได้ดำเนินการจัดประกวดแบบตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้นำแบบตราสัญลักษณ์ จำนวน ๓ แบบ ส่งให้สำนักราชเลขาธิการเพื่อขอให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยทรงเลือกแบบที่เหมาะสมเพื่อใช้เป็นตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติ ปรากฏว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลือกแบบที่ ๓ (ผลงานของนายศิริ หนูแดง) แต่มีพระราชกระแสให้ใช้รูปกระต่ายในแบบที่ ๒ (ผลงานของนายเจริญ มาบุตร) แทนรูปครุฑ ในแบบที่ ๓ จึงได้มีการปรับแก้ไขแบบ และได้ขอให้สำนักราชเลขาธิการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง ๒. กระทรวงวัฒนธรรมได้นำแบบตราสัญลักษณ์ที่ได้มีการปรับแก้ไขแบบตามพระราชกระแสว่า กระต่าย “รู้สึกหนัก” “ไม่ว่องไว” จำนวน ๑๒ แบบ ประกอบด้วย รูปกระต่ายบนพื้นสีน้ำเงิน จำนวน ๖ ภาพ และรูปกระต่ายบนพื้นสีขาว จำนวน ๖ ภาพ ส่งให้สำนักราชเลขาธิการเพื่อขอให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสำนักราชเลขาธิการได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลือกแบบตราสัญลักษณ์กลุ่มที่ ๑ ซึ่งเป็นรูปกระต่ายบนพื้นสีน้ำเงิน และมีพระราชกระแสว่า “กระต่ายดูมีอารมณ์ดี”
|
|||||||||||||||||||||
33025 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลัง ปี 2553 | กค | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลัง ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยในครึ่งปีหลัง ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ดำเนินการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ๗ ประเภท (ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม - รีสอร์ท นิคมอุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ และที่ดินเปล่า) และนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผล ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านอุปทาน ด้านอุปสงค์ ด้านราคา และด้านการเงิน โดยมีการเผยแพร่ข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นไตรมาสที่ ๓ ปี ๒๕๕๓ และจัดทำบทวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์รายเดือนและรายได้ไตรมาส ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลฯ สามารถดำเนินงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยสามารถรวบรวมและจัดทำข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ และสามารถนำข้อมูลเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ www.reic.or.th รวมทั้งพัฒนาความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลฯ ได้มีการจัดอบรมและสัมมนา เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์และสร้างบทบาทของศูนย์ข้อมูลฯ ให้เป็นแหล่งข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่น่าเชื่อถือและนำไปใช้ในการวิเคราะห์เพื่อประกอบการตัดสินใจของทั้งผู้ประกอบการและประชาชนได้
|
|||||||||||||||||||||
33026 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 3/2554 | ศอบต | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กพต. เสนอ โดยที่ประชุม กพต. มีมติในเรื่องต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้
๑. อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายการและงบประมาณโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๔ โครงการ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานสนับสนุนเครื่องมือประกอบอาชีพครัวเรือนนอกหมู่บ้านเป้าหมาย ๖๙๖ หมู่บ้านของจังหวัดสตูลเพิ่มเติม จำนวน ๑๖ ราย ที่ผ่านการประชาคมและฝึกอบรมด้านการพัฒนาอาชีพไว้แล้ว โดยใช้งบประมาณที่ได้รับจัดสรรในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๒ อนุมัติให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ปรับแผนการดำเนินงานกิจกรรมภายใต้โครงการ “ทำดี มีอาชีพ” โดยนำวงเงินที่เหลือจำนวน ๒๑๒.๕๗ ล้านบาท ดำเนินกิจกรรมรวม ๒ กิจกรรม ประกอบการ การขยายผลสัมฤทธิ์โครงการทำดีมีอาชีพ การจัดการเรียนการสอนระบบทวิภาคีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ระบบสหกรณ์ชุมชน ตามที่ กอ.รมน. เสนอ โดยให้ กอ.รมน. ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๓ อนุมัติการขยายเวลาการลงนามสัญญาจ้างการก่อสร้างศูนย์ครูใต้จังหวัดยะลา เป็นไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ในวงเงินที่รับจัดสรร จำนวน ๑๖๐.๐๘๑๐ ล้านบาท และขยายเวลาการลงนามสัญญาจ้างการก่อสร้างศูนย์ครูใต้จังหวัดนราธิวาส เป็นไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ในวงเงินที่ได้รับจัดสรรจำนวน ๑๒๙.๗๔๐๔ ล้านบาท ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการปรับแผนการดำเนินโครงการปรับปรุงหออภิบาลผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการ เป็นเงิน ๑๕๐.๐๐๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือ ๑๒.๔๕๐๐ ล้านบาท นำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาอุทกภัย จากวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งสิ้น ๑๖๒.๔๕๐๐ ล้านบาท ๒. รับทราบเรื่องที่นายกรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณให้ ศอ.บต. ดำเนินการเพิ่มเติม จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย งบอำนวยการและบริหารจัดการเพิ่มเติม จำนวน ๒๑.๙๗๓๐ ล้านบาท และโครงการตรวจสอบระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) งบประมาณ ๓๐.๙๖๕๔ ล้านบาท ๓. รับทราบเรื่องที่กระทรวงการคลังให้หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณดำเนินโครงการในพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้ดำเนินการและเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับส่วนเกินงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ หน่วยงานจะต้องจัดหาแหล่งเงินอื่นมาสนับสนุนการดำเนินโครงการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
33027 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ 2554 ของไตรมาสสอง | ทก | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center : GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การบริการสอบถามข้อมูลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไตรมาสสอง มีเรื่องที่ประชาชนสนใจสอบถามเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ปฏิรูปประเทศไทย ๙ ข้อ (ประชาวิวัฒน์) การทำบัตรประจำตัวประชาชนอเนกประสงค์ (Smart Card) โครงการไปรษณีย์เพื่อสินเชื่อรายย่อย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โครงการประกันรายได้เกษตรกร การทำบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าและการใช้สิทธิ โครงการต้นกล้าอาชีพ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศญี่ปุ่น ราคายางพารา และราคาน้ำมัน เป็นต้น ๒. การดำเนินงานภายในโครงการ GCC 1111 ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไตรมาสสอง ได้มีการอบรมพนักงานรับสายเพื่อมุ่งเน้นเพิ่มองค์ความรู้และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน รวมถึงการให้องค์ความรู้และพัฒนาการให้บริการกับพนักงานรับสาย เช่น หลักสูตรทักษะการให้บริการงาน Call Center หลักสูตรคุณภาพในการให้บริการ หลักสูตรองค์ความรู้ของกระทรวง หลักสูตรจิตวิทยาในการทำงาน เป็นต้น ส่วนหลักสูตรสำหรับพนักงานรับสายเดิม เช่น หลักสูตรทักษะการจับประเด็นเพื่องานรับเรื่องร้องเรียน หลักสูตรการวิเคราะห์ข้อมูลกระทรวงคาบเกี่ยว หลักสูตรการเสริมสร้าง EQ ในการทำงานกับการรับเรื่องร้องเรียน และหลักสูตรพัฒนาคุณภาพพนักงานรับสาย
|
|||||||||||||||||||||
33028 | รายงานสถิติการใช้ระบบสารสนเทศการประชุมคณะรัฐมนตรีแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ตั้งแต่วันที่ 1 - 30 เมษายน 2554) | นร | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถิติการใช้ระบบสารสนเทศการประชุมคณะรัฐมนตรีแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ระบบ CABNET) ของส่วนราชการตามโครงการจัดการระบบ CABNET ตั้งแต่วันที่ ๑ - ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีจากส่วนราชการต่าง ๆ รวม ๓๐๙ เรื่อง ในจำนวนเรื่องทั้งหมดนี้ส่วนราชการได้ใช้ระบบ CABNET ปฏิบัติงานในขั้นตอนหลักคือ ขั้นตอนเสนอเรื่อง จำนวน ๓๔ เรื่อง (๑๑%) และขั้นตอนเสนอความเห็น จำนวน ๕ เรื่อง (๑๘%) ๒. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้จัดวาระและแจ้งระเบียบวาระการประชุมพร้อมเอกสารประกอบเรื่องผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบออนไลน์ โดยในชั้นนี้ได้ใช้ข้อมูลจากระบบจัดทำระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีในรูปแบบแผ่นซีดีมาดำเนินการแทนข้อมูลจากส่วนราชการตามระบบ CABNET เพื่อความสมบูรณ์ครบถ้วนของข้อมูลไปก่อน โดยคณะรัฐมนตรีและผู้เข้าร่วมประชุมจะได้รับแจ้งข้อมูลในแต่ละเรื่องทันทีที่มีการจัดเรื่องเข้าสู่ระเบียบวาระผ่านเครือข่ายระบบ CABNET
|
|||||||||||||||||||||
33029 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายทรงยศ ชัยชนะ และนายดนุพงษ์ สาเขตร์) | สธ | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายทรงยศ ชัยชนะ ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ ๒. นายดนุพงษ์ สาเขตร์ ดำรงตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ (ด้านแผนยุทธศาสตร์สาธารณสุข) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||
33030 | รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี พ.ศ. 2553 ของ กทช.ปฏิบัติหน้าที่ กสทช. และ กทช. | ทช | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||
33031 | การพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมของชาติและการจัดการสาธารณภัยตามบัญชานายกรัฐมนตรี | นร | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับการพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมของชาติและการจัดการสาธารณภัยตามบัญชานายกรัฐมนตรี ดังนี้
๑. การดำเนินการเชิงป้องกันต้องให้ความสำคัญกับการแจ้งเตือนภัยที่ชัดเจน โดยที่ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้กำหนดให้มีแผนปฏิบัติการการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการระดับกระทรวงด้านการแจ้งเตือนภัย ด้านการประชาสัมพันธ์และจัดการข่าวสาร และด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติ ตามลำดับ จึงเห็นควรดำเนินการ โดยระยะยาว ให้คณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยแห่งชาติพิจารณาการประกาศแจ้งเตือนภัยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นหนึ่งเดียว และระยะเร่งด่วน ให้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมประชาสัมพันธ์ วางแผนและกำหนดขั้นตอน/การปฏิบัติการแจ้งเตือนภัยที่ชัดเจนและเป็นหนึ่งเดียว และกำหนดหน่วย/ผู้มีสิทธิประกาศการแจ้งเตือนให้แก่ประชาชน ๒. การบริหารจัดการภัยที่ประสานสอดคล้องกันระหว่างหน่วยนโยบายกับหน่วยปฏิบัติทุกระดับในเชิงรุก การมีศูนย์กลางการประสานการปฏิบัติงาน การมีกฎ ระเบียบ ระบบบริหารจัดการ คลังข้อมูลด้านสาธารณภัย เครือข่ายข้อมูลด้านความมั่นคง ระบบเทคโนโลยีและการสื่อสาร อาทิ ภาพถ่ายดาวเทียมสำรวจพื้นที่เสียหาย ระบบ Video down - link ของกองทัพอากาศเข้าสำรวจพื้นที่เพื่อเสนอข้อมูลภาพ RealTime ชุด Emergency Response Team (ERT) Medical Emergency Response Team (MERT) ต้องมีการทำงานในทุกระดับที่สนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหาในทิศทางเดียวกัน เพื่อนำเสนอข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะผู้บริหารวิกฤตการณ์ โดยทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย |
|||||||||||||||||||||
33032 | รายงานผลการสอบบัญชีของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สำหรับปีบัญชี 2553 และ 2552 | อก | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการสอบบัญชีของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สำหรับปีบัญชี ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ของ กนอ. ฐานะการเงิน ณ วันสิ้นงวดปีบัญชี ๒๕๕๓ กนอ. มีสินทรัพย์รวมจำนวน ๑๖,๙๔๐ ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน ๘,๐๖๗ ล้านบาท และส่วนของทุนจำนวน ๘,๘๗๓ ล้านบาท และผลประกอบการในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ มีกำไรสุทธิ ๑,๖๑๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
33033 | ผลการเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี (ระหว่างวันที่ 4 - 6 เมษายน 2554) | กต | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีอินเดีย เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๔ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยนายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายได้มีการประชุมหารือแบบเต็มคณะ สรุปได้ ดังนี้
๑. ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับประเด็นทวิภาคีและพหุภาคีต่าง ๆ การให้ความสำคัญต่อการเชื่อมโยงภูมิภาคทั้งสองเพื่อความใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น และขอให้มีการหารือเรื่องนี้ในรายละเอียดในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือไทย - อินเดีย ซึ่งฝ่ายอินเดียจะเป็นเจ้าภาพในปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า มูลค่าการค้าทวิภาคีซึ่งมีมูลค่า ๖.๖ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ยังสามารถขยายตัวได้อีกมาก จึงเห็นควรร่วมมือกันผลักดันมูลค่าการค้าให้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัวภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ พร้อมทั้งพยายามให้มีการตกลงในตัวบทของการเจรจาเขตการค้าเสรีไทย - อินเดีย ให้ได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งเห็นควรให้ใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น กรอบความร่วมมืออาเซียน - อินเดีย BIMSTEC และกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - คงคา (MGC) ในการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการเชื่อมโยงระหว่างกันให้มากขึ้น ๓. ฝ่ายไทยขอให้ฝ่ายอินเดียพิจารณาประเทศไทยให้อยู่ในรายชื่อประเทศที่สามารถขอรับการตรวจลงตราในลักษณะ Visa on Arrival เพื่อส่งเสริมการขยายตัวของนักท่องเที่ยวระหว่างกัน รวมทั้งพิจารณาเพิ่มเที่ยวบินระหว่างกันเพื่อส่งเสริมการขยายตัวของนักท่องเที่ยวและการดำเนินธุรกิจระหว่างกันให้มากขึ้น ๔. ฝ่ายไทยยินดีที่จะให้การสนับสนุนการฟื้นฟูมหาวิทยาลัยนาลันทา ตามข้อเสนอของฝ่ายอินเดีย เพื่อเป็นการผลักดันให้มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดทางด้านศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างสองฝ่าย ๕. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการจัดตั้งกลไกการหารือแลกเปลี่ยนด้านการทหารในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส โดยให้หารือในรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบและวาระการหารือต่อไป ๖. ฝ่ายไทยได้แจ้งให้ฝ่ายอินเดียทราบว่า ภาคเอกชนไทยประสบปัญหาเกี่ยวกับข้อกำหนดเพดานเงินเดือนขั้นต่ำ ๒๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ/ปี/คน ของแรงงานต่างชาติ สำหรับการขอรับการตรวจลงตราประเภททำงานของอินเดีย และข้อกำหนดซึ่งบังคับให้แก่แรงงานต่างชาติ รวมทั้งแรงงานไทยต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเลี้ยงชีพในอินเดีย แต่ไม่สามารถถอนเงินสะสมคืนได้จนกว่าอายุครบ ๕๘ ปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนของไทยในอินเดียโดยเฉพาะในด้านการก่อสร้างซึ่งอาศัยแรงงานไทยมีฝืมือ โดยฝ่ายอินเดียรับที่จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว ๗. ฝ่ายไทยยินดีให้อินเดียมาศึกษาดูงานการสร้างบ้านพักราคาประหยัด ๘. ฝ่ายอินเดียจะพิจารณาการสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗ ของไทยอย่างจริงจัง (most serious consideration)
|
|||||||||||||||||||||
33034 | ความคืบหน้าการดำเนินการตามแนวทางการส่งเสริมอุดมศึกษาร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่ | ศธ | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามแนวทางการส่งเสริมอุดมศึกษาร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้ประชุมเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการตามยุทธศาสตร์อุดมศึกษาร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่ผ่านกลไกหลักโครงการหนึ่งมหาวิทยาลัยหนึ่งจังหวัดร่วมกับผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบในหลักการและวัตถุประสงค์ของโครงการหนึ่งมหาวิทยาลัยหนึ่งจังหวัด และเห็นควรจัดทำบันทึกความตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อดำเนินการร่วมกัน โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างระดับกระทรวงและระดับจังหวัด ระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดกับอธิการบดีสถาบันอุดมศึกษาที่เข้าร่วมการพัฒนายุทธศาสตร์จังหวัด และได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการหนึ่งมหาวิทยาลัยหนึ่งจังหวัดแล้วเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๔ ๒. การดำเนินการผ่านกลไกหลักโครงการหนึ่งมหาวิทยาลัยหนึ่งจังหวัด มีกรอบกิจกรรมสนับสนุน ๔ กิจกรรม ประกอบด้วย การจัดตั้งศูนย์จัดการความรู้เพื่อพัฒนาจังหวัด การพัฒนาวิชาการสายรับใช้สังคม การสร้างความเป็นพลเมืองของนิสิตนักศึกษา และการสร้างบรรยากาศเพื่อปรับตัวของสถาบันอุดมศึกษา
|
|||||||||||||||||||||
33035 | การเสนอและพิจารณาเรื่องการเจรจาระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย | นร | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรื่อง ขอหารือเกี่ยวกับการเสนอและพิจารณาเรื่องการเจรจาระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย เพื่อกำหนดเป็นแนวทางให้ส่วนราชการถือปฏิบัติและเป็นแนวทางประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยเสนอประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการขอความเห็นชอบจากรัฐสภารวม ๒ ประเด็น คือ กรอบการเจรจาที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาแล้ว ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงไปจะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาให้ความเห็นชอบหรือไม่ และบันทึกการประชุมของการเจรจาจะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาให้ความเห็นชอบหรือไม่ เช่น การเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้นว่า การประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) คณะกรรมการเขตแดนร่วม และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาให้ความเห็นชอบหรือไม่
|
|||||||||||||||||||||
33036 | ความคืบหน้าการดำเนินการตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ : ยุทธศาสตร์ยุติการส่งเสริมการขายยาที่ขาดจริยธรรม : เพื่อลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสุขภาพของผู้ป่วย | สธ | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ : ยุทธศาสตร์ยุติการส่งเสริมการขายยาที่ขาดจริยธรรม : เพื่อลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสุขภาพของผู้ป่วย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๓ ได้มีมติเห็นชอบร่างนโยบายแห่งชาติด้านยาและยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ โดยผนวกกาดำเนินการตามมติในข้อ ๒ ไว้ในยุทธศาสตร์ด้านที่ ๒ การใช้ยาอย่างสมเหตุผล ยุทธศาสตร์ย่อยที่ ๗ การส่งเสริมจริยธรรมผู้สั่งใช้ยาและยุติการส่งเสริมการขายยาที่ขาดจริยธรรม ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เห็นชอบนโยบายดังกล่าวแล้ว ๒. ที่ประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔ ได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมจริยธรรมผู้สั่งใช้ยาและยุติการส่งเสริมการขายยาที่ขาดจริยธรรม เพื่อทำหน้าที่ตามมติคณะรัฐมนตรีและกลยุทธ์ในยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ และให้คณะทำงานฯ เสนอความคืบหน้าการดำเนินงานต่อคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป ๓. คณะทำงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมจริยธรรมผู้สั่งใช้ยาและยุติการส่งเสริมการขายยาที่ขาดจริยธรรมได้จัดทำแผนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมจริธรรมผู้สั่งใช้ยาและยุติการส่งเสริมการขายยาที่ขาดจริยธรรม พ.ศ. ๒๕๕๔ และพัฒนาร่างเกณฑ์จริยธรรมว่าด้วยการส่งเสริมการขายยา เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์กลางของประเทศไทย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการให้ความเห็นต่อร่างเกณฑ์จริยธรรมฯ ดังกล่าว ซึ่งกำหนดระยะเวลาดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ |
|||||||||||||||||||||
33037 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง กลยุทธ์การสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง ต่อการท่องเที่ยวของไทย ด้วยแผนการป้องกันโรคระบาดอุบัติใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ | สสป | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง กลยุทธ์การสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง ต่อการท่องเที่ยวของไทย ด้วยแผนการป้องกันโรคระบาดอุบัติใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในช่วงสถานการณ์ปกติ ๑.๑ จัดทำฐานข้อมูลที่เป็นระบบ และพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข เพื่อให้สามารถรับมือกับวิกฤตการระบาดของโรคอุบัติใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก ๑.๒ ควรมีโครงสร้างการบริหารจัดการแบบไตรภาคี (ภาครัฐ เอกชน และประชาชน) ในการเฝ้าระวังและควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ทุกภาคส่วนสามารถรับรู้ถึงสถานการณ์การระบาดของโรคได้อย่างทั่วถึง และมีการเตรียมพร้อม ป้องกันแก้ไข หากมีการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ ๑.๓ มีระบบการประชาสัมพันธ์อย่างทันท่วงทีเมื่อมีโรคติดต่ออุบัติใหม่ พร้อมทั้งให้มีข้อกำหนดแก่สาธารณะด้านสุขอนามัยที่จะเป็นพื้นฐานด้านสุขอนามัยในการป้องกันโรคติดต่อร้ายแรง ๒. ในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ ๒.๑ มาตรการด้านสื่อและการประชาสัมพันธ์เพื่อดูแลภาพลักษณ์ สร้างความเชื่อมั่นในด้านการท่องเที่ยวและงานบริการทั้งภายในและภายนอกประเทศ ๒.๑.๑ ควรมี “ศูนย์แถลงข่าวแห่งชาติ” ซึ่งมีโครงสร้างที่บูรณาการกับทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลาวิกฤต ที่ควบคุมการสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นเอกภาพ โดยเฉพาะต้องเป็นการสื่อในเชิงสร้างสรรค์ภายใต้ข้อมูลที่เป็นจริง และมีการจัดระบบการนำเสนอข่าวที่ชัดเจน ๒.๑.๒ จัดตั้งศูนย์สายด่วน (Hot line) ใน “ศูนย์แถลงข่าวแห่งชาติ” เพื่อรับเรื่องตลอด ๒๔ ชั่วโมง และรองรับภาษาต่างชาติที่เป็นภาษาหลัก เช่น อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น สเปน ฝรั่งเศส อาหรับ เป็นต้น ๒.๑.๓ จัดกิจกรรมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคระบาดและโรคติดต่อที่กำลังระบาดและอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มบทบาท เช่น กลุ่มผู้มีบทบาทในสังคม ได้แก่ ผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) นักข่าว ครู นักเรียน เป็นต้น ๒.๑.๔ จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉินที่สามารถดำเนินการได้ทันทีโดยเฉพาะการรับเรื่องแจ้งเหตุ เรื่องการป้องกันควบคุมเบื้องต้น โดยใช้ระบบสาธารณสุขและการประชาสัมพันธ์อย่างครบวงจร เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ๒.๒ เพิ่มความเข้มข้นของมาตรการด้านสาธารณสุขที่ประกาศใช้ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและทุกพื้นที่ และเน้นระบบการติดตามผลการดำเนินนโยบาย มีการรายงานต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ ๒.๓ มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนด้านอื่น ๆ ๒.๓.๑ เสริมสร้างการมีส่วนร่วมให้ภาคเอกชน ชุมชน ท้องถิ่น และประชาสังคมมีส่วนร่วมในการดูแล เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม และรายงานสถานการณ์อย่างชัดเจน เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจแบบไตรภาคี มีบทบาทในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละชุมชน ได้แก่ การตั้งข้อกำหนดการปฏิบัติตนให้พ้นจากโรคระบาดอุบัติใหม่ หรือการให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility) โดยการสนับสนุนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นต้น ๒.๓.๒ การควบคุมรักษามาตรฐานความสะอาดในแหล่งบริการทางสาธารณะ เช่น ห้องน้ำสาธารณะ สวนสาธารณะ บริการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ที่ดื่มน้ำสะอาด เป็นต้น ๒.๓.๓ เน้นการส่งเสริมให้เกิดวินัยและจิตสาธารณะรับผิดชอบต่อสังคม ในการสร้างความร่วมมือสกัดกั้นการระบาดของโรคอุบัติใหม่ โดยจัดทำข้อกำหนดหรือบทบัญญัติด้านสุขลักษณะของแต่ละกลุ่มบุคคล เช่น สุขบัญญัติในการประกอบอาหารของสถานประกอบการร้านอาหารและบริการ การใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน เป็นต้น การส่งเสริมในเชิงบวกกับผู้ให้บริการสาธารณะ (ที่เกี่ยวกับอาหารและยา รถสาธารณะ) เช่น การออกใบรับรอง หรือเครื่องหมายแสดงถึงการให้บริการที่มีมาตรฐานให้กับผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือบทบัญญัติด้านสุขลักษณะ และส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยของบุคคลในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น สุขบัญญัติ ๑๐ ประการ (สุขวิทยาส่วนบุคคล) พฤติกรรมการใช้ห้องสุขา เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
33038 | การแจ้งเตือนภัยพิบัติ | ทช | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง เงื่อนไขมาตรฐานในการอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ประกาศ ณ วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ มีข้อกำหนดว่าด้วยเหตุฉุกเฉินและภัยพิบัติให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการทุกประเภทต้องปฏิบัติ ทั้งในส่วนของเงื่อนไขทั่วไปและภาคผนวก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
33039 | รายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ณ วันที่ 30 กันยายน 2553 | นร | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จำนวน ๓๙๐ หน่วยงาน มีข้อค้นพบปัญหาอุปสรรคซึ่งทำให้ผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนการปฏิบัติงานที่สำคัญ พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. การกำหนดผลผลิต/โครงการ กิจกรรม และตัวชี้วัดในระดับหน่วยงานยังไม่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงสอดคล้องไปถึงเป้าหมายและผลลัพธ์ในระดับกระทรวงและระดับยุทธศาสตร์ชาติ เห็นควรให้หน่วยงานที่มีปัญหาทบทวนการกำหนดผลผลิต/โครงการ กิจกรรม และตัวชี้วัดในแต่ละระดับให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม สามารถวัดถึงผลสำเร็จของการดำเนินงานได้อย่างแท้จริง ๒. การจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e - Auction) มีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการให้ครบถ้วนใช้ระยะเวลานาน และไม่สามารถดำเนินการได้เสร็จภายในครั้งเดียว ทำให้ต้องเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างล่าช้า เห็นควรให้หน่วยงานที่มีปัญหาเตรียมความพร้อมของงานก่อนที่จะดำเนินการและวางแผนการจัดซื้อจัดจ้างล่วงหน้าให้ชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้ ๓. ช่วงระยะเวลาในการก่อสร้างไม่เหมาะสม มีการแก้ไขแบบรูปรายการ แก้ไขสัญญาจ้าง ผู้รับจ้างขาดสภาพคล่อง/ละทิ้งงาน/บอกเลิกสัญญา ต้องหาผู้รับจ้างใหม่ รวมทั้งการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความล่าช้า เห็นควรให้หน่วยงานที่มีปัญหากำหนดแผนการปฏิบัติงานในแต่ละช่วงเวลาให้สอดคล้องกับการดำเนินการจริงและตรวจสอบผลการปฏิบัติงานในแต่ละช่วงเวลาเพื่อเป็นเครื่องมือในการติดตาม/เร่งรัดการปฏิบัติงาน ๔. การจัดซื้อวัสดุ อุปกรณ์ และครุภัณฑ์ที่มีความจำเป็นต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศต้องใช้ระยะเวลาในการสั่งซื้อและการรับมอบของนานกว่าการจัดซื้อจัดจ้างโดยทั่วไป เห็นควรให้มีการติดตามเร่งรัดการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดในหน่วยงานที่มีปัญหา ๕. ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และสถานการณ์ทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงาน ๖. ให้หน่วยงานนำผลการปฏิบัติงานในปีงบประมาณที่ผ่านมาใช้ในการกำหนดแผนปฏิบัติงานในปีต่อไปเพื่อให้ใกล้เคียงและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามผลการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งขอตั้งงบประมาณให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการดำเนินงาน
|
|||||||||||||||||||||
33040 | รายงานผลการจัดทำสัญญาชำระคืนเงินยืมระหว่างกระทรวงการคลังกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเพื่อเรียกเก็บเงินยืมจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | กค | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดทำสัญญาชำระคืนเงินยืมระหว่างกระทรวงการคลังกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เพื่อเรียกเก็บเงินยืมจาก กทพ. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กทพ. ได้ดำเนินการก่อสร้างระบบเก็บค่าผ่านทางและระบบควบคุมความปลอดภัยด้านการจราจรของโครงการทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๗ (ตอนบางพลี - บางขุนเทียน ช่วงสุขสวัสดิ์ - บางขุนเทียน) ก่อสร้างทางเชื่อมต่อโครงการทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์กับทางพิเศษบูรพาวิถี และก่อสร้างทางเชื่อมต่อโครงการทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์กับถนนวงแหวนอุตสาหกรรม รวมวงเงิน ๖,๓๗๒,๐๐๔,๐๐๐.๐๐ บาท คงเหลือวงเงิน ๑,๕๐๐,๔๑๓,๕๔๘.๗๖ บาท ซึ่ง กทพ. จะดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยกระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณและ กทพ. เป็นผู้พิจารณาแหล่งเงินกู้ วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินที่เหมาะสม และกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ เนื่องจากสำนักงบประมาณไม่สามารถจัดสรรงบประมาณให้เป็นเงินยืมให้ กทพ. ได้ ๒. กระทรวงการคลังได้จัดทำสัญญาชำระคืนเงินยืมระหว่างกระทรวงการคลังกับ กทพ. สัญญาเลขที่ ๓๔๒/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔ และได้จัดส่งสัญญาดังกล่าวให้ กทพ. ในฐานะผู้กู้เพื่อถือปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญาอย่างเคร่งครัดต่อไป โดยมีสาระสำคัญเป็นไปตามสัญญาชำระคืนเงินยืมที่เป็นสัญญามาตรฐานผ่านความเห็นชอบจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว และเป็นไปตามนัยเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีและกระทรวงการคลังได้อนุมัติไว้
|
.....