ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1653 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 33041 - 33060 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
33041 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2553) ธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม ๒๕๕๓) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งได้จัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยรายงานดังกล่าว ประกอบด้วย
๑. ส่วนที่ ๑ : สรุปภาวะเศรษฐกิจ ๒. ส่วนที่ ๒ : การดำเนินงานของ ธปท. ประกอบด้วย ๒.๑ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน ๒.๒ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน ได้แก่ ๒.๒.๑ การดำเนินงานด้านนโยบายสถาบันการเงิน ๒.๒.๒ การดำเนินงานด้านการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน ๒.๒.๓ ผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์และพัฒนาการที่สำคัญ ๒.๒.๔ การดำเนินงานในการเป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน ๒.๓ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน มีดังนี้ ๒.๓.๑ แผลกลยุทธ์ระบบการชำระเงิน ๒๕๕๓ (Payment Systems Roadmap 2010) ๒.๓.๒ แผนงานการพัฒนาระบบ Imaged Cheque Clearing and Archive System (ICAS) ๒.๓.๓ การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
|
||||||||||||||||||||||||
33042 | ความคืบหน้าการดำเนินการโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย | พณ | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๓ - ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ มีผู้ยื่นขอกู้จำนวน ๑,๔๕๗ ราย วงเงิน ๔,๔๓๒.๐๘ ล้านบาท ธนาคารอนุมัติสินเชื่อจำนวน ๑,๐๓๔ ราย วงเงิน ๒,๙๘๘.๘๗ ล้านบาท และมีการเบิกจ่ายเงินกู้จำนวน ๙๓๕ ราย วงเงิน ๒,๗๓๐.๐๘ ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากวงเงินสินเชื่อโครงการช่วยเหลือด้านการเงินฯ จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ที่ยื่นขอกู้ ส่งผลให้ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเป้าหมายที่เพิ่มเติมในกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรง ๒. ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ ได้พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรง พร้อมทั้งจัดสรรวงเงินที่เหลือ และได้มีมติให้กันวงเงินไว้สำหรับกลุ่มธุรกิจดังกล่าว จำนวน ๒๑๕ ล้านบาท และให้ฝ่ายเลขานุการ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติวงเงินสินเชื่อสำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจแฟรนไชส์ และธุรกิจขายตรง เพิ่มเติมอีกจำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ อนุมัติวงเงินสินเชื่อ (เพิ่มเติม) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
33043 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก และแนวโน้มปี 2554 | นร | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ขยายตัวร้อยละ ๓.๐ โดยมีแรงสนับสนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ทั้งการส่งออก การลงทุน และการบริโภคของภาคเอกชน รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวและภาคเอกชนขยายตัวสูงเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสสี่ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๓.๕ - ๔.๕ โดยมีปัจจัยสนับสนุน ดังนี้
๑. การปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว โดยในช่วง ๔ เดือนแรกของปีมีจำนวนนักท่องเที่ยว ๖.๘๕ ล้านคน ขยายตัวร้อยละ ๑๘.๘ และคาดว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ ๑๘.๐ ล้านคน ซึ่งจะเป็นแรงส่งให้ภาคการผลิตและบริการที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง ๒. ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่สำคัญ เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อย และมันสำปะหลัง ซึ่งการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้าเกษตรจะส่งผลให้รายได้เกษตรกรปรับตัวสูงขึ้น และจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การบริโภคภาคครัวเรือนปรับตัวดีขึ้นด้วย ๓. สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจและการขยายตัวของสินเชื่ออยู่ในเกณฑ์ดี ประกอบกับเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อยังไม่เข้มงวดมากนัก และการสนับสนุนสินเชื่ออย่างต่อเนื่องจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเอื้ออำนวยต่อการปล่อยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในอนาคต ๔. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอยู่ในเกณฑ์สูงประกอบกับการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงาน เงินเดือนราชการ ราคาสินค้าเกษตรยังอยู่ในระดับสูง และอัตราการว่างงานต่ำที่ร้อยละ ๐.๘ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนด้านการบริโภคภายในประเทศ ขณะเดียวกันความเชื่อมั่นภาคธุรกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี เมื่อรวมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น อุปสงค์ของสินค้ายังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การขออนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ยังขยายตัวได้ดี รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนมีแนวโน้มแข็งค่า ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการนำเข้าเครื่องมือเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิต ๕. ศักยภาพการแข่งขันด้านการส่งออกอยู่ในเกณฑ์ดี จากที่ค่าเงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ขณะที่ต้นทุนการผลิตในประเทศคู่แข่งปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้น ขณะที่ราคาส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนมากที่สุดระดับราคามีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก
|
||||||||||||||||||||||||
33044 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญบัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... แก้ไข เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษา และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
33045 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณีนายเกอมิท ซิง จาสวาล ฟ้องนายกรัฐมนตรี กับพวก รวม 5 คน ต่อศาลปกครองสูงสุด ขอให้เพิกถอน มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 และมาตรา 11 แห่งพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2550 และให้มีการบังคับใช้ตามมาตรา 5 มาตรา 6 และมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว | ยธ | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดและกระทรวงยุติธรรมแจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ซึ่งมีคำพิพากษายกฟ้อง กรณีนายเกอมิท ซิง จาสวาล ฟ้องนายกรัฐมนตรี กับพวก รวม ๕ คน ต่อศาลปกครองสูงสุด ขอให้เพิกถอนมาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้มีการบังคับใช้ตามมาตรา ๕ มาตรา ๖ และมาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
33046 | รายงานผลการติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ครูและบุคลากรทางการศึกษา) | กค | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ครูและบุคลากรทางการศึกษา) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจ่ายเงินค่าตอบแทนสำหรับผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กรณีปรับเพิ่มเงินค่าตอบแทนพิเศษจากคนละ ๒,๕๐๐ บาทต่อเดือน เป็นคนละ ๓,๕๐๐ บาทต่อเดือน กระทรวงศึกษาธิการได้เสนอร่างหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับค่าตอบแทนพิเศษรายเดือน โดยได้มีหนังสือถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบร่างหลักเกณฑ์ฯ และอนุมัติเงินจากงบกลางเพื่อจ่ายค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๖๓๗,๘๖๐,๐๐๐ บาท ๒. การให้ความช่วยเหลือเป็นเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินของครูและบุคลากรทางการศึกษา ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้ดำเนินโครงการลดภาระหนี้สำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระลูกค้าธนาคารกลุ่มครูและบุคลากรทางการศึกษา สำหรับลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ในกรอบวงเงินสินเชื่อไม่เกิน ๕๐๐ ล้านบาท สำหรับธนาคารออมสินได้ประชุมร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการเพื่อพิจารณาเงื่อนไขการให้สินเชื่อ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการนำข้อเสนอการให้สินเชื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการธนาคารออมสิน และอยู่ระหว่างการจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่างธนาคารและกระทรวงศึกษาธิการในการหักบัญชีเงินเดือนของผู้ขอรับสินเชื่อควบคู่กันไป ๓. การขออัตราลดหย่อนภาษีเงินได้เพิ่มเติมในวงเงินเท่ากับอัตราการประกันชีวิตสำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบด้านอื่น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||
33047 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ไตรมาสที่ 2 (ตุลาคม 2553 - มีนาคม 2554) | กค | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ไตรมาสที่ ๒ (ตุลาคม ๒๕๕๓ - มีนาคม ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ไตรมาสที่ ๒ (ตุลาคม ๒๕๕๓ - มีนาคม ๒๕๕๔) มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๑,๔๓๐,๕๖๓.๕๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๕.๑๓ ของวงเงินจำนวน ๒,๕๙๔,๗๐๑.๘๒ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๑ เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เบิกจ่ายแล้วจำนวน ๑,๐๗๐,๔๕๓.๙๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๑.๗๑ สูงกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๔๔.๐๐) อยู่ร้อยละ ๗.๓๑ ประกอบด้วย รายจ่ายประจำจำนวน ๙๓๐,๕๒๖.๓๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๓.๙๔ และรายจ่ายลงทุนจำนวน ๑๓๙,๙๒๗.๕๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๐.๕๖ สูงกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๓๕.๐๐) อยู่ร้อยละ ๕.๕๖ โดยจังหวัดและกลุ่มจังหวัด กระทรวงคมนาคม และกระทรวงพลังงาน มีอัตราการเบิกจ่ายต่ำสุด ๑.๒ เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๖ - ๒๕๕๓ สามารถเบิกจ่ายได้จำนวน ๘๘,๗๑๐.๔๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๘.๔๒ ของวงเงินงบประมาณเหลื่อมปีจำนวน ๑๘๓,๒๐๘.๔๐ ล้านบาท ๑.๓ เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท มีการจัดสรรแล้ว (ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔) จำนวนทั้งสิ้น ๓๔๑,๔๙๓.๔๒ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๗๑,๓๙๙.๑๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๙.๔๗ ๒. สาเหตุสำคัญที่ทำให้การเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ล่าช้า เนื่องจากงบประมาณในส่วนของรายจ่ายลงทุนส่วนใหญ่เป็นโครงการใหม่ โดยในไตรมาสที่ ๑ - ๒ อยู่ระหว่างขบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ส่งผลให้การเบิกจ่ายไม่มากนัก ประกอบกับได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทำให้การดำเนินงานของหน่วยงานต้องล่าช้าออกไป นอกจากนี้ โครงการผูกพันข้ามปีงบประมาณ หน่วยงานจะเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี หลังจากนั้นจึงจะเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณปีปัจจุบันผู้รับจ้างประสงค์จะเบิกจ่ายเพียงครั้งเดียวเมื่องานแล้วเสร็จ
|
||||||||||||||||||||||||
33048 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2553 | กค | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจในไตรมาสที่ ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เศรษฐกิจไทยชะลอลงตามการปรับตัวเพื่อเข้าสู่การขยายตัวในระดับปกติ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เร่งตัวขึ้นมากในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยเมื่อพิจารณาอัตราการขยายตัวเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่องโดยการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนเป็นปัจจัยสำคัญสนับสนุนการขยายตัว ส่วนภาคการส่งออกยังคงขยายตัวได้ดี สำหรับไตรมาสที่ ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม แต่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้เร็วและแข็งแกร่ง เป็นผลจากแรงสนับสนุนจากภาคการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น และการลงทุนภาครัฐในโครงการต่าง ๆ ที่เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น ๒. ภาวะเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ อยู่ที่ร้อยละ ๓.๐ ชะลอลงเล็กน้อยจากในช่วงครึ่งแรกของปีที่อยู่ที่ร้อยละ ๓.๕ เป็นผลจากราคาในหมวดพลังงานที่ชะลอลง สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่หักราคาสินค้าในหมวดอาหารสดและพลังงาน ซึ่งเป็นเป้าหมายในการดำเนินนโยบายการเงินของ กนง.) ในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๑.๒ เร่งขึ้นจากครึ่งแรกของปีที่ร้อยละ ๐.๗ เป็นผลจากผลลบต่ออัตราเงินเฟ้อจากนโยบายเรียนฟรี ๑๕ ปี ที่หมดลง ขณะที่ราคาสินค้าและบริการต่าง ๆ เริ่มปรับขึ้นบ้างตามอุปสงค์ที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวตามลำดับ ๓. การดำเนินนโยบายการเงิน โดยในครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ กนง. ได้มีการประชุมรวม ๕ ครั้ง เพื่อพิจารณาภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมทั้งแนวโน้มในระยะต่อไป เพื่อกำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย ทั้งนี้ กนง. มีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวมร้อยละ ๑.๐๐ ต่อปี จากร้อยละ ๑.๒๕ เป็นร้อยละ ๒.๒๕ ต่อปี เนื่องจากความเสี่ยงของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกลดลง ขณะที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีต่อเนื่องและมีปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวที่แข็งแกร่ง ๔. การดำเนินนโยบายบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก จากการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศตามกระแสความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดหลักทรัพย์และพันธบัตรของไทยและภูมิภาคจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ตลอดจนการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางในภูมิภาค รวมทั้งการขายดอลลาร์ สรอ. ของผู้ส่งออกทั้งจากธุรกรรมและการขายล่วงหน้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งภายใต้แนวโน้มการแข็งค่าที่รวดเร็ว ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้าบริหารจัดการการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ สรอ. ไม่ให้เคลื่อนไหวผันผวนรุนแรง ๕. แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยมีอัตราการขยายตัวในช่วงร้อยละ ๓.๐ - ๕.๐ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้เดิม และในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๐ - ๓.๐ และร้อยละ ๒.๕ - ๔.๕ ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||||||||
33049 | ขอให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีโครงการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่มเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | สธ | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแก้ไขสรุปผลการรายงานการประชุมและข้อความในหนังสือยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่มเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้) ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อให้เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไปแล้วเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ดังนี้ ๑.๑ ข้อ ๑ ให้แก้ไขเป็น ดังนี้ “อนุมัติอัตราข้าราชการเพิ่มใหม่ จำนวน ๑,๙๗๗ อัตรา เพื่อรองรับการบรรจุนักศึกษาตามโครงการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่มเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนด ๑.๒ ข้อ ๒ ให้แก้ไขเป็น ดังนี้ “อนุมัติอัตราข้าราชการเพิ่มใหม่สำหรับบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล (แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร) ที่สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒,๒๐๐ อัตรา” ๑.๓ ข้อ ๕ ให้แก้ไขเป็น ดังนี้ “อนุมัติอัตราข้าราชการเพิ่มใหม่สำหรับบรรจุพยาบาลวิชาชีพที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจ้างไว้เป็นลูกจ้างชั่วคราวในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๖๖๙ อัตรา” ๒. เห็นชอบให้แก้ไขชื่อเรื่องตามหนังสือกระทรวงสาธารณสุข ด่วนที่สุด ที่ สธ ๐๒๐๑.๐๓๒/๑๗๒๕ ลงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔ จากเดิม “ขอให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรี ...” เป็น “ขอให้แก้ไขข้อความที่คลาดเคลื่อนในหนังสือยืนยันมติคณะรัฐมนตรี ...” และตัดข้อความตามหนังสือกระทรวงสาธารณสุข หน้า ๒ ที่มีข้อความว่า “ดังนั้น จึงเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีแก้ไขมติดังกล่าว” ออก ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอเพิ่มเติม
|
||||||||||||||||||||||||
33050 | ขอความเห็นชอบข้อมติเรื่องการจัดการประมงอย่างยั่งยืนเพื่อความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคอาเซียนจนถึงปี พ.ศ. 2563 | กษ | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของข้อมติเรื่องการจัดการประมงอย่างยั่งยืนเพื่อความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคอาเซียนจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๓ (Resolution on Sustainable Fisheries for Food Security for the ASEAN Region Towards 2020) เป็นความตั้งใจดำเนินการตามกฎหมายร่วมกัน และมีข้อความในข้อมตินี้ด้วยว่า การดำเนินการใดตามข้อมตินี้ไม่มีสิ่งใดเสื่อมเสียต่อสิทธิอธิปไตย พันธะข้อผูกพันและความรับผิดชอบของแต่ละรัฐบาล ดังนั้น ข้อมตินี้จึงไม่น่าจะมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ๒. เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบข้อมติเรื่องการจัดการประมงอย่างยั่งยืนเพื่อความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคอาเซียนจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๓ (Resolution on Sustainable Fisheries for Food Security for the ASEAN Region Towards 2020) ๒.๒ อนุมัติในหลักการว่า ก่อนจะให้การรับรองและประกาศข้อมติตามข้อ ๒.๑ หากมีการแก้ไขในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญขอให้อยู่ในดุลพินิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ให้การรับรองและประกาศข้อมติดังกล่าวร่วมกับประเทศสมาชิก ASEAN - SEAFEDC ในการประชุมระดับรัฐมนตรี ในวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ ณ กรุงเทพมหานคร
|
||||||||||||||||||||||||
33051 | รายงานความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร | นร | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการดำเนินโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรได้มีมติเห็นชอบในการกำหนดสูตรปุ๋ยเพิ่มเติมอีก ๓ สูตร ได้แก่ สูตร ๑๘ - ๔๖ - ๐ สูตร ๐ - ๐ - ๖๐ และ สูตร ๑๓ - ๑๓ - ๒๑ เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินโครงการที่กำหนดการชดเชยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลังเพิ่มเติม ๑.๒ โครงการได้เริ่มต้นดำเนินการในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือทุกจังหวัด ตั้งแต่วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ต่อจากนั้นจะดำเนินโครงการในภาคกลางทุกจังหวัดประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ และในพื้นที่ภาคใต้เป็นภาคสุดท้าย โดยในชั้นแรกที่จะดำเนินการในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้ปุ๋ยสูตร จำนวน ๗ สูตร ได้แก่ สูตร ๔๖ - ๐ - ๐ สูตร ๑๖ - ๒๐ - ๐ สูตร ๑๖ - ๑๖ - ๘ สูตร ๑๖ - ๘ - ๘ สูตร ๑๘ - ๑๒ - ๖ สูตร ๑๕ - ๑๕ - ๑๕ และสูตร ๑๓ - ๑๓ - ๒๑ ในพืช ๓ ชนิด คือ ข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง ๑.๓ คณะกรรมการฯ ได้กำหนดคำแนะนำในการใช้ปุ๋ยของเกษตรกรและสิทธิที่จะได้รับการชดเชยราคาปุ๋ย จากข้อมูลของเกษตรกรโครงการประกันรายได้ของพืช ๓ ชนิด ได้แก่ ข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง ปีเพาะปลูก ๒๕๕๓/๕๔ ซึ่งมีเนื้อที่ปลูกพืชเกษตรกรดังกล่าวรวม ๗๑.๔๗ ล้านไร่ และประมาณการจำนวนปุ๋ยที่เกษตรกรต้องใช้ตามสิทธิและสอดคล้องกับคำแนะนำทางวิชาการของโครงการเป็นจำนวน ๒.๒๙ ล้านตัน ซึ่งคาดว่าจะใช้วงเงินชดเชยค่าปุ๋ยประมาณทั้งสิ้น ๓,๔๓๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๔ คณะกรรมการฯ ได้มีมติให้ดำเนินโครงการ ๘๔ ตำบลปุ๋ยลดต้นทุนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมายุ ๘๔ พรรษา โดยใช้ข้อมูลจากการเก็บและวิเคราะห์ดินจากหมอดินอาสาและเจ้าหน้าที่ของกรมพัฒนาที่ดิน โดยในพื้นที่ภาคกลางจะเป็นการดำเนินการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลดินให้แล้วเสร็จภายใน ๖ สัปดาห์ เพื่อใช้ในปีเพาะปลูกปัจจุบัน ส่วนพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๕ เดือน เพื่อนำข้อมูลดินมาใช้ในการดำเนินงานครั้งต่อไป ๒. การพิจารณากำหนดสูตรปุ๋ยเพิ่มเติมอีก ๓ สูตร สมควรที่คณะกรรมการฯ จะพิจารณาดำเนินการไปได้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับหลักวิชาการและการชดเชยพืชเพิ่มเติมอีก ๒ ชนิด คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง
|
||||||||||||||||||||||||
33052 | การปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารเรือสาธารณะ | นร | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเลื่อนกำหนดวันปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารเรือสาธารณะครั้งใหม่ จากเดิมที่คณะกรรมการเรือเดินประจำทางได้มีมติให้ปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารเรือสาธารณะ โดยเรือด่วนเจ้าพระยาทุกประเภทและเรือด่วนคลองแสนแสบปรับขึ้น ระยะละ ๑ บาท และเรือข้ามฟาก ๓ ท่าเรือ คือ ท่าเรือสาทร ท่าสี่พระยา และท่าสมุทรเจดีย์ ปรับขึ้นจำนวน ๕๐ สตางค์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ เป็นต้นไป เปลี่ยนเป็น ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
33053 | รายงานผลการดำเนินการของโรงเรียนวิวัฒน์พลเมือง | นร | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรายงานว่า กรมคุมประพฤติเป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบการดำเนินการของโรงเรียนวิวัฒน์พลเมือง มีกระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานภาคี ได้ดำเนินการฝึกวิชาชีพให้กับผู้ต้องขังโดยเน้นการประกอบธุรกิจส่วนตัวเพื่อนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ประกอบอาชีพเมื่อกลับสู่สังคมอีกครั้ง แต่ประสบปัญหาการขาดเงินทุนและสถานที่ประกอบอาชีพ ทำให้มีผู้กลับไปกระทำผิดอีก ส่วนประวัติผู้ต้องขัง กระทรวงยุติธรรมกำลังดำเนินการออกกฎหมายเพื่อลบประวัติการถูกต้องขัง แต่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องยังบันทึกประวัติการถูกต้องขังอยู่ รวมทั้งมีการจัดทำโครงการการนำคนดีคืนสู่สังคม โดยให้ทุนการศึกษา อบรม และจ้างงานในหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรม และภาคเอกชนที่ยอมรับ ๒. รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ภาครัฐควรพิจารณาในการรับสมัครและบรรจุข้าราชการหรือพนักงานอื่น ๆ ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ
|
||||||||||||||||||||||||
33054 | สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค | นร | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ (ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอธิบดีกรมการค้าภายใน) รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ราคาสินค้าเกษตร ๑.๑.๑ ราคาพืชผักคาดว่าจะปรับตัวลดลง เนื่องจากมีผลผลิตออกสู่ตลาดปริมาณมาก ๑.๑.๒ ราคาขายปลีกเนื้อสุกรยังคงตรึงราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ ๑๒๕ - ๑๓๕ บาท ยกเว้นเนื้อสันนอก - สันใน และเนื้อแต่ง จะมีราคาสูงกว่าเล็กน้อย สำหรับราคาหน้าฟาร์มสุกรทั้งตัวอยู่ที่กิโลกรัมละประมาณ ๗๐ บาท ทั้งนี้ ในช่วงนี้ได้เน้นให้ชะลอการส่งออกไว้ก่อน ๑.๑.๓ ราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มอยู่ที่กิโลกรัมละ ๒.๙๐ บาท โดยคิดจากราคาต้นทุนการผลิตที่ ๒.๒๐ บาท ๑.๑.๔ ราคาเนื้อไก่มีการขยับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมีปริมาณการส่งออกมาก โดยราคาไก่หน้าฟาร์มอยู่ที่กิโลกรัมละ ๕๕ บาท ส่วนราคาขายปลีกเนื้อไก่ ไก่สดทั้งตัว (ไม่รวมเครื่องใน) อยู่ที่กิโลกรัมละ ๗๔ - ๗๕ บาท ๑.๒ ราคาสินค้าอุปกรณ์บริโภค ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีการแจ้งขอปรับราคาสินค้า รวม ๑๑ รายการ โดยกรมการค้าภายในได้เห็นชอบปรับราคาไปแล้วตามต้นทุนวัตถุดิบสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น จำนวน ๔ รายการ ได้แก่ น้ำมันปาล์ม น้ำมันพืชถั่วเหลือง นมสด และปุ๋ยเคมี สำหรับสินค้าที่ส่อแววว่าอาจจะมีปัญหา คือ เหล็ก สายไฟฟ้า (ราคาทองแดงสูงขึ้น) และแบตเตอรี่ (ราคาตะกั่วสูงขึ้น) ทั้งนี้ สถานการณ์ภาพรวมของราคาสินค้าภายในประเทศ โดยเฉลี่ยอยู่ในเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไว้ โดยในเดือนมกราคม - เมษายน ๒๕๕๔ ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index - CPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๒๕ ๒. คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ๒.๑ เนื่องจากขณะนี้หลายฝ่ายยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับราคาน้ำมันปาล์มว่ารัฐบาลสั่งให้ตรึงราคาจำหน่ายไว้ที่ขวดลิตรละ ๔๗ บาท กระทรวงพาณิชย์จึงควรเร่งทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกันว่าราคาดังกล่าวนั้นเป็นเพียงราคาเพดานสูงสุดเท่านั้น ราคาจำหน่ายจริงต้องเป็นไปตามภาวะตลาดและต้นทุนการผลิต ซึ่งในขณะนี้มีแนวโน้มลดลงโดยลำดับ จึงควรติดตามและกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการพิจารณาปรับลดราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์มให้ลดลงจากปัจจุบัน ๒.๒ ในส่วนของราคาสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะไข่ไก่ เนื้อหมู และลูกไก่ ราคาจำหน่ายในปัจจุบันยังคงมีราคาค่อนข้างสูงกว่าที่ควรจะเป็น กระทรวงพาณิชย์จึงควรเร่งตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงและประสานงานกับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาปรับลดราคาสินค้าดังกล่าวให้เหมาะสม สอดคล้องกับราคาต้นทุนที่แท้จริงของสินค้าแต่ละประเภท แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
33055 | สรุปสถานการณ์ปัญหาและผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด | นร | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสรุปสถานการณ์ปัญหาและผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดตามแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑลในระยะเร่งด่วน (แผนยุทธการ ๓๑๕) ในระหว่างวันที่ ๑ - ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานสืบสวนปราบปรามในพื้นที่เป้าหมาย (กรุงเทพมหานคร และจังหวัดปริมณฑล) เกี่ยวกับนักค้ายาเสพติด รวมทั้งสิ้น ๑,๖๐๓ คน ๑.๒ การดำเนินงานต่อข้อร้องเรียนของประชาชน โดยให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสบุคคลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด รวมทั้งสิ้น ๕๕๘ คน ๑.๓ การดำเนินคดีตามกฎหมายในพื้นที่เป้าหมาย (กรุงเทพมหานคร และจังหวัดปริมณฑล) ๑๒๖ สน./สภ. มีผลการจับกุม รวม ๗,๐๘๔ คดี ผู้ต้องหา ๗,๑๔๗ คน และยึดทรัพย์ ๑๕ ราย มีมูลค่าทรัพย์สินที่อายัดไว้รวมกว่า ๔ ล้านบาท ๑.๔ การให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับผู้ค้าและผู้เสพ รวมทั้งเน้นการชักชวนให้ผู้เสพสมัครใจเข้าสู่ระบบสมัครใจ๐บำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด รวม ๗๕๘ หมู่บ้าน/ชุมชน และนำผู้เสพเข้าสู่ระบบแล้ว จำนวน ๖๔๙ คน ๑.๕ การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติภารกิจของกองอำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล (กอ.ฉก.ปส. ๓๑๕) ตามแผนยุทธการ ๓๑๕ ต่อสาธารณชน เช่น การจัดตั้งจุดตรวจจุดสกัดยาเสพติดบนถนน ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอเพิ่มเติมว่าควรเน้นการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ผลการดำเนินงานของ กอ.ฉก.ปส. ๓๑๕ โดยเปรียบเทียบผลการดำเนินงานดังกล่าวในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
33056 | รายงานสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 31/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) รายงานสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่พระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ มีผลบังคับใช้ จนถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ ศอ.บต. ได้ดำเนินการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีการพัฒนาเครือข่ายเพื่อสร้างความไว้วางใจระหว่างฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และประชาชน มีการตราพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อใช้พัฒนาและอำนวยความเป็นธรรมในการขจัดปัญหาที่เป็นเงื่อนไข อุปสรรค และข้อจำกัดต่าง ๆ มีการลงโทษผู้กระทำผิดและชมเชยผู้กระทำความดี และมีการจัดตั้งศูนย์อำนวยความเป็นธรรมภาคประชาชนระดับตำบล (KEADILAN CENTER) เพื่อให้บริการประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้รับความสะดวกในการใช้สิทธิฟ้องคดีศาลปกครอง รวมทั้งมีการสำรวจความคิดเห็นต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความพึงพอใจในการแก้ไขปัญหาโดยรวมของรัฐบาล
|
||||||||||||||||||||||||
33057 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี (วันที่ 23 พฤษภาคม 2554) | นร | 23/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่าได้ลากิจในวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ระหว่างเวลา ๑๒.๐๐ - ๑๕.๐๐ น. ส่วนรองนายกรัฐมนตรีที่จะเป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีในวันและเวลาดังกล่าว นั้น จะเป็นไปตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๑๓/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
|
||||||||||||||||||||||||
33058 | รายงานการจัดการภัยพิบัติและการฟื้นฟูบูรณะหลังการเกิดภัย | นร | 18/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการจัดการภัยพิบัติและการฟื้นฟูบูรณะหลังการเกิดภัย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ พัฒนากลไกการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเพิ่มบทบาทของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้เป็นกลไกระดับชาติเพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการและสั่งการ และกำหนดให้เป็นศูนย์กลางข้อมูลภัยพิบัติที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน โดยให้ส่วนราชการและภาคเอกชนจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อรองรับการดำเนินงานภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ รวมทั้งมีการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการเร่งรัดดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยระยะเร่งด่วน และแผนระยะยาวด้านการฟื้นฟูบูรณะหลังการเกิดภัย ๑.๒ ส่งเสริมระบบงานอาสาสมัครของประเทศอย่างจริงจัง โดยวางระบบเพื่อพัฒนางานอาสาสมัครให้มีศักยภาพอย่างเต็มที่ และมีมาตรฐานตามหลักสากล ๑.๓ จัดระบบการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่น โดยวางระบบการฝึกอบรมเพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติต่าง ๆ โดยมีชุมชนเป็นฐานการพัฒนาที่สำคัญ ๑.๔ ผนึกกำลังของภาคส่วนต่าง ๆ โดยการสนับสนุนและช่วยเหลือประสานเชื่อมโยงพลังของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน กองทัพ ภาคประชาสังคม และอาสาสมัครต่าง ๆ เพื่อทำงานร่วมกันให้บรรลุวัตถุประสงค์ ๑.๕ การผนวกมาตรการด้านการจัดการสาธารณภัยไว้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนา โดยการพัฒนาระบบฐานข้อมูล ระบบการสื่อสาร ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบอย่างดีคำนึงถึงความเสี่ยงด้านภัยพิบัติ และงานศึกษาวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับการบริหารจัดการภัยพิบัติและการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะมีการประมวลประเด็นต่าง ๆ เพื่อนำเสนอไว้ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๒.๑ การบริหารจัดการภัยพิบัติ ควรเน้นเรื่องการเตือนภัยล่วงหน้าและการสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศเพื่อบริหารจัดการภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติแล้วควรประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานจัดการภัยพิบัติระดับชาติที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู บรรเทาผลกระทบของผู้ประสบภัยเป็นไปอ่ยางมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ๒.๒ การแก้ไขปัญหาและให้การช่วยเหลือฟื้นฟูบูรณะหลังการเกิดภัยพิบัติควรประสานงานกับกระทรวงกลาโหมอย่างใกล้ชิดเพื่อเหล่าทัพต่าง ๆ จะได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการมากยิ่งขึ้น ๒.๓ การใช้ประโยชน์สนามบินอู่ตะเภา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งรัดการดำเนินการเพื่อพัฒนาปรับปรุงการใช้ประโยชน์สนามบินดังกล่าวในการเป็นฐานการดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างเหมาะสมและเต็มศักยภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งอาจพัฒนาเป็นศูนย์ฝึกอบรมการบินหรือศูนย์ฝึกอบรมการจัดการภัยพิบัติ เพื่อให้ความช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคที่ประสบภัยพิบัติได้ด้วย ๒.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมเรื่องบุคลากรเพื่อรองรับการจัดตั้งกลไกและระบบการจัดการภัยพิบัติในกรอบความร่วมมือความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและรับมือฉุกเฉิน
|
||||||||||||||||||||||||
33059 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ครั้งที่ 1/2554 | นร | 18/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๔ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ (กพข.) เสนอ โดยที่ประชุมฯ รับทราบเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๑ (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ๑.๒ ผลการวิเคราะห์ตัวชี้วัดและแนวทางการจัดการจุดอ่อนของประเทศไทยจากการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน โดย WEF และ IMD ๑.๓ สรุปผลการหารือร่วมกับ World Economic Forum เกี่ยวกับการจัดอันดับของไทยในรายงาน Global Competitiveness Report 2010 - 2011 ๑.๔ ผลการประชุมเวทีหารือเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum : WEF) ประจำปี ๒๕๕๔ ๑.๕ ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ IMD 2010 ๑.๖ ผลการจัดอันดับ The Ease of Doing Business 2011 ๑.๗ ผลการสัมมนาเรื่อง “การจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ โดย IMD” ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนี้ ๒.๑ การพัฒนาและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในด้านต่าง ๆ ควรมีแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และภาษาอังกฤษ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ในระยะยาว ทั้งนี้ ควรเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั้งในเชิงโครงสร้างและระบบการบริหารงาน ๒.๒ การพัฒนาด้านเศรษฐกิจในแต่ละภาคเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การท่องเที่ยวและการบริการ ควรจัดทำแผนปฏิบัติการและกำหนดเป้าหมายของการดำเนินการให้ชัดเจน ๒.๓ การเตรียมความพร้อมของประเทศเพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ควรจะต้องร่วมกันพิจารณาให้ชัดเจนและเร่งรัดการดำเนินการที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน เพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งและสามารถแข่งขันได้
|
||||||||||||||||||||||||
33060 | รายงานผลการประชุมคณะประศาสน์การขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ 310 | รง | 18/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะประศาสน์การขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ ๓๑๐ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ ๓ - ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติเลื่อนการจัดประชุมระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๕ ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๓ เมษายน ๒๕๕๔ ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ออกไป และให้กำหนดเวลาการจัดประชุมครั้งใหม่เสนอต่อคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๑๑ ในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ ๒. ความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการละเมิดอนุสัญญาของ ILO ฉบับที่ ๒๙ ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. ๑๙๓๐ ที่ให้สัตยาบันไว้ของรัฐบาลพม่า ที่ประชุมมีข้อสรุปว่า ขอให้รัฐบาลพม่ามีบทบาทเชิงรุกมากขึ้นในการแก้ไขสาเหตุของการใช้แรงงานบังคับ และให้สนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ของ ILO อย่างเต็มที่ รวมทั้งการออกวีซ่าแก่เจ้าหน้าที่ของ ILO ทั้งนี้ ให้ขอความช่วยเหลือทางวิชาการจาก ILO ในการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับอนุสัญญาฯ และต้องกำหนดห้ามการใช้แรงงานบังคับทุกรูปแบบ ลงโทษผู้ใช้แรงงานบังคับทุกคนไม่ว่าจะเป็นบุคคลในราชการหรือกองทัพ โทษอาญาที่หนักพอ รวมทั้งปล่อยตัวนักสหภาพแรงงาน และผู้ร้องเรียนว่ามีการใช้แรงงานบังคับโดยทันที ๓. การติดตามปัญหารัฐบาลพม่าถูกร้องเรียนว่าละเมิดอนุสัญญาของ ILO ฉบับที่ ๘๗ ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการร่วมเจรจาต่อรองที่ให้สัตยาบันไว้ ที่ประชุมมีมติให้รัฐบาลพม่าส่งร่างกฎหมายสหภาพแรงงานมาให้สำนักงาน ILO พิจารณาโดยทันที ส่วนการตั้งคณะกรรมาธิการไต่สวนของ ILO ขึ้นมาตรวจสอบกรณีพม่าละเมิดสิทธิสหภาพแรงงานและสิทธิมนุษยชน นั้น จะพิจารณาในการประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๑๒ ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔
|
.....