ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 40 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 781 - 800 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
781 | ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 2 | ทส | 24/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๒ ประกอบด้วย (๑) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย (๒) ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (๓) ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และ (๔) ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ๑.๒ เห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๒ เป็นแนวทางการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก รวมทั้งเป็นแนวทางการบูรณาการมิติสิ่งแวดล้อมเข้าสู่มิติสังคมและมิติเศรษฐกิจเพื่อการบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ และมีสาระสำคัญเป็นการปกป้องสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นส่วนร่วมหนึ่งที่นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเน้นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมทั่วโลกในประเด็นสำคัญ การสร้างความเข้มแข็งและประสานงานด้านสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ชิดมากขึ้น รวมถึงส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อม ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองในร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
782 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าดอยสุเทพบางส่วน ในท้องที่ตำบลสุเทพ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... | ทส | 16/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าดอยสุเทพ บางส่วน ในท้องที่ตำบลสุเทพ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าดอยสุเทพ บางส่วน ในท้องที่ตำบลสุเทพ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ รวมเนื้อที่ ๒,๓๔๙ ไร่ ๓ งาน ๘ ตารางวา เพื่อให้หน่วยงานดำเนินการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติพิเศษป่าดอยสุเทพตามภารกิจได้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรพิจารณาให้ความเห็นชอบการให้เข้าทำประโยชน์และให้เพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าดอยสุเทพ ในส่วนที่เกี่ยวกับ (๑) การก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยแม่เหียะน้อย เนื้อที่ประมาณ ๘๙ ไร่ ๕๗ ตารางวา (๒) การดำเนินการของสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ในส่วนเนื้อที่ประมาณ ๒๙๕ ไร่ ๑ งาน ๗๔ ตารางวา (๓) การดำเนินการของศูนย์ผลิตผลโครงการหลวง เนื้อที่ประมาณ ๑๐๔ ไร่ ๒๒ ตารางวา (๔) การดำเนินการของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเชียงใหม่ กรมการข้าว เนื้อที่ประมาณ ๗๔ ไร่ ๓ งาน ๗๒ ตารางวา (๕) การดำเนินการของศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดเชียงใหม่ (ผึ้ง) กรมส่งเสริมการเกษตร เนื้อที่ประมาณ ๗๙ ไร่ ๑ งาน ๕๙ ตารางวา และ (๖) การดำเนินการของศูนย์บริหารศัตรูพืชจังหวัดเชียงใหม่ กรมส่งเสริมการเกษตร เนื้อที่ประมาณ ๓๓ ไร่ ๓ งาน ๗๗ ตารางวา พร้อมกับการพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกานี้ไปในคราวเดียวกัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
783 | ขอความเห็นชอบโครงการบูรณาการการขุดลอกแหล่งน้ำ | ทส | 16/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินการโครงการบูรณาการการขุดลอกแหล่งน้ำ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในฤดูฝน และเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ในการอุปโภค บริโภค และการเกษตร สำหรับช่วงปลายฤดูฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ทำลายระบบนิเวศทางธรรมชาติ โดยให้จัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนของโครงการเพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการได้ภายใน ๑ เดือน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการดำเนินโครงการในระยะแรกให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๒. ให้หน่วยงานผู้ปฏิบัติหารือรายละเอียดโครงการและงบประมาณที่จะดำเนินการกับสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกรมการทหารช่าง หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยในการดำเนินโครงการฯ ๔. กรณีการเปลี่ยนแปลง/ยกเลิกสถานที่ดำเนินการ ค่าที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างภายในเขตพื้นที่จังหวัดเดียวกัน และการเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายต่าง ๆ ภายใต้แผนงานเดียวกันให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยกรณีที่จะกำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานดำเนินการ มีอำนาจเปลี่ยนแปลง/ยกเลิกสถานที่ดำเนินการ ค่าที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างภายในเขตพื้นที่จังหวัดเดียวกัน และมีอำนาจเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายต่าง ๆ ภายใต้แผนงานเดียวกันได้ นั้น เห็นสมควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้ครอบคลุมครบถ้วน และมีความชัดเจน แต่หากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสถานที่หรือรายการที่เป็นสาระสำคัญ ก็ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของระเบียบที่เกี่ยวข้อง และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๕. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||||||||||||||
784 | รายงานสรุปสถานการณ์และการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือของประเทศไทย ปี 2559 | ทส | 16/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอรายงานสรุปสถานการณ์และการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือของประเทศไทย ปี ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ถึง๑๕ เมษายน ๒๕๕๙ พบว่าตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เป็นต้นมา พื้นที่ภาคเหนือมีหมอกควันปกคลุมหนาแน่นเป็นบริเวณกว้างต่อเนื่องหลายวัน สาเหตุหลักเกิดจากกิจกรรมการเผาในพื้นที่ ลักษณะภูมิประเทศและสภาพอุตุนิยมวิทยาของภาคเหนือที่เป็นแอ่งกระทะ ล้อมรอบด้วยภูเขาสูง และหมอกควันข้ามแดน พบจุดความร้อนและหมอกควันหนาแน่นในอนุภูมิภาคแม่โขง อย่างไรก็ตาม พบว่า ๕ จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง น่าน และตาก มีสถานการณ์ดีขึ้น ทั้งจำนวนวันที่ฝุ่นละอองสูงเกินมาตรฐานและปริมาณฝุ่นละอองสูงสุดมีค่าลดลง ๑.๒ สรุปการดำเนินงานเพื่อป้องกันและรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ ได้แก่ การมอบนโยบายและซักซ้อมความเข้าใจหน่วยงานในพื้นที่ การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ ปี ๒๕๕๙ และการดำเนินงานในระดับพื้นที่ ๙ จังหวัดภาคเหนือ ๑.๓ สรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๑๖ เมษายน ถึง ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ กลับสู่สภาวะปกติ ฝุ่นละอองอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทุกสถานี แต่ในปีนี้เกิดความแห้งแล้งต่อเนื่องและยาวนาน ทำให้พื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์หมอกควันอย่างต่อเนื่อง ๑.๔ มาตรการเร่งด่วนรับมือสถานการณ์ และการแก้ไขปัญหาหมอกควันอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กำชับทุกหน่วยให้ยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์หมอกควันอย่างต่อเนื่อง โดยให้มีการสับเปลี่ยนกำลังพลเพื่อลดความเหนื่อยล้า เน้นย้ำให้จังหวัดกำหนดมาตรการควบคุมการเผาหลังพ้นช่วงเวลาห้ามเผาที่กำหนด รวมทั้งได้ขอให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการลดและควบคุมการเผาในที่โล่งอย่างต่อเนื่อง ระดมสรรพกำลังเฝ้าระวังและดับไฟอย่างเต็มที่ เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดแนวทางการสร้างจิตสำนึกในการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับรู้และตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
785 | รายงานผลการดำเนินการตามประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ระหว่าง เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2558) | ทส | 10/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๘) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นเรื่องที่เป็นหลักการ ๑.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจ/องค์การมหาชน จากงบประมาณทั้งสิ้น ๓๗,๕๔๒.๙๖๑๕ ล้านบาท เบิกจ่ายได้ ๔,๕๔๖.๙๗๔๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๒ ๑.๒ การเจรจาหรือจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ได้แก่ การประชุม Ad Hoc Working Group on the Durban Platform for Enhanced Action (ADP) การประชุมอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ ๑๓ การประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๑๔ การประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๒ การจัดทำความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) ไทย-ญี่ปุ่น บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในสาขาทรัพยากรน้ำระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๓ การจัดทำโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการ ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ อย่างเคร่งครัด การประกาศเชิญชวนผู้ที่สนใจได้ทราบล่วงหน้าในระบบ e-GP และเว็บไซต์ของหน่วยงานให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้องและดำเนินการอย่างโปร่งใส การจัดทำมาตรการป้องกันและลดโอกาสการทุจริตและประพฤติมิชอบ แจ้งเวียนขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง และจัดเวทีแสดงความคิดเห็นของประชาชน ๑.๔ การเสนอร่างกฎหมายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รวมจำนวน ๒๐ ฉบับ ประกอบด้วย ร่างพระราชบัญญัติ ๑๘ ฉบับ และร่างพระราชกฤษฎีกา ๒ ฉบับ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการทั้ง ๓ ประการ คือ (๑) ต้องเป็นการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่แท้จริงของการบังคับใช้กฎหมาย (๒) พึงระวังการแก้ไขกฎหมายที่เป็นการเพิ่มอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเพื่ออำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และ (๓) ให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจถึงหลักการและเหตุผลด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ๑.๕ การแต่งตั้งคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจ ได้แจ้งรัฐวิสาหกิจในสังกัดถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ โดยเคร่งครัด ๒. เรื่อง/โครงการสำคัญเร่งด่วน ๒.๑ การปรับโครงสร้างและการบริหารจัดการด้านพลังงาน อยู่ระหว่างเตรียมการจัดทำโครงการสร้างโรงไฟฟ้าจาก RDF (Refuse Derived Fuel) ในพื้นที่ทหาร โดยให้เอกชนลงทุน ๒.๒ การบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของประเทศ การจัดทำโครงการแก้มลิงเพื่อเป็นพื้นที่กักเก็บน้ำ โดยใช้พื้นที่ราชพัสดุ พื้นที่ราชการหรือพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม และการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเพื่อการอุปโภค บริโภค และนิคมอุตสาหกรรม ๒.๓ การแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรในระยะยาวและการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) การดำเนินการกำหนดแนวทางและมาตรการเชิงรุกในการดำเนินการแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรในระยะยาวเป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒.๔ การจัดหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร โดยดำเนินการ ๒ แนวทาง ได้แก่ แนวทางการจัดหาที่ดินให้แก่เกษตรกรในลักษณะที่ไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่อนุญาตให้เกษตรกรใช้ประโยชน์จากที่ดินประเภทต่าง ๆ และแนวทางการจัดพื้นที่ทำกินในลักษณะป่าเศรษฐกิจตามแนวทางโครงการธนาคารอาหารชุมชนตามพระราชดำริ (Food Bank) ๒.๕ การจัดการขยะมูลฝอยและน้ำเสีย องค์การจัดการน้ำเสียได้ดำเนินการโครงการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย โดยสามารถบำบัดน้ำได้ตามมาตรฐานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนดไว้ก่อนระบายลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ และกรมควบคุมมลพิษได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติงานการดำเนินงานตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ๒.๖ การจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรม ได้ดำเนินงานร่วมกับศูนย์บริการร่วม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการให้บริการประชาชนเกี่ยวกับการรับแจ้งเรื่องร้องเรียน และประสานส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขตามอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๗ การรวบรวมกฎหมายระเบียบที่ล้าสมัยหรือเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและพิจารณาความจำเป็นเร่งด่วนและจัดลำดับความสำคัญของร่างกฎหมาย ดำเนินการปรับปรุงกฎหมายเดิมและเสนอร่างกฎหมายใหม่ จำนวน ๒๐ ฉบับ ซึ่งประกาศใช้แล้ว ๕ ฉบับ และอยู่ระหว่างดำเนินการ เช่น ร่างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และซากผลิตภัณฑ์อื่น พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
786 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... | ทส | 10/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตพื้นที่ที่ได้มีการกำหนดให้เป็นเขตควบคุมอาคารตามพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในเขตจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นเขตพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมอันจะทำให้เกิดความสมดุลในการพัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์พื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเล น่านน้ำทะเล และเกาะต่าง ๆ ของจังหวัดภูเก็ต รวมทั้งศิลปกรรมหรือย่านอาคารเก่าที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ในเขตเทศบาลนครภูเก็ต และไม่เกิดช่องว่างของการบังคับใช้กฎหมายในการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานทุกประเภทหรือทุกขนาดตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานที่ต้องห้ามตามประกาศนี้ ถ้าได้รับคำขออนุญาตหรืออยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาตตามกฎหมายใดไว้แล้วก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับให้คงดำเนินการต่อไปได้จนกว่าจะไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้รับการต่ออายุใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น แต่จะดำเนินการอื่นเพิ่มเติมหรือนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาตไว้แล้วก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับไม่ได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการออกประกาศกระทรวงฯ เพื่อมิให้เกิดช่องว่างของการบังคับใช้ และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินงานตามประกาศกระทรวงฯ เกิดผลอย่างจริงจัง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
787 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งสหพันธรัฐรัสเซียและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือในการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม | ทส | 10/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งสหพันธรัฐรัสเซียและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือในการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม โดยวัตถุประสงค์ของการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ความร่วมมือทางวิชาการในการปกป้องสิ่งแวดล้อมระหว่างสองประเทศบนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน ๑.๒ เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะทำงาน (Working Group) เพื่อดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ ควรพิจารณาองค์ประกอบของคณะทำงานให้ครอบคลุมขอบเขตความร่วมมือ ซึ่งรวมถึงภาคการศึกษา วิจัย หน่วยงานอนุรักษ์และบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทั้งจากภาครัฐและองค์กรนอกภาครัฐ (NGO) เพื่อให้การดำเนินงานตามความร่วมมือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งควรพิจารณาสาระของบันทึกความเข้าใจฯ ให้สอดคล้องกับวาระการพัฒนาภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้ความสำคัญกับสาขาความร่วมมือที่มีส่วนสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ของประเทศให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และหากมีประเด็นที่จะต้องจัดทำความตกลงในเรื่องของการดูแลสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและผลประโยชน์ที่เกิดจากกิจกรรมและโครงการความร่วมมือภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้จัดเตรียมข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นการเฉพาะ โดยให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนเริ่มดำเนินกิจกรรมหรือโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
788 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2558 (เพิ่มเติม) และครั้งที่ 1/2559 | ทส | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ (เพิ่มเติม) จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ ๑.๑ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรมและเขตประกอบการอุตสาหกรรม ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง การกำหนดมาตรฐานค่าควันดำของเรือกลที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยการอัด ๑.๓ โครงการนำมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อมศิลปกรรมประเภทย่านชุมชนเก่าไปสู่การปฏิบัติ : แผนจัดการการอนุรักษ์และปรับปรุงสภาพแวดล้อมย่านชุมชนเก่าท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ๑.๔ โครงการทำเหมืองชนิดแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์) ของบริษัท ปูนซีเมนต์เอเซีย จำกัด (มหาชน) คำขอประทานบัตร ๒๓/๒๕๕๓ ร่วมแผนผังโครงการทำเมืองเดียวกันกับคำขอประทานบัตรที่ ๒๔/๒๕๕๓, ๒๕/๒๕๕๓, ๒๖/๒๕๕๓, ๒๗/๒๕๕๓ และประทานบัตรที่ ๓๒๔๕๘/๑๕๖๙๗, ๓๒๔๕๙/๑๕๖๙๘ ตั้งอยู่ที่ตำบลพุกร่าง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ๑.๕ การเสนอรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อเป็นกรรมการในคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอุตสาหกรรม และระบบสาธารณูปโภคที่สนับสนุน ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๒. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ จำนวน ๑๓ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑ โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายรังสิต-ชุมทาง บ้านภาชี ๒.๒ โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายมักกะสัน-ฉะเชิงเทรา ๒.๓ แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพิ่มเติม ๒.๔ ร่างกฎกระทรวง กำหนดให้พื้นที่ตำบลทรงคนอง ตำบลบางกระสอบ ตำบลบางน้ำผึ้ง ตำบลบางยอ ตำบลบางกะเจ้า และตำบลบางกอบัว อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ๒.๕ การขอขยายเวลาการบังคับใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดชลบุรี และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. ๒๕๕๓ รวม ๓ ฉบับ ออกไปอีก ๑ ปี ๒.๖ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... ๒.๗ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... ๒.๘ ร่างกฎกระทรวง กำหนดให้พื้นที่ตำบลบางแก้ว ตำบลบางจะเกร็ง ตำบลแหลมใหญ่ และตำบลคลองโคน อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณตำบลบางแก้ว ตำบลบางจะเกร็ง ตำบลแหลมใหญ่ และตำบลคลองโคน อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม พ.ศ. .... ๒.๙ ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ตำบลพระธาตุผาแดง ตำบลแม่ตาว และตำบลแม่กุ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และร่างกรอบแผนปฏิบัติการเพื่อฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ตาว ๒.๑๐ ร่างแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ๒.๑๑ การแก้ไขร่างบันทึกข้อตกลงโครงการ The Ratification and Early Implementation of the Minamata Convention on Mercury ๒.๑๒ การเสนอรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อเป็นกรรมการในคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอุตสาหกรรม และระบบสาธารณูปโภคที่สนับสนุน ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๒.๑๓ การแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
789 | แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ. 2559 - 2564) | ทส | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานตาม Road Map การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำจัดขยะมูลฝอยตกค้างสะสมในสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย การสร้างรูปแบบการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายที่เหมาะสม การวางระเบียบมาตรการการบริหารจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และการสร้างวินัยของคนในการจัดการขยะมูลฝอย ๑.๒ เห็นชอบแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) โดยมีกรอบแนวคิดในการลดการเกิดขยะมูลฝอยหรือของเสียอันตรายที่แหล่งกำเนิด การนำของเสียกลับมาใช้ซ้ำและใช้ประโยชน์ใหม่ ณ แหล่งกำเนิดตามหลักการ 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) เพื่อให้เกิดการจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน การส่งเสริมการกำจัดขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายแบบศูนย์รวม โดยใช้เทคโนโลยีแบบผสมผสานและการแปรรูปผลิตพลังงานอย่างเหมาะสม และความรับผิดชอบและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำแผนการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของจังหวัดให้สอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) และจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด เพื่อขอตั้งงบประมาณรายปีในการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม และให้มีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานจัดการขยะมูลฝอยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับในส่วนที่เกี่ยวกับการงบประมาณ ให้จัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ กรณีการบริหารจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุมครบถ้วน ทั้งหน่วยงานเจ้าภาพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งงบประมาณของแต่ละแนวทาง ตลอดจนมีความสอดคล้องกับปฏิทินงบประมาณอย่างเคร่งครัด และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักและจิตสำนึกในการจัดการขยะมูลฝอย การติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ โดยการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จทั้งในระดับประเทศและในระดับจังหวัดเพื่อให้ทราบถึงการบรรลุเป้าหมายการดำเนินงานการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศระยะสั้น (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) และให้เร่งรัดการดำเนินการโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการขยะมูลฝอยทั้งในพื้นที่นำร่องและในระดับชุมชนและหมู่บ้านภายใต้ Road Map การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ของส่วนราชการเป็นลำดับแรก เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่รับรู้ถึงผลสัมฤทธิ์และตระหนักถึงความสำคัญเกี่ยวกับการบริหารจัดการขยะมูลฝอย รวมทั้งให้รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของแผนแม่บทดังกล่าวมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันเงินรายได้ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดเก็บและเงินอุดหนุนจากรัฐบาลไม่เพียงพอ และจำเป็นที่จะต้องได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
790 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าฝั่งขวาแม่น้ำน่านตอนใต้ ในท้องที่ตำบลน้ำตก ตำบลบัวใหญ่ ตำบลสันทะ อำเภอนาน้อย และตำบลเมืองลี ตำบลบ่อแก้ว ตำบลนาทะนุง ตำบลปิงหลวง อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติขุนสถาน) | ทส | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าฝั่งขวาแม่น้ำน่านตอนใต้ ในท้องที่ตำบลน้ำตก ตำบลบัวใหญ่ ตำบลสันทะ อำเภอนาน้อย และตำบลเมืองลี ตำบลบ่อแก้ว ตำบลนาทะนุง ตำบลปิงหลวง อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติขุนสถาน) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรมีแนวทางที่จะทำให้ประชาชนในพื้นที่มีทัศนคติที่ดีในการร่วมมือกับภาครัฐในการอนุรักษ์พื้นที่ป่า โดยเฉพาะชุมชนที่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการดูแลรักษาพื้นที่ป่าอย่างยั่งยืน ควรส่งเสริมให้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางการดูแลพื้นที่ป่าด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป และดำเนินการออกกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในส่วนที่ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติตามร่างพระราชกฤษฎีกานี้ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีผลใช้บังคับแล้วต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
791 | การแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด | ทส | 26/04/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ .../๒๕๕๙ เรื่อง มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้ว่าราชการจังหวัด ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๖/๒๕๕๓ โดยแก้ไขนิยามคำว่า “สัตว์น้ำ” หมายความว่า สัตว์น้ำมาตรา ๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็น “สัตว์น้ำ” หมายความว่า สัตว์น้ำที่กำหนดนิยามไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการประมง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสัตว์น้ำในอนาคต และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด เกี่ยวกับการระงับความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดโดยด่วนต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินการศึกษาแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศให้แล้วเสร็จควบคู่กับการศึกษาผลกระทบของการเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยระบบปิดที่มีต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่น้ำจืดในภูมิภาคต่าง ๆ และศึกษาการกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่ที่ชัดเจนโดยละเอียด รวมทั้งการเร่งพิจารณาและกำหนดกรอบระยะเวลาในการจัดทำและประกาศใช้แผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศ การจัดเตรียมแนวทางและความพร้อมในการชี้แจงความจำเป็นในการเร่งปรับระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดให้มีความยั่งยืนและการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งขาวในเบื้องต้นอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม และการพิจารณาถึงความจำเป็นและเหมาะสมในการผ่อนผันให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งขาวที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมประมงภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
792 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (จำนวน 10 คน 1. นางปัจฉิมา ธนสันติ ฯลฯ) | ทส | 26/04/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ชุดใหม่ จำนวน ๑๐ คน เนื่องจากกรรมการชุดเดิมได้พ้นจากตำแหน่ง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ เมษายน ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นางปัจฉิมา ธนสันติ ประธานกรรมการ ๒. นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ กรรมการ ๓. นายดุสิต เขมะศักดิ์ชัย กรรมการ ๔. นางจิราพร คูสุวรรณ กรรมการ ๕. พลตรี ณัฏฐพัชร สกุลรังสฤษฏ์ กรรมการ ๖. นายสิรินทร์ แก้วละเอียด กรรมการ ๗. นายธนิต ธงทอง กรรมการ ๘. นายจรูญ อิ่มเอิบสิน กรรมการ ๙. นางสาวสิริวรรณ สุวรรณศร กรรมการ ๑๐. นางสาวเยาวนุช วิยาภรณ์ กรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
793 | การดำเนินงานรองรับการถ่ายโอนภารกิจหลักด้านการบริหารจัดการลุ่มน้ำ จากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงให้แก่ประเทศสมาชิก (Core River Basin Management Functions Decentralization) | ทส | 19/04/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการ “การดำเนินงานรองรับการถ่ายโอนภารกิจหลักด้านการบริหารจัดการลุ่มน้ำ จากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงให้แก่ประเทศสมาชิก (Core River Basin Management Functions Decentralization) ๑.๒ มอบหมายคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทยทำหน้าที่พิจารณารายละเอียดการดำเนินงานรองรับการถ่ายโอนภารกิจหลักด้านการบริหารจัดการลุ่มน้ำจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงให้แก่ประเทศสมาชิก (Core River Basin Management Functions Decentralization) และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำ ในฐานะสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย เป็นเจ้าภาพหลักรับผิดชอบแผนงบประมาณในเชิงบูรณาการเพื่อการใช้จ่ายงบประมาณร่วมกันของส่วนราชการที่รับผิดชอบดำเนินกิจกรรม และการจัดสรรงบประมาณตามแผนบูรณาการ ให้มีการจัดสรรตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณ เห็นควรให้มีการจัดสรรตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
794 | ขอความเห็นชอบการยกเลิกโครงการเงินกู้เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | ทส | 12/04/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการยกเลิกโครงการเงินกู้เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒ รายการโครงการสำรวจเบื้องต้นเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับหมู่บ้านที่ไม่มีน้ำประปาใช้ วงเงิน ๓๕.๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับกรณีที่กรมทรัพยากรน้ำได้ขอยกเลิกโครงการเงินกู้ฯ ก่อนหน้านี้แล้ว ๒ รายการ ได้แก่ รายการอนุรักษ์ฟื้นฟูหนองปลิง บ้านหนองแหน หมู่ที่ ๑ ตำบลนครเดิฐ อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย วงเงิน ๗.๕๐ ล้านบาท และรายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำบ้านหัวควน ตำบลน้ำผุด อำเภอละงู จังหวัดสตูล วงเงิน ๙.๘๖ ล้านบาท เนื่องจากมีการดำเนินการซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนในการดำเนินโครงการ จึงเห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาความซ้ำซ้อนของหน่วยดำเนินการก่อนเสนอขออนุมัติโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
795 | สรุปผลการประชุมระดับภูมิภาคอาเซียนด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ครั้งที่ 2 (2nd ASEAN Conference on Biodiversity) | ทส | 12/04/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปผลการประชุมระดับภูมิภาคอาเซียนด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ครั้งที่ ๒ (2nd ASEAN Conference on Biodiversity) ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานเปิดการประชุมฯ โดยผลลัพธ์ที่สำคัญของการประชุมฯ มีดังนี้
๑. การดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ค.ศ. ๒๐๑๑-๒๐๒๐ และเป้าหมายไอจิ (Strategic Plan for Biodiversity 2011-2020 and the Aichi Targets) ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเพิ่มความพยายามในการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ฯ ให้บรรลุผลสำเร็จภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ โดยเฉพาะการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพให้เป็นกระแสสังคมในปัจจุบัน การเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายในการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ป่า และการสร้างความสมดุลระหว่างการผลิตอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของประชากรที่เพิ่มขึ้น ๒. การดำเนินงานในระดับประเทศและระดับภูมิภาคเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศและอนุรักษ์ชนิดพันธุ์ ให้ดำเนินการเสริมสร้างความรู้และความตระหนักของสาธารณชนในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพอย่างต่อเนื่อง การเชื่อมโยงงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ากับนโยบายของประเทศให้มากขึ้น รวมทั้งการจัดการพื้นที่ที่มีความสำคัญทางระบบนิเวศและพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงร่วมกัน และบูรณาการโครงการริเริ่มด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทั้งในระดับชาติและระดับภูมิภาค ๓. การเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ เนื่องจากกฎระเบียบและกลไกที่มีอยู่ยังไม่มีประสิทธิภาพ ให้ประเทศสมาชิกอาเซียนดำเนินการอย่างจริงจังในการเข้าถึงและการแบ่งปันผลประโยชน์ โดยรวบรวมและบันทึกความรู้ที่สืบทอดตามธรรมเนียมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน และผนวกข้อกำหนดด้านการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์เข้าในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๔. ธุรกิจและความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ประชุมเห็นชอบร่วมกันในการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจส่งเสริมการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งเป็น “ต้นทุนทางธรรมชาติ” (natural capital) โดยให้ภาคธุรกิจของอาเซียนดำเนินธุรกิจในทิศทางที่เน้นการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน รวมถึงการดำเนินธุรกิจที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ๕. สุขภาพกับความหลากหลายทางชีวภาพ ให้ประเทศสมาชิกอาเซียนดำเนินการศึกษาวิจัย รวบรวมข้อมูลภูมิปัญญา ความรู้ที่สืบทอดตามธรรมเนียมประเพณีที่เกี่ยวกับสุขภาพและโภชนาการอาหารพื้นบ้าน วัฒนธรรมเกี่ยวกับอาหารพืชสมุนไพร ยาแผนโบราณ รวมถึงโรคที่ติดเชื้อจากสัตว์สู่คนและเชื้อดื้อยา จัดตั้งหน่วยงานเพื่อรวบรวมข้อมูลการแลกเปลี่ยนแบ่งปันข้อมูลข่าวสารระหว่างประเทศ และจัดทำกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสุขภาพและความหลากหลายทางชีวภาพ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
796 | ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เมืองเก่าพะเยา เมืองเก่าตาก เมืองเก่านครราชสีมา เมืองเก่าสกลนคร และเมืองเก่าสตูล | ทส | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าพะเยา เมืองเก่าตาก เมืองเก่านครราชสีมา เมืองเก่าสกลนคร และเมืองเก่าสตูล เพื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๔๖ ๑.๒ กรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาและจัดทำรายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อไป ประกอบด้วย ๑.๒.๑ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาทั่วไป มี ๗ ด้าน ได้แก่ (๑) การมีส่วนร่วมและการประชาสัมพันธ์ (๒) การสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน (๓) การส่งเสริมกิจกรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น (๔) การส่งเสริมคุณภาพชีวิต (๕) การป้องกันภัยคุกคามจากมนุษย์และธรรมชาติ (๖) การประหยัดพลังงานด้านการสัญจรและสภาพแวดล้อม และ (๗) การดูแลและบำรุงรักษาอาคารและสาธารณูปการ ๑.๒.๒ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาสำหรับเขตพื้นที่ (Zoning) ในพื้นที่หลัก มี ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน (๒) ด้านอาคารและสภาพแวดล้อม (๓) ด้านระบบการจราจรและคมนาคมขนส่ง (๔) ด้านการพัฒนาภูมิทัศน์ และ (๕) ด้านการบริหารและการจัดการ ๑.๒.๓ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาสำหรับเขตพื้นที่ต่อเนื่อง มี ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน (๒) ด้านอาคารและสภาพแวดล้อม (๓) ด้านระบบการจราจรและคมนาคมขนส่ง และ (๔) ด้านการพัฒนาภูมิทัศน์ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าที่มีพื้นที่คาบเกี่ยวหรืออยู่ในเส้นทาง/เขตทาง/พื้นที่ของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งอาจมีการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เมืองเก่า จำเป็นต้องมีการตรวจสอบร่วมกันอีกครั้ง ส่วนกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ควรมีการพิจารณาแนวทางและกรอบเวลาให้ชัดเจนเพื่อหน่วยงานจะได้สามารถวางแผนงาน/โครงการได้ รวมทั้งการดำเนินการใด ๆ กับโบราณสถาน ให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าประสานความร่วมมือกับภาคประชาชนและหน่วยงานในระดับพื้นที่หรือท้องถิ่นเพื่อให้มีความเข้าใจและมีส่วนร่วมในการดำเนินการตามกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ๕ เมืองดังกล่าว โดยในการดำเนินงานของส่วนราชการหากมีภาระด้านงบประมาณเพิ่มเติม ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมถึงการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ให้ครอบคลุมครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
797 | การลงนามความตกลงปารีส | ทส | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมในพิธีลงนามระดับสูงความตกลงปารีส (High-level signature ceremony of the Paris Agreement) ในวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๙ ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยสาระสำคัญของความตกลงฯ ครอบคลุมการดำเนินงานเกี่ยวกับการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อผลกระทบทางลบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสนับสนุนทางการเงิน การพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี การเสริมสร้างศักยภาพของประเทศกำลังพัฒนา และกรอบการรายงานข้อมูลให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานและการสนับสนุนการดำเนินงานแก่ประเทศกำลังพัฒนา ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้มีอำนาจลงนามในพิธีลงนามระดับสูงความตกลงปารีส ๑.๓ มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) เพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามในพิธีลงนามระดับสูงความตกลงปารีส และจัดส่ง note verbale เพื่อยืนยันการเข้าร่วมพิธีดังกล่าว โดยระบุชื่อและตำแหน่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ต่อฝ่ายสนธิสัญญา สำนักกฎหมายแห่งสหประชาชาติ (Treaty Section, United Nations Office of Legal Affairs) โดยด่วนต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์และบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคมที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับทราบบทบาทและภารกิจของแต่ละหน่วยงานที่ต้องมีส่วนร่วมดำเนินการตามความตกลงฯ มีการติดตาม ประเมินผล ทบทวนและปรับปรุงมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกต่าง ๆ ของประเทศไทยให้บรรลุผลตามเจตจำนงของประเทศต่ออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายในปี ๒๐๒๐ และ ๒๐๓๐ ตามลำดับ รวมถึงมาตรการการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยใช้ประโยชน์สูงสุดจากกลไกระหว่างประเทศทั้งด้านความช่วยเหลือทางเทคนิควิชาการ (การถ่ายทอดเทคโนโลยี) และทางการเงิน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ : Climate Fund) ตลอดจนเห็นควรเสนอความตกลงฯ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
798 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบกลางเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในวาระที่ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นประธานกลุ่ม 77 และจีน ประจำปี พ.ศ. 2559 | ทส | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการของการใช้งบประมาณจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในวาระที่ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นประธานกลุ่ม ๗๗ และจีน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการดำเนินงานในกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change : UNFCCC) ในวงเงิน ๒๑,๑๕๖,๒๐๐ บาท โดยเป็นค่าใช้จ่ายของกระทรวงการต่างประเทศ จำนวน ๑๓,๒๐๖,๒๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๗,๙๕๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเพื่อการปฏิบัติภารกิจดังกล่าวให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น และประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
799 | การลงนามในร่างบันทึกข้อตกลงโครงการ "Domestication of Endangered, Endemic and Threatened Plant Species in Disturbed Terrestrial Ecosystem in Malaysia and Thailand" | ทส | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการลงนามในร่างบันทึกข้อตกลงโครงการปรับปรุงสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคาม ในระบบนิเวศพื้นดินที่ถูกรบกวนในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย (Domestication of Endangered, Endemic and Threatened Plant Species in Disturbed Terrestrial Ecosystem in Malaysia and Thailand) ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยโครงการฯ มีวัตถุประสงค์หลักในการศึกษาวิจัยเพื่อปรับสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคาม ในระบบนิเวศพื้นดินที่ถูกรบกวนในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย เพื่อเป็นการศึกษา วิจัยความรู้ และบทเรียนในวิธีการที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในภูมิภาค โดยสำนักงานเลขานุการ ASEAN-Korea Forest Cooperation จะสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ จำนวน ๑,๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ๖ ปี นับจากวันลงนาม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ควรเน้นย้ำในการให้ความสำคัญและการปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity : CBD) ที่ไทยเป็นภาคีและอนุวัติในการดำเนินโครงการ ควรมีการจัดทำข้อตกลงการจัดส่งวัสดุชีวภาพ (Material Transfer Agreement) ในกรณีที่มีการเคลื่อนย้ายเชื้อพันธุกรรมทั้งพืช สัตว์ และจุลินทรีย์ ควรมีการจัดทำลายพิมพ์ดีเอ็นเอของพันธุ์พืชที่ทำการศึกษาในโครงการเพื่อเป็นหลักฐานในการระบุอัตลักษณ์พันธุ์พืชนั้น ๆ ของประเทศไทย ควรสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูระบบนิเวศ และการปรับปรุงสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคามอย่างยั่งยืน รวมทั้งควรนำระบบการบริหารจัดการ “สะแกราชโมเดล” ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งได้รับการรับรองจาก UNESCO ให้เป็นแหล่งสงวนชีวมณฑล (Biosphere Reserve) มาปรับใช้เพื่อขยายผลในระดับภูมิภาค และเป็นแบบอย่างที่ดีในการบริหารจัดการพื้นที่ป่าไม้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
800 | ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ 66 (SC66) และแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | ทส | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสรุปประเด็นสำคัญในวาระการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) ครั้งที่ ๖๖ ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ซึ่งที่ประชุมฯ มีมติให้ประเทศในกลุ่ม Primary Concern ซึ่งรวมถึงประเทศไทยเสนอรายงานเพิ่มเติมวิธีการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งชาติ การดำเนินการในกิจกรรมหรือประเด็นใหม่ ๆ หรือการพัฒนานโยบายในการต่อต้านการล่าช้างและค้างาช้างผิดกฎหมายไปยังสำนักเลขาธิการ CITES ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ ๑.๒ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๒.๑ ให้กรมการปกครองเร่งรัดการแก้ไขพระราชบัญญัติสัตว์พาหนะ พ.ศ. ๒๔๘๒ ให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการควบคุมช้างบ้านและป้องกันมิให้นำช้างที่ผิดกฎหมายมาจดทะเบียนเป็นช้างบ้าน ๑.๒.๒ ให้กรมการปกครองร่วมกับกรมปศุสัตว์และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เร่งรัดดำเนินการรวบรวมข้อมูล DNA ของช้างบ้านทั้งหมดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๒.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พิจารณาความเหมาะสมในการควบคุมการครอบครองสัตว์ในบัญชี CITES ที่เป็นสัตว์ต่างถิ่น (Non-native species) เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญา CITES และกำหนดมาตรการที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นในการควบคุม กำกับ ดูแลสวนสัตว์สาธารณะและสถานเพาะพันธุ์สัตว์ป่าที่มีสัตว์ตระกูลแมวใหญ่ของเอเชีย เพื่อมิให้มีการนำสัตว์ดังกล่าวเข้าสู่การค้าระหว่างประเทศที่ผิดกฎหมาย ๑.๓ เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการค้าและการครอบครองช้างไทยในประเทศ ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ๖ หมวดกิจกรรม ได้แก่ (๑) การออกระเบียบและกฎหมาย (๒) การพัฒนา/ปรับปรุงระบบทะเบียนข้อมูล (๓) การกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมาย (๔) การศึกษาวิจัยและเสริมสร้างศักยภาพ (๕) การประชาสัมพันธ์ และ (๖) การติดตามและประเมินผล ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมให้กรมศุลกากรเป็นหนึ่งในหน่วยงานรับผิดชอบในกิจกรรมพิจารณาทบทวนเส้นทางการลักลอบนำเข้า-ส่งออกงาช้างจากข้อมูล ETIS (The Elephant Trade Information System) และให้ความสำคัญในเรื่องประเด็นม้าน้ำ รวมถึงดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการด้านสัตว์ (Animals Committee : AC) อย่างจริงจัง และรายงานต่อสำนักเลขาธิการ CITES ทราบเป็นระยะ ๆ ก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาฯ (Standing Committee : SC) ครั้งที่ ๖๗ รวมทั้งควรมีการดำเนินการในเรื่องงาช้างอย่างต่อเนื่อง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการกับสัตว์ต่างถิ่นชนิดพันธุ์อื่น ๆ โดยให้มีการออกแบบการจัดการทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
.....