ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 41 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 801 - 820 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
801 | ร่างกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่จาง (ตอนขุน) บางส่วน ในท้องที่ตำบลนาสัก อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่จาง บางส่วน ในท้องที่ ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | ทส | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่จาง (ตอนขุน) บางส่วน ในท้องที่ตำบลนาสัก อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เพิกถอนพื้นที่บางส่วนของป่าแม่จาง (ตอนขุน) ซึ่งอยู่ในท้องที่ตำบลนาสัก อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๙๙ (พ.ศ. ๒๕๑๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ออกจากการเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ๒. ร่างกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่จาง บางส่วน ในท้องที่ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เพิกถอนพื้นที่บางส่วนของป่าแม่จาง ซึ่งอยู่ในท้องที่ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๐๒ (พ.ศ. ๒๕๐๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่า พุทธศักราช ๒๔๘๑ ออกจากการเป็นป่าสงวนแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
802 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) (จำนวน 5 ราย 1. นายพงศ์บุณย์ ปองทอง ฯลฯ) | ทส | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง จำนวน ๕ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายพงศ์บุณย์ ปองทอง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสุณี ปิยะพันธุ์พงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นางเปรมพิมล พิมพ์พันธุ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายสากล ฐินะกุล ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายเสริมยศ สมมั่น ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||
803 | การรับรองปฏิญญาลิมา (Lima Declaration) และแผนปฏิบัติการลิมา (Lima Action Plan) สำหรับปี ค.ศ. 2016 - 2025 | ทส | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบท่าทีต่อร่างปฏิญญาลิมา (Lima Declaration) และแผนปฏิบัติการลิมา (Lima Action Plan) สำหรับปี ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๕ โดยร่างปฏิญญาลิมามีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานของโครงการมนุษย์และชีวมณฑล (MAB) ในพื้นที่สงวนชีวมณฑล การเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกยูเนสโกให้การสนับสนุนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของโครงการมนุษย์และชีวมณฑล (MAB) และการแสดงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการลิมาฯ ส่วนแผนปฏิบัติการลิมาฯ เป็นร่างแผนปฏิบัติการสำหรับการดำเนินงานในพื้นที่สงวนชีวมณฑลในปี ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๕ โดยกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินงานออกเป็น ๕ ด้าน มีกรอบการดำเนินงานรวม ๒๙ ผลลัพธ์ ๖๒ กิจกรรม ๑.๒ อนุมัติให้คณะผู้แทนไทยที่ไปเข้าร่วมการประชุม World Congress of Biosphere Reserves ครั้งที่ ๔ รับรองปฏิญญาลิมาและแผนปฏิบัติการลิมาดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาลิมาและแผนปฏิบัติการลิมาดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการขยายผลการดำเนินงาน และเผยแพร่ผลกิจกรรมและวิธีปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จในพื้นที่สงวนชีวมณฑลให้กับพื้นที่อื่น ๆ รวมทั้งควรพัฒนาความร่วมมือกับเครือข่ายทั้งในประเทศและกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
804 | การประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการปรอท สมัยที่ 7 | ทส | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการปรอท [Intergovernmental Negotiating Committee (INC) to prepare a global legally binding instrument on mercury] สมัยที่ ๗ และการประชุมหารือในระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกเพื่อเตรียมการสำหรับการประชุม INC สมัยที่ ๗ ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานรับผิดชอบหลักที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานตามพันธกรณีของอนุสัญญามินามาตะฯ รวมทั้งประธานคณะอนุกรรมการอนุสัญญามินามาตะฯ ๑.๒ เห็นชอบต่อท่าทีของไทยสำหรับใช้ในการประชุม INC สมัยที่ ๗ โดยสนับสนุนการทำงานของ INC ในการเตรียมการเพื่อรองรับการมีผลใช้บังคับของอนุสัญญามินามาตะฯ และการจัดประชุมรัฐภาคีสมัยแรก การคำนึงถึงความยืดหยุ่น ศักยภาพ ขีดความสามารถ สถานการณ์ และความจำเป็นของประเทศกำลังพัฒนาในการจัดการปรอท การสนับสนุนความร่วมมือและการบูรณาการร่วมกันในการดำเนินงานตามพันธกรณีข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี และข้อตกลงที่สอดคล้องกับศักยภาพ และขีดความสามารถของประเทศ และไม่ขัดกับนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ ๑.๓ หากมีข้อเจรจาใดที่นอกเหนือจากท่าทีการเจรจาฯ และไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Legally Binding) ต่อประเทศไทย ให้เป็นดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นผู้พิจารณาจนสิ้นสุดการประชุมฯ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่การประชุม INC จะมีการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ จะต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนการทำความตกลง ตามมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และหากความตกลงดังกล่าวมีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการยกเว้นให้มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เคมีที่มีปรอทสำหรับหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจด้านการวิจัยและให้บริการทดสอบที่ยังมีความจำเป็นต้องใช้สารเหล่านี้ การจัดทำแผนการจัดการควบคุม การลดและเลิกใช้สารปรอทเพื่อให้ผู้ประกอบการมีระยะเวลาในการเตรียมความพร้อม การให้ความสำคัญกับการจัดการของเสียอันตรายซึ่งมีสารปรอทเจือปนอย่างจริงจัง และการวางแผนจัดเก็บข้อมูลสำหรับการติดตามและประเมินผลกระทบสะสม (Bioaccumulation) ของสารปรอท เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
805 | แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ ปี 2559 | ทส | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือปี ๒๕๕๙ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ มาตรการเตรียมการ มาตรการรับมือ (ก่อนวิกฤตและหลังวิกฤต) มาตรการฟื้นฟูและสร้างความยั่งยืน เพื่อกำหนดให้เป็นนโยบายรัฐบาล และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป สำหรับงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม ๙๓.๘๑๘๐ ล้านบาท เพื่อดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขหมอกควันภาคเหนือ ปี ๒๕๕๙ ในส่วนของการดำเนินงานของ ๙ จังหวัด โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานรับงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณแทนจังหวัดตามขั้นตอนต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือและที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามแผนระยะก่อนวิกฤตและระยะวิกฤตให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือตอนบน เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการจัดสรรงบประมาณ และเพื่อนำมาปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานในแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||||||||
806 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าแม่แคม ป่าแม่ก๋อน และป่าแม่สาย และป่าลำน้ำน่านฝั่งขวา ป่าจริม และป่าน้ำปาด บางส่วน ในท้องที่ ตำบลช่อแฮ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ และตำบลน้ำหมัน ตำบลจริม อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ .... | ทส | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าแม่แคม ป่าแม่ก๋อน และป่าแม่สาย และป่าลำน้ำน่านฝั่งขวา ป่าจริม และป่าน้ำปาด บางส่วน ในท้องที่ตำบลช่อแฮ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ และตำบลน้ำหมัน ตำบลจริม อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิกถอนอุทยานแห่งชาติ ป่าแม่แคม ป่าแม่ก๋อน และป่าแม่สาย และป่าลำน้ำน่านฝั่งขวา ป่าแม่จริม และป่าน้ำปาด บางส่วน ในท้องที่ตำบลช่อแฮ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ และตำบลน้ำหมัน ตำบลจริม อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ รวมเนื้อที่ ๑,๖๒๘ ไร่ ๒ งาน ๖๗ ตารางวา เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
807 | ขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย | ทส | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ในส่วนที่ ๓ บทบาทและอำนาจหน้าที่ของสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย และส่วนที่ ๔ องค์ประกอบของคณะผู้แทนไทยในคณะมนตรีและคณะกรรมการร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๓ แก้ไข ข้อ ๓.๑ จากเดิม รองอธิบดี รับผิดชอบงานคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย เป็น รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ จำนวน ๒ คน ซึ่งอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำมอบหมายเป็นรองเลขาธิการ ๒. ส่วนที่ ๔ ๒.๑ ยกเลิก องค์ประกอบของคณะผู้แทนไทยในคณะมนตรีและคณะกรรมการร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ในลำดับที่ ๒ (ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) และลำดับที่ ๓ (รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านทรัพยากรน้ำในแผ่นดิน) ๒.๒ แก้ไขเพิ่มเติม ลำดับที่ ๔ จากเดิม อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำเป็นเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ผู้แทนไทยสำรองในคณะกรรมการร่วม เป็น อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำเป็นเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย และเป็นผู้แทนไทยในคณะกรรมการร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ๒.๓ แก้ไขเพิ่มเติม ลำดับที่ ๕ จากเดิม รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำผู้รับผิดชอบงานคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย เป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ผู้แทนไทยสำรองในคณะกรรมการร่วม เป็น รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ จำนวน ๒ คน ซึ่งอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำมอบหมายเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย และเป็นผู้แทนถาวรไทยสำรองในคณะกรรมการร่วมคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
|
|||||||||||||||||||||||||||
808 | สรุปผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 22 (The 22nd Meeting of Mekong River Commission Council) | ทส | 23/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๒ (The 22nd Meeting of Mekong River Commission Council) ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ มกราคม ๒๕๕๙ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอเพิ่มเติมของไทยที่จะให้คณะทำงานประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศสมาชิกทำหน้าที่ศึกษาติดตามประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนจากการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำดอนสะโฮง ของลาว โดยใช้ข้อมูลและทรัพยากรที่มีอยู่ รวมทั้งให้มีการเพิ่มพูนความร่วมมือในการศึกษาด้านการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนร่วมกัน ๒. อนุมัติสัดส่วนการจ่ายเงินสนับสนุนคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๑๘ ตามที่ไทยเสนอคือ ไทย ร้อยละ ๓๐ กัมพูชา ร้อยละ ๒๐ ลาว ร้อยละ ๒๐ และเวียดนาม ร้อยละ ๓๐ พร้อมทั้งกำหนดให้งบประมาณสนับสนุนรวมจากประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐ ต่อปี ๓. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานการศึกษาการจัดการและพัฒนาแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน รวมทั้งผลกระทบจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน (Council Study) และให้มีการจัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนเพื่อประกอบการพิจารณาขยายระยะเวลาการศึกษาต่อไป ๔. อนุมัติการปรับปรุงกฎระเบียบวิธีปฏิบัติของคณะมนตรีและคณะกรรมการร่วมเพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานและความร่วมมือ ได้แก่ โครงสร้างการบริหารงาน สมัยประชุมต่าง ๆ การตัดสินใจ การสนับสนุนของหุ้นส่วนพัฒนา และบททั่วไป ๕. อนุมัติโครงสร้างองค์กรใหม่ของสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง แบ่งออกเป็น ๔ กอง คือ กองวางแผน กองจัดการสิ่งแวดล้อม กองสนับสนุนทางเทคนิควิชาการ และกองบริหารองค์กร เพื่อให้เป็นไปตามหลักการความร่วมมือของปฏิญญาหัวหิน พ.ศ. ๒๕๕๓ และประเทศสมาชิกให้คำมั่นที่จะมีการถ่ายโอนภารกิจหลักด้านการบริหารจัดการลุ่มแม่น้ำโขง จากคณะกรรมาธิการฯ ให้แก่ประเทศสมาชิก ๖. อนุมัติยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำ (BDS) บนฐานการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๐ ซึ่งระบุกรอบแนวทางในการใช้ การแบ่งปัน และการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ๗. อนุมัติแผนกลยุทธ์คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๐ มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนส่งเสริมให้การจัดทำแผนระดับชาติ โครงการ และการจัดการทรัพยากรบนพื้นฐานมุมมองระดับลุ่มน้ำ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของความร่วมมือระดับภูมิภาค การตรวจติดตามด้านทรัพยากรน้ำและทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง และการมุ่งสู่องค์กรที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งอนุมัติในหลักการต่อแผนการดำเนินงานประจำปี ค.ศ. ๒๐๑๖ ๘. รับทราบความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามแผนแม่บทระดับภูมิภาค เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจหลักด้านการบริหารจัดการลุ่มแม่น้ำโขงสู่ประเทศสมาชิก ซึ่งคณะมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งที่ ๒๐ เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ๙. รับทราบความก้าวหน้าของการดำเนินความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและประชาคมโลก ได้แก่ ความร่วมมือด้านการบรรเทาภัยแล้งและน้ำท่วมกับอาเซียน ความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรน้ำกับออสเตรเลียและรัสเซีย รวมถึงความร่วมมือด้านการประมง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเดินเรือ และไฟฟ้าพลังน้ำกับองค์กรระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
809 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) (นายทศพร นุชอนงค์ และนายธัญญา เนติธรรมกุล) | ทส | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายทศพร นุชอนงค์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ๒. นายธัญญา เนติธรรมกุล ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
|
|||||||||||||||||||||||||||
810 | รายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง การแก้ไขปัญหาที่ดินป่าไม้ของชาติ | ทส | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาที่ดินป่าไม้ของชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป โดยมีผลการพิจารณา ดังนี้
๑. ให้มีคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เพื่อกำหนดนโยบายด้านป่าไม้ของประเทศในภาพรวม โดยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นนโยบายของทุกรัฐบาล ๒. รวมกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชเข้าด้วยกัน เพื่อให้การป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้มีเอกภาพ ๓. จัดตั้งสำนักงานป่าไม้จังหวัดและสำนักงานป่าไม้อำเภอให้เป็นหน่วยงานส่วนภูมิภาค ๔. เห็นด้วยกับการจัดทำแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน ๑ : ๔,๐๐๐ (One Map) เพื่อปรับปรุงแนวเขตป่าไม้แต่ละประเภท ๕. ให้กรมที่ดินทำหน้าที่ดูแลฐานข้อมูลรูปแปลงที่ดินของรัฐ ๖. ควรเปิดเผยข้อมูลแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ ที่หวงห้ามของรัฐ และภาพถ่ายทางอากาศทุกชั้นปีให้ประชาชนเข้าถึง ๗. ควรบูรณาการฐานข้อมูลที่ดินป่าไม้ แนวเขตป่าไม้และที่ดินรัฐประเภทอื่นร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อให้เกิดความชัดเจนเป็นมาตรฐานเดียวกัน ๘. ควรทบทวนกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับแนวเขตที่ดินของรัฐโดยให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม
|
|||||||||||||||||||||||||||
811 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2558 และครั้งที่ 5/2558 | ทส | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๖ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการทางหลวงหมายเลข ๑๑๘ สายเชียงใหม่-เชียงราย ตอนอำเภอดอยสะเก็ด-บ้านแม่เจดีย์ ของกรมทางหลวง (๒) โครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองตำมะลัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลตำมะลัง อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ของกรมทางหลวงชนบท (๓) โครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าระดับแรงดัน ๑๑๕ กิโลโวลต์ ช่วงสถานีไฟฟ้าฮอด อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ถึงสถานีไฟฟ้าแม่สะเรียง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (๔) (ร่าง) กรอบทิศทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมตามมาตรา ๒๓ (๔) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙ และ (ร่าง) ระเบียบคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขอจัดสรรและขอกู้ยืมเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ....) (๕) รายงานโครงการศึกษาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ในพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และ (๖) แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๒ มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๑ เรื่อง ได้แก่ โครงการระบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ๒. ให้ทุกส่วนราชการจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อให้โครงการสำคัญต่าง ๆ สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
812 | ขอความเห็นชอบในการยกเลิกโครงการเงินกู้เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | ทส | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการยกเลิกโครงการเงินกู้เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒ จำนวน ๒ รายการ วงเงินรวม ๑๗.๓๖ ล้านบาท ประกอบด้วย รายการอนุรักษ์ฟื้นฟูหนองปลิง บ้านหนองแหน หมู่ที่ ๑ ตำบลนครเดิฐ อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย วงเงิน ๗.๕๐ ล้านบาท และรายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำบ้านหัวควน ตำบลน้ำผุด อำเภอละงู จังหวัดสตูล วงเงิน ๙.๘๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นว่าหน่วยงานเจ้าของโครงการควรพิจารณาความจำเป็นและความซ้ำซ้อนในการดำเนินโครงการก่อนเสนอขออนุมัติดำเนินโครงการในโอกาสต่อไป ส่วนวงเงินของรายการดังกล่าวที่ได้รับจัดสรรจากสำนักงบประมาณแล้ว จำนวน ๑๓.๒๙ ล้านบาท เห็นควรให้กรมทรัพยากรน้ำประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการส่งคืนเงินงวดที่ได้รับจัดสรรแล้วต่อไป และให้กรมทรัพยากรน้ำประสานกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และกรมบัญชีกลางเกี่ยวกับการส่งคืนเงินกู้ตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ถูกต้องครบถ้วน สำหรับรายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำบ้านหัวควนฯ จังหวัดสตูล หากยังมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่อ เพื่อประโยชน์แก่ทางราชการและประชาชน ก็สมควรเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการขอใช้พื้นที่ราชพัสดุโดยด่วน และขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับรายการดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
813 | รายงานผลการลงนามความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่น | ทส | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการลงนามความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ร่วมลงนามความร่วมมือฯ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่น กรุงโตเกียว ซึ่งในการลงนามความร่วมมือทวิภาคี JCM กับประเทศญี่ปุ่น ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์เกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับสูงมาสู่ประเทศไทย และสร้างโอกาสในการเป็นฐานการผลิตเทคโนโลยีระดับสูงต่อไปในอนาคต การกระตุ้นการลงทุนในประเทศไทยและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน การดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงิน รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพด้านการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกจากประเทศญี่ปุ่น ตลอดจนผลประโยชน์ร่วมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจก อาทิ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดต้นทุนการผลิต ลดมลภาวะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจ สังคมคาร์บอนต่ำ ตามนโยบายรัฐบาลและแผนระดับชาติ นอกจากนี้ ภายใต้กลไก JCM ประเทศญี่ปุ่นจะให้การสนับสนุนความรู้ทางเทคโนโลยีและงบประมาณไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโครงการ โดยโครงการของประเทศไทยที่ได้รับคัดเลือกในปี ๒๕๕๘ มีจำนวนทั้งสิ้น ๕ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการลดก๊าซเรือนกระจกในโรงงานทอผ้า (๒) โครงการผลิตไฟฟ้าด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคาโรงงาน (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานของเครื่องปรับอากาศและตู้แช่เย็นในร้านสะดวกซื้อ (๔) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานของระบบโครงสร้างพื้นฐานภายในโรงงานผลิตอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ และ (๕) โครงการติดตั้งระบบผลิตพลังงานร่วม (ไฟฟ้าและความร้อน) สำหรับโรงงานผลิตรถมอเตอร์ไซต์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการดำเนินการเพื่อสนับสนุนการพัฒนากลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในภาคอุตสาหกรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||
814 | ร่างข้อตกลงร่วมโครงการ Technical Assistance of Sewage Technology in Collaboration with Public and Private Sectors in Thailand ระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียกับหน่วยงานระบายน้ำของประเทศญี่ปุ่น | ทส | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างข้อตกลงร่วมโครงการ Technical Assistance of Sewage Technology in Collaboration with Public and Private Sectors in Thailand ระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียกับ Saitama Prefectural Government Bureau of Public Sewerage works (SAITAMA) ภายใต้โครงการความร่วมมือขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านเทคนิคขององค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ในลักษณะต่อยอดจากโครงการเดิมที่เป็นผู้ปฏิบัติงานที่มีความเชี่ยวชาญไปสู่การเป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการบำบัดน้ำเสีย และ SAITAMA จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลาดำเนินงาน ๑.๒ ให้ผู้แทน อจน. เป็นผู้ลงนามในร่างข้อตกลงร่วมฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ อจน. รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับปีที่จะมีการจัดทำและลงนามในร่างข้อตกลงร่วมฯ รวมทั้งระยะเวลาโครงการตามข้อตกลงร่วมฯ ในร่างข้อ ๑.๒ ของ Attachment และร่างข้อ ๖ ของ Annex ควรแก้ไขให้สอดคล้องกับเวลาในปัจจุบัน และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ อจน. ควรพิจารณาติดตามและรายงานผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอเมื่อมีความก้าวหน้าที่ชัดเจนตลอดระยะเวลาของโครงการฯ และจัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินงานโครงการฯ เพื่อเผยแพร่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบถึงการพัฒนาศักยภาพของ อจน. ในด้านการบริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสีย นอกจากนี้ อจน. และกรมควบคุมมลพิษควรมีบทบาทในการพิจารณาและให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อข้อเสนอความร่วมมือกับภาคเอกชนญี่ปุ่นด้านระบบท่อรวบรวมน้ำเสีย รวมถึงเทคโนโลยีระดับสูงในการบำบัดน้ำเสียให้แก่ภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของไทย ซึ่งปรากฏอยู่ภายใต้กิจกรรมที่ ๘.๔ และ ๘.๕ ภายใต้ข้อ ๘ กิจกรรมของโครงการ ในภาคผนวกของร่างข้อตกลงร่วมฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
815 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2557 | ทส | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมรายสาขา ประกอบด้วย ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรพลังงาน สิ่งแวดล้อมชุมชน สิ่งแวดล้อมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมศิลปกรรม ภาวะมลพิษ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่ดินและป่าไม้ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พลังงาน ภาวะมลพิษ และการแปรปรวนของสภาพอากาศ ๒. สถานการณ์สิ่งแวดล้อมประเด็นพิเศษ ประกอบด้วย ๔ เรื่อง ได้แก่ ภัยแล้งกับความมั่นคงด้านน้ำ อาหารและพลังงาน การใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าไม้ ขยะมูลฝอยชุมชนและของเสียอันตราย และการใช้พลังงานหมุนเวียน ๓. ข้อสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย ข้อเสนอการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านต่าง ๆ และข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมโดยรวมของประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
816 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (นายชลธิศ สุรัสวดี) | ทส | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายชลธิศ สุรัสวดี ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ แทนนายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ที่ขอลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ มกราคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
817 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูประบบกำจัดขยะเพื่อแก้ปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน) | ทส | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การปฏิรูประบบกำจัดขยะเพื่อแก้ปัญหาการจัดการมูลฝอยชุมชน) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การขับเคลื่อนการจำกัดขยะเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีที่จะใช้ และการบริหารจัดการ ๑.๒ กลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกล ควรสนับสนุนให้เกิดระบบการลด คัดแยก และใช้ประโยชน์ขยะมูลฝอยตั้งแต่ต้นทางให้มากที่สุด เพื่อให้เหลือขยะที่นำไปจัดการให้น้อยที่สุด ๑.๓ การมุ่งเน้นให้เอกชนมาลงทุนระบบกำจัดขยะมูลฝอยเพื่อผลิตพลังงานเพียงอย่างเดียวเป็นการจัดการที่ปลายเหตุ ควรดำเนินการด้านการลด การคัดแยก และการใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยตั้งแต่ต้นทางควบคู่กันไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่เอกชนจะสามารถลงทุนระบบกำจัดขยะเพื่อผลิตพลังงานควรพิจารณากองขยะเก่าที่ตกค้างสะสมในสถานที่กำจัดขยะด้วย ๑.๔ แผนผังพื้นที่และรูปแบบของโรงงานกำจัดขยะที่เสนอมาว่าต้องการพื้นที่ประมาณ ๖๐ ไร่ สำหรับขยะมูลฝอยจำนวน ๕๐๐-๗๐๐ ตันต่อวัน ไม่ควรระบุขนาดพื้นที่และเทคโนโลยี ๑.๕ แผนการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการขยะยังไม่มีความชัดเจน ๑.๖ การผลักดันเพื่อให้เกิดโครงการนำร่องในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ เห็นควรให้รัฐบาลกำหนดพื้นที่นำร่องก่อนเป็นลำดับแรก และให้ทุกหน่วยงานร่วมกันขับเคลื่อน ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
818 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 13 (13th ASEAN Ministerial Meeting on the Environment : 13th AMME) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | ทส | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ ๑๓ (13th ASEAN Ministerial Meeting on the Environment : 13th AMME) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมประเทศภาคีต่อข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ ๑๑ (11th Meeting of the Conference of the Parties to Haze Agreement : 11th COP HAZE) และการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๑๔ (14th ASEAN Plus Three Environment Ministers Meeting : 14th EMM+3) ระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม และร่วมกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม 13th AMME โดยเห็นว่า วิสัยทัศน์อาเซียนภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ นั้น สนับสนุนการยกระดับความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพและมีความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น และเรียกร้องให้อาเซียนสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน อีกทั้งยืนยันความมุ่งมั่นของประเทศไทยว่าพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกประเทศสมาชิกอาเซียน ดำเนินการต่อประเด็นท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมลพิษหมอกควันข้ามแดนที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการทำลายระบบนิเวศ ๒. การแก้ไขปฏิญญาอาเซียนภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ว่าด้วยวาระความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยุทธศาสตร์อาเซียน-จีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ฉบับสมบูรณ์ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความเห็นชอบในการประชุม 13th AMME ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันปรับแก้ไขในระหว่างการประชุม 13th AMME และการประชุมที่เกี่ยวข้อง โดยการแก้ไขดังกล่าวเป็นการปรับปรุงแก้ไขในรูปประโยคและขยายความเพื่อเพิ่มความเข้าใจของประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมกันซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
819 | สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 11 ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส | ทส | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๑ (The 21st session of the Conference of the Parties to the UNFCCC : COP 21) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๑ (The 11th session of the Conference of the Parties Serving as the Meeting of the Parties to the Kyoto Protocol : CMP 11) ระหว่างวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน-๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่งการประชุมฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจัดทำความตกลงใหม่ที่เป็นที่ยอมรับของทุกภาคีสมาชิกเพื่อใช้แทนที่พิธีสารเกียวโตซึ่งจะหมดวาระลงในปี ๒๐๒๐ ๑.๒ รับทราบสาระสำคัญของความตกลงปารีส (Paris Agreement) ได้แก่ (๑) การกำหนดเป้าหมายร่วมกันระดับโลก (๒) การกำหนดความร่วมมือด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (๓) การกำหนดความร่วมมือด้านการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (๔) การสนับสนุนทางการเงิน (๕) การจัดตั้งกรอบความร่วมมือด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี (๖) การเสริมสร้างกลไกความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพของประเทศกำลังพัฒนา และ (๗) การสร้างกรอบการรายงานข้อมูลให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานและการสนับสนุน และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำสาระความตกลงดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อการเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงปารีสในโอกาสต่อไป ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานภายในประเทศ ๑.๓.๑ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนที่นำทาง (Roadmap) ซึ่งระบุแนวทางและมาตรการในรายละเอียดเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้ตั้งไว้ ๑.๓.๒ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายรับผิดชอบ (National Designated Entities : NDE) ร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจัดทำฐานข้อมูลด้านเทคโนโลยีและแผนที่นำทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง (Technology database and roadmap) เพื่อนำไปเป็นกรอบในการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมสำหรับประเทศ รวมถึงเป็นกรอบในการหารือความร่วมมือระหว่างประเทศในการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี ๑.๓.๓ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจัดทำเป้าหมายการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ โดยเฉพาะเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกทุก ๕ ปี หลังจากปี ค.ศ. ๒๐๓๐ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานกลางในการประสาน ติดตาม ประเมินผลความก้าวหน้าการดำเนินงานในระดับประเทศ ๑.๓.๔ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพลังงาน กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีภารกิจเพิ่มเติมในการรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการคำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการรายงานและประเมินผลการดำเนินงานตามแผนงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจก และร่วมมือกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพัฒนาคู่มือการรายงานและติดตามผลการดำเนินงาน (Measure, Report, Verify : MRV) ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ๑.๓.๕ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานกลางในการประสาน ติดตาม การดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ได้รับการสนับสนุนเงิน เทคโนโลยี และการเสริมสร้างศักยภาพจากต่างประเทศ โดยขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรายงานข้อมูลดังกล่าว ๑.๔ มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจัดสรรจำนวนบุคลากรที่เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติภารกิจประธานกลุ่ม ๗๗ และจีน ในกรอบ (United Nations Framework Convention on Climate Change : UNFCCC) ในปี ๒๕๕๙ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการดำเนินงานภายในประเทศ ควรดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ได้เสนอไว้ โดยเร่งผลักดันการดำเนินการตามแผนต่าง ๆ ที่ใช้เป็นฐานในการคิดคำนวณเป้าหมายระยะยาวดังกล่าว รวมทั้งติดตามและประเมินผลความก้าวหน้าของการดำเนินการในระดับประเทศอย่างใกล้ชิดและเป็นไปตามมาตรฐานสากล ส่วนการเตรียมความพร้อมในฐานะประธานกลุ่ม ๗๗ ของไทยในกรอบ UNFCCC ในปี ๒๕๕๙ ควรแบ่งการดำเนินการออกเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ (๑) คณะผู้เจรจาของไทย และ (๒) คณะผู้สนับสนุนประธานกลุ่ม ๗๗ เพื่อประโยชน์และความคล่องตัวในการดำเนินการ นอกจากนี้ ให้มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมอยู่ในคณะผู้สนับสนุนประธานกลุ่ม ๗๗ และเพิ่มกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรายงานข้อมูลเพื่อประกอบการคำนวณก๊าซเรือนกระจก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
820 | รายงานผลการดำเนินการตามรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนและรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (เรื่อง สิทธิในการจัดการที่ดินและป่า กรณีประชาชนร้องเรียนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐอ้างคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 64/2557 และฉบับที่ 66/2557 ก่อให้เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน) | ทส | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนและรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (เรื่อง สิทธิในการจัดการที่ดินและป่า กรณีประชาชนร้องเรียนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐอ้างคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๖๔/๒๕๕๗ และฉบับที่ ๖๖/๒๕๕๗ ก่อให้เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยการจัดที่ดินทำกินให้ราษฎรได้ปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย ให้สิทธิทำกินแต่ไม่ให้กรรมสิทธิ์ การทวงคืนผืนป่าโดยยึดถือการปฏิบัติตามแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การวางแผนร่วมกับชุมชนเพื่อติดตามผู้มีอิทธิพลกับราษฎรในพื้นที่ การจัดให้มีกระบวนการตรวจสอบพิสูจน์สิทธิ รวมทั้งการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
.....