ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 39 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 761 - 780 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
761 | ท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 40 | ทส | 05/07/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ ระหว่างวันที่ ๑๐-๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ นครอิสตันบูล สาธารณรัฐตุรกี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานสถานภาพการอนุรักษ์พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทยชี้แจงทำความเข้าใจและโน้มน้าวคณะกรรมการมรดกโลก ๒๑ ประเทศ องค์กรที่ปรึกษา และศูนย์มรดกโลก เพื่อไม่ให้พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในภาวะอันตราย ๑.๒ การขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทยชี้แจงทำความเข้าใจและโน้มน้าวคณะกรรมการมรดกโลก ๒๑ ประเทศ องค์กรที่ปรึกษา และศูนย์มรดกโลก เกี่ยวกับสถานการณ์และวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน และสนับสนุนไทยในการขอปรับแก้ร่างข้อมติที่จะส่งผลต่อการดำเนินงานของไทยในอนาคต ๑.๓ การขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี ให้ถอน (Withdraw) วาระการนำเสนออุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเป็นมรดกโลกออกจากวาระการประชุม ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือประสานสถานเอกอัครราชทูตไทยในประเทศรัฐภาคีสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก ๒๑ ประเทศ เพื่อขอให้สนับสนุนท่าทีของไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ ๓. กรณีมีประเด็นอื่นที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการพิจารณากำหนดท่าทีในประเด็นอื่น ๆ โดยคำนึงถึงหลักการของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และข้อมูลด้านเทคนิคและวิชาการจากองค์กรที่ปรึกษา ๔. รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะ และเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีสเป็นรองหัวหน้าคณะ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมอบหมายให้ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเลขานุการหัวหน้าคณะ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอองค์ประกอบของคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศและกรอบการเจรจา) ๕. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||||||||
762 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ (จำนวน 12 คน 1. นางอรพินท์ วงศ์ชุมพิศ ฯลฯ) | ทส | 05/07/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ จำนวน ๑๒ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นางอรพินท์ วงศ์ชุมพิศ ด้านสิ่งแวดล้อม ๒. ศาสตราจารย์เผดิมศักดิ์ จารยะพันธุ์ ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ๓. ศาสตราจารย์ชุมพร ปัจจุสานนท์ ด้านนิติศาสตร์ ๔. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๕. นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ด้านเศรษฐศาสตร์ ๖. นายอดิศักดิ์ ทองไข่มุกต์ ด้านทรัพยากรธรณี ๗. นายประวิทย์ อินอ่วม ผู้แทนชุมชนชายฝั่งพื้นที่ จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ กรุงเทพฯ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ๘. นายไพวัลย์ สิอิ้น ผู้แทนชุมชนชายฝั่งพื้นที่ จังหวัดตราด จันทบุรี ระยอง ๙. นายประมวล รัตนานุพงศ์ ผู้แทนชุมชนชายฝั่งพื้นที่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ๑๐. นายวชิรพงศ์ สกุลรัตน์ ผู้แทนชุมชนชายฝั่งพื้นที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ๑๑. นายธนู แนบเนียร ผู้แทนชุมชนชายฝั่งพื้นที่ จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต ๑๒. นายบรรจง นฤพรเมธี ผู้แทนชุมชนชายฝั่งพื้นที่ จังหวัดกระบี่ ตรัง สตูล
|
||||||||||||||||||||||||
763 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (จำนวน 7 คน 1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิทักษ์ จันทร์เจริญ ฯลฯ) | ทส | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ จำนวน ๗ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิทักษ์ จันทร์เจริญ ประธานกรรมการ ๒. นายวีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขาบริหารเศรษฐกิจการเกษตร ๓. นายสันติ บุญประคับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ๔. นางดรุณี เอ็ดเวิร์ดส กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๕. นายสุพัฒน์ เอี้ยวฉาย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขาการเงิน ๖. นางกอบบุญ ศรีชัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขาบริหารธุรกิจ ๗. นายรัต ตระกูลฮุน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขานิติศาสตร์
|
||||||||||||||||||||||||
764 | การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 5 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | ทส | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของประเทศไทยที่มีส่วนร่วมดำเนินงานดูแล อนุรักษ์ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอย่างยั่งยืน รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการร่วมมือดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง อีกทั้งยังส่งเสริมบทบาทผู้นำของประเทศไทยในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และแสดงถึงความพร้อมตลอดจนภาพลักษณ์ที่ดีในการส่งเสริมความร่วมมือในอนุภูมิภาค ๒. การจัดประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีกำหนดจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน หรือเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยช่วงระยะเวลาในการจัดประชุมระดับรัฐมนตรีฯ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประเทศสมาชิกทั้ง ๖ ประเทศก่อน ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะต้องแจ้งการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ดังกล่าวต่อที่ประชุมประจำปีคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อมของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๒๒ ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และจัดทำคำของบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมต่อไป ซึ่งขณะนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่ระหว่างการเตรียมการจัดทำรายละเอียดวงเงินและคำของบประมาณ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ในวงเงิน ๑๒,๓๐๐,๐๐๐ บาท |
||||||||||||||||||||||||
765 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2559 | ทส | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบกระบวนการการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ปฏิรูปที่ดิน พื้นที่สาธารณประโยชน์ และพื้นที่ป่าชายเลน ในภาพรวม ๑.๒ รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) มีประเด็นเกี่ยวกับการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล รวม ๑๑ ประเด็น ได้แก่ (๑) รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๘ เรื่อง การจัดการที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (๒) รับทราบนโยบายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (๓) รับทราบกรณีจังหวัดยโสธรได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าโคกนาโก (๔) พื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ (๕) เห็นชอบกระบวนการการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ปฏิรูปที่ดิน พื้นที่สาธารณประโยชน์ และพื้นที่ป่าชายเลน (๖) เห็นชอบให้แต่งตั้งกรรมการในคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ภายใต้ คทช. (๗) ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการบูรณาการกฎหมายการบริหารจัดการที่ดิน (๘) รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ (๙) รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการประเมินผลสัมฤทธิ์การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน (๑๐) รับทราบความก้าวหน้าการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายของรัฐบาล ภายใต้ คทช. ในเขตปฏิรูปที่ดิน จังหวัดกาฬสินธุ์ และ (๑๑) รับทราบข้อมูลผู้ยากไร้ที่ดินทำกิน ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับความเห็นของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นจากการดำเนินภารกิจการจัดที่ดินทำกินฯ เห็นควรให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ภายใต้แผนงานบูรณาการจัดการปัญหาที่ดินทำกิน ซึ่งได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. กรณีเรื่องใดเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีในการให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติให้ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
766 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ตำบลทรงคนอง ตำบลบางกระสอบ ตำบลบางน้ำผึ้ง ตำบลบางยอ ตำบลบางกะเจ้า และตำบลบางกอบัว อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และข้อเสนอเชิงนโยบาย | ทส | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ตำบลทรงคนอง ตำบลบางกระสอบ ตำบลบางน้ำผึ้ง ตำบลบางยอ ตำบลบางกะเจ้า และตำบลบางกอบัว อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ตำบลทรงคนอง ตำบลบางกระสอบ ตำบลบางน้ำผึ้ง ตำบลบางยอ ตำบลบางกะเจ้า และตำบลบางกอบัว อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โดยกำหนดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม มาตรการห้ามกระทำการหรือกิจกรรม มาตรการบริหารจัดการและกำกับดูแลผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการจัดทำแผนฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมดังกล่าวต้องคำนึงถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งจากภาครัฐและเอกชน และต้องมีอุตสาหกรรมการบริการและเพื่อการสาธารณูปโภคสำหรับรองรับการขยายตัวของนักท่องเที่ยวและสำหรับการบริการเพื่อความสะดวกของประชาชนในพื้นที่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. รับทราบข้อเสนอเชิงนโยบาย ประกอบด้วย ข้อเสนอแนะเพื่อการอนุรักษ์พื้นที่บางกะเจ้า การจัดการระบบนิเวศน์ การดำเนินการเกี่ยวกับผังเมือง และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับข้อเสนอฯ ในประเด็นการสร้างแรงจูงใจให้กับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่บางกะเจ้า ที่จะไม่ละทิ้งพื้นที่และช่วยรักษาต้นไม้และระบบนิเวศน์ โดยการลดค่าใช้จ่ายในการใช้สาธารณูปโภค การสนับสนุนด้านการสาธารณสุขในการเข้าไปรักษาพยาบาลของรัฐในกรุงเทพมหานคร การชดเชยที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงินเพื่อให้ประชาชนไม่ละทิ้งพื้นที่และช่วยรักษาต้นไม้และระบบนิเวศน์ดังกล่าว รวมทั้งข้อเสนอฯ ในประเด็นรัฐบาลควรมีนโยบายที่จะย้ายโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าออกจากพื้นที่บางกะเจ้า ไปพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
767 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2559 | ทส | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) สถานการณ์น้ำและการคาดการณ์ (๒) การจัดการน้ำในต่างประเทศ (ประเทศสิงคโปร์และประเทศอิสราเอล) (๓) แผนและผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ปี ๒๕๕๗-๒๕๕๙ และกรอบการดำเนินงานปี ๒๕๖๐-๒๕๖๙ และ (๔) ประชารัฐ : บริหารจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริสู่ความยั่งยืน ๑.๒ เรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน ๖ เรื่อง ได้แก่ (๑) การปรับแผน (เพิ่มเติม) ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (๒) แนวทางการพิจารณาใช้คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มาตรา ๔๔ (๓) โครงการผันน้ำหลากลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง (๔) โครงการบรรเทาอุทกภัยเขตเศรษฐกิจเมืองสุโขทัย (๕) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำ และ (๖) การเชื่อมโยงและทำงานร่วมกันระหว่างคลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ และคณะกรรมการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการในหลายพื้นที่ควรจะต้องคำนึงถึงการบริหารจัดการและการบำรุงรักษาทางด้านเทคนิค เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของโครงการฯ สำหรับโครงการใดเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินงานให้ทันกับระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแต่ละโครงการ และดำเนินการตามระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในส่วนของภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามนโยบายแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ดังกล่าว เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ผลการศึกษาจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และงบประมาณที่ชัดเจนแล้ว ให้หน่วยงานใช้จ่ายจากเงินเหลือจ่ายหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีไปดำเนินการในโอกาสแรกก่อน รวมทั้งแหล่งงบประมาณอื่นตามนัยมติของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหากไม่เพียงพอ ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมหรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นเหมาะสม โดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. กรณีเรื่องใดที่เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีในการให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
768 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2558 | ทส | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ความเคลื่อนไหวที่สำคัญด้านสิ่งแวดล้อมในระดับโลก ระดับอาเซียน และในประเทศไทย ซึ่งให้ความสำคัญกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเน้นการเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม ๒. สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมรายสาขา พบว่า สถานการณ์สิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ได้แก่ สถานการณ์มลพิษ มลภาวะจากฝุ่นละออง ขยะชุมชนและขยะตกค้างมีปริมาณลดลง รวมทั้งการเพิ่มพื้นที่สีเขียว และสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้น และสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่มีแนวโน้มเสื่อมโทรมลง ได้แก่ การสูญเสียพื้นที่ป่า การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติและการใช้ทรัพยากรอย่างเกินความพอดี ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการเกิดปัญหาภัยแล้ง ๓. สถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ได้แก่ การมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ พื้นที่ปนเปื้อนมลพิษในประเทศไทย และการบริหารจัดการการท่องเที่ยวในพื้นที่อนุรักษ์ทางธรรมชาติ ๔. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ได้แก่ (๑) ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น โดยควรยึดหลักการป้องกันไว้ก่อนในการกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม (๒) ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน เศรษฐกิจสีเขียว และแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง (๓) สนับสนุนการบูรณาการทางความคิด การวางแผนงาน และการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ และ (๔) กำหนดให้มีการประเมินผลกระทบและผลได้ของนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ ๕. ข้อเสนอแนะเชิงมาตรการ ได้แก่ (๑) พัฒนาระบบสารสนเทศและการจัดเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของหน่วยงาน โดยให้มีการรวบรวมเรื่องที่สำคัญอย่างสม่ำเสมอและเน้นการจัดเก็บข้อมูลตามสาขาสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ (๒) สนับสนุนการมีส่วนร่วมในการดูแลอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของภาคเอกชนและภาคประชาชน (๓) ใช้กลไกงบประมาณเพื่อเป็นเครื่องมือในการยกระดับความสำคัญของประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม และ (๔) พัฒนาเครื่องมือที่ทันสมัยในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
||||||||||||||||||||||||
769 | กรอบนโยบายการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูง และโครงการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ระดับประเทศ (ฝ่ายไทย) | ทส | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ระดับประเทศ (ฝ่ายไทย) โดยได้มีการประชุมคณะกรรมการฯ รวม ๕ ครั้ง เพื่อกำหนดกรอบนโยบายการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จำนวน ๖ ข้อ ได้แก่ (๑) เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดน (๒) เพิ่มประสิทธิภาพของการปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูง (๓) เสริมสร้างและประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในระดับจังหวัดชายแดนไทยกับจังหวัดชายแดนกัมพูชาในการลาดตระเวน (๔) ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา (๕) ส่งเสริมความร่วมมือและประสานงานทั้งในระดับภูมิภาคและระดับระหว่างประเทศ และ (๖) ในการดำเนินการใด ๆ ของฝ่ายไทยและกัมพูชา ทั้งสองประเทศจะคำนึงถึงหลักการของอำนาจอธิปไตย สิทธิมนุษยชน และกฎหมายระหว่างประเทศ นอกจากนี้ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ระดับจังหวัด จำนวน ๗ จังหวัด ที่มีพื้นที่ติดต่อกับประเทศกัมพูชา กำหนดกรอบการลาดตระเวนโดยมีการประสานงาน (Coordinated Patrol) สำหรับลาดตระเวน รวมทั้งพิจารณางบประมาณสำหรับการดำเนินการแก้ไขการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ๑.๒ เห็นชอบกรอบนโยบายแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ สำหรับใช้เป็นกรอบการหารือในการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมระดับประเทศกับฝ่ายกัมพูชา ๑.๓ เห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยหารือกับฝ่ายกัมพูชาตามประเด็นที่อยู่ในกรอบการหารือเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ของทั้งสองฝ่าย หากที่ประชุมได้ตกลงกันนอกเหนือจากกรอบการหารือตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้และการตกลงดังกล่าวจะเกิดเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ความเห็นชอบ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ระดับประเทศ (ฝ่ายไทย)ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการจัดทำแผนงาน/โครงการรองรับตามผลการประชุมคณะกรรมการดังกล่าว และใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ภายใต้แผนบูรณาการเรื่องการรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติและแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินที่ได้รับจัดสรรจากงบประมาณ จำนวนทั้งสิ้น ๒,๑๓๗.๑๐๓๘ ล้านบาท ก่อนในโอกาสแรก หากไม่เพียงพอให้เสนอขอรับการจัดสรรจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งได้รับความเห็นชอบในหลักการจากนายกรัฐมนตรีแล้ว ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป รวมทั้งการดำเนินการตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงกรอบนโยบายการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
770 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ตำบลบางแก้ว ตำบลบางจะเกร็ง ตำบล แหลมใหญ่ และตำบลคลองโคน อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัด สมุทรสงคราม เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... | ทส | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ตำบลบางแก้ว ตำบลบางจะเกร็ง ตำบลแหลมใหญ่ และตำบลคลองโคน อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้พื้นที่ตำบลบางแก้ว ตำบลบางจะเกร็ง ตำบลแหลมใหญ่ และตำบลคลองโคน อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดมาตรการห้ามกระทำการหรือประกอบกิจการ มาตรการบริหารจัดการและกำกับดูแล ผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการจัดทำแผนการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำดอนหอยหลอดซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (Ramsar Site) ไม่ให้เสื่อมสภาพลงและมีระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติที่สมบูรณ์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรกำหนดเรื่องการทำประมงตามร่างข้อ ๗ (๑๑) ให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ และกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง และเห็นควรให้คลังก๊าซปิโตรเลียมเหลวของบริษัทเอ็นเอสแก๊ซ แอลพีจี จำกัด ซึ่งดำเนินการในพื้นที่บริเวณที่ ๒ ตามร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้สามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยจะต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย รวมทั้งเพิ่มผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม นอกจากนี้ การประกอบกิจการโรงงานทุกประเภทหรือทุกขนาดตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานที่ต้องห้ามตามประกาศนี้ ถ้าได้รับคำขออนุญาตหรืออยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาตตามกฎหมายใดไว้แล้วก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ให้คงดำเนินการต่อไปได้จนกว่าจะไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้รับการต่ออายุใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น แต่จะดำเนินการอื่นเพิ่มเติมหรือนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาตไว้แล้วก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับไม่ได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
771 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าสงวน พ.ศ. .... | ทส | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าสงวน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดสัตว์ทะเลหายาก จำนวน ๔ ชนิด เป็นสัตว์ป่าสงวน ได้แก่ ปลาฉลามวาฬ (Rhincodon typus) วาฬบรูด้า (Balaenoptera edeni) วาฬโอมูระ (Balaenoptera omurai) และเต่ามะเฟือง (Dermochelys coriacea) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
772 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงยกเลิกการกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่า คุ้มครอง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสัตว์ป่าคุ้มครองให้เป็นสัตว์ป่าชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ | ทส | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงรวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สัตว์ทะเลหายาก จำนวน ๑๒ ชนิด เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้แก่ ปลากระเบนแมนต้ายักษ์ (Manta birostris) ปลากระเบนแมนต้าแนวปะการัง (Manta alfredi) ปลากระเบนปีศาจครีบสั้น (Mobula kuhlii) ปลากระเบนปีศาจหางหนาม (Mobula japonica) ปลากระเบนปีศาจครีบโค้ง (Mobula thurstoni) ปลากระเบนปีศาจแคระ (Mobula eregoodootenkee) ปลากระเบนราหูน้ำจืด (Himantura chaophraya) ปลาโรนินหรือปลากระเบนท้องน้ำ (Rhina ancylostoma) ปลาฉนากยักษ์ (Pristis pristis) ปลาฉนากปากแหลม (Anoxypristis cuspidata) ปลาฉนากเขียว (Pristis zijsron) และปลาฉนากฟันเล็ก (Pristis pectinata) ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงยกเลิกการกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกการกำหนดให้วาฬบรูด้า (Balaenoptera edeni) เต่ามะเฟือง (Dermochelys coriacea) และปลาฉลามวาฬ (Rhincodon typus) เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองท้ายกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. ๒๕๔๖ และกำหนดให้เป็นสัตว์ป่าสงวน ซึ่งมีมาตรการในการสงวนและคุ้มครองที่เข้มงวดกว่า ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสัตว์ป่าคุ้มครองให้เป็นสัตว์ป่าชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ท้ายกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสัตว์ป่าคุ้มครองให้เป็นสัตว์ป่าชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ พ.ศ. ๒๕๔๖ จำนวน ๑ ชนิด โดยกำหนดให้ปลากระเบนราหูน้ำจืดหรือปลากระเบนเจ้าพระยา (Himantura chaophraya) เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่สามารถเพาะพันธุ์ได้ เพื่อป้องกันมิให้สูญพันธุ์ และเพื่ออนุญาตให้บุคคลมีไว้ในครอบครอง ค้า และเพาะพันธุ์ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการประกาศใช้บังคับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าสงวน พ.ศ. .... ก่อนหรือพร้อมกับร่างกฎกระทรวงยกเลิกการกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. .... ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||||||||
773 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) (นายวรศาสน์ อภัยพงษ์ และนายสุพจน์ เจิมสวัสดิพงษ์) | ทส | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายวรศาสน์ อภัยพงษ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๒. นายสุพจน์ เจิมสวัสดิพงษ์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง |
||||||||||||||||||||||||
774 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าขุนแม่กวง ป่าสันทราย ป่าแม่ออน ป่าขุนแม่ทา ป่าดอยขุนตาล และป่าแม่ธิ แม่ตีบ แม่สาร ในท้องที่ตำบลเทพเสด็จ ตำบลลวงเหนือ ตำบลป่าเมี่ยง ตำบลเชิงดอย อำเภอดอยสะเก็ด ตำบลห้วยแก้ว ตำบลออนเหนือ ตำบลออนกลาง ตำบลทาเหนือ ตำบลแม่ทา อำเภอแม่ออน ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และตำบลห้วยยาบ ตำบล บ้านธิ อำเภอบ้านธิ ตำบลมะเขือแจ้ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้) | ทส | 14/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าขุนแม่กวง ป่าสันทราย ป่าแม่ออน ป่าขุนแม่ทา ป่าดอยขุนตาล และป่าแม่ธิ แม่ตีบ แม่สาร ในท้องที่ตำบลเทพเสด็จ ตำบลลวงเหนือ ตำบลป่าเมี่ยง ตำบลเชิงดอย อำเภอดอยสะเก็ด ตำบลห้วยแก้ว ตำบลออนเหนือ ตำบลออนกลาง ตำบลทาเหนือ ตำบลแม่ทา อำเภอแม่ออน ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และตำบลห้วยยาบ ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ ตำบลมะเขือแจ้ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้) เพื่อสงวนไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติดังเดิม มิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน และเพื่ออำนวยประโยชน์อื่นแก่รัฐและประชาชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการออกกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในส่วนที่ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติตามร่างพระราชกฤษฎีกานี้ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจแก่ชุมชนในท้องถิ่นเกี่ยวกับการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ โดยเปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาพื้นที่ป่า และในส่วนของพื้นที่ซึ่งได้กันออกจากเขตอุทยานแห่งชาติเพื่อจัดสรรเป็นที่ดินทำกินแก่ประชาชน ควรมีการส่งเสริมแนวทางการทำเกษตรกรรมที่เหมาะสมสอดคล้องกับแนวทางการอนุรักษ์พื้นที่ป่า รวมถึงส่งเสริมแนวทางดำรงชีพตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
775 | การขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดชลบุรี และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. 2553 รวม 3 ฉบับ ออกไปอีก 2 ปี | ทส | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวม ๓ ฉบับ ซึ่งจะหมดอายุการใช้บังคับในวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙ และขอขยายบังคับใช้ต่อไปอีก ๒ ปี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหิน และอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๓ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการออกประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ดังกล่าวมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งเห็นควรจัดทำแผนงานและเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทั้งหมดที่รับผิดชอบให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นสุดอายุการใช้บังคับ เพื่อให้การกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงในปัจจุบันและสามารถใช้บังคับตามกฎหมายได้อย่างต่อเนื่อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
776 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ตำบลพระธาตุผาแดง ตำบลแม่ตาว และตำบลแม่กุ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... | ทส | 31/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ตำบลพระธาตุผาแดง ตำบลแม่ตาว และตำบลแม่กุ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้พื้นที่ตำบลพระธาตุผาแดง ตำบลแม่ตาว และตำบลแม่กุ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดมาตรการห้ามกระทำการหรือประกอบกิจการมาตรการบริหารจัดการและกำกับดูแลผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการจัดทำแผนการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติได้รับการฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพตามระบบนิเวศดั้งเดิม คุณภาพสิ่งแวดล้อมและประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับข้อยกเว้นสำหรับโรงงานบางจำพวกและกิจการเป้าหมายสำหรับการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามนโยบายของรัฐ ในพื้นที่บริเวณที่ ๒ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ริมฝั่งลำน้ำ และกำหนดให้ตั้งอยู่ในระยะ ๕๐ เมตรห่างจากลำน้ำนั้น ในทางปฏิบัติ อาจพิจารณาให้ถอยร่นมาถึงระยะ ๒๐๐ เมตร เพื่อป้องกันการรั่วไหลของมลพิษลงในลำน้ำ และให้มีการติดตามตรวจสอบมลพิษในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
777 | ร่างกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติ ป่าลำน้ำน่านฝั่งขวา บางส่วน ในท้องที่ตำบลน้ำหมัน ตำบลจริม ตำบลท่าปลา ตำบลร่วมจิต อำเภอท่าปลา และตำบลขุนฝาง อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... | ทส | 31/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติ ป่าลำน้ำน่านฝั่งขวา บางส่วน ในท้องที่ตำบลน้ำหมัน ตำบลจริม ตำบลท่าปลา ตำบลร่วมจิต อำเภอท่าปลา และตำบลขุนฝาง อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้เพิกถอนป่าลำน้ำน่านฝั่งขวา บางส่วน ในท้องที่ตำบลน้ำหมัน ตำบลจริม ตำบลท่าปลา ตำบลร่วมจิต อำเภอท่าปลา และตำบลขุนฝาง อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๘๖๒ (พ.ศ. ๒๕๒๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ออกจากการเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเขาย่า อำเภอศรีบรรพต และตำบลชะมวง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ....) ในส่วนพื้นที่ทับซ้อนกับส่วนราชการอื่น ได้แก่ พื้นที่ในความรับผิดชอบของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ในท้องที่อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ เนื่องจากยังไม่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินในท้องที่ดังกล่าว และพื้นที่ในความรับผิดชอบของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช คือ อุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลำน้ำน่านฝั่งขวา ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าลำน้ำน่านฝั่งขวาฯ ที่มีการทับซ้อนกับแนวเขตอุทยานแห่งชาติลำน้ำน่านฯ หากกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ตรวจสอบพื้นที่ที่ทับซ้อนจนได้ข้อยุติ ก็ควรดำเนินการเสนอร่างกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติ ป่าลำน้ำน่านฝั่งขวาฯ ให้คงเหลือแนวเขตอุทยานแห่งชาติอย่างเดียว เพื่อมิให้การบังคับใช้กฎหมายในเขตป่าเดียวกันมีความซ้ำซ้อนกัน และควรดำเนินการบริหารจัดการที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนที่ถูกเพิกถอนภายใต้กลไกและแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติกำหนด เพื่อให้การปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความสอดคล้องตามนโยบายและทิศทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดิน ในท้องที่อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
778 | การเข้าร่วมโครงการ The ratification and early implementation of the Minamata Convention on Mercury | ทส | 31/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของบันทึกข้อตกลงโครงการ The ratification and early implementation of the Minamata Convention on Mercury ซึ่งเป็นการดำเนินการเพื่อประเมินกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปรอท และการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท การประเมินผลกระทบและผลประโยชน์ รวมทั้งการวิเคราะห์กฎหมายที่จำเป็นสำหรับการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ การจัดเตรียมแผนการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ และการจัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ โดยหน่วยงาน United Nation Institute for Training and Research (UNITAR) จะให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินโครงการ ๒๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเข้าร่วมดำเนินโครงการฯ และมอบหมายให้อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในบันทึกข้อตกลงโครงการฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มหน่วยงานระดับชาติและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับโครงการในภาคผนวก ๑ ให้ครอบคลุมหน่วยงานที่จะมีส่วนสำคัญในช่วงปฏิบัติการตามอนุสัญญาฯ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีหน้าที่บริหารจัดการขยะที่สามารถเป็นแหล่งปลดปล่อยปรอทที่สำคัญ ทั้งจากซากผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอทที่หมดอายุแล้ว และนำมาทิ้งปะปนกับขยะชุมชน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอทตามที่ระบุในข้อ ๔ และภาคผนวก A และจากการเผาไหม้ขยะชุมชน ตามที่ระบุในข้อ ๘ การปลดปล่อย และภาคผนวก D ของอนุสัญญาฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
779 | ผลการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการปรอท สมัยที่ 7 | ทส | 24/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการปรอท สมัยที่ ๗ (the Seventh session Intergovernmental Negotiating Committee (INC) to prepare a global legally binding instrument on mercury ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ ศูนย์ประชุม the King Hussein Bin Talal Convention Centre ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ มีมติรับรองโดยชั่วคราวระหว่างรอการพิจารณารับรองอย่างเป็นทางการโดยที่ประชุมรัฐภาคีสมัยแรก ในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) คำแนะนำเพื่อช่วยเหลือภาคีในการกรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ ภายใต้ข้อ ๓ (แหล่งอุปทานปรอทและการค้าปรอท) (๒) แนวทางการพัฒนาแผนปฏิบัติการระดับชาติเพื่อลดการใช้ปรอทในเหมืองแร่ทองคำพื้นบ้านและขนาดเล็ก และ (๓) แนวทางเพื่อลดการปลดปล่อยปรอทสู่อากาศ ๒. ที่ประชุมฯ ยังไม่บรรลุข้อตกลงในประเด็นต่าง ๆ และมีมติให้นำเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมในโอกาสถัดไป ได้แก่ (๑) ร่างคำแนะนำในการระบุคลังปรอทหรือสารประกอบปรอท (individual stocks) ที่มีปริมาณมากกว่า ๕๐ เมตริกตัน และแหล่งอุปทานปรอท (sources of mercury supply generating stocks) ที่ก่อให้เกิดปรอทหรือสารประกอบปรอทมากกว่า ๑๐ เมตริกตันต่อปี (๒) Roadmap สำหรับการพัฒนาแนวทางการเก็บกักอย่างชั่วคราวของปรอทที่ไม่ใช่ของเสียปรอทแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (๓) การกำหนดค่า mercury thresholds เพื่อพิจารณาว่าของเสียนั้นเป็นของเสียปรอท และ (๔) แนวทางการจัดพื้นที่ปนเปื้อนปรอท ๓. สิ่งที่ประเทศไทยจะต้องดำเนินการต่อไป คือ เตรียมการภาคยานุวัติในอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท เพื่อประโยชน์ในการลดความเสี่ยงอันตรายของสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากปรอทและสารประกอบปรอทอันจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป และการดำเนินการเพื่อรองรับการมีผลใช้บังคับของอนุสัญญามินามาตะฯ อาทิ การเผยแพร่ข้อมูล และเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางต่าง ๆ ที่ได้มีการพัฒนาขึ้นภายใต้อนุสัญญามินามาตะฯ หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวทางต่าง ๆ ดังกล่าว ดำเนินมาตรการเพื่อลดการปลดปล่อย และการปล่อยปรอทและสารประกอบปรอทสู่อากาศ แหล่งน้ำ และดิน และติดตามตรวจสอบปรอทและสารประกอบปรอทในสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||
780 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... | ทส | 24/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยครอบคลุมพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ให้เป็นเขตควบคุมมลพิษ เขตผังเมืองรวม และเขตอนุรักษ์ โดยแบ่งพื้นที่การใช้บังคับออกเป็น ๒ บริเวณ คือ พื้นที่บนแผ่นดินใหญ่และพื้นที่น่านน้ำทะเล โดยกำหนดห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารให้เป็นอาคารประกอบกิจกรรมที่อาจมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ และกำหนดประเภทโครงการหรือกิจการที่ต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นหรือรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นว่า ร่างประกาศดังกล่าวกำหนดมาตรการปกป้องคุ้มครองเขตพื้นที่ต่อเนื่องจากเขตโบราณสถานซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่ไม่สามารถใช้กฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และควรแก้ไขข้อความในร่างประกาศฯ ข้อ ๑๔ เป็น “... ผู้แทนของส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง ...” เพื่อให้ผู้แทนของสำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี สังกัดกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม สามารถเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการ ในฐานะกรรมการจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้ นอกจากนี้ การประกอบกิจการโรงงานทุกประเภทหรือทุกขนาดตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานที่ต้องห้ามตามประกาศนี้ ถ้าได้รับคำขออนุญาตหรืออยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาตตามกฎหมายใดไว้แล้วก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ให้คงดำเนินการต่อไปได้จนกว่าจะไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้รับการต่ออายุใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น แต่จะดำเนินการอื่นเพิ่มเติมหรือนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาตไว้แล้วก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับไม่ได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
.....