ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 34 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 661 - 680 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
661 | บันทึกความเข้าใจความร่วมมือในการอนุรักษ์และจัดการกลุ่มป่าพื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และองค์กรระหว่างประเทศ | ทส | 08/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำบันทึกความเข้าใจความร่วมมือในการอนุรักษ์และจัดการกลุ่มป่าพื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติ ระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และองค์กรระหว่างประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ภาคีทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า และการจัดการพื้นที่คุ้มครอง เพื่อการปกป้อง คุ้มครอง และสงวนทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ในพื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติและพื้นที่นำเสนอเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ๑.๒ ให้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
662 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (จำนวน 6 คน 1. นายคุรุจิต นาครทรรพ ฯลฯ) | ทส | 08/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก รวม ๖ คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปีแล้ว เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ สิงหาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายคุรุจิต นาครทรรพ ประธานกรรมการ ๒. นายเจน นำชัยศิริ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารธุรกิจ ๓. นายวิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านพลังงาน ๔. นายไชยเจริญ อติแพทย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๕. นางลดาวัลย์ พวงจิตร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านป่าไม้ ๖. นายประสงค์ นรจิตร์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการอุตสาหกรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
663 | โครงการประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน | ทส | 01/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน มีวัตถุประสงค์เพื่อรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ และเพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้เพื่อเป็นการเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และร่วมกันกระทำความดีให้กับประเทศชาติตามพระราโชบายฯ รวมทั้งเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์ต้นไม้ และทรัพยากรป่าไม้ให้แก่ประชาชนทุกคนในประเทศ ซึ่งจะเปิดโครงการฯ ในวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ โดยทุกจังหวัดทั่วประเทศจัดเตรียมพื้นที่ปลูกต้นไม้ และกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จัดเตรียมกล้าไม้เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมกันปลูก ในวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอื่น ๆ ทุกกระทรวง กรุงเทพมหานคร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งร่วมกันดำเนินโครงการฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการดำเนินโครงการฯ ควรยึดหลักการปลูกและฟื้นฟูป่าไม้ตามแนวพระราชดำริ “ปลูกป่า ปลูกคน” โดยประยุกต์ความสำเร็จจากการพัฒนาฟื้นฟูป่าไม้อันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ประสบความสำเร็จในหลายพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยมาปรับใช้อย่างเหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ สำหรับการประเมินความสำเร็จของโครงการฯ ควรให้ความสำคัญกับปัจจัยชี้วัดความสำเร็จในเชิงคุณภาพร่วมด้วย อาทิ คุณภาพชีวิตของชุมชนและความหลากหลายทางชีวภาพที่ดีขึ้น อันเนื่องมาจากความสมบูรณ์ของป่าไม้ที่ได้รับการฟื้นฟู อนุรักษ์ ปลูกทดแทนภายใต้โครงการฯ และชุมชมเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างเครือข่ายการปลูกฟื้นฟูและดูแลฝืนป่าไปพร้อมกับการบริหารจัดการป่าชุมชนด้วยความต้องการของชุมชนเอง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ไม่ให้มีการตัดต้นไม้ยืนต้นที่ปลูกอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ในความรับผิดชอบอย่างเด็ดขาด ยกเว้นในกรณีจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้เท่านั้น รวมทั้งให้ร่วมกันรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อการดูแลรักษาต้นไม้และสภาพแวดล้อมในพื้นที่ต่าง ๆ ให้มีความสวยงามตามธรรมชาติอย่างยั่งยืนต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
664 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าสลักพระ บางส่วน ในท้องที่ตำบลหนองปรือ อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... | ทส | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าสลักพระ บางส่วน ในท้องที่ตำบลหนองปรือ อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิกถอนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ออกจากการเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าสลักพระ บางส่วน ในท้องที่ตำบลหนองปรือ อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ ซึ่งใช้มาตราส่วน ๑ : ๒๕๐,๐๐๐ ควรปรับมาใช้แผนที่ ๑ : ๔๐๐๐ เพื่อให้แผนที่แนบท้ายประกาศพระราชกฤษฎีกาฯ มีแนวเขตที่ชัดเจน ที่จะดำเนินการเพิกถอนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และการกำหนดเขตน้ำท่วม ตลอดจนการส่งมอบคืนพื้นที่ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
665 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | ทส | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Memorandum of Understanding on Natural Resources and Environment of Cooperation between the Ministry of Natural Resources and Environment of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Natural Resources and Environment of the Lao People’s Democratic Republic) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดขอบเขตของความร่วมมือ เช่น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน การป้องกันและควบคุมมลพิษ และการจัดการสารเคมีและของเสียอันตราย การจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การป้องกันและการแก้ไขข้อขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ เป็นต้น สำหรับรูปแบบความร่วมมือ เช่น การแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่ดีในด้านต่าง ๆ การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ การจัดสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปรับแก้ถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ คำว่า “Parties” เป็น “Participants” และคำว่า “Article” เป็น “Paragraph” ในทุกแห่งที่ปรากฏ ซึ่งหากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่ายอมรับได้ กระทรวงการต่างประเทศก็ไม่มีข้อขัดข้อง และเนื่องจากขอบเขตความร่วมมืออาจเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วนควรจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ เพื่อให้การดำเนินการต่อไปได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
666 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบียเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบียเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Memorandum of Understanding between the Ministry of Natural Resources and Environment the Kingdom of Thailand and the Ministry of Environment and Sustainable Development of the Republic of Colombia on the Cooperation in the Field of Natural Resources and Environment) มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบียในสาขาต่าง ๆ เช่น การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ การปกป้องคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการจัดการมลพิษ การรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเลและการบริหารจัดการพื้นที่ชายฝั่ง การอนุรักษ์ระบบนิเวศทางธรรมชาติซึ่งมีเอกลักษณ์พิเศษโดยเฉพาะพื้นที่ชุ่มน้ำ การปกป้อง การอนุรักษ์ และการฟื้นฟูถิ่นที่อยู่และประชากรสัตว์และพืชสายพันธุ์ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับความไม่สอดคล้องกันของชื่อข้อบทกับเนื้อความของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในข้อบทที่ ๔ ถึงข้อบทที่ ๑๐ เห็นควรตรวจสอบความถูกต้องของร่างบันทึกความเข้าใจฯ อีกครั้งหนึ่ง สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
667 | ท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 41 | ทส | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการกำหนดท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๑ (41st Session of the World Heritage Committee) ระหว่างวันที่ ๒-๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ เมืองคราคูฟ สาธารณรัฐโปแลนด์ โดย ๑.๑.๑ ให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมเพื่อแสดงให้เห็นว่า ไทยให้ความสำคัญต่อการดูแลและอนุรักษ์แหล่งมรดกโลกพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ และนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดยมอบหมายให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมศิลปากรจัดทำข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการกล่าวถ้อยแถลงของหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ๑.๑.๒ กรณีมีประเด็นอื่นที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการพิจารณากำหนดท่าทีในประเด็นนั้น ๆ ทั้งนี้ ให้คณะผู้แทนไทยพิจารณาร่วมกันระหว่างการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๑ โดยคำนึงถึงหลักการของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และข้อมูลด้านเทคนิคและวิชาการจากองค์กรที่ปรึกษา ๑.๒ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๑ โดยมอบหมายให้เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีสเป็นหัวหน้าคณะ และเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นรองหัวหน้าคณะ นายบวรเวท รุ่งรุจี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านประวัติศาสตร์ในคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กรมศิลปากร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในประเด็น (๑) โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยสะโตน จังหวัดสระแก้ว จากการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม พบว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง เพราะไม่มีแหล่งน้ำต้นทุน จึงจำเป็นต้องมีการพิจารณาความเหมาะสมของการดำเนินโครงการดังกล่าวอยู่ และ (๒) โครงการอ่างเก็บน้ำลำพระยาธาร จังหวัดปราจีนบุรี จากผลการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ เมื่อปี ๒๕๔๐ พบว่าพื้นที่น้ำท่วมอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และอุทยานแห่งชาติทับลาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่มรดกโลก และหากมีการพัฒนาโครงการ อาจส่งผลกระทบต่อราษฎรจำนวนมาก ปัจจุบันกรมชลประทานจึงไม่มีแผนการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่มรดกโลกนี้ อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตมีความจำเป็นต้องดำเนินการโครงการดังกล่าว กรมชลประทานจะดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกำหนดมาตรการและแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
668 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ (จำนวน 11 คน 1. นายดุสิต เวชกิจ ฯลฯ) | ทส | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ จำนวน ๑๑ คน แทนกรรมการเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปีแล้ว เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายดุสิต เวชกิจ ๒. พลเอก สุรัตน์ วรรักษ์ ๓. นางสาวดรรชนี เอมพันธุ์ ๔. นายยงยุทธ ไตรสุรัตน์ ๕. นายนิยม แหลมสัก ๖. นางสาวธำรงลักษณ์ ลาพินี ๗. นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ๘. นายสุระ พัฒนเกียรติ ๙. นายธรรมศักดิ์ ยีมิน ๑๐. นายอนรรฆ พัฒนวิบูลย์ ๑๑. นายศศิน เฉลิมลาภ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
669 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ. .... | ทส | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ (คปช.) เพื่อทำหน้าที่กำหนดและขับเคลื่อนนโยบายของประเทศเกี่ยวกับการป่าไม้ทั้งระบบให้มีเอกภาพ ทันต่อสถานการณ์ และเกิดดุลยภาพสอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกำหนดให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติเป็นหน่วยราชการภายในกรมป่าไม้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยให้กรมป่าไม้เป็นผู้รับผิดชอบในงานธุรการและงานวิชาการของ คปช. และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อาทิ ควรกำหนดอำนาจหน้าที่ของ คปช. ให้มีความชัดเจนโดยไม่ซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการอื่น และมีกรอบการทำงานร่วมกันระหว่าง คปช. และคณะกรรมการอื่นตามกฎหมายเฉพาะที่มีอยู่ปัจจุบัน เพื่อให้เกิดการบูรณาการและได้มาซึ่งข้อมูลด้านการบริหารจัดการที่ดิน ทรัพยากรดิน และป่าไม้ ของประเทศครบถ้วนในทุกมิติ ในส่วนของการดำเนินงานควรประสานท่าทีและบูรณาการยุทธศาสตร์กับคณะกรรมการอนุรักษ์การใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ เพื่อให้นโยบายภาพรวมของประเทศมีความสอดคล้องกับการดำเนินงานตามพันธกรณีของประเทศไทยภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และเป้าหมายไอจิด้านความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ องค์ประกอบของ คปช. ในส่วนของผู้แทนเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านควรจะกำหนดเงื่อนไขที่เปิดกว้างให้ครอบคลุมตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางด้านทรัพยากรธรรมชาติทุกกลุ่ม รวมถึงองค์กรพัฒนาเอกชน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ส่วนการขอจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปดำเนินการตามแนวทางการขอจัดตั้งหน่วยงานของรัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ต่อไป ๔. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตามร่างระเบียบในเรื่องนี้ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายสำหรับเบี้ยประชุม ค่าตอบแทน รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของ คปช. คณะอนุกรรมการ และคณะทำงาน เห็นควรให้กรมป่าไม้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ในโอกาสแรกก่อน ส่วนปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณโดยคำนึงถึงการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
670 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทการใช้น้ำบาดาล และการขอใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการประกอบกิจการน้ำบาดาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทการใช้น้ำบาดาล และการขอใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการประกอบกิจการน้ำบาดาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การพิจารณาคำขอและออกใบอนุญาตเจาะน้ำบาดาลหรือใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลกรณีมีภัยพิบัติที่จำเป็นต้องดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นการเร่งด่วน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
671 | การขยายระยะเวลาความตกลงทวิภาคีความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นในการพัฒนากลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM) | ทส | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายระยะเวลาความตกลงทวิภาคีความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นในการพัฒนากลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๗๓ โดยร่างความตกลงฯ ฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อทดแทนความตกลงฯ ฉบับเดิมที่ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกลไก JCM เพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำระหว่างกัน โดยเป็นการส่งเสริมการลงทุน และการใช้เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ ระบบ บริการ และโครงสร้างพื้นฐานคาร์บอนต่ำในการบรรลุการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำในประเทศไทย ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) ประสานกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย อบก. รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามประเมินผลการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากโครงการ JCM เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาการผลิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยให้สามารถลดการพึ่งพาเทคโนโลยีนำเข้าจากประเทศพัฒนาแล้วในอนาคต สำหรับแนวทางในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้ JCM นั้น ควรคำนึงถึงเป้าหมายตาม Nationally Determined Contribution (NDC) ของประเทศไทยเป็นสำคัญ และควรพิจารณาการบูรณาการในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีภายใต้ JCM กับกลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยีของ United Nations Framework Convention on Climate Change (UNFCCC) ในประเทศไทยผ่าน National Designated Entity (NDE) รวมทั้งการส่งเสริมผู้ประกอบการและ SMEs ของประเทศไทยในการเข้าร่วมและได้รับประโยชน์จากโครงการ JCM ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจอุตสาหกรรมเพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพ การเข้าถึงเงินทุน และสร้างโอกาสให้กับอุตสาหกรรมไทย นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้จากโครงการ JCM ที่จะต้องถูกแบ่งปันคาร์บอนเครดิตกลับไปให้ฝ่ายญี่ปุ่นในปริมาณไม่เกินร้อยละ ๕๐ ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ภายใต้ JCM และรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
672 | การให้ภาคยานุวัติเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท | ทส | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากการปลดปล่อยสู่บรรยากาศและการปล่อยสู่ดินหรือน้ำของปรอทและสารประกอบปรอทจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยสาระสำคัญของอนุสัญญาฯ เป็นการมุ่งเน้นการควบคุม ลด และเลิก สำหรับการผลิต การนำเข้าและส่งออก การใช้ การปลดปล่อย การปล่อยปรอทและสารประกอบปรอทจากแหล่งกำเนิด ๑.๒ เห็นชอบในการจัดทำภาคยานุวัติสารประกาศว่าการแก้ไขเนื้อหาในภาคผนวกใด ๆ ของอนุสัญญาฯ จะมีผลใช้บังคับกับประเทศไทยต่อเมื่อได้มอบภาคยานุวัติสารต่อการแก้ไขภาคผนวกนั้นแล้ว และมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำภาคยานุวัติสารดังกล่าว พร้อมทั้งส่งมอบให้สำนักเลขาธิการสหประชาชาติภายในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ ต่อไป ๑.๓ เห็นชอบให้มีการแจ้ง (๑) ยินยอมให้มีการนำเข้าปรอทจากประเทศภาคี (๒) ยินยอมให้มีการนำเข้าปรอทจากประเทศนอกภาคี (๓) ขอยกเว้นให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท จำนวน ๗ ประเภท (๔) ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการเพื่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ และ (๕) แต่งตั้งกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นศูนย์ประสานงานระดับชาติ (National focal point) ในการประสานการปฏิบัติตามข้อ ๑๗ (๔) ของอนุสัญญาฯ โดยให้แจ้งข้อมูลทั้งหมดไปพร้อมกับภาคยานุวัติสาร ๑.๔ อนุมัติให้นำวิธีการอนุญาโตตุลาการมาใช้ในการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากอนุสัญญาฯ ๑.๕ เห็นชอบกับแผนการเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานและกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบพร้อมทั้งข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข และกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการออกอนุบัญญัติเพื่อรองรับการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนดในข้อเสนอในการออกกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อการภาคยานุวัติในอนุสัญญาฯ และรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติม อาทิ การนำเข้าปรอทจากประเทศนอกภาคี ควรอนุญาตให้นำเข้าได้เฉพาะการนำเข้าเพื่อใช้ในงานที่อนุญาตให้มีการใช้ปรอทได้ตามที่ระบุในอนุสัญญาฯ ข้อ ๓ แหล่งอุปทานปรอทและการค้าปรอท และประเทศนอกภาคีที่เป็นผู้ส่งออกให้การรับรองแหล่งที่มาของปรอทตามที่กำหนดในอนุสัญญา ฯ การดำเนินการขึ้นทะเบียนเพื่อขอยกเว้น (Exemption) การใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ในระยะเปลี่ยนผ่านและจนกว่าประเทศไทยจะสามารถดำเนินการได้ตามข้อกำหนด รวมทั้งรัฐบาลควรให้การสนับสนุนการเตรียมความพร้อมและศักยภาพด้านสาธารณสุขของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนดตามแผนการเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เพื่อรองรับการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
673 | การเป็นเจ้าภาพร่วมการจัดประชุมสัมมนาวิชาการในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้าน 3R ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 9 (The High - level Ninth Regional 3R Forum in Asia and the Pacific) | ทส | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุมสัมมนาวิชาการในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโส 3R (Reduce Reuse Recycle : 3R) ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ ๙ (The High-level Ninth Regional 3R Forum in Asia and the Pacific) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้มีความประหยัดและเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการจัดประชุมในส่วนที่ประเทศไทยรับผิดชอบ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
674 | การแต่งตั้งผู้มีอำนาจ (Designated Authority) สำหรับกองทุน Green Climate Fund ของประเทศไทย | ทส | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. แต่งตั้งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ทำหน้าที่เป็นผู้มีอำนาจ (Designated Authority) สำหรับกองทุน Green Climate Fund ของประเทศไทย ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามในหนังสือแจ้งการแต่งตั้งผู้มีอำนาจ (Designated Authority) สำหรับกองทุน Green Climate Fund ของประเทศไทย ๓. เห็นชอบต่อกระบวนการพิจารณาโครงการฯ ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้จัดทำกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนรูปแบบวิธีการอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องกำหนดหรือบัญญัติขึ้นภายในประเทศเพื่อรองรับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเป็นผู้พิจารณาโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ของประเทศไทยที่ต้องการขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุน Green Climate Fund ให้ถูกต้องตามระเบียบราชการต่อไป ๔. กำหนดชื่อกองทุน Green Climate Fund เป็นภาษาไทย โดยใช้ชื่อว่า “กองทุนภูมิอากาศสีเขียว”
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
675 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2559 (เพิ่มเติม) และ ครั้งที่ 1/2560 | ทส | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ (เพิ่มเติม) จำนวน ๖ เรื่อง และครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๕ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ ได้แก่ ๑.๑ ร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๙ ๑.๒ ร่างมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายและมูลฝอยติดเชื้อ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ๑.๓ เกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ประเภทธรณีสัณฐานและภูมิลักษณวรรณา ภูเขา และน้ำตก ๑.๔ ร่างยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ ๒๐ ปี และแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ๑.๕ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครสวรรค์ ของกรมทางหลวง ๑.๖ โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๒ ตอน อ.หล่มสัก-แยก อ.คอนสาร ของกรมทางหลวง ๒. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ ได้แก่ ๒.๑ รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียด โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท (สุขุมวิท ๘๑-สำโรง) และโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท (สำโรง-สมุทรปราการ) ของกรุงเทพมหานคร (ปัจจุบันการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการ) กรณีขอเปลี่ยนแปลงอาคารจอดรถเป็นลานจอดรถ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ๒.๒ รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติราชบุรี-วังน้อย ครั้งที่ ๒ (โครงการสถานีเพิ่มความดันก๊าซธรรมชาติวังน้อยฯ) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่ตำบลวังจุฬา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๒.๓ รายงานผลการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ โครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าข้าม อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ๒.๔ การขอเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสมทบเข้าสู่กองทุนสิ่งแวดล้อม ๒.๕ การให้ภาคยานุวัติเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
676 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 | ทส | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ โดยที่ประชุมมีมติรับทราบและพิจารณาผลการดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานตามมติ คทช. ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ ประกอบด้วย (๑) การติดตามผลการดำเนินงานภายใต้แผนบูรณาการ (๒) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายการจัดหาที่ดินทำกินให้ชุมชน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (๓) การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๘-๒๕๕๙ (๔) การดำเนินงานการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ ในพื้นที่เป้าหมายปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙ (๕) การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘) โดยการจัดเตรียมที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานในชุมชนที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม พร้อมระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการที่จำเป็นในระดับราคาที่กลุ่มเป้าหมายสามารถรับภาระได้ และ (๖) การติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในพื้นที่เป้าหมายจังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี นครพนม และยโสธร ๒. รับทราบการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กรณีการแก้ปัญหาการถือครองที่ดินของราษฎรในพื้นที่อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ๓. รับทราบการจำแนกประเภทที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ น่าน และลำปาง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ ๔. ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องต่าง ๆ และมีมติ ดังนี้ (๑) เห็นชอบร่างนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ(พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) (๒) เห็นชอบกระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลในพื้นที่ที่ดินราชพัสดุ (๓) รับทราบหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. .... และ (๔) เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอโครงสร้างสำนักงานเลขาธิการ คทช. ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๐ และให้ฝ่ายเลขานุการ คทช. นำไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
677 | ท่าทีไทยในการประชุม United Nations Conference to Support the Implementation of Sustainable Development Goal 14 | ทส | 30/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติท่าทีไทยสำหรับการประชุม United Nations Conference to Support the Implementation of Sustainable Development Goal 14 ซึ่งกำหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๕-๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยในการประชุมฯ จะมีการแสดงท่าทีว่า ประเทศไทยมีเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกับประชาคมโลก มีความก้าวหน้าที่ชัดเจนตามเป้าประสงค์ต่าง ๆ และมีการดำเนินงานสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยจะประกาศคำมั่นโดยสมัครใจ (Voluntary Commitments) ใน ๓ หัวข้อ ได้แก่ (๑) การประมงยั่งยืน (๒) หัวข้อมลพิษทางทะเล และ (๓) หัวข้อการบริหารจัดการ ปกป้องและอนุรักษ์ระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง ๒. เห็นชอบร่างเอกสาร Our Ocean, Our Future : Call for Action ซึ่งจะมีการรับรองในการประชุมฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายที่ ๑๔ ให้ได้ตามกำหนดเวลา ๓. เห็นชอบร่างเนื้อหาคำมั่นโดยสมัครใจ (Voluntary Commitments) ที่ประเทศไทยจะประกาศ ๔. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสาร Our Ocean, Our Future : Call for Action และร่างเนื้อหาคำมั่นโดยสมัครใจที่ประเทศไทยจะประกาศที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้เป็นดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นผู้พิจารณาโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาใหม่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
678 | (ร่าง) แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 - 2573 (Thailand's Nationally Determined Contribution Roadmap on Mitigation 2021 - 2030) | ทส | 23/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๗๓ (Thailand’s Nationally Determined Contribution Roadmap on Mitigation 2021-2030) เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศร้อยละ ๒๐ หรือที่ ๑๑๑ ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ โดยดำเนินการใน ๓ สาขาหลัก (๑๕ มาตรการ) ได้แก่ สาขาพลังงานและขนส่ง สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ และสาขาการจัดการของเสีย ซึ่งเป็นสาขาที่หน่วยงานมีความพร้อมและมีศักยภาพที่สามารถลดก๊าซเรือนกระจก ณ ปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ทั้งสิ้น ๑๑๕.๖ ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ๑.๒ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนศักยภาพการดำเนินงานตาม (ร่าง) แผนที่นำทางฯ เพื่อสนับสนุนศักยภาพการดำเนินงานของหน่วยงานโดยครอบคลุมข้อจำกัด ความต้องการด้านการสนับสนุน และระบบ/กรอบการติดตามและรายงานผลการดำเนินงานของมาตรการต่าง ๆ ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของหน่วยงานเพื่อบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ตาม (ร่าง) แผนที่นำทางฯ ๑.๔ มอบหมายให้สำนักงบประมาณสนับสนุนและจัดสรรงบประมาณแก่หน่วยงานในการเตรียมความพร้อมและปฏิบัติการตามแผนดังกล่าว รวมถึงพิจารณาการจัดสรรงบประมาณในรูปแบบบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติในประเด็นการสร้างแรงจูงใจโดยการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการเพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้เอกชนให้ความสนใจในการมีส่วนร่วมหรือลงทุนเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก และข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อน ระยะที่ ๒ ในส่วนของการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เครื่องมือและกลไกในการลดก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการส่งเสริม สนับสนุน และการบังคับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตาม (ร่าง) แผนที่นำทางฯ อย่างเข้มงวดและตรวจสอบประเมินผลได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย สำหรับงบประมาณในการเตรียมความพร้อมและปฏิบัติการตาม (ร่าง) แผนที่นำทางฯ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณไว้ในแผนงานยุทธศาสตร์จัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศและภัยพิบัติแล้ว แต่เนื่องจากในชั้นนี้ (ร่าง) แผนที่นำทางฯ ยังขาดแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะใช้เป็นกรอบในการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จึงเห็นควรให้จัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนศักยภาพการดำเนินงานตาม (ร่าง) แผนที่นำทางฯ และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมทั้งเป้าหมายและตัวชี้วัดให้แล้วเสร็จก่อน แล้วจึงนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณากำหนดประเด็นสำคัญในการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องและประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินการตาม (ร่าง) แผนที่นำทางฯ และร่วมกันบูรณาการและสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนได้ครอบคลุมในทุกมิติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
679 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในพื้นที่ป่าชายเลน ในท้องที่ อำเภอท่าศาลา อำเภอเมือง และอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และจัดที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชนในท้องที่จังหวัดชายฝั่งทะเล 18 จังหวัด | ทส | 23/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ เพื่อนำที่ดินที่เป็นป่าชายเลน ในท้องที่อำเภอท่าศาลา อำเภอเมือง และอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื้อที่ประมาณ ๑๒,๐๐๐ ไร่ โดยแบ่งเป็นจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ๕,๐๐๐ ไร่ และทำการปลูกฟื้นฟูป่าชายเลน ๗,๐๐๐ ไร่ และจัดที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชนในท้องที่จังหวัดชายฝั่งทะเล ๑๘ จังหวัด เนื้อที่ประมาณ ๕,๔๕๘-๑-๓๓ ไร่ ประกอบด้วย จังหวัดระยอง จันทบุรี ตราด ชลบุรี เพชรบุรี สมุทรสงคราม ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล สงขลา และปัตตานี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการบุกรุกป่าชายเลนเพิ่มเติมและรักษาป่าชายเลนไว้ให้ได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ตามที่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติได้มีมติเกี่ยวกับการบริหารจัดการที่ดินในเรื่องต่าง ๆ ไปแล้วนั้น ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วภายในปี ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
680 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (งบกลาง) | ทส | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ (งบกลาง) ภายใต้โครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ตามมาตรการที่ ๖ มีเป้าหมายเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน จำนวน ๒,๑๙๕ แห่ง วงเงิน ๗๓๕,๗๖๓,๐๐๐ บาท ดำเนินการในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘-มกราคม ๒๕๖๐ มีผลการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลในพื้นที่ ๑๗ จังหวัดในลุ่มน้ำเจ้าพระยา จำนวน ๒,๑๗๖ แห่ง คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๑๓ ของเป้าหมาย โดยสามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนได้ จำนวน ๑๙๐.๖๑๗๖ ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ ๖๕,๒๘๐ ไร่ และไม่สามารถดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลฯ ได้ ๑๙ แห่ง เนื่องจากเป็นพื้นที่ไม่มีศักยภาพน้ำบาดาล ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
.....