ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 36 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 701 - 720 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
701 | โครงการจัดทำบานประตูที่ทำมาจากไม้ของกลางที่ตกเป็นของแผ่นดิน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี พ.ศ. 2554 | ทส | 07/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติงบกลางเพื่อให้จังหวัดและส่วนราชการใช้จ่ายในการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย) โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) นำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ไปใช้ในการดำเนินการเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยและภัยพิบัติสาธารณะอื่น ๆ ได้ ตามความจำเป็นและเหมาะสม หรือตามที่ส่วนราชการร้องขอ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สอดคล้องกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมและจำหน่ายพัสดุ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
702 | สรุปผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 23 (The 23rd Meeting of Mekong River Commission Council) | ทส | 31/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๓ (The 23rd Meeting of Mekong River Commission Council) ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ เมืองปากเซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยมีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยสรุปสาระสำคัญของการประชุมและการหารือได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ มีมติอนุมัติ รวม ๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) กำหนดให้สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงมีที่ตั้ง ๑ แห่ง ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว และกำหนดแนวทางการบริหารศูนย์บริหารจัดการและบรรเทาอุทกภัยระดับภูมิภาค ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา และ (๒) อนุมัติแผนการดำเนินงานประจำปี ค.ศ. ๒๐๑๗ ประกอบด้วย รายรับ ๑๘.๔๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ รายจ่าย ๑๕.๖๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ในการบริหารองค์กรและดำเนินกิจกรรมหลัก ๒๙ ด้าน ๒. ที่ประชุมฯ มีมติรับทราบ รวม ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) การดำเนินความร่วมมือระหว่างคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงกับองค์กรภายนอกที่มีมาอย่างต่อเนื่อง (สาธารณรัฐประชาชนจีน-สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา) (๒) ความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามระเบียบปฏิบัติการใช้น้ำ จำนวน ๕ ฉบับ รวมถึงรับทราบบทเรียนจากการดำเนินกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า กรณีโครงการไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีและดอนสะโฮงของ สปป.ลาว และ (๓) ความก้าวหน้าของการดำเนินงานการถ่ายโอนภารกิจหลักด้านการบริหารจัดการลุ่มน้ำโขงให้แก่ประเทศสมาชิก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
703 | ขอความเห็นชอบแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ ปี 2560 และขออนุมัติใช้งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เพื่อดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือปี 2560 | ทส | 31/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ ปี ๒๕๖๐ เพื่อกำหนดให้เป็นนโยบายรัฐบาล โดยมีรายละเอียดมาตรการ/แนวทางการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ อาทิ ใช้ระบบ Single Command ในการบริหารจัดการ บูรณาการข้อมูลและแจ้งเตือนสถานการณ์หมอกควัน จัดการเชื้อเพลิงและบริหารจัดการพื้นที่เสี่ยงเพื่อลดการเผา ห้ามเผาอย่างเด็ดขาดในช่วงวิกฤต สนับสนุนให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกและลดการเผาเศษวัสดุภาคการเกษตร สื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้เข้าถึงพื้นที่เสี่ยงและชุมชนเป้าหมาย และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป ๒. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม ๑๕๔.๓๗๓๓ ล้านบาท เพื่อดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ ปี ๒๕๖๐ โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานเจ้าของงบประมาณ ขอทำความตกลงในรายละเอียดด้านงบประมาณตามขั้นตอนกับสำนักงบประมาณแทนจังหวัดดังกล่าว สำหรับการดำเนินงานในปีถัดไป ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีโครงการ/กิจกรรมด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า จัดทำแผนการดำเนินงานและรายละเอียดค่าใช้จ่าย และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ภายใต้แผนงานบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประเด็นการบริหารจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
704 | การเสนอพระธาตุพนม เพื่อบรรจุไว้ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก | ทส | 24/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เอกสารนำเสนอพระธาตุพนม ภายใต้ชื่อ PHRA THAT PHANOM, ITS RELATED HISTORIC BUILDING AND ASSOCIATED LANDSCAPE เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก ๒. ให้ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ลงนามในหนังสือถึงศูนย์มรดกโลก เพื่อนำเสนอพระธาตุพนมภายใต้ชื่อ PHRA THAT PHANOM, ITS RELATED HISTORIC BUILDING AND ASSOCIATED LANDSCAPE เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
705 | สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 22 (COP 22) การประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 12 (CMP 12) และการประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส สมัยที่ 1 (CMA 1) ณ เมืองมาร์ราเกซราชอาณาจักรโมร็อกโก | ทส | 24/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๒ (COP 22) การประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๒ (CMP 12) และการประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส สมัยที่ ๑ (CMA 1) ระหว่างวันที่ ๕-๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ เมืองมาร์ราเกซ ราชอาณาจักรโมร็อกโก และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อกำหนดรายละเอียดการดำเนินงานภายใต้ความตกลงปารีสร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านกลไกคณะทำงานเจรจาสำหรับการประชุมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ คณะอนุกรรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติด้านการประสานท่าทีเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศ และคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ๑.๒ หน่วยงานที่มีการดำเนินภารกิจที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) จัดสรรงบประมาณเพื่อเข้าร่วมการประชุมภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การประชุมเชิงปฏิบัติการ และการประชุมที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงการดำเนินงานในกรอบระหว่างประเทศและการดำเนินงานตามภารกิจภายในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพและชัดเจน ๑.๓ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) จัดทำแผนการเสริมสร้างศักยภาพการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมร่วมกับสำนักงานประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำนักงานโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และกระทรวงศึกษาธิการ จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเผยแพร่และสร้างความตระหนักรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ และจัดทำหลักสูตรร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ โดยให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนที่เกี่ยวข้อง ๑.๕ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เร่งวิเคราะห์ข้อดี-ข้อเสีย และศึกษาศักยภาพความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินความร่วมมือลดก๊าซเรือนกระจกผ่านกลไกตลาดระหว่างประเทศ เช่น กรอบทวิภาคีและกรอบพหุภาคีอื่น ๆ เพื่อนำเสนอต่อหน่วยงานด้านนโยบาย ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณากำหนดกรอบเวลา การศึกษา และ/หรือการจัดทำแผนและนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ การศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างแนวทางดำเนินการของประเทศไทยภายใต้กลไกของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับแนวทางการดำเนินการของประเทศไทยภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนให้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องเป็นแนวทางเดียวกัน การพิจารณาเพิ่มเติมในส่วนของการให้ความช่วยเหลือของประเทศพัฒนาแล้ว ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำ อาหาร และพลังงานแบบเชื่อมโยงกัน (Water-Food-Energy Nexus) การพิจารณาให้มีการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการพัฒนาในสาขาต่าง ๆ ที่คำนึงถึงปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ในลักษณะบูรณาการ และการพิจารณานำข้อเสนอของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูป เรื่อง การปฏิรูปการดำเนินการด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยและแนวทางการดำเนินงานไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ได้รับการจัดสรร จำนวน ๔๑๒.๐๑๗๗ ล้านบาท หากมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณเพิ่มเติมขอให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามความจำเป็นและเหมาะสมไปดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในโอกาสแรกก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
706 | ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 17/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง โดยการบูรณาการ การกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน และภูมิสังคม และแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ (คจช.) ให้ชัดเจนและไม่ซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของ คทช. ตามที่ คทช. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสภาเกษตรกรแห่งชาติที่มีความเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ว่า ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของ คจช. ยังมีความซ้ำซ้อนและคาบเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ คทช. จึงควรพิจารณาทบทวนความจำเป็นของ คจช. โดยควรมีการวิเคราะห์ผลกระทบกรณีมีและไม่มี คจช. ภายใต้การมีร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... สำหรับการกำหนดให้มีการจัดตั้งสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในภาพรวม นั้น เพื่อความเหมาะสม ประหยัด และไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการบริหารจัดการ สำหรับกรณีบุคลากรควรจะกำหนดให้มีการตัดโอนอัตรากำลังของหน่วยงานเดิมให้ชัดเจน นอจากนี้ ควรเพิ่มเติมในเรื่ององค์ประกอบของ คทช. ให้มีตัวแทนที่สภาเกษตรกรแห่งชาติสรรหาเข้ามาร่วมเป็นกรรมการใน คทช. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวม ๒ ฉบับ ตามที่ คทช. เสนอ ๓. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรตัดโอนภารกิจและอัตรากำลังของงาน คจช. จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปให้กับกรมที่ดิน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปดำเนินการตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงาน ก.พ.ร. แล้วให้แจ้งผลการดำเนินงานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ต่อไป ๕. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาทบทวนอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินของประเทศไทยเพื่อให้มีความเชื่อมโยงกับ คทช. ตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ตามความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
707 | แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2560 - 2564 | ทส | 10/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ซึ่งแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมดังกล่าวจะเป็นแนวทางให้การดำเนินงานในระดับปฏิบัติมีทิศทางที่ชัดเจน สามารถขับเคลื่อนงานด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ และการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยได้ให้ความสำคัญกับหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน หลักสิทธิมนุษยชน ตลอดจนประเด็นการปฏิรูปประเทศที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี และทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
708 | ผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 17 (CITES CoP17) การประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ 67 และครั้งที่ 68 (SC67 - SC68) และการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Lekgotla) | ทส | 04/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๗ (CITES CoP17) การประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) ครั้งที่ ๖๗ และครั้งที่ ๖๘ (SC67-SC68) และการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Lekgotla) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๓ กันยายน-๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ นครโจฮันเนสเบิร์ก สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ซึ่งจากผลการประชุมดังกล่าวได้มีการลงมติรับรองมติที่ประชุม (Resolutions) และข้อตัดสินใจ (Decisions) เพื่อให้ภาคีแห่งอนุสัญญา CITES นำไปปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญา รวมถึงมีการลงมติรับรองการเปลี่ยนแปลงบัญชีชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าแนบท้ายอนุสัญญา CITES ๑.๒ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมประมง กรมการปกครอง กรมปศุสัตว์ เป็นต้น ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น การออกระเบียบและกฎหมายกำหนดชนิดสัตว์ป่าและซากของสัตว์ป่าที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออก รวมถึงปรับปรุงพืชอนุรักษ์เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงบัญชีของชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าในการประชุม CITES CoP17 การพัฒนา/ปรับปรุงระบบฐานข้อมูล การกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะในเรื่องการค้างาช้างภายในประเทศ เพื่อป้องกันมิให้มีการนำงาช้างที่ผิดกฎหมายมาสวมในตลาดค้างาช้าง เป็นต้น ๑.๓ เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ออกไปอีกหนึ่งปี จนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (๓๐ กันยายน ๒๕๖๐) ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นภายหลังที่มีการปรับปรุงและแก้ไขกฎระเบียบกำหนดชนิดสัตว์ป่าและซากของสัตว์ป่าที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออกดังกล่าว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามความจำเป็นและเหมาะสมไปดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอและมีความจำเป็นเร่งด่วนก็ให้เสนอขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ส่วนค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป นอกจากนี้ ควรมีแนวทางในการเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามาแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการกำหนดกฎหมาย/มาตรการต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องเสือ และเรื่องช้าง สำหรับเรื่องไม้พะยูง ควรพิจารณาแนวทางเพื่อส่งเสริมการปลูกไม้พะยูงเพื่อสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
709 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) (จำนวน 5 ราย 1. นายสุวัฒน์ เปี่ยมปัจจัย ฯลฯ) | ทส | 04/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๕ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายสุวัฒน์ เปี่ยมปัจจัย ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายประลอง ดำรงค์ไทย ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นางสาวจงจิตร์ นีรนาทเมธีกุล ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายอดิศร นุชดำรงค์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายสมชัย มาเสถียร ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
710 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าขุนวัง แปลงที่หนึ่ง ป่าแม่งาวฝั่งซ้าย ป่าแม่โป่ง ป่าแม่แจ้ฟ้า ป่าแม่ตำและป่าแม่มาย ป่าแม่งาวฝั่งขวา ป่าแม่ยาง และป่าแม่อาง ป่าแม่ทรายคำ และป่าแม่เมาะ ในท้องที่ตำบลวังทอง อำเภอวังเหนือ ตำบลบ้านร้อง ตำบลปงเตา ตำบลนาแก ตำบลบ้านอ้อน ตำบลบ้านโป่ง ตำบลบ้านหวด อำเภองาว ตำบลทุ่งผึ้ง ตำบลปงดอน ตำบลแจ้ห่ม ตำบลเมืองมาย ตำบลบ้านสา อำเภอแจ้ห่ม ตำบลบ้านดง อำเภอแม่เมาะ และตำบลบ้านแลง ตำบลบุญนาคพัฒนา ตำบลนิคมพัฒนา ตำบลบ้านเสด็จ อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท) | ทส | 27/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าขุนวัง แปลงที่หนึ่ง ป่าแม่งาวฝั่งซ้าย ป่าแม่โป่ง ป่าแม่แจ้ฟ้า ป่าแม่ต๋าและป่าแม่มาย ป่าแม่งาวฝั่งขวา ป่าแม่ยาง และป่าแม่อาง ป่าแม่ทรายคำ และป่าแม่เมาะ ในท้องที่ตำบลวังทอง อำเภอวังเหนือ ตำบลบ้านร้อง ตำบลปงเตา ตำบลนาแก ตำบลบ้านอ้อน ตำบลบ้านโป่ง ตำบลบ้านหวด อำเภองาว ตำบลทุ่งผึ้ง ตำบลปงดอน ตำบลแจ้ห่ม ตำบลเมืองมาย ตำบลบ้านสา อำเภอแจ้ห่ม ตำบลบ้านดง อำเภอแม่เมาะ และตำบลบ้านแลง ตำบลบุญนาคพัฒนา ตำบลนิคมพัฒนา ตำบลบ้านเสด็จ อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการออกกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในส่วนที่ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติตามร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายพร้อมกับร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
711 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่อำเภอปลวกแดง อำเภอบ้านค่าย และอำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม | ทส | 27/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่อำเภอปลวกแดง อำเภอบ้านค่าย และอำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้พื้นที่อำเภอปลวกแดง อำเภอบ้านค่าย และอำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดมาตรการห้ามกระทำการหรือประกอบกิจการ มาตรการบริหารจัดการและกำกับดูแลผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการจัดทำแผนฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อป้องกันและรักษาไว้เป็นแหล่งน้ำดิบที่มีคุณภาพสำหรับการอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรม และเกษตรกรรมในระยะยาวต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายของร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับพื้นที่สำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน อาทิ ระบบผลิต ระบบส่ง และระบบจำหน่าย ให้สามารถเข้าใช้พื้นที่ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งพื้นที่ที่จะออกกฎกระทรวงกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมต้องไม่ทับซ้อนกับพื้นที่ที่เป็นเขตอนุรักษ์ และควรเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจเพื่อให้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมมีการพิจารณาอย่างรอบด้านเป็นที่ยอมรับและสามารถนำไปปฏิบัติได้ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลและติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ เพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ และในพื้นที่ลุ่มน้ำอ่างเก็บน้ำดอกกราย อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล และอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
712 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 40 (ต่อเนื่อง) | ทส | 27/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ ที่ทำการใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่งมีผลประชุมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับราชอาณาจักรไทย คือ ข้อมติคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) ในการขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน โดยคณะกรรมการมรดกโลกได้อภิปรายในประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับข้อทักท้วงของเมียนมาในเรื่องของเขตแดน และเห็นควรให้ไทยและเมียนมาไปหารือร่วมกัน ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้ส่งกลับเอกสารการนำเสนอ (Refer) ให้ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงดำเนินการจัดการกับข้อห่วงกังวลที่หยิบยกโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติเกี่ยวกับชุมชนกะเหรี่ยงได้อย่างเต็มที่ รวมถึงดำเนินการในกระบวนการมีส่วนร่วม สำหรับการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๑ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒-๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ เมือง KarKow สาธารณรัฐโปแลนด์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
713 | การขออนุมัติใช้เงินงบกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการตามแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพิ่มเติม ปี 2559 | ทส | 20/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการให้ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๔๙๙.๑๖๒๙ ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการตามแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพิ่มเติม ปี ๒๕๕๙ โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนให้แก่เกษตรกร ของกรมทรัพยากรน้ำ จำนวน ๕๐ รายการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการดำเนินโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาเร่งด่วนให้แก่เกษตรกรให้แล้วเสร็จทันฤดูฝนในปี ๒๕๖๐ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์กับราษฎรที่ประสบความเดือดร้อนจากปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดจากการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
714 | การเจรจาการจัดทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (Voluntary Partnership Agreement : VPA) ในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (FLEGT) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป | ทส | 20/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาและท่าทีการเจรจาการจัดทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (Voluntary Partnership Agreement : VPA) ในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (Forest Law Enforcement, Governance and Trade : FLEGT) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป (EU) และหลักการในการดำเนินการตามกรอบการเจรจาการจัดทำ VPA โดยกรอบการเจรจาและท่าทีดังกล่าวจะใช้เป็นแนวทางในการจัดทำ VPA ซึ่งหาก VPA สำเร็จจนประเทศไทยได้รับสิทธิในการออกใบรับรองเฟล็กที (FLEGT License) จะช่วยให้ผู้ส่งออกสินค้าไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ของไทยสามารถส่งสินค้าไปยังสหภาพยุโรปได้สะดวก และขยายโอกาสทางการค้าของประเทศไทยในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (FLEGT) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับเรื่องการให้มีมาตรการช่วยเหลือจากสหภาพยุโรปฯ เช่น การสนับสนุนให้ใช้สินค้าไม้ของไทยผ่านการจัดซื้อจัดจ้างที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Green Procurement) อาจเป็นประเด็นที่เชื่อมโยงกับเรื่องการเข้าสู่ตลาดในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และการเปิดเสรีสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงควรหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาท่าทีในการเจรจาอย่างรอบคอบต่อไป และควรเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นต่อกรอบการเจรจานั้นด้วย เพื่อให้การเจรจามีความสมบูรณ์และเป็นที่ยอมรับ ตลอดจนเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ที่อาจมีผลกระทบ หรือมีภาระความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น รวมทั้งผู้ที่จำเป็นต้องปรับตัวต่อหลักเกณฑ์ที่จะถูกกำหนดขึ้นภายหลังการจัดทำข้อตกลงและมีผลบังคับใช้แล้ว นอกจากนี้ การดำเนินการด้านธุรการและสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการต่าง ๆ ในการอำนวยความสะดวกในการเจรจาทุกระดับ ประสานงาน จัดการประชุม ปฏิบัติงานร่วมหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการ Thai-EU FLEGT VPA อาจกำหนดให้สำนักแผนงานและสารสนเทศดำเนินการ และการดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจสอบออกใบรับรองเฟล็กที (FLEGT License) ในระยะแรก อาจกำหนดให้กองการอนุญาต กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับผิดชอบงานดังกล่าว โดยไม่จำเป็นต้องจัดตั้งส่วนราชการขึ้นใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการประชุมตามกระบวนการเจรจาฯ ที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณของกรมป่าไม้ที่ได้รับจัดสรรไว้ภายใต้โครงการความร่วมมือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคและเศรษฐกิจโลก ส่วนภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้กรมป่าไม้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
715 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ (จำนวน 11 คน 1. นายปานเทพ รัตนากร ฯลฯ) | ทส | 13/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ จำนวน ๑๑ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายปานเทพ รัตนากร ประธานกรรมการ ๒. นายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ กรรมการ (เป็นบุคคลจากบัญชีรายชื่อฯ) ๓. นายชวลิต ชูขจร กรรมการ (เป็นบุคคลจากบัญชีรายชื่อฯ) ๔. นายเวทย์ นุชเจริญ กรรมการ (เป็นบุคคลจากบัญชีรายชื่อฯ) ๕. นางนันทริกา ชันซื่อ กรรมการ ๖. นางกุณฑลทิพย พานิชภักดิ์ กรรมการ ๗. นายปัณรส มาลากุล ณ อยุธยา กรรมการ ๘. นายสมบัติ อนันตรัมพร กรรมการ (เป็นบุคคลจากบัญชีรายชื่อฯ) ๙. นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ กรรมการ (เป็นบุคคลจากบัญชีรายชื่อฯ) ๑๐. พันเอก ขจรศักดิ์ ไทยประยูร กรรมการ ๑๑. นางสาวพรวิลัย เดชอมรชัย กรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
716 | ขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2523 ในกรณีจังหวัดอุตรดิตถ์ขอใช้พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าน้ำปาด เพื่อก่อสร้างตลาด การค้าชายแดน ณ ช่องภูดู่ ท้องที่จังหวัดอุตรดิตถ์ | ทส | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๓ (เรื่อง การเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย โดยให้จังหวัดอุตรดิตถ์ใช้พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าน้ำปาด เพื่อก่อสร้างตลาดการค้าชายแดน ณ ช่องภูดู่ และปรับปรุงถนนสายบ้านม่วงเจ็ดต้น-ด่านภูดู่ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดจำนวนพื้นที่ที่ต้องการขอผ่อนผันเท่าที่จำเป็นให้ชัดเจน ส่วนพื้นที่ที่เหลือให้กำหนดเป็นพื้นที่ป่าและมีการปลูกป่าทดแทนต่อไป และพิจารณาหาแนวทาง มาตรการในการป้องกันการละเมิดกฎหมายการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ของหน่วยงานรัฐก่อนได้รับอนุญาตในอนาคตที่เหมาะสมต่อไป นอกจากนี้ ในการดำเนินการโครงการต่อไปนั้น ควรจะดำเนินการให้ถูกต้องเหมาะสม โดยให้ดำเนินการตามเงื่อนไขและขั้นตอนที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และยึดหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้มีโอกาสเสนอความเห็นและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการดำเนินโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) พิจารณาดำเนินการ ๒.๑ เร่งรัดการตรวจสอบการเข้าใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทั้งหมดที่ยังมิได้ขออนุมัติการเข้าใช้พื้นที่ให้ครบถ้วนทุกกรณีในภาพรวมของทั้งประเทศ และประสานกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดังกล่าวเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนและเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๒ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และขั้นตอนปฏิบัติที่เกี่ยวข้องในการขออนุมัติใช้พื้นที่ป่าไม้ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้มีความคล่องตัว สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น ๒.๓ กำกับให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับภารกิจในความรับผิดชอบอย่างเคร่งครัดเพื่อให้การดูแลและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งป่าไม้ทุกประเภทให้เป็นไปอย่างยั่งยืนตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ของรัฐบาล เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดเข้าใช้ประโยชน์ภายในพื้นที่ป่าไม้ทุกประเภทก่อนได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
717 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2559 (เพิ่มเติม) และ ครั้งที่ 4/2559 | ทส | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ (เพิ่มเติม) และครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
๑. การประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ (เพิ่มเติม) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารตะกั่วบริเวณห้วยคลิตี้ (จังหวัดกาญจนบุรี) ระยะที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔ ๒. การประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ ๒.๑ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... ๒.๒ ร่างแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ๒.๓ ร่างกรอบทิศทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมตามมาตรา ๒๓ (๔) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ๒.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่อำเภอปลวกแดง อำเภอบ้านค่าย และอำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ๒.๕ โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนและหินดินดานเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) รวมจำนวน ๓๕ แปลง ใบอนุญาตปลูกสร้างอาคารเกี่ยวกับการทำเหมือง และจัดตั้งสถานที่เพื่อการแต่งแร่นอกเขตเหมืองแร่ จำนวน ๔ แปลง และคำขอใบอนุญาตปลูกสร้างอาคารเกี่ยวกับการทำเหมือง และจัดตั้งสถานที่เพื่อการแต่งแร่นอกเขตเหมืองแร่ จำนวน ๑ แปลง ตั้งอยู่ที่ตำบลทับกวาง และตำบลท่าคล้อ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ๒.๖ โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และเพื่อทำปูนขาว คำขอประทานบัตรที่ ๒/๒๕๕๒ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนชาติแคลเซี่ยม 888 ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรที่ ๒๘๐๔๔/๑๔๘๘๐ ของบริษัท เซเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี ๒.๗ การปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการลำดับที่ ๓ โครงการระบบขนส่งปิโตรเลียมและน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อ ๒.๘ การขอยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นชอบขององค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ. ๒๕๕๓ และบรรดาอนุบัญญัติทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
718 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 13 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง และร่างปฏิญญาแคนคูน ว่าด้วยการบูรณาการการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี | ทส | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๓ (The Twelfth Conference of the Parties to the Convention on Biological Diversity : COP13) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ ณ เมืองแคนคูน สหรัฐเม็กซิโก โดยประเทศไทยจะแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนกับประชาคมโลก โดยเฉพาะการบูรณาการความหลากหลายทางชีวภาพในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ เห็นชอบในการรับรองร่างปฏิญญาแคนคูนว่าด้วยการบูรณาการการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี โดยไม่มีการลงนาม มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการบูรณาการการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน สนับสนุนการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ แผนกลยุทธ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ค.ศ. ๒๐๑๑-๒๐๒๐ และเป้าหมายไอจิ รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุวาระการพัฒนาปี ค.ศ. ๒๐๓๐ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ในมิติต่าง ๆ เช่น การปกป้องคุ้มครองและจัดการระบบนิเวศอย่างยั่งยืน ความมั่นคงทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน เป็นต้น ทั้งนี้ จะมีการรับรองร่างปฏิญญาแคนนูนฯ ในการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาฯ ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองปฏิญญาแคนคูนฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับท่าทีไทยสำหรับการประชุมระดับสูง เรื่อง การบูรณาการด้านความหลากหลายทางชีวภาพในภาคป่าไม้ ที่ระบุว่า ประเทศไทยจะมีการดำเนินนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกและการบริหารจัดการพื้นที่ป่าไม้ ควรพิจารณาเพิ่มเติมการดำเนินนโยบายด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศป่าไม้ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนแม่บทบูรณาการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๔ และแผนปฏิบัติการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาฯ และร่างปฏิญญาแคนคูนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
719 | ขออนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 23 | ทส | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๓ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินงานและความร่วมมือของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงภายใต้พันธกรณีของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๓๘ เช่น การกำหนดให้สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat : MRCS) มีที่ตั้งเหลือ ๑ แห่ง ณ นครหลวงเวียงจันทน์ และกำหนดให้ศูนย์บริหารจัดการและบรรเทาอุทกภัยระดับภูมิภาคประจำอยู่ ณ กรุงพนมเปญ เช่นเดิม การเพิ่มพูนความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจา (จีน-เมียนมา) แผนการดำเนินงานประจำปี ค.ศ. ๒๐๑๗ ระเบียบปฏิบัติการใช้น้ำและบทเรียนจากกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า กรณีโครงการไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี และดอนสะโฮง ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และการถ่ายโอนภารกิจหลักด้านการบริหารจัดการลุ่มน้ำจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงให้แก่ประเทศสมาชิก ค.ศ. ๒๐๑๗ เป็นต้น ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๒-๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ เมืองปากเซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๒. เห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยหารือกับประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ตามประเด็นในกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๓ เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานและความร่วมมือเป็นไปตามพันธกรณีของความตกลงฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
720 | ร่างกรอบความร่วมมือระหว่างโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และเครือข่ายการติดตามตรวจสอบการตกสะสมของกรดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก (EANET) ในการบริหารจัดการข้อกำหนดการให้บริการของสำนักเลขาธิการ EANET (Framework between the United Nations Environment Programme (UNEP) and the Acid Deposition Monitoring Network in East Asia (EANET) on Arrangements for UNEP's Provision of Secretariat Services to the EANET) | ทส | 15/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกรอบความร่วมมือระหว่างโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme : UNEP) และเครือข่ายการติดตามตรวจสอบการตกสะสมของกรดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก (The Acid Deposition Monitoring Network in East Asia : EANET) ในการบริหารจัดการข้อกำหนดการให้บริการของสำนักเลขาธิการ EANET (Framework between the United Nations Environment Programme (UNEP) and the Acid Deposition Monitoring Network in East Asia (EANET) on Arrangements for UNEP''s Provision of Secretariat Services to the EANET) ซึ่งจัดทำขึ้นทดแทนฉบับเดิมเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและใช้เป็นกรอบในการบริหารจัดการและแนวทางการดำเนินงานของสำนักเลขาธิการ EANET รวมถึงการประสานงานร่วมกับประเทศเครือข่ายและศูนย์เครือข่าย EANET โดยมีข้อกำหนดทั้งสิ้น ๑๔ ข้อ และตั้งใจให้มีรูปแบบที่ไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายระหว่างประเทศ ๑.๒ ให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเห็นชอบต่อร่างกรอบความร่วมมือฯ ในระหว่างการประชุมระดับรัฐบาล (Intergovernmental Meeting : IG) ครั้งที่ ๑๘ (IG18) ของ EANET ในระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาสาระของกรอบความร่วมมือฯ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ ๑๔ อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเลและทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน ในเป้าประสงค์ที่ ๑๔.๓ ลดและแก้ปัญหาผลกระทบของการเป็นกรดในมหาสมุทร โดยผ่านทางความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ในทุกระดับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....