ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 99 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1961 - 1980 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1961 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ. .... | กค | 26/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขขั้นตอนกระบวนการจ่ายคืนเงินฝากแก่ผู้ฝากเงิน กระบวนการดำเนินงานของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดระดับวงเงินความคุ้มครองเงินฝากเป็นการทั่วไปใหม่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาตามที่กระทรวงการคลังเสนอ (ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๑๐๐๘/๗๕๙๗ ลงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๙) และให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการตรวจสอบระบบการเชื่อมโยงข้อมูลของสถาบันคุ้มครองเงินฝากและสถาบันการเงินให้มีความสมบูรณ์ การตรวจสอบรายงานฐานะทางการเงินของสถาบันการเงินอย่างรอบคอบ การพิจารณาทบทวนอัตราการนำส่งเงินของสถาบันการเงินให้มีความเหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงในระบบสถาบันการเงิน รวมทั้งการให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากชี้แจงรายละเอียดของเงินคืนรวมถึงการหักหนี้ให้ผู้ฝากได้รับทราบอย่างชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1962 | แต่งตั้งกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (นายฉัตรชัย ศิริไล) | กค | 26/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายฉัตรชัย ศิริไล ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ ตั้งแต่วันที่สัญญาจ้างมีผลบังคับใช้เป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบการกำหนดอัตราเงินเดือน ผลประโยชน์ตอบแทนอื่น และเงื่อนไขการจ้างตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๔๙๖ แล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้นายฉัตรชัย ศิริไล ลาออกจากการเป็นพนักงานก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1963 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งของทุนหมุนเวียน | กค | 19/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอขอความเห็นชอบในหลักการมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งของทุนหมุนเวียน ซึ่งมีทุนหมุนเวียนที่มีกรอบภารกิจและวัตถุประสงค์ที่อยู่ในข่ายที่สามารถให้ความช่วยเหลือฯ จำนวน ๑๗ ทุน โดยให้ความช่วยเหลือ (๑) ขยายเวลาการชำระหนี้ และ/หรือ งดการจัดเก็บดอกเบี้ย/ค่าปรับ (๒) พัฒนาแหล่งน้ำเดิม โดยการขุดลอกทางน้ำชลประทาน โดยใช้แรงงานที่เป็นเกษตรกรในท้องถิ่นที่อยู่ในพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และไม่สามารถเพาะปลูกได้ตามฤดูกาล และ (๓) สนับสนุนแหล่งเงินทุน ปัจจัยการผลิตด้านการเกษตร โดยการลดดอกเบี้ยและต้นทุนปัจจัยการผลิต และให้หน่วยงานเจ้าของทุนหมุนเวียนรับไปดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปโดยเร็ว พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการฯ ให้กระทรวงการคลังต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1964 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2558 | กค | 19/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. เป้าหมายนโยบายการเงิน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี ๒๕๕๘ เฉลี่ยติดลบที่ร้อยละ ๐.๙๐ ต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน (ร้อยละ ๒.๕?๑.๕) สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่ปรับลดลงมากเป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลงอย่างรวดเร็วและอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ขณะที่ราคาอาหารสดชะลอตัวตามราคาไข่ไก่และเนื้อสุกรเป็นสำคัญ ส่วนการดำเนินนโยบายการเงิน ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๘ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ ๑.๕๐ ต่อปี และประเมินว่า เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในอัตราที่ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ในช่วงก่อนหน้า จากแรงสนับสนุนของการใช้จ่ายภาครัฐและภาคการท่องเที่ยว ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อปี ๒๕๕๙ กนง. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๙ มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี ๒๕๕๘ โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณร้อยละ ๓.๕ (ณ เดือนธันวาคม ๒๕๕๘) จากแรงขับเคลื่อนของการใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชน และการส่งออกบริการ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ ของภาครัฐ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี ๒๕๕๙ จะอยู่ที่ร้อยละ ๐.๘ และ ๐.๙ ตามลำดับ และในระยะข้างหน้า กนง. เห็นว่า นโยบายการเงินยังควรอยู่ในระดับผ่อนปรนอย่างเพียงพอและต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
|
||||||||||||||||||||||||
1965 | การแก้ไขปรับปรุงร่างสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของบริษัท ทวาย เอสอีแซด ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ฉบับที่ 2 | กค | 19/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) รายงานการแก้ไขปรับปรุงร่างสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของบริษัท ทวาย เอสอีแซด ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (SPV) ฉบับที่ ๒ โดยฝ่ายไทย เมียนมา และญี่ปุ่น ได้ร่วมกันพิจารณาทบทวนร่างสัญญาฯ ฉบับที่ ๒ โดยได้แก้ไขร่างสัญญาฯ ฉบับที่ ๒ เกี่ยวกับวัตถุประสงค์หลักของธุรกิจ และระยะเวลาของสัญญา รวมทั้งได้แก้ไขคำจำกัดความให้เป็นไปตามหลักการบัญชี หน้าที่ความรับผิดชอบของคณะกรรมการ และรายนามผู้ติดต่อเพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ซึ่งการแก้ไขปรับปรุงร่างสัญญาฯ ฉบับที่ ๒ ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และได้ร่วมลงนามแก้ไขปรับปรุงร่างสัญญาฯ ฉบับที่ ๒ แล้วเมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ ระหว่างการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (JHC) ครั้งที่ ๕
|
||||||||||||||||||||||||
1966 | โครงการทุนการศึกษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร | กค | 19/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการขอความร่วมมือหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจในสังกัดดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) เพื่อร่วมสมทบทุนการศึกษาในโครงการทุนการศึกษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และมอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการและประสานงานกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระราชวโรกาสให้นายกรัฐมนตรีและคณะเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท
|
||||||||||||||||||||||||
1967 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษา [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | กค | 19/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษา โดย ๑.๑ กำหนดให้บุคคลธรรมดาที่บริจาคเงินให้แก่สถานศึกษาของราชการและเอกชนโดยไม่รวมโรงเรียนนอกระบบ สามารถนำมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้ ๒ เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว ๑.๒ กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถานศึกษาของราชการและเอกชนโดยไม่รวมโรงเรียนนอกระบบ สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้ ๒ เท่าของจำนวนที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายที่จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบ และรายจ่ายที่จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างและการบำรุงรักษาสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของราชการหรือเอกชนที่เปิดให้บริการโดยไม่เก็บค่าบริการ ต้องไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย ตามมาตรา ๖๕ ตรี (๓) แห่งประมวลรัษฎากร ๑.๓ ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้า หรือการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการบริจาคให้สถานศึกษาตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ โดยจะต้องไม่นำต้นทุนของทรัพย์สินหรือสินค้าซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ๑.๔ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามข้อ ๑.๑-๑.๓ มีผลบังคับใช้สำหรับการบริจาคที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถานศึกษา บางกรณี และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
1968 | การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 19/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์การหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมิน การหักลดหย่อน จำนวนเงินได้พึงประเมินที่ผู้มีเงินได้ต้องยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมิน และอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การหักค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรวิเคราะห์ถึงภาระภาษีที่แท้จริงของผู้มีหน้าที่เสียภาษีในแต่ละช่วงชั้นรายได้ เพื่อให้สามารถพิจารณาผลกระทบของการปรับปรุงการหักค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อน และการปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีต่อการกระจายรายได้ระหว่างผู้มีหน้าที่ต้องชำระภาษีในช่วงชั้นรายได้ต่าง ๆ การเตรียมแนวทางในการลดผลกระทบจากการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จะส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล โดยเฉพาะการเร่งรัดการขยายฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล การเร่งรัดศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการนำนโยบายการจัดสรรเงินโอนให้ผู้มีรายได้น้อย (Negative Income Tax) มาใช้ในประเทศ และการกำหนดให้ประชาชนผู้มีรายได้ทุกคนต้องยื่นแบบเพื่อชำระภาษี นอกจากนี้ การปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่นำเสนอ ควรคำนึงถึงการบรรเทาภาระรายจ่ายภาษีให้แก่ผู้มีรายได้น้อย และความสอดคล้องตามหลักการของโครงสร้างอัตราภาษีก้าวหน้าอย่างแท้จริง อีกทั้งการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ในภาพรวมของรัฐบาล จึงควรพิจารณาสัดส่วนของความเป็นธรรมที่ประชาชนจะได้รับกับรายได้ของรัฐที่เสียไปที่อาจส่งผลกระทบต่อความเพียงพอและความเหมาะสมในการจัดบริการสาธารณะของรัฐที่ผ่านกลไกของการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี รวมทั้งมาตรการทางภาษีอื่นใดที่จะนำมาทดแทนกับภาษีบุคคลธรรมดาที่สูญเสียไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1969 | โครงการบ้านประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุ | กค | 19/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบการดำเนินโครงการบ้านประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุ (โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ) ซึ่งมีกรอบการดำเนินโครงการในหลักการเดียวกับโครงการบ้านประชารัฐที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นรขอบแล้วเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๙ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐได้มีที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราวและหรือให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองบนที่ดินราชพัสดุ โดยให้สถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรนพิเศษ แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) และเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเสนอขอปรับถ้อยคำในวัตถุประสงค์ของโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ ในข้อ ๒.๑.๑.๑ ของหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๓๑๔/๖๕๗๔ ลงวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๙ จาก “เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราวและหรือให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง” เป็น “เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐได้มีที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราวและหรือให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง” เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของโครงการฯ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมาย หากมีจำนวนความต้องการเกินกว่าอุปทาน อาจพิจารณากลุ่มสูงอายุและกลุ่มที่เพิ่งเริ่มทำงานเป็นกลุ่มที่มีลำดับความสำคัญสูง ส่วนการสำรวจที่ดินราชพัสดุที่ยังมิได้นำมาใช้ประโยชน์และมีศักยภาพในการพัฒนา ทั้งที่เป็นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อย และการพัฒนาพื้นที่ในเชิงพาณิชย์ และการให้ ธอส. และธนาคารออมสินพิจารณาการปล่อยสินเชื่ออย่างรอบคอบเพื่อป้องกันหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans : NPLs) ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ รวมทั้งธนาคารทั้งสองแห่งควรมีกระบวนการพิจารณาคัดกรองการให้สินเชื่อที่ระมัดระวังเป็นพิเศษ สำหรับการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) แบบผ่อนปรนหลักเกณฑ์ Debt Service Ratio (DSR) และ Debt to Income Ratio (DTI) โดยให้คำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้และความสามารถในการใช้จ่ายประจำวัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ หากการดำเนินโครงการฯ เข้าข่ายตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กรมธนารักษ์ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าวและประกาศคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย ๓. เห็นชอบให้ ธอส. และธนาคารออมสินแยกบัญชีมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล (Public Service Account : PSA) และไม่นับรวมหนี้ NPLs ที่เกิดจากการดำเนินโครงการฯ เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของ ธอส. และธนาคารออมสิน รวมทั้งให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการฯ บวกกลับกำไรสุทธิเพื่อการคำนวณโบนัสพนักงานได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง โดย ธอส. และธนาคารออมสินจะต้องไม่ขอรับการชดเชยงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการฯ ในอนาคต ๔. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการคัดเลือกเอกชนที่เข้าร่วมพัฒนาโครงการฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้เอกชนที่มีศักยภาพและสามารถดำเนินโครงการได้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ๕. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับการบูรณาการโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ข้าราชการบำนาญ และข้าราชการที่เกษียณอายุแล้ว เพื่อให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการสำรวจจำนวนผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อวางแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยในระยะยาว รวมทั้งกำหนดรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการต่อไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง บ้านประชารัฐ) |
||||||||||||||||||||||||
1970 | การดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) | กค | 19/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการนำความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปปรับปรุงรายละเอียดการดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) รวมทั้งรับทราบผลการพิจารณาแนวทางการบูรณาการระบบ CCTV เพื่อการควบคุมทางศุลกากร กับระบบ CCTV ของหน่วยงานอื่น ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกัน โดยกรมศุลกากรได้เสนอรูปแบบการบูรณาการใช้งานร่วมกันในลักษณะต่าง ๆ และให้กรมศุลกากรใช้บริการโครงข่ายสื่อสาร CCTV และอุปกรณ์ต่อพ่วงกับเครือข่ายของบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ เกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้งานระบบหรือพัฒนาต่อยอดจากระบบของหน่วยงานอื่นที่ได้ดำเนินการไว้แล้ว การจัดทำรายละเอียดสถาปัตยกรรมองค์กร (Enterprise Architecture) ที่แสดงให้เห็นภาพรวมของการดำเนินการ การจัดหากล้องโทรทัศน์วงจรปิดควรอ้างอิงตามเกณฑ์ราคากลางและคุณลักษณะพื้นฐานของกล้องโทรทัศน์วงจรปิดตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกำหนด และการจัดหาครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ให้กำหนดคุณลักษณะเฉพาะที่เปิดกว้างไม่เจาะจงเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่ง และควรมีคณะทำงานหรือหน่วยงานที่กำหนดรูปแบบมาตรฐานในการเชื่อมต่อและเก็บข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์และบูรณาการข้อมูล ตลอดจนการจัดทำรายละเอียดนโยบายด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การจัดทำรายละเอียดนโยบายด้านความปลอดภัยทางไอที แผนการบริหารความเสี่ยง แผนการโอนย้ายระบบ แผนการบูรณาการระบบ คุณลักษณะของรายการอุปกรณ์ที่จัดหา สถาปัตยกรรมองค์กร และจัดให้มีกระบวนการทำ POC (proof of concept) ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1971 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (โครงการก่อสร้างอาคารด่านพรมแดนคลองใหญ่) | กค | 19/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กรมศุลกากรเปลี่ยนแปลงรายการ ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อดำเนินการในรายการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน รายการตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งหากชำระหนี้ล่าช้าจะมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้น และรายการข้อผูกพันตามสัญญาที่จะต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้แล้วเสร็จและสามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งงบประมาณไว้แล้ว ดังนี้ ๑.๑ ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๒๘๙/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๓๙๖,๔๐๐ บาท (ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙) ๑.๒ ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๔๘๓๕/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๘,๖๐๕,๔๐๐ บาท (ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙) ๑.๓ ค่าก่อสร้างโครงการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน สำนักงานศุลกากรภาคที่ ๒ จำนวน ๕๙๗,๕๐๐ บาท วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๑,๕๙๙,๓๐๐ บาท สำหรับค่าจ้างเหมาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พนักงานทำความสะอาดและบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขระบบปรับอากาศนั้น กรมศุลกากรได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ประเภทงบดำเนินงาน ลักษณะค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ รองรับไว้แล้ว จึงเห็นสมควรให้ใช้จ่ายและถัวจ่ายจากงบประมาณดังกล่าวก่อน ทั้งนี้ การดำเนินการชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยดังกล่าว ให้กรมศุลกากรต่อรองให้เหลือต่ำสุด และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการหาผู้รับผิดชอบตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดในกรณีการชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๒๘๙/๒๕๕๘ รายบริษัท ไฮเพอรอน จำกัด โจทก์ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โจทก์ร่วม กรมศุลกากร จำเลย และคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๔๘๓๕/๒๕๕๘ รายบริษัท เอส.อาร์.เค. อีเล็คโทรนิค จำกัด ที่ ๑ นายสุรเกียรติ งามวิถี ที่ ๒ โจทกก์ กรมศุลกากร จำเลยด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1972 | ขออนุมัติควบรวมทุนหมุนเวียน (กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี) | กค | 12/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ควบรวมกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เข้าเป็นทุนหมุนเวียนเดียวกัน โดยให้มีผลควบรวมตั้งแต่วันแรกของเดือนถัดจากเดือนที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบการควบรวมฯ เป็นต้นไป เพื่อประโยชน์ในการสะสางบัญชีและการนับวันเริ่มต้นของรอบบัญชีของกองทุนหลังควบรวม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
1973 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายพชร อนันตศิลป์) | กค | 12/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพชร อนันตศิลป์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
1974 | โครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ | กค | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ และข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขอแก้ไขข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๑.๑ ขออนุมัติปรับลดงบประมาณในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป จากหมู่บ้านละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท เป็นหมู่บ้านละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการฯ รวมถึงรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการโครงการฯ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน แทนกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการฯ โดยจัดให้มีคณะกรรมการระดับอำเภอในแต่ละพื้นที่เป็นผู้พิจารณาอนุมัติโครงการที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกจากคณะกรรมการหมู่บ้านแล้ว และให้คณะกรรมการดังกล่าวพิจารณาโครงการฯ โดยมุ่งเน้นโครงการที่เป็นสาธารณประโยชน์ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมและเป็นไปตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งสอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน และต้องเป็นโครงการที่สามารถดำเนินการได้ตามกรอบระยะเวลา ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ๓. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงินไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ในงบเงินอุดหนุนประเภทเงินอุดหนุนทั่วไปแก่หมู่บ้านเพื่อสาธารณประโยชน์ จำนวน ๗๔,๙๖๕ แห่ง หมู่บ้านละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการฯ ให้กระทรวงมหาดไทยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๔. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากลไกการจัดสรรเงินงบประมาณและเร่งรัดจัดทำคู่มือและหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการฯ รวมทั้งสร้างการรับรู้ให้แก่คณะกรรมการหมู่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการและเร่งรัดการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มดำเนินโครงการฯ ทั้งนี้ ให้นำความเห็นของสำนักงบประมาณประกอบการพิจารณาในการเบิกจ่ายให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๕. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแล ติดตามความคืบหน้าในการดำเนินโครงการ และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน |
||||||||||||||||||||||||
1975 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 27 ตุลาคม 2558 (เกี่ยวกับเงินทุนหมุนเวียน) | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ (เกี่ยวกับเงินทุนหมุนเวียน) สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โดย (๑) ควบรวมกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต โดยเป็นการควบรวมกองทุนทั้งสองให้อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน (๒) คงสถานะกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่ให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และ (๓) กองทุนปูนซีเมนต์สร้างยุ้งฉางกลาง กองทุนเพื่อพัฒนาการผลิตถั่วเหลือง โครงการเงินสนับสนุนจากการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อพัฒนากีฬาของชาติ เงินฝากส่งเสริมธุรกิจที่อยู่ในความส่งเสริมของกรมพัฒนาเศรษฐกิจการค้า และศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เป็นเงินนอกงบประมาณที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ซึ่งกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ได้มีหนังสือแจ้งหน่วยงานเจ้าของเงินนอกงบประมาณดังกล่าวให้พิจารณาเหตุผลความจำเป็นในการคงอยู่ ๒. โดยที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) อาศัยอำนาจตามข้อบังคับกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการให้องค์การของรัฐบาลที่ใช้ทุนหรือทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๖ เรียกให้ทุนหมุนเวียนนำเงินสภาพคล่องส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน (บัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑) ซึ่งเงินดังกล่าวถือเป็นเงินรายได้แผ่นดิน นั้น การนำเงินทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องส่วนเกินความจำเป็นไปใช้ประโยชน์ในการสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในช่วง ๑ ปี ต้องดำเนินการผ่านหน่วยงานของรัฐตามกระบวนการงบประมาณปกติ โดยกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือพระราชบัญญัติงบประมาณเพิ่มเติม ๓. ผลการนำเงินทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องส่วนเกินความจำเป็นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามแผนปฏิบัติการฯ จำนวน ๒๙ ทุน เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๘,๐๘๑.๑๕ ล้านบาท ณ วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ ทุนหมุนเวียนนำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินแล้ว จำนวน ๒๗,๘๑๑.๖๓ ล้านบาท โดยกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศยังค้างการนำส่งเงินอีก จำนวน ๒๖๙.๕๒ ล้านบาท เนื่องจากเป็นเงินต้นของกองทุนฯ ซึ่งต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการและจะนำส่งได้ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||
1976 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรมและการแรงงาน เรื่อง มาตรการขับเคลื่อน SMEs และ การแก้ไขปัญหาอุปสรรค | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน เรื่อง มาตรการขับเคลื่อน SMEs และการแก้ไขปัญหาอุปสรรค ซึ่งกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แล้ว ได้แก่ การจัดทำแผนการส่งเสริม SMEs ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาและวางแผนการส่งเสริม SMEs ได้อย่างเหมาะสม การแก้ไขปัญหาและอุปสรรคเพื่อให้ SMEs เข้ามาในระบบภาษีมากขึ้น เช่น ยกเว้นการตรวจสอบภาษีย้อนหลัง ปรับลดฐานภาษีเงินได้นิติบุคคล การจัดทำมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำได้เพิ่มขึ้น การออกมาตรการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ SMEs ต่ำ เช่น มาตรการเชิงนโยบาย มาตรการด้านอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ รวมทั้งการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เอื้อต่อการพัฒนา SMEs ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1977 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ 2559 | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๘) โดยสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม ได้แก่ ผลไม้ น้ำหอมและเครื่องสำอาง นาฬิกาและอุปกรณ์ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง สูท เสื้อ กระโปรง กางเกง สำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิง และเนคไท สุราต่างประเทศ รองเท้าหนังและรองเท้าผ้าใบ แว่นตา ปากกาและอุปกรณ์ ไวน์ เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ ดอกไม้ และเครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหารหรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล มีมูลค่านำเข้า ๑,๐๔๒.๔๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๒.๑๓ ของมูลค่านำเข้าร่วม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ๙๒.๖๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๙.๗๖ โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ผลไม้ น้ำหอมและเครื่องสำอาง นาฬิกาและอุปกรณ์ สำหรับสินค้าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด ๕ กลุ่มสินค้า เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้แก่ ดอกไม้ เครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหารหรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล ผลไม้ นาฬิกาและอุปกรณ์ และแว่นตา ส่วนสินค้าที่มีการหดตัวสูงสุด คือ ไฟแช็คและอุปกรณ์
|
||||||||||||||||||||||||
1978 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 1/2559 | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๙ โดยที่ประชุมมีมติและข้อเสนอแนะ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานการส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย มาตรการการจ้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน มาตรการการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมกำกับการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๙ (Action Plan) ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งแจ้งหน่วยงานเจ้าของโครงการให้เร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมประกวดราคาให้มีการประกวดราคาและลงนามในสัญญาก่อสร้างได้ภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ เพื่อให้มีการเบิกจ่ายเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ขนาดทาง ๑ เมตร (Meter Gauge) ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ให้เร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ในปี ๒๕๕๙ ควรมีการเบิกจ่ายประมาณ ๘,๐๕๒ ล้านบาท และ (๒) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายพัทยา-มาบตาพุด ให้เร่งรัดการเจรจาต่อรองราคาใน ๘ ตอนที่เหลือ รวมทั้งเร่งประกวดราคาในอีก ๒ ตอนที่เหลือให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ๓. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเร่งรัดติดตามการดำเนินการโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าข่ายโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ๔. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดโครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล (ตำบลละ ๕ ล้านบาท) ที่ได้รับอนุมัติแล้วให้มีการเบิกจ่ายโดยเร็ว ทั้งนี้ ในช่วง ๒ เดือนที่เหลือของไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ (กุมภาพันธ์-มีนาคม ๒๕๕๙) ควรมีการเบิกจ่ายประมาณ ๑๐,๐๐๐-๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๕. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศมีหนังสือถึงหน่วยงานราชการเน้นย้ำให้ดำเนินการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการตามมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ สำหรับวงเงิน ๑๖,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ก่อหนี้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ และเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ สำหรับกรณีที่สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ แต่อาจจะเบิกจ่ายงบประมาณแล้วเสร็จภายหลังสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ในกรณีนี้ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นส่งเรื่องขอผ่อนผันกรณีการเบิกจ่ายล่าช้าดังกล่าวมายังสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้รวบรวมเสนอขอผ่อนผันต่อคณะรัฐมนตรีในคราวเดียว แต่หากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นมิได้แจ้งผ่อนผันไปยังสำนักงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นจะต้องนำเสนอขอผ่อนผันต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายกรณี รวมทั้งเร่งดำเนินการตามโครงการและมาตรการที่อยู่ภายใต้กรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
1979 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์) | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
1980 | ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และวงเงินงบประมาณรายจ่ายของโครงการดังกล่าวตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) ๑.๒ อนุมัติให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ ในรูปแบบ PPP Next Cost โดยภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธา ค่างานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้า และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ รวมทั้งบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการ โดยให้เอกชนร่วมลงทุนรวมเป็นเวลา ๓๓ ปี ๓ เดือน (ระยะเวลาการก่อสร้าง ๓ ปี ๓ เดือน และระยะเวลาเดินรถ ๓๐ ปี) และเอกชนเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านจำนวนผู้โดยสารของโครงการ (Ridership Risk) ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๕๖ โดยเคร่งครัดต่อไป ๑.๓ อนุมัติค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ ในกรอบวงเงินรวมจำนวน ๖,๘๔๗ ล้านบาท และ ๖,๐๑๓ ล้านบาท ตามลำดับ โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายเงินจริงต่อไป ๑.๔ อนุมัติกรอบวงเงินสนับสนุนแก่เอกชนเป็นเงินสนับสนุนค่างานโยธา ในวงเงินไม่เกิน ๒๐,๑๓๕ ล้านบาท สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และไม่เกิน ๒๒,๓๕๔ ล้านบาท สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ ที่เป็นมูลค่าปัจจุบันตามที่ตกลงในสัญญาสัมปทาน โดยทยอยจ่ายให้เอกชนหลังจากเริ่มเปิดเดินรถแล้ว และแบ่งจ่ายเป็นรายปี โดยกำหนดระยะเวลาแบ่งจ่ายไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี ทั้งนี้ มอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณร่วมพิจารณาแหล่งเงินและรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการจ่ายเงินสนับสนุนแก่เอกชนต่อไป ๑.๕ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและ รฟม. รับไปดำเนินการ (๑) กำกับดูแลให้โครงการรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ สามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนงานเพื่อลดความเสี่ยงด้านปริมาณผู้โดยสาร และพิจารณาความเหมาะสมของอัตราค่าโดยสาร รวมทั้งเร่งดำเนินการใช้ระบบตั๋วร่วมและการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมในภาพรวม ทั้งในระบบรถไฟฟ้าและระบบขนส่งมวลชนรูปแบบอื่น ตลอดจนเร่งรัดการปฏิรูปเส้นทางเดินรถโดยสารสาธารณะให้สอดคล้องกับเส้นทางและระยะเวลาการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว (๒) พิจารณารูปแบบลักษณะการจ่ายเงินสนับสนุนแก่เอกชนที่สามารถส่งเสริมการประเมินผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัด (KPI) ของโครงการ เพื่อให้เอกชนเกิดแรงจูงใจในการพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และเมื่อเอกชนมีผลประกอบการเกินกว่าระดับที่ตกลงกันแล้ว ก็ควรพิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดส่วนแบ่งรายได้จากผลประกอบการที่ดีขึ้นด้วย (๓) เร่งจัดทำแผนการดำเนินโครงการในรายละเอียดที่ชัดเจน โดยเฉพาะแผนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และพิจารณาวงเงินขอรับจัดสรรงบประมาณสำหรับจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เพียงพอและสอดคล้องกับขั้นตอน/ระยะเวลาการดำเนินโครงการ รวมทั้งประสานกระทรวงมหาดไทยและ/หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าให้สามารถรองรับการขยายตัวของเมืองได้มากขึ้นต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการรับความเสี่ยง และการกำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่สูงกว่าอัตราเฉลี่ยของตลาด เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการประมูลโครงการ การแต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้า โดยมีองค์ประกอบเป็นผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุน เสนอแนะ และให้ข้อคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาในเชิงบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของ รฟม. การกำหนดผลตอบแทนจากการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดเงินในปัจจุบัน และพิจารณากรอบวงเงินสนับสนุนให้แก่เอกชนผู้เข้าร่วมดำเนินโครงการให้อยู่บนหลักการที่ภาคเอกชนต้องมีส่วนรับผิดชอบค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการกำหนดให้ส่วนแบ่งรายได้ให้แก่ภาครัฐในอัตราที่เหมาะสม รวมทั้งการกำหนดเงื่อนไขของสัญญาที่มีบทปรับที่สะท้อนถึงมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจในกรณีที่ภาคเอกชนไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ตามกำหนดการ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. กำกับการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเริ่มการประมูลได้ตามกำหนดเวลา โปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติตามขั้นตอนการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกำหนดเวลาตามมาตรการ PPP Fast Track เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระยะเวลาในการศึกษา และวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุนต่าง ๆ ได้อย่างรอบคอบและครบถ้วน |
.....