ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 95 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1881 - 1900 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1881 | มาตรการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม | กค | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการการดำเนินมาตรการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยอุดหนุนเข้ากองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ตามนัยมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๔๓ ๑.๒ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกำหนดประเภทและกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงจัดทำรายละเอียดให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้มีความชัดเจน เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs และโอกาสในการพลิกฟื้นกิจการของ SMEs เป็นสำคัญ สำหรับการใช้จ่ายเงินจากกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อดำเนินมาตรการดังกล่าวนั้น เห็นควรที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพิจารณาตามที่คณะอนุกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกำหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตามนัยมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๔๓ รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฟื้นฟูกิจการ SMEs เห็นควรเพิ่มผู้แทนที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยหรือภาคเอกชนอื่นเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการเพิ่มเติมอีก ๑ ตำแหน่ง และควรพิจารณาถึงกระบวนการทำงาน ปัญหาและอุปสรรคจากการให้ความช่วยเหลือ SMEs ในลักษณะร่วมกิจการ ร่วมทุน หรือลงทุน จากผลการดำเนินงานโครงการที่ผ่านมา เช่น โครงการ Venture Capital Fund เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินมาตรการฟื้นฟูกิจการ SMEs และหลีกเลี่ยงปัญหาที่เคยเกิดขึ้นจากการดำเนินงาน ซึ่งจะเป็นการใช้เงินลงทุนให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อ SMEs อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ควรพิจารณาการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจ โดยคำนึงถึงทั้งขนาดวิสาหกิจ สาขาธุรกิจ และพื้นที่การประกอบธุรกิจ เพื่อให้เกิดการกระจายความช่วยเหลือวิสาหกิจอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังนำมาตรการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเพื่อติดตามและรวบรวมผลการดำเนินมาตรการดังกล่าวเพื่อรายงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1882 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการสำหรับการปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการสำหรับการปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิได้รับเงินสวัสดิการสำหรับการปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษจากคนละหนึ่งพันบาทต่อเดือน เป็นสองพันบาทต่อเดือน โดยให้กระทรวงการคลังมีอำนาจในการกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราเงินสวัสดิการฯ และกำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณากำหนดสำนักงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ และคณะกรรมการพิจารณากำหนดสำนักงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษระดับจังหวัด รวมทั้งกำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราเงินสวัสดิการฯ ควรคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และความไม่ซ้ำซ้อนกับสวัสดิการประเภทอื่น เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณแผ่นดินมากเกินความจำเป็นในอนาคต สำหรับภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1883 | ผลการดำเนินงานโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 | กค | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ ๒ สรุปได้ ดังนี้
๑. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ อนุมัติให้ดำเนินโครงการเงินกู้ฯ ภายในกรอบวงเงิน ๗๘,๒๙๔.๘๕ ล้านบาท สำนักงบประมาณได้พิจารณาจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการเงินกู้ฯ จำนวน ๗๓,๘๕๙.๙๕ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการจัดหาเงินสำหรับการดำเนินงานโครงการเงินกู้ฯ แล้วทั้งสิ้น จำนวน ๕๙,๓๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้จากสถาบันการเงินในประเทศ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และเงินยืมกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ จำนวน ๙,๓๐๐ ล้านบาท ปัจจุบันมีผลการเบิกจ่ายเงินทั้งสิ้น จำนวน ๕๑,๙๔๙.๔๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๐.๓๔ ของวงเงินจัดสรร (ข้อมูล ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙) ได้แก่ (๑) แผนงาน/โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (เพิ่มเติม) จำนวน ๑๗,๕๓๘.๕๔ ล้านบาท และ (๒) แผนพัฒนาระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน จำนวน ๓๔,๔๑๐.๘๗ ล้านบาท ๒. ข้อมูล ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ มีหน่วยงานที่ยังไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทั้งสิ้น จำนวน ๑๐ หน่วยงาน ๑๗ โครงการ วงเงินรวม ๕,๗๓๙.๗๗ ล้านบาท โดยมีปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานโครงการเงินกู้ฯ คือ ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ๓. โครงการเงินกู้ฯ ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ มีโครงการที่คาดว่าจะดำเนินการเบิกจ่ายไม่แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ จำนวนทั้งสิ้น ๗ หน่วยงาน ๒๒ โครงการ ซึ่งมีแผนการเบิกจ่ายผูกพันปีงบประมาณ ๒๕๖๑-๒๕๖๒ รวมทั้งสิ้น จำนวน ๑,๕๐๘.๕๒ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1884 | แผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2559 - 2563) | กค | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดทำแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ซึ่งผ่านการระดมความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาธุรกิจประกันภัยไทยในระยะต่อไป และเป็นการวางกรอบทิศทางในการพัฒนาธุรกิจประกันภัยไทยช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ที่ต้องการมุ่งเน้นให้ “ระบบประกันภัยไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากประชาชน” ประกอบด้วยยุทธศาสตร์หลัก ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมประกันภัย (๒) การเสริมสร้างความรู้และการเข้าถึงการประกันภัย (๓) การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขัน และ (๔) การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1885 | หลักเกณฑ์การออกสลากการกุศล | กค | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักการและแนวทางการพิจารณาการออกสลากการกุศล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล เพื่อกำหนดแนวทางการพิจารณาและกลั่นกรองโครงการสลากการกุศลของหน่วยงานต่าง ๆ ก่อนเสนอกระทรวงการคลังเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีให้แก้ไของค์ประกอบ จากเดิม “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ” เป็น “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นประธานกรรมการ” ๑.๒ กำหนดให้มีกรอบหลักเกณฑ์และแนวทางในการพิจารณาการออกสลากการกุศล ประกอบด้วย หน่วยงานที่ขอรับการสนับสนุน โครงการที่ขอรับการสนับสนุน การพิมพ์สลากการกุศล วงเงินสนับสนุนโครงการ การพิจารณาการออกสลากการกุศล รายละเอียดของโครงการที่ขอรับการสนับสนุน รวมทั้งการติดตามและรายงานผลการดำเนินโครงการ ๑.๓ หน่วยงานสามารถยื่นขอรับการสนับสนุนได้ที่กระทรวงการคลัง โดยกระทรวงการคลังจะประกาศระยะเวลาการยื่นขอรับการสนับสนุนบนเว็บไซต์ และจะดำเนินการประกาศเผยแพร่รายชื่อหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุน รายละเอียดโครงการ วงเงินที่ได้รับในการสนับสนุนการออกสลากการกุศล พร้อมทั้งผลการดำเนินงานของโครงการนั้น ๆ บนเว็บไซต์ ๑.๔ สัดส่วนการจัดสรรรายได้จากการจำหน่ายสลากการกุศล ๑.๔.๑ ร้อยละ ๖๐ เป็นเงินรางวัล ๑.๔.๒ ไม่เกินกว่าร้อยละ ๒๒.๕ เป็นเงินรายได้ที่ให้กับหน่วยงานเจ้าของโครงการ ๑.๔.๓ ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๐.๕ เป็นค่าภาษีการพนัน ๑.๔.๔ ไม่เกินกว่าร้อยละ ๑๗ เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสภากาชาดไทยเกี่ยวกับการพิจารณากำหนดประเภทของกิจกรรมที่จะสามารถขอรับการสนับสนุนให้มีการออกสลากการกุศล และพิจารณาให้มีการกำหนดนิยามคำว่า “ลดความเหลื่อมล้ำด้านสังคม” ไว้ในหลักเกณฑ์การออกสลากการกุศล การกำหนดหลักเกณฑ์ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องไม่เคยได้รับการจัดสรรรายได้จากการจำหน่ายสลากการกุศลมาก่อน และการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินรายเดือนให้ชัดเจนเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาจัดสรรเงินให้กับหน่วยงาน รวมทั้งการติดตามและรายงานผลการดำเนินโครงการให้คณะกรรมการฯ ควรจะดำเนินการเป็นรายไตรมาส ตลอดจนการพิจารณาเพิ่มเติมวงเงินสำหรับโครงการที่ขอรับการสนับสนุน รวมถึงวงเงินรวมในการออกสลากการกุศลแต่ละครั้ง ให้พิจารณาโดยดูจากขนาดของโครงการฯ เหตุผลและความจำเป็นของโครงการที่หน่วยงานต่าง ๆ นำเสนอสามารถนำมาเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเงินที่จะออกสลากการกุศลสนับสนุนโครงการตามความเหมาะสม ซึ่งอาจจะต่ำกว่า หรือสูงกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินรวมอาจอยู่ระหว่าง ๑๐,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อให้มีกรอบวงเงินเพิ่มเติมที่จะพิจารณาให้การสนับสนุนแก่องค์กรการกุศลได้มากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1886 | แผนดำเนินการและแนวปฏิบัติในการดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2559/60 | กค | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนการดำเนินการและแนวปฏิบัติในการดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของเกษตรกรผู้มีสิทธิ์ในการรับเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตของโครงการ รวมทั้งการรับรองสิทธิ์ของเกษตรกรโดยผ่านกลไกของประชาคมหมู่บ้านและคณะกรรมการบริหารโครงการที่เกี่ยวข้อง โดยแผนดำเนินการดังกล่าวครอบคลุมประเด็นหลักสำคัญ ได้แก่ คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์ โครงสร้างการบริหารโครงการ การขอใช้สิทธิ์และการรับรองสิทธิ์ ระยะเวลาโครงการ การอุทธรณ์ การตรวจติดตามผลการดำเนินโครงการ และแผนปฏิบัติงานโครงการ และมอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานโครงการให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานโครงการให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทราบนั้น จะต้องคำนึงถึงสิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบในการดำเนินการของหน่วยงานและเกษตรกรที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน รวมทั้งตรวจสอบจำนวนครัวเรือนและพื้นที่ในการปลูกข้าวจริงตามจำนวนของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมด และรายงานผลการตรวจสอบให้คณะรัฐมนตรีรับทราบก่อนเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอน และหากในภายหลังมีการตรวจสอบพบว่า มีเกษตรกรที่ได้รับเงินช่วยเหลือ แต่ไม่ดำเนินการตามที่รับรองไว้ ทั้งในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจริง ค่าชดเชยต้นทุนเงินและค่าบริหารจัดการ ให้ ธ.ก.ส. เรียกเก็บจากเกษตรกรและรวบรวมนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจและการรับรู้แก่เจ้าหน้าที่และเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอย่างทั่วถึงผ่านหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ รวมถึงควรต้องวางระบบการติดตามตรวจสอบข้อมูลอย่างเข้มงวด เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในครั้งนี้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้อย่างแท้จริงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้ ธ.ก.ส. รับผิดชอบการตรวจสอบคุณสมบัติของเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างรอบคอบและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการที่ต้องการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวอย่างแท้จริง โดยให้เพิ่มเติมข้อกำหนดและคุณสมบัติของผู้มีสิทธ์เข้าร่วมโครงการ ดังนี้ ๓.๑ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับเกษตรกรที่ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการผลิตพืชทดแทนตามโครงการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวไปปลูกพืชที่หลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๐ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต) ๓.๒ ให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ โดยจะต้องเป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวตามทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในช่วง ๒-๓ ปี ที่ผ่านมา ๓.๓ พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมกับการปลูกข้าวและสอดคล้องกับแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1887 | การจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) | กค | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ในส่วนที่เกี่ยวกับลักษณะที่สำคัญของกองทุนฯ โดยการเปลี่ยนชื่อกองทุน การกำหนดให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ลงทุนแต่เพียงรายเดียวในระยะแรก และการกำหนดให้มีกองทุนหมุนเวียนเพื่อเป็นกลไกในการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม หน่วยงานเจ้าของโครงการ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกระทรวงการคลังเร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่มีศักยภาพเข้าสู่กองทุนฯ โดยเร็ว ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับการพิจารณากำหนดเงื่อนไขการแบ่งผลตอบแทนระหว่างหน่วยงานเจ้าของโครงการและกองทุนฯ รวมถึงทำความตกลงในรายละเอียดสำหรับการลงทุนก่อสร้างปรับปรุงหรือเพิ่มประสิทธิภาพการใช้บริการของโครงการที่เข้าร่วมกองทุนฯ ให้ชัดเจน การจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนเพื่อเป็นกลไกประกันผลตอบแทนขั้นต่ำให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน โดยการจัดหาแหล่งรายได้และทำแผนการบริหารรายได้ของกองทุนหมุนเวียนให้ชัดเจน การพิจารณาอัตราการรับประกันผลตอบแทนที่เหมาะสม รวมถึงการกันสำรองจากปีที่กองทุนฯ ได้ผลตอบแทนสูงไว้ชดเชยภาระการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำและภาระชดเชยให้กับรัฐบาล ตลอดจนการทบทวนบทบาทและความจำเป็นของกองทุนวายุภักษ์ในระยะต่อไปให้มีความชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผนการจัดตั้งกองทุนฯ อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความพร้อมและความเป็นไปได้ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของกรอบระยะเวลาในการพิจารณาคัดเลือกโครงการที่จะเข้ามาอยู่ในกองทุนฯ ซึ่งอาจต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง มีการกำหนดมูลค่าที่แท้จริงของโครงการ และมีการกำหนดเงื่อนไขการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างหน่วยงานเจ้าของโครงการและกองทุนฯ เพื่อให้การดำเนินการออกขายหน่วยลงทุนให้แก่บุคคลทั่วไปสามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลาที่เหมาะสมเมื่อมีการจัดตั้งกองทุนฯ แล้ว และสามารถดำเนินการได้ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทน. ๘/๒๕๕๙ ข้อ ๑๓ ที่กำหนดให้บริษัทจัดการต้องเข้าทำสัญญาเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานภายใน ๑ ปี นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนกองทุนรวม โดยคิดเป็นมูลค่ารวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๕ ของมูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทุนรวม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1888 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ 12 เดือน ปี 2558 | กค | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๕๘ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ซึ่งเป็นการรายงานภาพรวมธุรกิจประกันภัยของไทย รอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๕๘ โดยธุรกิจประกันภัยเดือนมกราคม-ธันวาคม ปี ๒๕๕๘ มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมทั้งสิ้น ๗๔๒,๔๐๘ ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อนที่ร้อยละ ๕.๔๖ มีกำไรสุทธิ จำนวน ๖๖,๙๓๙ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๒.๕๖ สำหรับธุรกิจประกันชีวิตมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น แต่ธุรกิจประกันวินาศภัยมีกำไรสุทธิหดตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อน และผลการดำเนินงานฯ ภายใต้ยุทธศาสตร์หลัก ๔ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย (๑) เสริมสร้างความเชื่อมั่นและเข้าถึงระบบประกันภัย (๒) การเสริมสร้างเสถียรภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน (๓) พัฒนาการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย และ (๔) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย รวมทั้งผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัด ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้รับคะแนนจากการประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรการและแผนการดำเนินงานในปี ๒๕๕๘ จำนวน ๓.๗๘๓ คะแนน จากคะแนนเต็ม ๕
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1889 | มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมสินค้าท้องถิ่นไทย (OTOP Extravaganza) | กค | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมสินค้าท้องถิ่นไทย โดยการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการซื้อสินค้า OTOP ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท ๑.๒ อนุมัติร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้า OTOP จากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในระหว่างวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันบาท เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ๑.๓ มอบหมายการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประชาสัมพันธ์แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ๑.๔ มอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดงานแสดงสินค้า OTOP ในช่วงเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ ๑.๕ มอบหมายกรมสรรพากรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการ OTOP เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ขายสินค้าให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวมีสิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund for Tourists : VRT) ๒. ให้ส่งร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ๓. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการพัฒนาชุมชน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ภาคประชาชนและผู้ประกอบการทราบเพื่อให้เข้าใจและสามารถใช้ประโยชน์จากมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมสินค้าท้องถิ่นไทยโดยเร็ว และให้กระทรวงการคลังติดตามประเมินผลการดำเนินมาตรการดังกล่าวเพื่อตรวจสอบความคุ้มค่าของมาตรการฯ ทั้งในมิติทางเศรษฐกิจและสังคม โดยให้รายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ รวมทั้งเห็นควรให้กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการกำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมให้ท้องถิ่นและชุมชนต่าง ๆ จดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในส่วนของภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาสินค้า การปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1890 | การขยายระยะเวลาสำหรับมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจและมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนให้มีการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....) | กค | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาสำหรับมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจและมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนให้มีการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการขยายเวลาการลดอัตราภาษีเงินได้และภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่ผู้ประกอบกิจการในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจออกไปอีกเป็นระยะเวลา ๓ ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ถึง ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ส่วนมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนให้มีการติดตั้ง CCTV เป็นการกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการที่มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจสามารถหักรายจ่ายค่าซื้อและค่าติดตั้ง CCTV ได้เพิ่มขึ้นอีก ๑ เท่า เป็นระยะเวลา ๕ ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ถึง ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งเสนอประกาศกระทรวงมหาดไทยเพื่อขยายระยะเวลาการลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินและตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด เพื่อให้สอดคล้องกับการขยายระยะเวลาสำหรับมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจที่กระทรวงการคลังเสนอมาครั้งนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1891 | ขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมและขอความเห็นชอบจ่ายเงินกู้และขยายระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้ตามโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2558/59 | กค | 05/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนค่าเช่าและค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกในยุ้งฉางผู้กู้ และสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการระบายข้าวเปลือกจากยุ้งฉางผู้กู้ถึงจุดส่งมอบเพื่อเป็นค่าขนย้ายข้าวเปลือกของเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตร ให้แก่เกษตรกรและสหกรณ์การเกษตรที่เข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๘/๕๙ กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๗๐๘.๗๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบการจ่ายเงินกู้เพิ่มเติมให้กับเกษตรกร จำนวน ๕๙ ราย ซึ่งได้จัดทำสัญญาเงินกู้ไว้ก่อนวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และขยายระยะเวลาในการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๘/๕๙ ออกไปครั้งละ ๑ เดือน ไม่เกิน ๓ ครั้ง ๒. ให้ ธ.ก.ส. พิจารณาการขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ให้แก่เกษตรกรเป็นราย ๆ ไป เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและลดภาระการขาดทุนของโครงการ โดยให้อยู่ภายในกรอบระยะเวลาและข้อกำหนดตามที่ ธ.ก.ส. เสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนเวลาดำเนินการที่ชัดเจน การประชาสัมพันธ์และเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ การจัดหากลไกการบริหารจัดการเพื่อให้สามารถมีช่องทางระบายข้าวในสต็อกของสหกรณ์การเกษตรและเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการเชื่อมโยงการจัดหาตลาดภายในและต่างประเทศควบคู่ไปกับการให้สินเชื่อเพื่อการชะลอขายข้าวเปลือก และนำประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นไปวางแผนป้องกันในการดำเนินโครงการปีต่อไป การศึกษาแนวทางการเชื่อมโยงการใช้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวและโครงการอื่น ๆ ที่ช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการผลักดันการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (โซนนิ่งเกษตร) โดยเฉพาะการส่งเสริมการปลูกข้าวในพื้นที่ที่เหมาะสม ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมเป็นสินค้าเกษตรอื่นให้สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น และนำไปสู่การปรับโครงสร้างการผลิตการเกษตรได้อย่างแท้จริง รวมทั้งการจัดทำฐานข้อมูลเกษตรกรและพื้นที่การเพาะปลูกจะต้องมีการจัดทำบัญชีและทะเบียนคุมอย่างถูกต้อง ไม่รั่วไหล โดยการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ในกรณีการจ่ายเงินกู้เพิ่มเติมให้กับเกษตรกร จำนวน ๕๙ ราย ให้ ธ.ก.ส. ชี้แจงและประสานงานกับผู้ปฏิบัติงานถึงขั้นตอนในการดำเนินโครงการให้ชัดเจนเพื่อป้องกันมิให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการปฏิบัติงานที่อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรอีกในอนาคต ๕. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ชี้แจงเหตุผลในการปรับเพิ่มอัตราค่าเช่าและค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกในยุ้งฉางผู้กู้ จากอัตรา ๑,๐๐๐ บาท/ตัน ในปีการผลิต ๒๕๕๘/๒๕๕๙ เป็น ๑,๕๐๐ บาท/ตัน ในปีการผลิต ๒๕๕๙/๒๕๖๐ ให้คณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อให้การสื่อสารต่อสาธารณชนและเกษตรกรของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเป็นไปอย่างมีเอกภาพ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1892 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรมผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรม (Start-up & Innovation) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | กค | 05/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเงื่อนไขและหลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรม (Start-up & Innovation) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่รัฐให้การส่งเสริมเป็นพิเศษ ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการใหม่ (Start-up SMEs) กลุ่มผู้ประกอบการนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Innovation & Technology SMEs) ที่มีศักยภาพให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินได้เพิ่มขึ้น และเพื่อเพิ่มผลิตภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมในประเทศ รวมทั้งเพื่อบูรณาการเชื่อมโยงเครือข่ายของภาครัฐและเอกชนเพื่อให้การช่วยเหลือ SMEs ในกลุ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยมีวงเงินค้ำประกันโครงการรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท วงเงินค้ำประกันต่อรายไม่เกิน ๑ ล้านบาท ประเภทบุคคลธรรมดา ไม่เกิน ๕ ล้านบาทประเภทนิติบุคคล กรณีผู้ประกอบการนวัตกรรมและเทคโนโลยีสูงสุด ไม่เกิน ๒๐ ล้านบาท ระยะเวลาการค้ำประกันโครงการไม่เกิน ๑๐ ปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของภาระงบประมาณของโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรม (Start-up & Innovation) ให้กระทรวงการคลังขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ เป็นผู้ประกอบการที่เริ่มต้นประกอบธุรกิจใหม่ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มเป้าหมายในโครงการอื่น ดังนั้น บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม รวมถึงสถาบันการเงินควรให้ความสำคัญในการติดตามดูแลกลุ่มลูกค้าในโครงการนี้เป็นพิเศษ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาระหนี้ค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPGs) นอกจากนี้ ควรพิจารณาให้คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติเข้ามาร่วมให้คำแนะนำและสนับสนุนทางด้านเทคนิควิชาการ เพื่อให้กลุ่มผู้ประกอบการใหม่สามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับการขอรับเงินสมทบจ่ายค่าประกันชดเชยจากรัฐบาล เห็นควรให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1893 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (กรณีพ้นตำแหน่งนอกเหนือวาระ) (รองศาสตราจารย์ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์) | กค | 05/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง รองศาสตราจารย์ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประเมินผลในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1894 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางปานทิพย์ ศรีพิมล) | กค | 28/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางปานทิพย์ ศรีพิมล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ (นักวิเคราะห์รัฐวิสาหกิจทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1895 | แนวทางเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ | กค | 28/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางสนับสนุนการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องที่มีการรับเงินจากประชาชน เช่น ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ติดตั้งอุปกรณ์ชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ให้เพียงพอต่อความต้องการให้บริการกับประชาชน โดยเริ่มดำเนินการติดตั้งภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ และติดตั้งให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงระเบียบและหลักเกณฑ์เพื่อรองรับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยเร็ว และให้ดำเนินการตามแนวทางที่คณะกรรมการขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment กำหนด ๑.๒ การดำเนินการเกี่ยวกับการออกเลขประจำตัว (๑) ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าดำเนินการแก้ไขปัญหาเลขประจำตัวที่ปัจจุบันมีการซ้ำ ๑๓๘ ราย ในส่วนของนิติบุคคลที่มีเลขประจำตัวที่ซ้ำกับเลขประจำตัวประชาชน โดยการออกเลขประจำตัวให้กับนิติบุคคลใหม่ที่ไม่ซ้ำกับเลขที่ออกโดยกรมการปกครอง (๒) เพื่อป้องกันปัญหาการออกเลขประจำตัวซ้ำกันระหว่างหน่วยงานในอนาคต ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าขอจัดสรรเลขประจำตัวของนิติบุคคลจำนวน ๒ ล้านเลขหมาย ส่งให้กรมการปกครองเพื่อกันไว้ไม่ให้ใช้ออกเลขประจำตัวประชาชนในส่วนของกรมการปกครอง (๓) กำหนดภารกิจการออกเลขประจำตัว ๑๓ หลัก โดยกรมการปกครองออกเลขประจำตัว ๑๓ หลัก ให้แก่บุคคลธรรมดา กรมพัฒนาธุรกิจการค้าออกเลขประจำตัว ๑๓ หลัก ให้แก่นิติบุคคล และกรมสรรพากรออกเลขให้กับบุคคลหรือนิติบุคคลบางประเภท เช่น กองมรดกเฉพาะที่ยังไม่ได้แบ่ง คณะบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมายของกรมสรรพากร ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการติดตั้งอุปกรณ์ชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่จะเริ่มดำเนินการภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ควรเริ่มจากหน่วยงานที่มีประชาชนมาใช้บริการเป็นจำนวนมากก่อน และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งต้องมีการพัฒนาระบบให้มีความง่ายต่อการใช้งาน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ตลอดจนมีมาตรการในการจูงใจให้ประชาชนมาใช้ระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของประเทศเกิดประโยชน์สูงสุด และให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าพิจารณาขอจัดสรรเลขประจำตัวของนิติบุคคลที่ไม่ซ้ำกับเลขประจำตัวประชาชนมากขึ้นจาก ๒ ล้านหมายเลข เป็น ๒๐ ล้านหมายเลข เพื่อรองรับความต้องการใช้งานในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1896 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2559 | กค | 28/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. พันธบัตรรัฐบาลรุ่น LBF165A ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙ จำนวน ๒๔,๔๕๐ ล้านบาท ได้ชำระคืนต้นเงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่ได้จากการโอนเงินสินทรัพย์คงเหลือจากบัญชีผลประโยชน์ประจำปี ๒๕๕๘ จำนวน ๖,๑๗๒,๕๒๓,๙๗๙.๓๓ บาท และได้กู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้วงเงินส่วนที่เหลือจำนวน ๑๘,๒๗๗,๔๗๖,๐๒๐.๖๗ บาท ประกอบด้วย (๑) เงินกู้ระยะสั้นโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) จำนวน ๓๗๗,๔๗๖,๐๒๐.๖๗ บาท อายุ ๒ เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๕๐ ต่อปี และ (๒) ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-Bill) อายุ ๑๘๒ วัน อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ ๑.๓๗๙๕๘ ต่อปี ประมูลในวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ จำนวน ๑๗,๙๐๐ ล้านบาท ๒. กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงเกี่ยวกับผลการกู้เงินดังกล่าว จำนวน ๒ ฉบับ เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1897 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559 พ.ศ. .... | กค | 28/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดทำเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ให้แสดงความกตัญญูกตเวที และความจงรักภักดี อีกทั้งสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1898 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559 พ.ศ. .... | กค | 28/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์ทองคำ ราคาหนึ่งหมื่นหกบาท หนึ่งชนิด เหรียญกษาปณ์เงิน ราคาแปดร้อยบาท หนึ่งชนิด และเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ราคาห้าสิบบาท หนึ่งชนิด ออกใช้เพื่อเป็นที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1899 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ FIDF1 และ FIDF3 | กค | 28/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้นำส่งเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institution Development Fund : FIDF) เข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ เพิ่มเติม จำนวน ๕,๘๔๙ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1900 | ขอขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) | กค | 28/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (โครงการ Policy Loan) จากเดิมที่กำหนดให้เริ่มรับคำขอตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน เป็น เริ่มรับคำขอตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน ทั้งนี้ ในส่วนของกรอบวงเงินงบประมาณยังคงให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโครงการที่กำหนดไว้ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ประสบปัญหาได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....