ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 588 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 11741 - 11760 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
11741 | ร่างอนุบัญญัติออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 รวม 3 ฉบับ | พณ | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแสดงรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน และการพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนของกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาผลการไต่สวนของคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอข้อเท็จจริงและความเห็นรวมทั้งสิทธิการดำเนินการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียและผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน และการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอข้อเท็จจริงและความเห็น รวมทั้งสิทธิการดำเนินการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียและผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน และการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการพิจารณาเหตุอันควรหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจ การบั่นทอนผลการใช้บังคับมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน และหลักฐานการทุ่มตลาดหรือการได้รับการอุดหนุน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการพิจารณาเหตุอันควรหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจ การบั่นทอนผลการใช้บังคับมาตรการตอบโต้ในด้านของราคาหรือปริมาณ และหลักฐานการทุ่มตลาดหรือการได้รับการอุดหนุน ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจเพื่อให้เกิดการยอมรับจากผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของประเทศ รวมถึงเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมและบริการภายในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11742 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... | พณ | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยยกเว้นให้รถแทรกเตอร์ใช้แล้วทางการเกษตรสำเร็จเต็มรูปคัน (ไม่รวมกรณีแยกชิ้นส่วนครบชุดสมบูรณ์) เฉพาะพิกัดอัตราศุลกากร ๘๗๐๑ สามารถนำเข้าได้โดยเสรี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ยกเว้นการควบคุมการนำเข้ารถแทรกเตอร์ตีนตะขาบ ตามประเภทพิกัดอัตราศุลกากร ๘๗๐๑.๓๐.๐๐ ทุกชนิด เนื่องจากอาจมีผลกระทบกับภาคเกษตรกร ประกอบกับลักษณะทางกายภาพของรถแทรกเตอร์ตีนตะขาบ ตามประเภทพิกัดอัตราศุลกากร ๘๔๒๙.๑๑ และประเภทพิกัดอัตราศุลกากร ๘๗๐๑.๓๐ มีความใกล้เคียงกัน ซึ่งของตามประเภทพิกัด ๘๔.๒๙ ไม่เป็นสินค้าควบคุมตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ แต่ของตามประเภทพิกัด ๘๗.๐๑ ได้กำหนดให้เป็นสินค้าที่ต้องควบคุมการนำเข้า ซี่งอาจส่งผลในการตรวจสอบและจำแนกชนิดสินค้าได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ปัจจุบันบรรดากฎซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่างยังคงมีผลใช้บังคับอยู่โดยผลของบทเฉพาะกาลตามมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงสมควรให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาดำเนินการออกกฎที่เกี่ยวข้องตามบทบัญญัติของกฎหมายปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการใช้บังคับกฎหมายแก่ประชาชนและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการมีบทเฉพาะกาลดังกล่าวด้วย ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ไว้แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11743 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และกำหนดสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. .... | พณ | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และกำหนดสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และกำหนดสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไชเพิ่มเติม เพื่อลดความซ้ำซ้อนของกฎหมาย เนื่องจากพระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ได้มีบทบัญญัติควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ซึ่งรวมถึงสินค้าที่ใช้ได้สองทางไว้แล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับนี้อยู่ในอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะพิจารณาให้ความเห็นชอบได้ โดยกระทรวงพาณิชย์ควรดำเนินการเพื่อให้การออกประกาศกำหนดมาตรการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงมีผลใช้บังคับได้ตามระยะเวลาที่พระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. ๒๕๖๒ กำหนดด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11744 | ขออนุมัติทบทวนมติคคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2533 โดยให้รัฐบาลสาธารณรัฐกัวเตมาลาตั้งที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตรัฐกัวเตมาลาประจำประเทศไทย แทนการให้สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำญี่ปุ่นมีเขตอาณาครอบคลุมประเทศไทย และรัฐบาลสาธารณรัฐกัวเตมาลาเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำประเทศไทย (นายการ์โลส อุมเบร์โต ฆิเมเนซ ลิโกนา) | กต | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๓๓ เฉพาะในส่วนที่ให้สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำญี่ปุ่นมีเขตอาณาครอบคลุมถึงประเทศไทย เป็น ให้รัฐบาลสาธารณรัฐกัวเตมาลาตั้งที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. อนุมัติกรณีรัฐบาลสาธารณรัฐกัวเตมาลาเสนอขอแต่งตั้ง นายการ์โลส อุมเบร์โต ฆิเมเนซ ลิโกนา (Mr. Carlos Humberto Jimenez Licona) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นางอังเฮลา มาริอา เด โลวร์เดส ชาเวซ บิเอตติ (Mrs. Angela Maria de Lourdes Chavez Bietti) ซึ่งมีถิ่นพำนัก ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11745 | ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนและร่างความตกลงสำหรับการดำเนินการโครงการ Promotion of Sustainable Agricultural Value Chains in ASEAN | กษ | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการ Promotion of Sustainable Agricultural Value Chains in ASEAN รวม ๒ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนจากสำนักเลขาธิการอาเซียนถึงสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (Exchange of Notes) มีเนื้อหาเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ งบประมาณ และประเด็นด้านการบริหารโครงการฯ โดยหนังสือของฝ่ายเยอรมนีจะระบุถึงข้อเสนอ และหนังสือของฝ่ายอาเซียนจะตอบรับข้อเสนอของฝ่ายเยอรมนี และ (๒) ร่างความตกลงเพื่อดำเนินโครงการ (Implementation Agreement) ระหว่างอาเซียนกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มีเนื้อหาเป็นการกำหนดรายละเอียดการดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น การสนับสนุนบุคลากรและการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี [Deutsche Gesellschaft fur Internationale Zusammenarbeit (GIZ) GmbH : GIZ] ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลเยอรมนีให้ดำเนินโครงการ การสนับสนุนบุคลากรและสถานที่ปฏิบัติงานของสำนักเลขาธิการอาเซียน ข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลโครงการ และการแก้ไขเพิ่มเติมความตกลง เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียน (Secretary-General of ASEAN) ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และรองเลขาธิการอาเซียน (Deputy Secretary-General of ASEAN) ลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่า รัฐบาลไทยเห็นชอบต่อร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และร่างความตกลงฯ และให้เลขาธิการอาเซียนและรองเลขาธิการอาเซียนลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และร่างความตกลงฯ ตามลำดับ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรอาศัยความตกลงสำหรับการดำเนินการโครงการ ในการพัฒนาและสร้างความเชื่อมั่นเรื่องคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยอาหาร รวมถึงการตรวจรับรองและการตรวจสอบย้อนกลับ เช่น การสนับสนุนทางวิชาการ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่ปลอดภัยได้มาตรฐานของภูมิภาคและมาตรฐานสากล การใช้กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการใช้เทคโนโลยีที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11746 | ร่างประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เรื่อง การจัดทำประมาณการรายได้การกำหนดและการชำระราคาอ้อยและค่าผลิตน้ำตาลทราย และอัตราส่วนของผลตอบแทนระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงาน พ.ศ. .... และร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการยกเลิกระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2561 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | อก | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เรื่อง การจัดทำประมาณการรายได้การกำหนดและการชำระราคาอ้อยและค่าผลิตน้ำตาลทราย และอัตราส่วนของผลตอบแทนระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการจัดทำประมาณการรายได้ การกำหนดและการชำระราคาอ้อยและค่าผลิตน้ำตาลทราย และอัตราส่วนของผลตอบแทนระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อใช้บริโภคในราชอาณาจักร และร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการยกเลิกระเบีบบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๖๑ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายว่าด้วยการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๖๑ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดร่างพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้ประกาศและบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11747 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ | กห | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ (Memorandum of Understanding between the Ministry of Defence of the Kingdom of Thailand and the Ministry of National Defence of the People’s Republic of China on Defence Cooperation) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และขยายความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศให้มีความหลากหลายและครอบคลุมในทุก ๆ มิติเพิ่มมากขึ้น โดยจะมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers’ Meeting-Plus : ADMM-Plus) ครั้งที่ ๖ ระหว่างวันที่ ๑๖ ถึงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11748 | ร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมระหว่าง ไทย - สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2020 ว่าด้วยการเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศ | กห | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมระหว่าง ไทย-สหรัฐอเมริกา ค.ศ. ๒๐๒๐ ว่าด้วยการเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศ (Joint Vision Statement 2020 for the Thai-U.S. Defense Alliance) เป็นเอกสารที่กำหนดกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา โดยเน้นย้ำความยึดมั่นร่วมกันของไทยและสหรัฐอเมริกาต่อความเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศระหว่างกันอันยาวนาน ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมผลประโยชน์และค่านิยมร่วมกันในระยะยาว รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคง อันจะนำไปสู่ขีดความสามารถในการป้องปรามและตอบสนองต่อภัยคุกคามและสิ่งท้าทายร่วมกันในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะมีการจัดพิธีลงนามในร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ ในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers’ Meeting-Plus : ADMM-Plus) ครั้งที่ ๖ ระหว่างวันที่ ๑๖ ถึงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักข่าวกรองแห่งชาติเกี่ยวกับการระบุถึง ‘free and open Indo-Pacific’ ในร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ อาจมีประเด็นที่ละเอียดอ่อนสำหรับบางประเทศได้ โดยที่ร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ อาจยังไม่ใช่ร่างฉบับสุดท้าย ดังนั้น หากมีการปรับแก้ในชั้นต่อไป ขอให้พิจารณาให้ร่างฉบับสุดท้ายเป็นไปตามแนวทางดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ การรักษาดุลความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา และไทยกับจีนยังเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ด้านการทหารกับสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับจีน เช่น ในประเด็นทะเลจีนใต้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11749 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เรื่อง ผลการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี 2562 ของนายกรัฐมนตรี | ศธ | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๒ เรื่อง ผลการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี ๒๕๖๒ ของนายกรัฐมนตรี ข้อ ๒ จากเดิม “ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับไปหารือในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในไทย (Thai KOSEN) ให้เหมาะสมและชัดเจนเพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้สถาบันโคเซ็นดังกล่าวอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” เป็น “ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับไปหารือในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในไทยให้เหมาะสมและร่วมสนับสนุนการดำเนินการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นดังกล่าวต่อไป” ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นควรให้ชะลอการโอนย้ายสถาบันโคเซ็น จากกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ออกไปอีก ๑ ปีนับจากวันที่รัฐบาลไทยได้รับเงินกู้จากรัฐบาลญี่ปุ่น และรัฐบาลไทยสามารถได้เข้าใช้ประโยชน์จากเงินกู้ดังกล่าวในการดำเนินโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในไทยและอนุภูมิภาค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11750 | ขออนุมัติปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ของกรมทางหลวง | คค | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ของกรมทางหลวง ภายในกรอบวงเงิน ๕๕,๙๒๗ ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายค่าทดแทนให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ อย่างเคร่งครัด และขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการฯ จากเดิม ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๖ สำหรับแหล่งที่มาของงบประมาณในการปรับเพิ่มกรอบวงเงินในเรื่องนี้ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ (เงินกันเหลื่อมปี) โดยโอนเปลี่ยนแปลงรายการจากแผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง กิจกรรมก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง งบลงทุน ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ค่าก่อสร้างทางและสะพานทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี จำนวน ๒๕ รายการ (ช่วงที่ ๑-๒๕) วงเงิน ๗,๐๓๒ ล้านบาท มาดำเนินรายการค่าชดเชยสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ในการเวนคืนที่ดิน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายกรมทางหลวงเร่งศึกษาออกแบบรายละเอียดการปรับรูปแบบการก่อสร้างโครงการฯ ให้เป็นไปตามมาตรฐานทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง การพิจารณาความเหมาะสมของช่วงระยะเวลาที่จะดำเนินการพัฒนาโครงข่ายถนนเชื่อมต่อกับโครงการฯ รวมทั้งแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในพื้นที่ และถอดบทเรียน (Lesson Learn) กรณีการขอปรับเพิ่มกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการฯ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการประเมินความเสี่ยงด้านต้นทุนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการฯ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง และมอบหมายกระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการจัดทำร่างกฎหมายลำดับรองตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์และกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการในการกำหนดค่าทดแทนที่ลดการใช้ดุลยพินิจให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11751 | กลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติก | ทส | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบกลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกในห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป เพื่อเป็นนโยบายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการดำเนินงานเพื่อลดและเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-Use Plastic) ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๓ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมบูรณาการการดำเนินงานในการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ การสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับผู้บริโภคและผู้ประกอบการเกี่ยวกับมาตรการการลดให้ถุงพลาสติก และพิจารณากำหนดแนวทาง วิธีการปฏิบัติสำหรับมาตรการการงดให้ถุงพลาสติก การติดตามผลและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ และภาครัฐควรให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเพื่อผลิตวัสดุทดแทนพลาสติก รวมทั้งการร่วมสร้างจิตสำนึกการลดการใช้ถุงพลาสติกและส่งเสริมพฤติกรรมในการแยกขยะควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกในกรณีกิจการการจัดส่งอาหารและสินค้าที่สั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชันด้วย ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินมาตรการอื่น ๆ เพื่อลดปริมาณขยะพลาสติกควบคู่ไปกับกลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาติกด้วย ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดให้มีมาตรการด้านภาษีเพื่อลดการใช้พลาสติกตั้งแต่ต้นทางการผลิต หรือมาตรการด้านภาษีเพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการนำพลาสติกมารีไซเคิล (Recycle) ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณากำหนดแนวทางการนำขยะพลาสติกมาใช้ในการก่อสร้างถนน โดยให้นำรูปแบบโครงการต้นแบบถนนพลาสติกรีไซเคิลตามหลักการ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” หรือ “Circular Economy” ของภาคเอกชน มาต่อยอดและปรับใช้กับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของกระทรวงคมนาคมให้เหมาะสมต่อไป ๒.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณากำหนดแนวทางในการลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดปริมาณการนำเข้าพลาสติกจากต่างประเทศไปพร้อมกับการลดการใช้พลาสติกภายในประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11752 | การเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร07 | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางและขั้นตอนการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11753 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2562 | นร11 | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เรื่องเพื่อหารือ : แนวทางการดำเนินการเพื่อรองรับการตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (Generalized System of Preferences : GSP) ที่ประชุมฯ มีมติมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ โดยทูตพาณิชย์ หารือกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (United States Trade Representative : USTR) เพื่อขอให้สหรัฐอเมริกาพิจารณาทบทวนเรื่องการยกเลิกการให้สิทธิ GSP แก่ไทย โดยขอให้เจรจาให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วก่อนที่เรื่องดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๓ ๑.๒ เรื่องเพื่อพิจารณา : โครงการรถไฟไทย-จีน (การกำหนดสกุลเงินที่ใช้ในสัญญางานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล) ที่ประชุมฯ มีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเจรจาต่อรองกับฝ่ายจีนเพื่อกำหนดให้ใช้เงินบาทเป็นสกุลเงินที่ใช้สัญญา ๒.๓ และให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาความเหมาะสมและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการกำหนดให้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ เป็นสกุลเงินที่ใช้ในการชำระค่างานสัญญา ๒.๓ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการเตรียมการของฝ่ายไทยในกรณีที่ไม่สามารถเจรจาให้ได้ข้อยุติได้ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยในประเด็นที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11754 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาวนุชนภา รื่นอบเชย) | อว | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวนุชนภา รื่นอบเชย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตั้งแต่วันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11755 | การรับรองร่างปฏิญญากรุงเทพ : การตอบสนองอย่างมีประสิทธิผลต่อปัญหายาเสพติดในลุ่มแม่น้ำโขง และร่างแผนปฏิบัติการในอนุภูมิภาคเพื่อการควบคุมยาเสพติด ฉบับที่ 11 | ยธ | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญากรุงเทพ : การตอบสนองอย่างมีประสิทธิผลต่อปัญหายาเสพติดในลุ่มแม่น้ำโขง เป็นเอกสารที่แสดงถึงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศภาคีสมาชิกที่จะระดมความพยายามในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในอนุภูมิภาค และร่างแผนปฏิบัติการในอนุภูมิภาคเพื่อการควบคุมยาเสพติด ฉบับที่ ๑๑ เป็นแผนการดำเนินงานเชิงยุทธศาสตร์ซึ่งประเทศภาคีสมาชิกภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติด เห็นชอบร่วมกันเพื่อเป็นกรอบความร่วมมือในการจัดการกับความท้าทายจากการผลิต การลักลอบค้าและการใช้ยาเสพติดผิดกฎหมาย บนหลักการความเป็นหุ้นส่วนและแบ่งปันความรับผิดชอบร่วมกัน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ และร่างแผนปฏิบัติการฯ โดยไม่มีการลงนาม ในห้วงการประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่ายฯ ในวันศุกร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับร่างแผนปฏิบัติการฯ ข้อ III Objectives and Priorities for Cooperation in the GMS, B. Law enforcement cooperation, Outcome 1 ระบุคำว่า ‘joint cross-border operations’ ดังนั้น หากมีการปฏิบัติการร่วมของเจ้าหน้าที่ประเทศภาคีในเรื่องนี้ ก็จะต้องไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าหน้าที่ของประเทศภาคีหนึ่งในการบังคับใช้กฎหมายของตนในอาณาเขตของประเทศภาคีอื่น ๆ หรือกระทำการใด ๆ ที่อาจกระทบต่อสิทธิและอธิปไตยของไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ และร่างแผนปฏิบัติการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11756 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 | นร11 | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ (กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี) ระหว่างวันที่ ๒๖ ตุลาคม-๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ โดยมีประเด็นการพัฒนาและข้อสั่งการ ได้แก่ การพัฒนาสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และบริการด้วยนวัตกรรมสู่มาตรฐานสากล การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ภาคตะวันตก และอารยธรรมทวารวดี และการพัฒนาและส่งเสริมการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนให้มีศักยภาพ ผลักดันเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนำไปสู่การกระตุ้นให้เกิดการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบด้วย ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11757 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง1 (กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี) | นร11 | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ (กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี) เมื่อวันอังคารที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีผลการประชุมในประเด็นสำคัญ ได้แก่ ด้านเกษตร ด้านการท่องเที่ยว ด้านการบริหารจัดการน้ำ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และข้อเสนอเชิงนโยบาย ๑.๒ เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11758 | การใช้ทุนทางวัฒนธรรมและพลัง "บวร" เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและสร้างคุณค่าทางสังคม : กรณีกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 | วธ | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการใช้ทุนทางวัฒนธรรมและพลัง “บวร” เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและสร้างคุณค่าทางสังคม : กรณีกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ ประกอบด้วย จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี และจังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีการดำเนินงานวัฒนธรรมในพื้นที่ในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ที่สำคัญ ได้แก่ (๑) พัฒนาแหล่งประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญ (๒) พัฒนาสินค้าและส่งเสริมกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม โดยจัดกิจกรรมตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ถนนสายวัฒนธรรม (๓) ส่งเสริมสนับสนุนศิลปินและวิถีชีวิตชุมชน โดยสนับสนุนให้สมาคมเพลงพื้นบ้านภาคกลางเผยแพร่การแสดงเพลงพื้นบ้าน และอบรมถ่ายทอดเพลงพื้นบ้านภาคกลางให้แก่เด็ก เยาวชน และผู้สนใจ รวมถึงจัดให้มีการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมตามปฏิทินการแสดงศิลปวัฒนธรรม และ (๔) ส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม ตามแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) โดยขับเคลื่อนชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ให้เป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมหลักธรรมทางศาสนา หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ประเพณีวิถีวัฒนธรรมไทยที่ดีงาม และนำไปปรับใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจสังคม ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11759 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (นางวรวรรณ ชิตอรุณ และนายเอกภัทร วังสุวรรณ ) | อก | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นางวรวรรณ ชิตอรุณ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายเอกภัทร วังสุวรรณ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11760 | ขออนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด | ยธ | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จำนวน ๓ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒) ดังนี้
๑. รองศาสตราจารย์วีริศ อัมระปาล ๒. นายธนพล คงเจี้ยง ๓. นายพรเทพ ศิริวนารังสรรค์
|
.....