ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 586 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 11701 - 11720 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
11701 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดียของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดีย (เมืองมุมไบ รัฐมหาราษฏระ และเมืองเจนไน รัฐทมิฬนาฑู) ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๘ กันยายน ๒๕๖๒ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และตอกย้ำความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ระหว่างไทยและอินเดียให้แน่นแฟ้น และเพื่อขยายโอกาสและลู่ทางการส่งออกสินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ยางพารา ไม้ยางพารา แป้งมันสำปะหลัง และสินค้าอื่น ๆ ของไทยสู่ตลาดอินเดียให้เพิ่มขึ้น ตลอดจนสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในอนาคต โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาศักยภาพของไม้ยางพาราไทยสำหรับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์อินเดียและกิจกรรมสร้างเครือข่ายธุรกิจ ณ เมืองมุมไบ และงานสัมมนาโอกาสใหม่ทางธุรกิจของอุตสาหกรรมยางพาราไทยสำหรับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์อินเดีย และกิจกรรมสร้างเครือข่ายธุรกิจ ณ เมืองเจนไน รวมทั้งเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (Memorandum of Understanding : MOU) ระหว่างเอกชนไทยและอินเดีย และพบปะหารือกับสมาคมการค้าและนักธุรกิจอินเดียรายสำคัญ ทั้งนี้ ยอดรวมการซื้อขายจากกิจกรรมลงนาม MOU การเจรจาทวิภาคี และการจับคู่เจรจาธุรกิจ ณ เมืองมุมไบ มีมูลค่ารวม ๔,๔๕๐ ล้านบาท และ ณ เมืองเจนไน มีมูลค่า ๗,๖๒๓.๕ ล้านบาท สรุปมูลค่ารวมทั้งสิ้น ๑๒,๐๗๓.๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11702 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) ไทย - เมียนมา ครั้งที่ 7 | กห | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๗ ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๒-๕ กันยายน ๒๕๖๒ โดยมี พลเอก พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง ไหล่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา เป็นประธานร่วม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ รับทราบผลการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างสองกองทัพในรอบปีที่ผ่านมาในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๓๓ การดำเนินการเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างสองกองทัพ การแลกเปลี่ยนการเยือนของนายทหารระดับสูง และเรื่องอื่น ๆ ได้แก่ โครงการสัมมนาความรู้ด้านการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ๒. ที่ประชุมฯ พิจารณาเห็นชอบให้ส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้าย ความร่วมมือด้านการศึกษาและการฝึกการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ และการขยายความร่วมมือในโครงการความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น ๓. ฝ่ายเมียนมารับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการระดับสูงไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๘
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11703 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 11 | นร11 | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๑๑ (11th Mekong-Japan Economic Ministers’ Meeting) จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและผู้ช่วยรัฐมนตรีด้านการต่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (นายชิเงฮิโระ ทานะกะ) เป็นประธานในการประชุม โดยการประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์การพัฒนาอุตสาหกรรมในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong Industrial Development Vision : MIDV) ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓ และความเห็นต่อร่างวิสัยทัศน์การพัฒนาอุตสาหกรรม MIDV2.0 ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๖ ว่าควรมีแนวทางเพื่อให้ภาครัฐและภาคเอกชนมีความร่วมมือกันในการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง เช่น การเพิ่มการอำนวยความสะดวกทางการค้าในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะแรงงานในอุตสาหกรรมการเกษตรและการผลิต และการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย และมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนแผนการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11704 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สหพันธรัฐรัสเซีย ณ จังหวัดภูเก็ต (นายวลาดีมีร์ วี. ซอสนอฟ) | กต | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวลาดิมีร์ วี. ซอสนอฟ (Mr. Vladimir V. Sosnov) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สหพันธรัฐรัสเซีย ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต ชุมพร กระบี่ นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ระนอง สตูล สงขลา ตรัง และยะลา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11705 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางวิกุล วิสาลเสสถ์ และนายสมพงษ์ ชัยโอภานนท์) (นางวิกุล วิสาลเสสถ์) | สธ | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกุล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางวิกุล วิสาลเสสถ์ ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทัตสาธารณสุข) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๒ ๒. นายสมพงษ์ ชัยโอภานนท์ ดำรงตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุขทรงคุณวุฒิ (ด้านโภชนาการ) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๒
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11706 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... | ลต | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ ๗ แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ ๗ แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน ๔๕ วัน นับแต่วันที่ตำแหน่งดังกล่าวว่างลง (ครบกำหนดวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11707 | รายงานสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมตลอดทั้งการแก้ไข ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน [กรณีกรมวิชาการเกษตรดำเนินการต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายพาราควอต (paraquat) ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่รอผลการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่อาจจะประกาศห้ามใช้] | สม | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมตลอดทั้งการแก้ไข ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน [กรณีกรมวิชาการเกษตรดำเนินการต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายพาราควอต (Paraquat) ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ ๓ โดยไม่รอผลการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่อาจจะประกาศห้ามใช้] ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้จัดประชุมหารือร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๒ และเห็นว่า การใช้วัตถุอันตรายทั้ง ๓ ชนิด ได้แก่ พาราควอต (paraquat) ไกลโฟเสต (Glyphosate) และคลอร์ไพรีฟอส (Chlorpyriphos) เป็นการก่อให้เกิดโรคจากสิ่งแวดล้อม ตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องป้องกัน และควบคุมโรคจากสิ่งแวดล้อมแก่ประชาชนที่ได้รับหรืออาจได้รับมลพิษ จึงเห็นควรยุติการใช้สารเคมีทางการเกษตรทั้ง ๓ ชนิด ทันที ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11708 | การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงพลังงาน (นายวัชระ กรรณิการ์) | พน | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้ง นายวัชระ กรรณิการ์ ข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นโฆษกกระทรวงพลังงาน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11709 | การแต่งตั้งโฆษกและรองโฆษกกระทรวงยุติธรรม (1. นายวัลลภ นาคบัว ฯลฯ) | ยธ | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้ง นายวัลลภ นาคบัว เป็นโฆษกกระทรวงยุติธรรม และแต่งตั้ง พันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ เป็นรองโฆษกกระทรวงยุติธรรม เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร ความรู้ ความเข้าใจ นโยบายภารกิจ รวมทั้งผลงานกระทรวงในภาพรวม ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11710 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (รองศาสตราจารย์จักรพันธ์ วิลาสินีกุล) | วธ | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง รองศาสตราจารย์จักรพันธ์ วิลาสินีกุล ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร แทนผู้ที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11711 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก | กค | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก รวม ๒ คณะ แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการ ๒. นางณัฐนันทน์ อัศวเลิศศักดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านกฎหมาย)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11712 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ | อว | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายปิยะมิตร ศรีธรา เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ แทนตำแหน่งที่ว่าง และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒) ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11713 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2562 และแนวโน้มปี 2562 - 2563 | นร11 | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๒ และแนวโน้มปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๒ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๒ ขยายตัวร้อยละ ๒.๔ ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๓ ในไตรมาสก่อนหน้า (%YOY) และเมื่อปรับผลของฤดูการออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๒ ขยายตัวจากไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๒ ร้อยละ ๐.๑ (%QoQ_SA) รวม ๙ เดือนแรกของปี ๒๕๖๒ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๒.๕ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๒ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๒.๖ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าจะลดลงร้อยละ ๒.๐ การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๔.๓ และร้อยละ ๒.๗ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๘ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๖.๒ ของ GDP ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจ ปี ๒๕๖๓ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๒.๗-๓.๗ โดยมีแรงสนับสนุนสำคัญ ประกอบด้วย (๑) แนวโน้มการขยายตัวในเกณฑ์ที่น่าพอใจของอุปสงค์ภายในประเทศทั้งในด้านการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และการลงทุนภาครัฐและเอกชน (๒) การปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ ของการส่งออกภายใต้แนวโน้มการปรับตัวดีขี้นอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจโลก และการปรับตัวของภาคการส่งออกต่อมาตรการกีดกันทางการค้าที่จะมีความชัดเจนมากขึ้น (๓) การดำเนินมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐ และ (๔) การปรับตัวดีขึ้นของภาคการท่องเที่ยว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11714 | การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำ ร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 | นร09 | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ ๑.๑.๑ ร่างอนุบัญญัติ จำนวน ๕ ฉบับ ได้แก่ ร่างแนวทางการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย ร่างแนวทางการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ร่างกฎกระทรวงกำหนดรอบระยะเวลาการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดกฎหมายตามมาตรา ๒๙ (๖) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการไม่เผยแพร่ข้อมูลในระบบกลาง พ.ศ. .... และให้ดำเนินการประกาศในราชกิจจานุเบิกษาเพื่อให้มีผลใช้บังคับต่อไป ๑.๑.๒ ร่างคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย จำนวน ๔ ฉบับ เพื่อให้หน่วยงานถือปฏิบัติ ได้แก่ ร่างคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องประกอบการจัดทำร่างกฎหมาย ร่างคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การใช้ระบบอนุญาตในกฎหมาย ร่างคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การใช้ระบบคณะกรรมการในกฎหมาย และร่างคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การนำโทษอาญามาใช้ในกฎหมาย ๑.๑.๓ มอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการ (๑) โดยที่มาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่ากฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ บัญญัติว่า เมื่อแนวทางเกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ตามหมวด ๕ การประเมินผลสัมฤทธิ์ มีผลใช้บังคับแล้ว ให้พระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นอันยกเลิก ดังนั้น หากกฎกระทรวงกำหนดกฎหมายตามมาตรา ๒๙ (๖) กฎกระทรวงกำหนดรอบระยะเวลาการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายและแนวทางการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย มีผลใช้บังคับ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงอาจแจ้งเวียนเพื่อให้หน่วยงานของรัฐทราบถึงการสิ้นผลของพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว และภารกิจหน้าที่ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่จะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่จะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ แทนการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายตามพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ และ (๒) ในกรณีแนวทางการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายมีผลใช้บังคับ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอาจพิจารณาแก้ไขระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมายและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย เพื่อไม่ให้หน่วยงานของรัฐต้องดำเนินการในเรื่องดังกล่าวซ้ำซ้อนกัน ๑.๑.๔ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๐ เรื่อง แนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๑.๑.๕ ให้หน่วยงานดำเนินการขับเคลื่อนงานในส่วนที่ต้องรับผิดชอบตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ และจัดการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่ในสังกัด โดยหน่วยงานของรัฐอาจขอรับการสนับสนุนวิทยากรจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๑.๒ รับทราบ ๑.๒.๑ การดำเนินการเกี่ยวกับการสร้างความรับรู้ ความเข้าใจ เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๒.๒ การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำร่างหลักเกณฑ์การจัดทำคำอธิบายสรุปสาระสำคัญของกฎหมาย และร่างหลักเกณฑ์การจัดทำและเผยแพร่ข้อมูลในระบบกลางเพื่อให้ประโยชน์ในการให้ประชาชนเข้าถึงกฎหมายได้อย่างทั่วถึง ๑.๒.๓ การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำระบบกลาง (ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่ายเชื่อมโยงที่จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ รวมทั้งการเข้าถึงบทบัญญัติของกฎหมายของประชาชน) เพื่อรองรับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๒.๔ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐเกิดข้อสงสัยหรือความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ อาจหารือมายังคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ ๒. ให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เป็นต้นไป โดยในส่วนของการจัดทำหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) ให้ใช้รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ แทนการจัดทำคำชี้แจงตามหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติท้ายระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11715 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 3 | ทส | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ ๓ รวมทั้งสิ้น ๒๕ คน ประกอบด้วย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยฯ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะอนุกรรมการอนุสัญญามินามาตะฯ ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงพลังงาน ผู้แทนกระทรวงการคลัง และผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ๑.๒ เห็นชอบต่อท่าทีของไทยสำหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอทสมัยที่ ๓ จะสนับสนุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามหลักการและจุดมุ่งหมายของอนุสัญญามินามาตะฯ ในการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากการปลดปล่อยสู่บรรยากาศและการปล่อยสู่ดินหรือน้ำของปรอทและสารประกอบปรอทจากกิจกรรมของมนุษย์ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงสภาพการณ์ต่าง ๆ และความต้องการจำเพาะของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถในระดับประเทศและภูมิภาคด้านการจัดการสารเคมีอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจร ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างท่าทีฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11716 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 | กต | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาแม่น้ำโขง-แม่น้ำฮัน ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑ ในวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลีในการขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น การทบทวนความร่วมมือและติดตามผลลัพธ์ของการดำเนินการตามปฏิญญาแม่น้ำฮัน การเน้นย้ำทิศทางความร่วมมือในอนาคตและปรับสาขาความร่วมมือให้สอดคล้องกับนโยบายมุ่งใต้ใหม่ (New Southern Policy) และการย้ำเจตนารมณ์ที่ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนความร่วมมือที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองจากการแบ่งปันประสบการณ์ และการสร้างสันติภาพเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมในการรับรองร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11717 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก | สกพอ | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือและพัฒนาความสัมพันธ์ด้านอุตสาหกรรมและธุรกิจระหว่างสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น การส่งเสริมการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ระหว่างกัน และการส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เป็นต้น โดยมีกำหนดการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในโอกาสการพบหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ของฝ่ายไทย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11718 | ขออนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 26 | นร14 | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๖ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินงานและความร่วมมือของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ภายใต้พันธกรณีของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๓๘ ในประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ แผนปฏิบัติการประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ยุทธศาสตร์การจัดการภัยแล้ง พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๘ การดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติ เรื่อง การแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้า และข้อตกลง โครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง รวมทั้งประเด็นอื่น ๆ ตามที่ประเทศสมาชิกเห็นชอบให้มีการหารือร่วมกัน (หากมี) ๑.๒ เห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยหารือกับประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงตามประเด็นในกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๖ เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานและความร่วมมือเป็นไปตามพันธกรณีของความตกลงฯ ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับประเด็นที่จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11719 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 และร่างแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 6 | พม | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ ๑๐ และร่างแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ ๖ เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ ๑๐ [10th ASEAN Ministerial Meeting on Social Welfare and Development (10th AMMSWD)] and Its Relating Meeting) และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๗-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ นครหลวงเวียงจันทร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองที่จะส่งเสริมความร่วมมือเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน พ.ศ. ๒๕๖๘ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDG) ชื่นชมบทบาทของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ในการดำเนินความร่วมมือในประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสามในประเด็นด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ยืนยันความมุ่งมั่นในการใช้ประโยชน์จากหุ้นส่วนความร่วมมือในการผลักดันสิทธิเด็กและเพิ่มขีดความสามารถของผู้สูงอายุในอาเซียน ตลอดจนแสดงความยินดีต่อลาวสำหรับการจัดประชุมดังกล่าว ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุม 10th AMMSWD และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับรองแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11720 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2562) | นร04 | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันพุธที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๕ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพุธที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ และครั้งที่ ๖ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ และครั้งที่ ๗ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ วันศุกร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
.....