ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 696 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 13901 - 13920 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13901 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2560 และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ 2561 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ แล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ของ ขสมก. มีผลการขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๘๙๘.๕๔๒ ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการฯ เห็นชอบให้ ขสมก. เบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ งวดที่ ๓ จำนวน ๑๐๗.๕๒๓ ล้านบาท สำหรับ รฟท. มีผลการขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๒,๗๓๙.๔๓๑ ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการฯ เห็นชอบให้ รฟท. เบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ (งวดที่ ๒ และงวดที่ ๓) จำนวน ๙๐๗.๗๙๒ ล้านบาท เพื่อป้องกันการขาดสภาพคล่องของ รฟท. ๒. ผลการให้บริการสาธารณะประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ของ ขสมก. มีผลการขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๑,๑๔๗.๑๖๘ ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการฯ เห็นสมควรให้ ขสมก. เบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ ๒๕๖๑ งวดที่ ๒ จำนวน ๔๑๙.๓๙๗ ล้านบาท สำหรับ รฟท. มีผลการขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๑,๔๐๐.๐๖๐ ล้านบาท ซึ่ง รฟท. ไม่สามารถเบิกจ่ายวงเงินอุดหนนุในงวดดังกล่าวได้ตามกำหนด เนื่องจากจัดทำและส่งรายงานผลฯ ประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ล่าช้าและไม่ครบถ้วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13902 | แผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2562 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๒ ของกระทรวงคมนาคม โดยมีหัวข้อในการรณรงค์ “ขับช้า เปิดไฟหน้า คาดเข็มขัด” ช่วงเวลาดำเนินการ ระหว่างวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๑-๒ มกราคม ๒๕๖๒ มีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนด้วยระบบการขนส่งสาธารณะและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาความเหมาะสมในการปรับเปลี่ยนข้อความในการรณรงค์ จากเดิม “เมาไม่ขับ” เป็น “ดื่มไม่ขับ” เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเพิ่มประสิทธิภาพในการรณรงค์ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ตลอดจนสร้างเสริมทัศนคติที่ดีในการขับขี่แก่สาธารณชนมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13903 | ผลการประชุมคณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วมระหว่างไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 25 | กต | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ผลการประชุมคณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วมระหว่างไทย-มาเลเซีย (Land Boundary Committee : LBC) ครั้งที่ ๒๕ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม-๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร มีสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) การรับรองแนวทางในการปฏิบัติสำหรับการกำหนดระยะห่างที่เหมาะสมจากแนวเส้นเขตแดนของโครงการพัฒนาฝ่ายเดียวบริเวณใกล้เขตแดนไทย-มาเลเซีย (๒) การปรับปรุงบัญชีหลักเขตแดนที่อยู่นอกสันปันน้ำ โดยเป็นการเพิ่มรายละเอียดของหลักเขตแดนที่ ๔๓ ในบริเวณ ๑ (อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา) และหลักเขตแดนที่ 49C ในบริเวณ ๑๖ (อำเภอเบตง จังหวัดยะลา) ให้ทันสมัย และสะท้อนผลการสำรวจล่าสุด และ (๓) การพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจ/ร่างความตกลงว่าด้วยการรับรองผลการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนแบบคงที่ตามแม่น้ำโก-ลก (พื้นที่เร่งด่วน ๘) (พื้นที่จังหวัดนราธิวาส) เป็นต้น ๒. การลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการก่อสร้างและบำรุงรักษารั้วเดี่ยวบนเส้นเขตแดนที่บ้านด่านนอก/บูกิตกายูฮิตัม จังหวัดสงขลา [MOU for the Construction and Maintenance of a Single Barrier in the Area between BP 20A/12 and BP 23/104 in Area III (BP 16-BP27)] ซึ่งมีการปรับแก้หมายเลขหลักเขตแดนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามผังสนาม ซึ่งเป็นการปรับแก้ทางเทคนิคให้สอดคล้องกับตำแหน่งของหลักเขตแดน โดยยังคงมีสาระสำคัญตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ที่เห็นชอบไว้แล้ว ๓. คำสั่งจัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อก่อสร้างและบำรุงรักษารั้วเดี่ยวบนเส้นเขตแดนที่บ้านด่านนอก/บูกิตกายูฮิตัม จังหวัดสงขลา (ฝ่ายไทย) สั่ง ณ วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13904 | เป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2562 | กค | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี ๒๕๖๒ พร้อมข้อตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี ๒๕๖๒ ซึ่งกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินไว้ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีที่ร้อยละ ๒.๕?๑.๕ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้ กนง. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายเพื่อให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายของนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับสาธารณชน โดยเฉพาะในช่วงที่จะต้องพิจารณาทางเลือกในการดำเนินนโยบาย ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้าใจและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายการเงินได้ในอีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13905 | ขออนุมัติตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของกระทรวงคมนาคม | คค | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงคมนาคม จำนวนรวม ๓๑ โครงการ และให้กระทรวงคมนาคมเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า และประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมถึงจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และในส่วนของโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการของกระทรวงคมนาคม ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาทบทวนความพร้อมของโครงการดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากยังไม่มีรายละเอียดของโครงการที่ชัดเจน รวมทั้งการขอเช่าพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำการของกระทรวงคมนาคมเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงคมนาคมจัดทำรายละเอียดโครงการนี้ที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการดำเนินโครงการเพื่อประกอบการยื่นคำของบประมาณไปยังสำนักงบประมาณต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13906 | แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2563 - 2565) | กค | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ ๒๕๖๓-๒๕๖๕) เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดเก็บหรือหารายได้ การจัดทำงบประมาณ และการก่อหนี้ของหน่วยงานของรัฐ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเสนอ โดยแผนการคลังระยะปานกลางฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งรัดกฎหมายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่อยู่ระหว่างดำเนินการให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เช่น การปรับปรุงประมวลรัษฎากรเพื่อรองรับระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ในต่างประเทศ การจัดเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม เป็นต้น รวมถึงศึกษาแนวทางปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลทั้งระบบ ทั้งในส่วนของรายได้ภาษีและรายได้จากทรัพย์สิน ตลอดจนปรับปรุงระบบอิเล็กทรอนิกส์และพัฒนาฐานข้อมูลที่ใช้ติดตามการจัดเก็บภาษี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ ขยายฐานภาษี และปรับปรุงโครงสร้างภาษีให้มีความเป็นธรรม ความเท่าเทียม และความเหมาะสมกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ๑.๒ สำนักงบประมาณจะต้องควบคุมรายจ่ายของรัฐบาลที่เป็นรายจ่ายประจำ โดยเฉพาะรายจ่ายด้านบุคลากรเพื่อเพิ่มสัดส่วนรายจ่ายลงทุนต่อวงเงินงบประมาณรายจ่าย ทั้งนี้ การจัดสรรงบประมาณควรคำนึงถึงความจำเป็น ความเร่งด่วน ความคุ้มค่า ศักยภาพของหน่วยงาน ความพร้อมในการดำเนินงาน และขีดความสามารถในการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อให้สามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ๑.๓ รัฐบาลจะต้องผลักดันให้มีการระดมทุนในรูปแบบใหม่สำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อช่วยลดภาระการลงทุนจากงบประมาณ เช่น การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP) การระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund : TFF) เป็นต้น ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นว่า ในระยะข้างหน้าภายใต้ปัญหาเชิงโครงสร้างของความไม่สมดุลระหว่างรายได้และรายจ่าย ภาระการคลังที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องตามการเข้าสู่สังคมสูงวัย ความเสี่ยงจากภาระการคลังแอบแฝง รวมถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลก รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการเตรียมจัดทำงบประมาณสมดุลให้เกิดขึ้นจริงโดยเร็ว เพื่อให้มีวงเงินเหลือ (Fiscal Space) สำหรับจัดทำนโยบายที่จำเป็นเพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ โดยเร่งปฏิรูปโครงสร้างรายได้และรายจ่าย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ควบคู่กับการลดรายจ่ายของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13907 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนพฤศจิกายน 2561 | นร11 | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความก้าวหน้ายุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศ การติดตามการตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ การสร้างการรับรู้และขยายหุ้นส่วนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ และการดำเนินงานในระยะต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13908 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ครบ 4 ปี และของขวัญปีใหม่ที่ต้องการจากรัฐบาล พ.ศ. 2562 | ดศ | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาลครบ ๔ ปี และของขวัญปีใหม่ที่ต้องการจากรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งผลการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบาย/โครงการที่ประชาชนรับรู้การดำเนินงานของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมามากที่สุด คือ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ร้อยละ ๙๗.๗ ส่วนความพึงพอใจต่อการดำเนินงานของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา พบว่าประชาชนมีความพึงพอใจต่อผลการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ ๕๙.๗ โดยผลงานของรัฐบาลที่ประชาชนมีความพึงพอใจมากที่สุด คือ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ร้อยละ ๖๓.๔ สำหรับของขวัญปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ต้องการจากรัฐบาลมากที่สุด คือ การแก้ไขปัญหาสินค้าอุปโภค-บริโภค ไม่ให้มีราคาแพง ร้อยละ ๔๘.๐ รวมทั้งความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประเทศ ประชาชนมีความเชื่อมั่นในระดับเชื่อมั่นมาก-มากที่สุด ร้อยละ ๕๕.๙ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13909 | รายงานการรับรองปฏิญญาระดับรัฐมนตรีในการมีความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน และแผนปฏิบัติการว่าด้วยการใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Asia - Pacific Plan of Action on Space Applications for Sustainable Development) ค.ศ. 2018-2030 | ดศ | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการรับรองปฏิญญาระดับรัฐมนตรีในการมีความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน และแผนปฏิบัติการว่าด้วยการใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Asia-Pacific Plan of Action on Space Applications for Sustainable Development) ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๓๐ (คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างเอกสารทั้ง ๒ ฉบับแล้วเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๑) ซึ่งที่ประชุมรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก สมัยที่ ๓ ได้พิจารณาและรับรองแล้วในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ปฏิญญาระดับรัฐมนตรีในการมีความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืนฉบับที่ได้รับรอง มีสาระสำคัญตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี โดยมีการเพิ่มเนื้อความในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) วาระปฏิบัติการแอดดิส อาบา เรื่องการระดมทุนเพื่อการพัฒนา (Financing for Development) ซึ่งเป็นการบูรณาการวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืนในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ (๒) การจัดตั้งศูนย์เพื่อการพัฒนาสารสนเทศภัยพิบัติแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (๓) การส่งเสริมประเทศสมาชิกและสมาชิกที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนและเพิ่มโอกาสให้เพศหญิงมีส่วนร่วมในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (๔) การอำนวยความสะดวกในการนำแผนปฏิบัติการฯ โดยการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่เหมาะสม (๕) ให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (เอสแคป) จัดทำรายงานประจำทุก ๒ ปี เรื่อง การประยุกต์ใช้อวกาศและภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และ (๖) การสนับสนุนวาระด้านอวกาศ (Space 2030 Agenda) เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ๒. แผนปฏิบัติการว่าด้วยการใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๓๐ มีการปรับเปลี่ยนและเพิ่มถ้อยคำในครอบคลุมกิจกรรมเฉพาะด้านตามแต่ละหัวข้อประเด็นปัญหาเฉพาะ ได้แก่ (๑) การบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (๒) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ (๓) ความเชื่อมโยงในภูมิภาค (๔) การพัฒนาทางสังคม (๕) พลังงาน และ (๖) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในภาพรวมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยถ้อยคำที่ปรับเปลี่ยนและเพิ่มเติมนั้น ไม่กระทบสาระสำคัญเดิมตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13910 | ร่างพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพื่อส่งเสริมการผลิตอากาศยานและส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน รวมถึงการซ่อมบำรุงอากาศยาน) | คค | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗ เพื่อกำหนดให้มีการตราพระราชกฤษฎีกายกเว้นมิให้นำบทบัญญัติเรื่องทุนและอำนาจการบริหารกิจการ ซึ่งจะต้องเป็นของผู้มีสัญชาติไทยมาใช้บังคับแก่คุณสมบัติและลักษณะของผู้ขอรับใบอนุญาตผลิตอากาศยาน ผู้ขอรับใบอนุญาตผลิตส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน และผู้ขอรับใบรับรองหน่วยซ่อมประเภทที่หนึ่งสำหรับอากาศยานที่มีมวลวิ่งขึ้นสูงสุดตั้งแต่ห้าพันเจ็ดร้อยกิโลกรัมขึ้นไปสำหรับผู้ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่เห็นควรแก้ไขถ้อยคำในร่างมาตรา ๖/๒ โดยตัดคำว่า “ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงจากต่างประเทศ” และคำว่า “อาจ” และเรื่องกำหนดระยะเวลาในการขออนุญาตผลิต หรือใบรับรองสำหรับผู้ที่ทำการผลิตอากาศยานหรือส่วนประกอบสำคัญของอากาศยานและการประกอบกิจการหน่วยซ่อมอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับตามร่างในมาตรา ๔ และมาตรา ๕ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้การถ่ายทอดเทคโนโลยีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13911 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร11 | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เช่น ควรพิจารณาถึงบทบัญญัติบางประการที่ได้มีการพิจารณาปรับปรุงแล้ว หรือความซ้ำซ้อนกับพระราชบัญญัติอื่นที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ การที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยหลบหนีจากการคุมขังยังนับอายุความต่อไป อาจทำให้เกิดความแตกต่างกันในการบังคับใช้กฎหมาย การจะลงโทษผู้กระทำความผิดกรณีหลบหนีจากการปล่อยตัวชั่วคราวของศาล ควรต้องดำเนินการโดยกระบวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนและการฟ้องร้องของพนักงานอัยการ และการกำหนดให้ไม่นับระยะเวลาที่หลบหนีเป็นส่วนหนึ่งของอายุความทำให้มีการขยายอายุความออกไปอาจส่งผลต่อการเร่งรัดของเจ้าหน้าที่ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา กรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13912 | ร่างพระราชบัญญัติระยะเวลาในการดำเนินงานของกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. .... | นร11 | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระยะเวลาในการดำเนินงานของกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมกำหนดกรอบระยะเวลาแล้วเสร็จในการพิจารณาเรื่องในขั้นตอนต่าง ๆ ของการดำเนินคดี กำหนดให้มีระบบติดตาม ตรวจสอบหรือแจ้งความคืบหน้าของการดำเนินงาน และจัดให้มีผู้รับผิดชอบเป็นการเฉพาะเพื่อรับเรื่องร้องเรียนในกรณีที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับความเดือดร้อนอันเนื่องมาจากความล่าช้าในการดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เช่น กรอบระยะเวลาการดำเนินงานที่หน่วยงานจะกำหนดและเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ ต้องสอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง ไม่ควรเพิ่มภาระให้กับหน่วยงาน และควรพิจารณาแนวทางพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ การกำหนดคำนิยาม “ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง” ที่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมมีหน้าที่ต้องแจ้งให้ทราบตามกฎหมาย ควรเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือประชาชนแจ้งเรื่องไปยังผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไป รวมทั้งอาจกำหนดให้ต้องรับผิดทางวินัยด้วย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมเสนอ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13913 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... | คค | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดนครราชสีมา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการก่อสร้างโครงข่ายระบบขนส่งสาธารณะจังหวัดนครราชสีมาเป็นระบบรถไฟฟ้ารางเบา (Street Running Light Rail) เข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) และการดำเนินการตามมาตรการ PPP Fast Track รฟม. จะต้องปฏิบัติตามมาตรา ๔๙ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ และควรให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และ รฟม.) ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ และมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ในส่วนของการจัดลำดับความสำคัญของแนวเส้นทางที่จะดำเนินการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในจังหวัดนครราชสีมาในระยะแรก โดยให้ประสานกับกระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) เพื่อให้การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะสามารถสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดภายใต้แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13914 | ร่างเอกสารยุทธศาสตร์ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมล้านช้าง - แม่โขง พ.ศ. 2561 - 2565 | ทส | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารยุทธศาสตร์ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมล้านช้าง-แม่โขง พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้ความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขงให้มีความชัดเจนขึ้น การสนับสนุนทางการเงินที่จำเป็นให้กับประเทศสมาชิกควบคู่ไปกับการพัฒนาและขยายตัวของเศรษฐกิจและโครงการการพัฒนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอนุภูมิภาค การส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่น และลดช่องว่างการพัฒนาเพื่อสนับสนุนการสร้างประชาคมอาเซียน รวมถึงการส่งเสริมการดำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ โดยมีขอบเขตการดำเนินงาน เช่น การจัดทำนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม การเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรด้านสิ่งแวดล้อม และการปรับตัวและการลดผลกระทบอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น ๒. อนุมัติให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองเอกสารและลงนามในหนังสือรับรองร่างเอกสารยุทธศาสตร์ฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13915 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานและกู้เงินระยะสั้นของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | คค | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกู้เงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้ รฟท. สำหรับการกู้เงิน (๑) เงินกู้เพื่อบรรเทาการขาดสภาพคล่องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ วงเงิน ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท และ (๒) เงินกู้ระยะสั้น โดยต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๒ ถึง ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น ให้ รฟท. เร่งรัดการดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องและเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และจัดทำรายงานผลการให้บริการสาธารณะ (PSO) ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมกำกับติดตามการใช้จ่ายเงินกู้ของ รฟท. ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินของ รฟท. อย่างใกล้ชิดต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13916 | การจัดให้มีบริการเลขหมายโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติเลขหมายเดียว (National Single Emergency Number) | ตช | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาและติดตั้งระบบศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติที่ทันสมัย โดยดำเนินการต่อยอดจากระบบศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน ๑๙๑ (Call Center) ปรับเปลี่ยนมาเป็นศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย มีระบบบอกพิกัดตำแหน่งของผู้โทร สามารถรองรับการรับแจ้งเหตุฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยมีช่องทางแจ้งเหตุฉุกเฉินได้หลายช่องทาง เช่น VDO Call, Social Media, Mobile App, SMS, MMS เป็นต้น และเชื่อมต่อกล้องวงจรปิดครอบคลุมได้ทั่วทุกภาคและทุกจังหวัดของประเทศ รวมถึงการบูรณาการรับแจ้งเหตุฉุกเฉินทุกเหตุการณ์ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของหลาย ๆ หน่วยงานเข้าด้วยกันโดยใช้หมายเลข ๑๙๑ เลขหมายเดียว และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับผิดชอบในการดำเนินโครงการฯ โดยให้ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายลงทุน (Investment Cost) วงเงิน ๓,๑๔๐ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายดำเนินการ (Operating and Maintenance Expenditure) จำนวน ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๗) วงเงิน ๔,๒๓๒.๘๘ ล้านบาท รวมทั้งสิ้น ๗,๓๗๒.๘๘ ล้านบาท จากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติตามขั้นตอนต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายดำเนินการในระยะต่อไปให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข และมติของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เช่น (๑) ระบบศูนย์บัญชาการเหตุฉุกเฉินแห่งชาติควรรองรับการเชื่อมโยงไปยังฐานข้อมูลอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น ข้อมูลผู้เชี่ยวชาญในการเข้าเผชิญเหตุในกรณีต่าง ๆ เป็นต้น (๒) ควรมีการพัฒนาระบบส่งต่อข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความเสถียรและจัดเจ้าหน้าที่รับสายให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และ (๓) ให้คำนึงถึงความเหมาะสมของเทคโนโลยี ความคุ้มค่าของวงเงินลงทุนและแนวทางการติดตามประเมินผลโครงการฯ ด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาตามแผนการดำเนินการที่กำหนดไว้ และให้ประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติเป็นระยะ ๆ เพื่อนำมาปรับปรุงการให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข ศูนย์บริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน ศูนย์รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือประชาชนที่ประสบเหตุได้อย่างทันท่วงที แลในอนาคตเมื่อศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติมีความพร้อมสามารถดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึงก่อนพิจารณายกเลิกเลขหมายในระบบฉุกเฉินเลขหมายอื่น ๆ ให้หมดไปตามลำดับ เพื่อลดความสับสนของประชาชนและความซ้ำซ้อนในการทำงาน รวมทั้งเป็นการลดภาระงบประมาณของประเทศด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13917 | การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ | วท | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ท ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ในส่วนของแนวทางการบริหารกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... จากการบริหารและดำเนินงานของสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นการบริหารและดำเนินงานโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ๑.๒ เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ในส่วนของการจัดตั้งและดำเนินการเมืองนวัตกรรม (Food Innopolis) จากการบริหารและดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นการบริหารและดำเนินงานโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ๑.๓ รับทราบหลักการการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ โดยรวมภารกิจดังกล่าวให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานเดียวคือ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เพื่อให้การบริหารจัดการในเรื่องดังกล่าวมีเอกภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิรูประบบการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นอกจากนี้ เมื่อรวมภารกิจดังกล่าวเข้าด้วยกันแล้วจะทำให้มีรูปแบบการดำเนินการในลักษณะ Platform ที่บูรณาการทั้งประเทศ (Nationwide Cross-Cutting Platform) ภายใต้กลุ่มบริหารและส่งเสริมเขตนวัตกรรม ซึ่งเป็นโครงสร้างใหม่ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยบูรณาการการดำเนินงานอุทยานวิทยาศาสตร์และเขตนวัตกรรมของประเทศ ตั้งแต่การกำหนดทิศทางและออกแบบนโยบายในภาพรวมที่สอดคล้องกับนโยบายการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม การกำกับดูแลและการบริหารจัดการอุทยานวิทยาศาสตร์ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมถึงบูรณาการการขับเคลื่อนเมืองนวัตกรรมอาหารและคลัสเตอร์นวัตกรรมอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติรับไปดำเนินการ เช่น การพัฒนากลไกความเชื่อมโยงการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญภายใต้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ เช่น ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ เครื่องมือการทดลองวิจัย เป็นต้น และควรจัดทำแผนการจัดการงบประมาณ บุคลากร ภารกิจ และทรัพยากรอื่น ๆ ให้มีความชัดเจนเพื่อให้การรวมภารกิจการดำเนินงานโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่เป็นอุปสรรคและเกิดต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity cost) ต่อการดำเนินงานของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติในอนาคต เช่น ภาระทางด้านการเงินการคลัง และการขาดแคลนบุคลากร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13918 | การจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สำหรับโครงการบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้า ด้วยเครื่องเอกซเรย์ตามโครงการระยะที่ 2 ถึง 4 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - พ.ศ. 2567 (5 ปี) | กค | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับโครงการบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ตามโครงการระยะที่ ๒ ถึง ๔ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๖๗ (๕ ปี) ของกระทรวงการคลัง และให้กระทรวงการคลังเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากรรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณานำเงินนอกงบประมาณมาสมทบกับงบประมาณในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔๕ พร้อมทั้งจัดทำแผนงานให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และให้ยืนยันความพร้อมของโครงการดังกล่าว โดยมีรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ ผลการสอบราคา ประมาณการราคา และสถานที่/พื้นที่พร้อมที่จะดำเนินการให้ครบถ้วน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13919 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย กรณีรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป (จำนวนรวม 12 โครงการ) (การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย กรณีรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป) | มท | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงมหาดไทย จำนวนรวม ๑๒ โครงการ โดยให้กระทรวงมหาดไทยจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความเหมาะสมจำเป็น ตามวงเงินงบประมาณประจำปีเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีรายละเอียดพื้นที่ดำเนินการ แบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพ และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรกำหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กฎหมาย ระเบียบ ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13920 | รายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ที่จะเสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ | ตช | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับโครงการจัดหาและติดตั้งระบบวิทยุสื่อสารดิจิทัล ระยะที่ ๓ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๕,๕๑๔.๔๖๓๗ ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรนำผลการประเมินโครงการฯ ในระยะที่ ๑ (ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐) และระยะที่ ๒ (ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๒) มาปรับใช้เป็นแนวทางในการดำเนินโครงการฯ ในระยะที่ ๓ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพของการดำเนินโครงการฯ และมีความคุ้มค่าของการลงทุน รวมทั้งควรจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอนาคต และรองรับข้อจำกัดของระบบ Long Term Evolution (LTE) ในสถานการณ์ฉุกเฉิน อาทิ ภัยพิบัติ หรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจส่งผลต่อความเสถียรของระบบจนไม่สามารถใช้งานเพื่อการสื่อสารได้ โดยอาจพิจารณาใช้อุปกรณ์สื่อสารระบบอนาล็อกควบคู่ไปกับระบบ LTE เพื่อเตรียมการสำหรับรองรับสถานการณ์ดังกล่าว เป็นต้น ไปประกอบการดำเนินการด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรกำหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กฎหมาย ระเบียบ ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....