ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 694 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 13861 - 13880 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13861 | ร่างพระราชกฤษฎีกายุบเลิกสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | นร09 | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกายุบเลิกสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการยุบเลิกสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยยังไม่ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๖ จนกว่าการโอนส่วนงานของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) จะแล้วเสร็จตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ และรองรับสภาพนิติบุคคลของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ให้ยังคงดำรงอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็น เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกานี้ และในระหว่างที่ยังดำเนินการโอนสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีไปเป็นขององค์การสวนสัตว์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่แล้วเสร็จ ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) มีอำนาจบริหารจัดการสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีและกิจการที่ต่อเนื่องจนกว่าการดำเนินการดังกล่าวจะแล้วเสร็จ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าตอบแทนการเลิกจ้างและเงินช่วยเหลือเยียวยาแก่เจ้าหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) กรณีพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เนื่องจากยุบเลิกหน่วยงานนั้น ให้ได้รับค่าตอบแทนการเลิกจ้างและเงินช่วยเหลือเยียวยาตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด โดยให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้หรือเงินสะสมของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13862 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก พ.ศ. .... | พณ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การห้ามส่งออกอาวุธและวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธทุกประเภทไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก พ.ศ. ๒๕๔๗ ลงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๗ และปรับปรุงประกาศดังกล่าวขึ้นใหม่ โดยกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และเพิ่มเติมข้อยกเว้นที่มิให้ใช้บังคับกับกรณีการส่งออกหรือนำผ่านเครื่องแต่งกายที่ใช้สำหรับการป้องกัน รวมถึงเสื้อเกราะกันกระสุนและหมวกสนามเพื่อนำไปใช้เฉพาะตัวเป็นการชั่วคราวสำหรับบุคลากรของสหประชาชาติ ผู้แทนสื่อมวลชนผู้ปฏิบัติงานด้านมนุษยธรรมและการพัฒนา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๔๒๔ (ค.ศ. ๒๐๑๘) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ให้เพิ่มเติมการอ้างมาตรา ๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ ในบทอาศัยอำนาจ และควรกำหนดระยะเวลาสิ้นผลของร่างประกาศฯ ให้สอดคล้องกับพันธกรณีที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามข้อมติ ที่ ๒๔๒๔ (ค.ศ. ๒๐๑๘) ซึ่งกำหนดระยะเวลาสิ้นผลของมาตรการให้ใช้บังคับจนถึงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13863 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลอาญาพระโขนง และศาลอาญามีนบุรี พ.ศ. .... | สว | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลอาญาพระโขนง และศาลอาญามีนบุรี พ.ศ. .... เกี่ยวกับการแก้ไขเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติฯ และการให้สำนักงานศาลยุติธรรมจัดทำแผนแม่บทในการจัดตั้งศาลในภาพรวมทั้งประเทศที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ มาตรการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชน โดยพิจารณาถึงประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัดให้ได้รับความสะดวกในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชนกับแผนแม่บทดังกล่าว ทั้งนี้ ควรพิจารณายกฐานะศาลในต่างจังหวัดเฉพาะเท่าที่จำเป็น รวมทั้งในการจัดตั้งศาลขึ้นใหม่ควรพิจารณาเขตอำนาจศาลที่จะจัดตั้งขึ้นให้สอดคล้องกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะเขตอำนาจของพนักงานสอบสวน ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลอาญาพระโขนง และศาลอาญามีนบุรี พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลอาญาพระโขนง และศาลอาญามีนบุรี พ.ศ. .... ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13864 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จำนวน 2 ฉบับ | อก | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการอนุญาตให้โรงงานสามารถระบายน้ำทิ้งโดยวิธีเจือจางได้ และกำหนดค่ามาตรฐานของปริมาณสารเจือปนในอากาศที่ระบายออกจากโรงงาน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อม ๑.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ผู้ประกอบการโรงงานจัดทำรายงานข้อมูลปริมาณการผลิต การใช้ การครอบครอง การปลดปล่อย และการเคลื่อนย้ายสารเคมีหรือสารมลพิษออกจากโรงงาน เพื่อให้สามารถกำกับดูแลและติดตามให้เป็นไปตามกฎหมาย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำทำเนียบการปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษและเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ รวมทั้งพัฒนาระบบและกลไกการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการควบคุม เฝ้าระวัง ติดตาม ตรวจสอบการปล่อยมลพิษ และการจัดการของเสียจากการผลิต เพื่อเพิ่มบทบาทและความรับผิดชอบของภาคเอกชนและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13865 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับประกันความเสี่ยงทางการเมือง พ.ศ. .... | กค | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับประกันความเสี่ยงทางการเมือง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับประกันความเสี่ยงทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อให้ครอบคลุมการรับประกันความเสี่ยงทางการเมืองแก่ผู้ลงทุนในกรณีที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ไม่ได้สนับสนุนการให้สินเชื่อ และกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการรับประกันความเสี่ยงในการให้สินเชื่อของธนาคารของผู้ลงทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เช่น ควรกำหนดให้ชัดเจนว่าในการรับประกันภัยตามกฎกระทรวง และรวมถึงการรับประกันภัยต่อจากบริษัทประกันภัยหรือองค์กรอื่น จะเป็นการรับประกันภัยในกรอบของการรับประกันความเสี่ยงเกี่ยวกับการให้สินเชื่อของธนาคารของผู้ลงทุน เพื่อให้สอดคล้องตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับประกันความเสี่ยงทางการเมืองที่รัดกุมและมีความชัดเจนในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องพื้นที่และประเทศปลายทางที่มีการประเมินความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกัน moral hazard ซึ่งอาจสร้างความเสียหายแก่ ธสน. ได้ในอนาคต และประชาสัมพันธ์สร้างความรับรู้ความเข้าใจให้กับผู้ที่มีส่วนได้เสีย ได้แก่ ผู้ลงทุนธนาคารของผู้ลงทุน และประชาชนทั่วไปอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13866 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย | กต | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของ ตุน ดร.มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือทวิภาคีระหว่างกันในประเด็นสำคัญ ได้แก่ ด้านการเชื่อมโยงพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ด้านการค้า การเกษตร และการท่องเที่ยว ด้านความมั่นคงบริเวณชายแดน รวมทั้งเร่งรัดให้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจและสนธิสัญญาต่าง ๆ ที่คั่งค้างให้แล้วเสร็จ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือนดังกล่าว เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับ (๑) ประเด็นการขยายเวลาทำการของด่านศุลกากรสะเดา-บูกิตกายูฮิตัมเป็น ๒๔ ชั่วโมง ควรให้มีการทดลองใช้กับรถขนส่งสินค้าก่อนเป็นเวลา ๖ เดือน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมการปฏิบัติงานของทั้งสองฝ่ายและประเมินสถานการณ์ก่อนว่าได้รับประโยชน์คุ้มค่าหรือไม่ ก่อนที่จะพิจารณาแก้ไขกฎระเบียบและดำเนินการอย่างเป็นทางการต่อไป (๒) ฝ่ายไทยควรเตรียมการรองรับการปรับเปลี่ยนรัฐบาลมาเลเซียชุดต่อไป เนื่องจากอาจมีการปรับเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ (๓) ประเด็นบุคคลสองสัญชาตินั้น การดำเนินงานทางเทคนิคที่เกี่ยวกับการเก็บข้อมูลทางชีวภาพบุคคล (Biometrics) ด้วยระบบฐานข้อมูลของทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างกัน ควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทางเทคนิคของไทยได้มีโอกาสหารือร่วมกันเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13867 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการแฟลตพักแพทย์ 20 ยูนิต 6 ชั้น เป็นอาคาร คสล. 6 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 2,366 ตารางเมตร (โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเวียงสระ ตำบลเวียงสระ อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี 1 หลัง | สธ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการแฟลตพักแพทย์ ๒๐ ยูนิต ๖ ชั้น เป็นอาคาร คสล. ๖ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒,๓๖๖ ตารางเมตร (โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเวียงสระ ตำบลเวียงสระ อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๑ หลัง จากวงเงิน ๒๔.๕๒ ล้านบาท เป็นวงเงิน ๒๘.๓๕ ล้านบาท โดยวงเงินที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๓.๘๓ ล้านบาท ใช้จ่ายจากเงินบำรุงโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน ๑.๕๙ ล้านบาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๒.๒๔ ล้านบาท จากการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามที่สำนักงบประมาณได้เห็นชอบความเหมาะสมของวงเงินค่าก่อสร้างแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการก่อหนี้ผูกพันหรือจ่ายเงิน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๓๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ในการริเริ่มแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในอนาคต ขอให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13868 | การเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากกรมการปกครองด้วยระบบคอมพิวเตอร์ | พณ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากกรมการปกครองด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อรองรับการให้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเกี่ยวกับการเชื่อมโยงดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการรักษาความลับของทะเบียนประวัติราษฎรอย่างเคร่งครัด และให้คำนึงถึงแนวทางการดำเนินการให้เกิดความเป็นมาตรฐานเดียวกันกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลตามกรอบการกำกับดูแลข้อมูล (Data Governance Framework) พร้อมทั้งดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง มาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศตามวิธีการแบบปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๕ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเร่งพิจารณากำหนดมาตรการคุ้มครองและรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล รวมทั้งระบบการตรวจสอบหรือการป้องกันการนำข้อมูลไปใช้นอกเหนือภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ให้ชัดเจนด้วย ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงยุติธรรม เป็นต้น เร่งพิจารณากำหนดกลไกคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... ต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13869 | (ร่าง) มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ | ศธ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติที่คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ (ก.พ.ป.) ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการเพื่อประกาศใช้ต่อไป โดย (ร่าง) มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพการบริการดูแลพัฒนาและจัดการศึกษาและการดำเนินงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยทุกสังกัดที่ดูแลเด็กในเวลากลางวัน ช่วงอายุตั้งแต่แรกเกิด-๖ ปีบริบูรณ์ หรือก่อนเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ที่สามารถนำไปใช้ประเมินการดำเนินงานของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในทุกสังกัด ประมาณกว่า ๕๓,๓๓๕ แห่ง เพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดบริการและความต่อเนื่องของการพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยกำหนดมาตรฐานย่อย ๓ ด้าน คือ (๑) ด้านการบริหารจัดการสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย (๒) ด้านครู/ผู้ดูแลเด็กให้การดูแลและจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการเล่นเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย และ (๓) ด้านคุณภาพของเด็กปฐมวัย แบ่งเป็นเด็กแรกเกิด-อายุ ๒ ปี และเด็กอายุ ๓-อายุ ๖ ปี (ก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑) ๑.๒ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เรื่อง (ร่าง) มาตรฐานศูนย์เด็กเล็กแห่งชาติ และให้ใช้มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติเป็นมาตรฐานกลางของประเทศแทน ๑.๓ ให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องพิจารณานำมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติไปใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริม สนับสนุนให้สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลและรับผิดชอบมีการบริหารจัดการ การประเมินผลกาดำเนินงาน เพื่อยกระดับการพัฒนาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานฯ ๑.๔ ให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานและรายงานต่อ ก.พ.ป. เป็นระยะ ๆ หรืออย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น ดำเนินการตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เมื่อแผนแม่บทดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว รวมถึงกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และแผน/ยุทธศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13870 | ขออนุมัติการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) | กษ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณ รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๓ โครงการ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ (๑) โครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (๒) โครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน และ (๓) โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ (ระยะที่ ๑) โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควรเร่งเตรียมความพร้อมทั้งด้านการจัดหาที่ดิน และการขอใช้พื้นที่ เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ และควรจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการและรายการ โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของโครงการและรายการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13871 | การเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางของกรมการปกครองด้วยระบบคอมพิวเตอร์ | คค | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางของกรมการปกครองด้วยระบบคอมพิวเตอร์แก่กรมเจ้าท่า เพื่อให้การปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่เป็นไปได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป โดยเฉพาะการนำข้อมูลไปใช้ในการตรวจสอบและยืนยันตัวบุคคลของคนประจำเรือและแรงงานประมงทะเลที่ลงทำการในเรือประมงทะเลมาเปรียบเทียบกับภาพใบหน้าบุคคลที่จัดเก็บอยู่ในระบบ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเกี่ยวกับการเชื่อมโยงดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการรักษาความลับของทะเบียนประวัติราษฎรอย่างเคร่งครัด และให้คำนึงถึงแนวทางการดำเนินการให้เกิดความเป็นมาตรฐานเดียวกันกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลตามกรอบการกำกับดูแลข้อมูล (Data Governance Framework) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงยุติธรรม เป็นต้น เร่งพิจารณากำหนดกลไกคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... ต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13872 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลทุ่งตะไคร ตำบลช่องไม้แก้ว และตำบลตะโก อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... | กษ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลทุ่งตะไคร ตำบลช่องไม้แก้ว และตำบลตะโก อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ในการก่อสร้างประตูระบายน้ำพร้อมอาคารประกอบตามโครงการบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำคลองตะโกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชุมพร เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปดำเนินการสำรวจที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น และเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กรมชลประทานควรวางแผนการดำเนินการจัดการเรื่องที่ดินให้แล้วเสร็จ ตั้งแต่การศึกษาความเหมาะสมของโครงการ โดยพิจารณาราคาค่าทดแทนทรัพย์สินเพื่อการชลประทาน ควรคำนึงถึงค่าเสียโอกาส และค่าเสียประโยชน์ของเจ้าของที่ดินที่จะต้องเสียสละที่ดินเพื่อก่อสร้างโครงการของรัฐ ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้ตามกรอบเวลา และกรอบงบประมาณที่กำหนดไว้ รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากโครงการตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13873 | การขอรับจัดสรรงบเงินอุดหนุนแก่ศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue) | กต | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบวงเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue : ACSDSD) ไม่เกินปีละ ๑๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นระยะเวลา ๕ ปี ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๗ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย รวมทั้งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวกระทรวงการต่างประเทศจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ รวมถึงควรสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ทราบถึงการดำเนินงานของศูนย์ ACSDSD และประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งศูนย์ ACSDSD ดังกล่าว และควรมีการติดตามและประเมินผลเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นที่ตั้งของศูนย์การดำเนินงานในการประสานงานระหว่างประเทศในครั้งต่อไปด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ในประเด็นงบเงินอุดหนุน ควรพิจารณาตามความจำเป็นและอาจจะของบประมาณสนับสนุนจากเครือข่ายความเป็นหุ้นส่วนกับภาคีภายนอก เช่น เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ สหภาพยุโรป และธนาคารโลก สำหรับโครงการ กิจกรรม และงานวิจัยของศูนย์ ACSDSD ซึ่งจะช่วยลดภาระรายจ่ายด้านงบประมาณในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13874 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 3/2561 | กษ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) การบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง ปี ๒๕๖๒ ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) (๒) การบริหารการนำเข้ามะพร้าวผลตามความตกลงของเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ปี ๒๕๖๒ และ (๓) มาตรการปกป้องพิเศษ (Special Safeguard Measure : SSG) ภายใต้ความตกลงเกษตรของ WTO ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งพันธกรณีระหว่างประเทศที่มีอยู่อย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13875 | โครงการของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน ประจำปี 2562 ของกระทรวงพลังงาน | พน | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน ประจำปี ๒๕๖๒ ของกระทรวงพลังงาน โดยได้ลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดลง ๑ บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป เพื่อลดค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทางช่วงปีใหม่ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ๐.๕ บาท/ลิตร และส่วนที่เหลือเป็นการให้ความร่วมมือลดค่าการตลาดของผู้ค้าตามสภาพราคาตลาดที่ลดลง ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13876 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สาขาการกำหนดอาหารเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. .... | สธ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สาขาการกำหนดอาหารเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สาขาการกำหนดอาหารเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13877 | การเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | วท | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก : เมืองนวัตกรรมชีวภาพ (BIOPOLIS) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และ (๒) โครงการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนระดับพลังงาน ๓ GeV และห้องปฏิบัติการ ของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) โดยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง [ซึ่งรวมถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) และ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวปฏิบัติในการเสนอเรื่องและขออนุมัติดำเนินโครงการลงทุนขององค์การมหาชนที่มีวงเงินลงทุนสูงเกินกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท)] อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น ควรเตรียมความพร้อมด้านอื่น ๆ เพื่อรองรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูงควบคู่กันไป โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ส่วนโครงการวิจัยและนวัตกรรมขนาดใหญ่เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) แผนงานบูรณาการวิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13878 | การทบทวนข้อเสนอให้จัดตั้งหน่วยงานของรัฐตามแผนการปฏิรูปประเทศ | นร12 | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๑.๑ ให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ ตัดข้อเสนอเรื่องการจัดตั้งหน่วยงานต่าง ๆ ออกจากแผนการปฏิรูปประเทศ ๑.๒ ในการเสนอขอจัดตั้งหน่วยงาน ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ) โดยเคร่งครัด ทั้งนี้ การขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง กับต้องมีข้อเสนอให้ยุบเลิกหรือยุบรวมหน่วยงานที่มีอยู่เดิม (One-In, X-Out) เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนทั้งในด้านภารกิจและงบประมาณ และให้เสนอแผนการนำ Digital Technology มาใช้ในการปฏิบัติงานทุกขั้นตอนประกอบคำขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐตามยุทธศาสตร์ชาติ ๑.๓ ในการจัดทำแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการภายใต้ยุทธศาสตร์ชาตินั้น มิให้กำหนดเรื่องการจัดตั้งหน่วยงาน เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกับแผนการปฏิรูปประเทศอีก ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อห้ามไม่ให้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ แต่เป็นการเน้นการยุบเลิกภารกิจที่ไม่จำเป็น ซึ่งการจัดตั้งหน่วยงานอาจจะเป็นกลไกที่มีความจำเป็นและเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญ จึงเห็นควรให้ส่วนราชการยึดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด และเห็นควรให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาทบทวนบทบาท/ภารกิจที่ภาครัฐควรดำเนินการทั้งระบบ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ ๓.๑ ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ) และ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรม) อย่างเคร่งครัด ๓.๒ ระบุข้อเสนอให้ยุบเลิกหรือยุบรวมหน่วยงานที่มีอยู่เดิม เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนทั้งในด้านภารกิจและงบประมาณ ๓.๓ เสนอแผนการนำ Digital Technology มาใช้ในการปฏิบัติงาน ประกอบคำขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13879 | สรุปสาระสำคัญการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 10 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | ศธ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปสาระสำคัญการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๑๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๙ ตุลาคม-๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งที่ประชุมฯ ได้พิจารณาความก้าวหน้าการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์อาเซียน แผนงาน/โครงการกิจกรรมด้านการศึกษาภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน อาเซียนบวกสาม สุดยอดเอเชียตะวันออก และความร่วมมืออาเซียนกับประเทศคู่เจรจา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตลอดจนให้ข้อคิดเห็นเพื่อพัฒนาการดำเนินความร่วมมือด้านการศึกษาอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษาของภูมิภาค และการกำหนดแนวทางการดำเนินความร่วมมือระหว่างกันให้สอดรับกับพลวัตการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้พิจารณารับรองกฎบัตรเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน แผนปฏิบัติการอาเซียน-จีนเพื่อความร่วมมือด้านการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๓ และแผนปฏิบัติการอาเซียนบวกสามด้านการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยร่วมลงนามในกฎบัตรฯ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสมาชิกอาเซียนหรือผู้แทนในโอกาสแรก และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยร่วมลงนาม ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกฎบัตรฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับประเด็นการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา-ภาครัฐบาล-ภาคอุตสาหกรรม เพื่อผลิตกำลังคนรองรับการเป็นอุตสาหกรรม ๔.๐ และการจัดตั้ง ASEAN TVET Development Council เพื่อเร่งยกระดับการพัฒนาการศึกษาด้านอาชีพ (TVET) เพื่อรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๔ โดยมีความกังวลถึงความเป็นไปได้ของการประสานงานข้ามสาขาระหว่างเสาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนกับเสาเศรษฐกิจ และอำนาจหน้าที่ของ ASEAN TVET Development Council ของ TVET ยังขาดความชัดเจนซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหา ที่ประชุมคณะทำงานเจ้าหน้าที่อาวุโสแรงงานอาเซียนว่าด้วยแนวปฏิบัติที่ก้าวหน้าด้านแรงงานเพื่อเสริมสร้างการแข่งขันในอาเซียนจึงมีมติเห็นควรชะลอการนำเรื่องดังกล่าวสู่การพิจารณาของที่ประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน จนกว่าจะมีความชัดเจนในประเด็นดังกล่าว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13880 | โครงการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลเพื่อจัดตั้งฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติ | ยธ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินโครงการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลเพื่อจัดตั้งฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติในภาพรวมทั้งระบบให้มีความชัดเจน เหมาะสม และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น (๑) ความครบถ้วนของข้อมูลที่อยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน (๒) การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างศูนย์ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (๓) แนวทางการบริหารจัดการข้อมูลของศูนย์ฯ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ (๔) เทคโนโลยีที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการดำเนินการ (๕) ภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว (๖) ความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงข้อมูลของศูนย์ฯ กับระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เป็นต้น แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้นำความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเชื่อมโยงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลจำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องการรักษาความลับ (Confidentiality) จึงควรพิจารณาการเข้ารหัสข้อมูลตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง (End-to-end encyption) การพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และขอบเขตของการเข้าถึงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลสำหรับการให้บริการภาคเอกชน เพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนและไม่ให้มีการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่เหมาะสมหรือเป็นผลร้ายต่อเจ้าของข้อมูล รวมถึงการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการในระยะที่ ๑ และระยะที่ ๒ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
.....