ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 691 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 13801 - 13820 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13801 | มาตรการป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับป้ายโฆษณาบนทางสาธารณะ | ปช | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับป้ายโฆษณาบนทางสาธารณะ เป็นมาตรการเพื่อปรับปรุงการปฏิบัติราชการหรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตและกระทำความผิดในกรณีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับป้ายโฆษณาบนทางสาธารณะของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมาตรการดังกล่าวแบ่งเป็น ๒ ระยะ คือ (๑) มาตรการระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย มาตรการทางการบริหาร ที่ควรดำเนินการแล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน และมาตรการทางกฎหมาย ที่ควรดำเนินการแล้วเสร็จภายใน ๑ ปี และ (๒) มาตรการระยะยาว ที่ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมาตรการป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับป้ายโฆษณาบนทางสาธารณะ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาดำเนินการ แล้วให้กระทรวงมหาดไทยรวบรวมผลการดำเนินการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ภายใน ๓๐ วัน นับแต่ได้รับแจ้งมติคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรมีกฎหมายกำหนดเขต บริเวณ ย่าน ที่จะใช้ติดตั้งป้ายโฆษณาเพื่อรักษาภูมิทัศน์และป้องกันอันตรายที่เกิดจากป้าย การกำหนดให้มีเลขทะเบียนควบคุมป้ายโฆษณาในที่สาธารณะต่าง ๆ เป็นระบบเดียวต้องกำหนดให้มีหน่วยที่รับผิดชอบวางระบบเพื่อกำหนดเลขทะเบียนควบคุมเป็นระบบเดียวกัน การกำหนดพื้นที่เฉพาะสำหรับการติดตั้งป้ายโฆษณาทำให้เกิดภาระของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งจะต้องจัดหาพื้นที่และมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของพื้นที่ดังกล่าว และควรพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันพิจารณารายละเอียดของมาตรการทางกฎหมาย (ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปี) เพื่อให้มาตรการต่าง ๆ มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายและสามารถใช้ในการบริหารกิจการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13802 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนานวัตกรรมตามความต้องการของภาครัฐ พ.ศ. .... | วท | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถอนหนังสือเสนอความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามหนังสือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ กษ ๐๒๐๑/๗๑๙๐ ลงวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ คืนไปได้ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนานวัตกรรมตามความต้องการของภาครัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการพัฒนานวัตกรรมตามความต้องการของภาครัฐ เพื่อสร้างความสามารถทางเทคโนโลยีของประเทศ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เห็นชอบในหลักการของวิธีการจัดสรรงบประมาณระยะยาวและต่อเนื่องของหน่วยงานของรัฐในการจัดทำโครงการพัฒนานวัตกรรมตามความต้องการของภาครัฐ โดยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงบประมาณที่เห็นควรคำนึงถึงประโยชน์ ความคุ้มค่า และผลสัมฤทธิ์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ให้มีการจัดทำแผนการบริหารจัดการความเสี่ยง ความสามารถในการก่อหนี้ผูกพันและภาระงบประมาณ มีการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณระยะปานกลางที่คำนึงถึงความครอบคลุมของแหล่งเงินภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีอย่างเหมาะสม ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งควรพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย ขั้นตอน และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาถึงความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐประกอบด้วย รวมถึงควรสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมไทยให้มากขึ้นกว่าเดิม และควรรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนรับทราบ นอกจากนี้ หากร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มีผลบังคับใช้ ควรพิจารณาปรับปรุงรายละเอียดของระเบียบฯ ให้สอดคล้องกันด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13803 | ร่างพระราชบัญญัติการประกันภัยทางทะเล พ.ศ. .... | กค | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกันภัยทางทะเล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกร่างกฎหมายว่าด้วยการประกันภัยทางทะเลขึ้นเป็นการเฉพาะให้สอดคล้องกับหลักสากลที่นานาประเทศใช้อยู่ในปัจจุบัน (Marine Insurance Act 1906 และ Insurance Act 2015 ของประเทศอังกฤษ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยมีกฎหมายการประกันภัยทางทะเลเป็นของตนเอง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานศาลยุติธรรม เช่น สัญชาติของคู่กรณีในสัญญาประกันภัย การกำหนดให้คู่สัญญาในสัญญาประกันภัยอื่นสามารถตกลงใช้กฎหมายนี้ด้วย การกำหนดการตีความถ้อยคำในกรณีที่กรมธรรม์ทำขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ การกำหนดก้าวล่วงไปถึงกฎหมายวิธีสบัญญัติ การกำหนดเกี่ยวกับการรับฟังพยานหลักฐาน และการกำหนดให้ผู้เอาประกันภัยทางทะเลเพื่อธุรกิจต้องเป็นนิติบุคคล เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13804 | ร่างพระราชบัญญัติกีฬามวย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กก | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกีฬามวย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อขยายความคุ้มครอง การส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมมวยไทย ครูมวย ค่ายมวย และการไปแข่งขันกีฬามวยในต่างประเทศ รวมทั้งการแข่งขันกีฬามวยสำหรับนักมวยที่มีอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี ให้ได้รับความคุ้มครองครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดให้มีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสมสำหรับนักมวยที่มีอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี และให้นำประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับเหตุผลและความจำเป็นและความเหมาะสมในการกำหนดให้นักมวยที่จะเข้าร่วมแข่งขันกีฬามวยในต่างประเทศต้องได้รับความยินยอมจากนายทะเบียนก่อน รวมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมคุณสมบัติของผู้ที่จะจดทะเบียนเป็นนักมวยโดยไม่มีการกำหนดอายุขั้นต่ำของบุคคลดังกล่าว ตลอดจนการกำหนดให้บุคคลในวงการมวยมีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ ซึ่งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการดังกล่าวไม่มีสภาพบังคับ จึงควรพิจารณาถึงความจำเป็นของการกำหนดกระบวนการร้องทุกข์ดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13805 | การเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกของไทยในองค์กร Asian Forest Cooperation Organization (AFoCO) | ทส | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกองค์กร Asian Forest Cooperation Organization (AFoCO) โดยกรมป่าไม้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน และเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำภาคยานุวัติสารและดำเนินการมอบภาคยานุวัติสารให้แก่รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีในฐานะผู้เก็บรักษาหรือผู้อำนวยการบริหารของสำนักเลขาธิการฯ (Executive Director of the Secretariat) แล้วแต่กรณี ตามนัยข้อ ๑๘ ของข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรความร่วมมือด้านป่าไม้แห่งเอเชีย (AFoCO) รวมทั้งอนุมัติในหลักการจัดสรรงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนรายปีให้แก่กรมป่าไม้ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กร AFoCO ปีละประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตลอดระยะเวลาที่ประเทศไทยเป็นสมาชิก โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณที่เป็นเงินอุดหนุนรายปีในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กร AFoCO โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ กรมป่าไม้ได้รับการจัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๑,๐๒๒,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป กรมป่าไม้ควรจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมทั้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามนัยกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กรมป่าไม้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกองค์กร AFoCO ทั้งโครงการทางวิชาการด้านการป่าไม้และการพัฒนาศักยภาพบุคลากร และกำหนดกรอบประเด็นความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ของประเทศไทยให้ชัดเจน การประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชนได้ทราบและสามารถขอรับการสนับสนุนได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึงมากขึ้น ตลอดจนการจัดการองค์ความรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ได้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและสาธารณะอย่างกว้างขวาง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13806 | ขออนุมัติดำเนินโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล - บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา | กษ | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินงานโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีวัตถุประสงค์เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณท้ายเขื่อนเจ้าพระยาถึงปากแม่น้ำ โดยการขุดคลองระบายน้ำหลากสายใหม่เพื่อผันน้ำเลี่ยงเมืองพระนครศรีอยุธยาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่อำเภอบางบาลถึงอำเภอบางไทร รวมความยาวประมาณ ๒๒.๕๐ กิโลเมตร ซึ่งจะสามารถระบายน้ำได้สูงสุด ๑,๒๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที กำหนดแผนงานโครงการ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) กรอบวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๒๑,๐๐๐ ล้านบาท และมอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณาจัดหาแหล่งเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานต่อไป ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายตามแผนงานโครงการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ในเบื้องต้นแล้ว จำนวน ๒๕๐ ล้านบาท ส่วนงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการในปีงบประมาณ ๒๕๖๓-๒๕๖๖ เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานพิจารณากำหนดระยะเวลาในการดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินโครงการ รวมทั้งให้กรมชลประทานหารือกับกระทรวงการคลังพิจารณาจัดหาแหล่งเงินอื่นที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ เป็นลำดับแรก และหากมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินงบประมาณตามแผน ก็เห็นควรให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความเหมาะสม จำเป็น ตามวงเงินงบประมาณประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น ควรเร่งดำเนินการจัดหาที่ดินและเตรียมการเบื้องต้นต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จ ตามแผนที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13807 | ขออนุมัติดำเนินโครงการประตูระบายน้ำบ้านก่อ พร้อมระบบส่งน้ำ จังหวัดสกลนคร | กษ | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ดำเนินโครงการประตูระบายน้ำบ้านก่อ พร้อมระบบส่งน้ำ จังหวัดสกลนคร มีกำหนดแผนงานโครงการ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) กรอบวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๑,๒๔๙ ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเก็บกักน้ำในลำน้ำยามบริเวณบ้านก่อไว้ช่วยเหลือการเพาะปลูกโดยเฉพาะช่วงฤดูแล้ง ให้แก่พื้นที่บางส่วนของอำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร เนื่องจากในฤดูแล้งราษฎรในพื้นที่โครงการไม่มีน้ำเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และการเกษตรกรรมเป็นแหล่งเพาะขยายพันธุ์ปลา และทำการประมง รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการงานคันกั้นน้ำและอาคารประกอบพร้อมขุดลอกโครงการประตูระบายน้ำบ้านก่อ พร้อมระบบส่งน้ำ ตำบลหนองสนม อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร จำนวน ๔๙ ล้านบาท ที่ได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนที่เหลือให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอย่างเคร่งครัด และเตรียมความพร้อมในส่วนที่ยังขาดให้ครบองค์ประกอบของโครงการฯ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นว่า การดำเนินการควรคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงโครงการเส้นทางน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ และควรพิจารณาดำเนินการจัดทำแผนการดำเนินงานในแต่ละปีงบประมาณจนเสร็จสิ้นโครงการให้ชัดเจน พร้อมทั้งดำเนินการก่อสร้างโครงการให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่ได้วางเอาไว้โดยรัดกุม และพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการออกแบบให้แล้วเสร็จก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณของทั้งโครงการฯ ตามขั้นตอน เพื่อมิให้เกิดความผิดพลาด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13808 | ขออนุมัติดำเนินโครงการประตูระบายน้ำลำน้ำพุง - น้ำก่ำ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร | กษ | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ดำเนินโครงการประตูระบายน้ำลำน้ำพุง-น้ำก่ำ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร มีกำหนดแผนงานโครงการ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) กรอบวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๒,๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยในเขตอำเภอเมืองสกลนคร และอำเภอโคกศรีสุพรรณ โดยก่อสร้างคลองผันน้ำเพื่อตัดยอดน้ำจากลำน้ำพุงก่อนไหลลงสู่หนองหาร โดยผันน้ำลงสู่ลำน้ำก่ำ สามารถลดปริมาณน้ำที่ไหลลงสู่หนองหารได้ประมาณ ๕๕ ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และช่วยเหลือประชาชนเพื่อการอุปโภคบริโภค การเกษตร ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกอบด้วย รายการคลองผันน้ำห้วยยาง-ลำน้ำก่ำ และอาคารประกอบ โครงการประตูระบายน้ำลำน้ำพุง-น้ำก่ำ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลเหล่าโพนค้อ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร จำนวน ๗๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท รายการคลองผันน้ำร่องช้างเผือก-ห้วยยาง และอาคารประกอบ โครงการประตูระบายน้ำลำน้ำพุง-น้ำก่ำ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลตองโขบ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร จำนวน ๓๖,๙๒๒,๗๐๐ บาท และรายการค่าควบคุมงานจ้างเหมาคลองผันน้ำร่องช้างเผือก-ห้วยยาง และอาคารประกอบ โครงการประตูระบายน้ำลำน้ำพุง-น้ำก่ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลตองโขบ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร จำนวน ๖๔๖,๑๐๐ บาท รวม ๓ รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑๓,๐๖๘,๘๐๐ บาท ที่ได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนที่เหลือให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอย่างเคร่งครัด และเตรียมความพร้อมในส่วนที่ยังขาดให้ครบองค์ประกอบของโครงการฯ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นว่า การดำเนินการควรคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพการไหลทั้งทิศทางและปริมาณน้ำที่อาจจะเกิดปัญหาน้ำล้นด้านท้ายน้ำบริเวณจุดบรรจบลำน้ำก่ำ ควรมีการวางแผนป้องกันปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นระบบลุ่มน้ำ รวมถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศและการตรวจสอบทรัพย์สินที่ดินที่เอกสารสิทธิบริเวณที่จะก่อสร้างโครงการทั้งหมด เห็นควรดำเนินการให้รอบคอบ รัดกุม รวมทั้งควรจัดทำแผนการดำเนินงานในแต่ละปีงบประมาณจนเสร็จสิ้นโครงการฯ ให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13809 | ขออนุมัติกรอบงบประมาณโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทย ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ พ.ศ. 2563 - 2565 | พณ | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทย ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์ (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ และกรมการค้าภายใน) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมการข้าว) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมทั้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยต้องพิจารณาถึงความประหยัดและคุ้มค่า ต้นทุนที่เหมาะสม ผลสัมฤทธิ์ ประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานด้านการวิจัยและนวัตกรรมที่มีอยู่ เพื่อลดความซ้ำซ้อนของกิจกรรมที่จะดำเนินโครงการ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ ตามความจำเป็นและเหมาะสม และหากกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นควรดำเนินโครงการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ก็เห็นควรให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ในโอกาสแรก เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้กับเกษตรกรและประชาชนในเรื่องการบริหารจัดการการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร (๑) นำเสนอข้อมูลภาพรวมการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องตลอดช่วงที่ผ่านมา เพื่อรับทราบถึงโอกาสและอุปสรรคที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการในลักษณะของการส่งเสริมและรณรงค์การเพิ่มการบริโภคข้าว โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่มีการแข่งขันรุนแรง (๒) ให้ความสำคัญต่อการกำหนดเป้าหมายที่สำคัญสำหรับการติดตามประเมินผลโครงการในอีก ๕ ปีข้างหน้า ในลักษณะของปริมาณและมูลค่าการค้าที่เกิดขึ้นจริง และ (๓) ต่อยอดโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทย โดยเชื่อมโยงกับการผลิตและบริโภคสินค้าที่ได้รับมาตรฐาน GAP และมาตรฐานอินทรีย์ ตลอดส่งเสริมผู้ประกอบการโรงสีในการยกระดับการแปรรูปเข้าสู่มาตรฐาน GMP และมาตรฐานอินทรีย์ เพื่อรองรับผลผลิตข้าวที่สอดคล้องกับมาตรฐานอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13810 | การขอรับเงินอุดหนุนรายปี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และทุนประเดิมงวดที่สอง | กสศ | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนการใช้เงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ภายในกรอบวงเงิน ๕,๔๙๖,๑๒๙,๔๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๖ (๓) ของพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายวิธีการงบประมาณ โดยพิจารณาถึงความประหยัดและคุ้มค่า ต้นทุนที่เหมาะสม ผลสัมฤทธิ์ ประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความเสี่ยง และความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันของหน่วยงานตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมถึงการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานด้านการศึกษา เพื่อลดความซ้ำซ้อนของกิจกรรมที่จะดำเนินการตามแผนงานดังกล่าว ตลอดจนพิจารณาทบทวนงานด้านการศึกษาวิจัย โดยเน้นการต่อยอดกลุ่มเป้าหมายเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งสำนักงบประมาณจะพิจารณาความเหมาะสมจำเป็นตามวงเงินงบประมาณประจำปีต่อไป สำหรับทุนประเดิมส่วนที่ยังขาด จำนวน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๖ (๒) ของพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๑ นั้น ให้ กสศ. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อให้ครบตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้ กสศ. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการพิจารณามาตรการในการดำเนินงานเพิ่มเติม เพื่อให้การเสริมสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และควรให้ความสำคัญกับการประสานความร่วมมือกับกลไกระดับจังหวัดที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ที่มีอยู่แล้ว รวมทั้งบูรณาการการทำงานและเชื่อมโยงแผนการดำเนินงานของ กสศ. กับแผนยุทธศาสตร์ที่สำคัญของหน่วยงานอื่นซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายในการดำเนินการเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้ กสศ. ดำเนินการตามแผนการดำเนินงานและแผนการใช้เงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ และไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานของหน่วยงานอื่น โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ โดยให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการเพื่อให้เกิดความเหมาะสมคุ้มค่าในการใช้งบประมาณและไม่เป็นภาระงบประมาณของประเทศในระยะยาวต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13811 | ความต้องการงบประมาณของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2561 - 31 มีนาคม 2562) | อื่นๆ | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๒ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ แล้ว ภายในกรอบวงเงิน ๕๑๒,๙๖๖,๒๐๐ บาท โดยให้ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13812 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราเงินนำส่งกองทุนคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. .... | กค | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยเพิ่มประเภทเงินนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเงินเป็นอัตราร้อยละไม่เกิน ๐.๐๐๑ ต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง และเงินเพิ่มเข้ากองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (กองทุนส่งเสริม SMEs) และเพิ่มประเภทการใช้จ่ายของเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรบัญญัติให้ชัดเจนในถ้อยคำของมาตรา ๓๒ (๒/๑) ว่า เงินที่ได้รับตามมาตรานี้ จะนำไปใช้เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ SMEs มาตรา ๓๔ (๑/๑) เท่านั้น และควรแยกบัญชีของเงินนำส่งที่ได้รับจากสถาบันการเงินออกจากบัญชีเงินของกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตามปกติ และเผยแพร่ต่อสาธารณชน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราเงินนำส่งกองทุนคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากในอัตราใหม่ จากปัจจุบันอัตราร้อยละ ๐.๐๑ เป็นอัตราใหม่ร้อยละ ๐.๐๐๙ ต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของ SMEs ที่จะได้รับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินตามร่างกฎหมายทั้งสองฉบับนี้ ควรกำหนดให้สอดคล้องกับมาตรการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๙ รวมทั้งจะต้องมีกลไกหรือกระบวนการที่สามารถคัดเลือก SMEs ที่จะได้รับการให้ความช่วยเหลือให้เป็นกิจการที่มีศักยภาพและมีความเหมาะสมที่จะได้รับการฟื้นฟูกิจการอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมร่วมกันดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13813 | ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพสัตวบาล พ.ศ. ... | กษ | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพสัตวบาล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพสัตวบาลขึ้น โดยมีสภาสัตวบาลเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจในการรับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ขอเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสัตวบาล เพื่อให้การควบคุมการประกอบวิชาชีพสัตวบาลเป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรเพิ่มเติมนิยามคำว่า “สัตว์เลี้ยง” ให้หมายถึง สัตว์ป่าในสถานที่เลี้ยง เช่น สวนสัตว์ สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงอุสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่อาจบูรณาการเรื่องมาตรฐานวิชาชีพร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ และควรประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับรู้เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัตินี้ เพื่อช่วยให้การบังคับใช้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13814 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร07 | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๓,๒๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13815 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ และการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน - สหภาพยุโรป ครั้งที่ 22 | กต | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงข่าวของประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ และร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน-สหภาพยุโรป ครั้งที่ ๒๒ : การยกระดับความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรปสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายออกแถลงข่าวฯ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ มกราคม ๒๕๖๒ ที่จังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองถ้อยแถลงร่วมฯ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๒ ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงข่าวฯ และร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งสร้างความตระหนักรู้ของประชาชนเกี่ยวกับอาเซียน และการเป็นประธานอาเซียนของไทยในปี ๒๕๖๒ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13816 | ร่างพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. .... | วท | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13817 | ร่างกฎกระทรวงยกเลิกการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมตามมาตรา 12 (1) ประเภทนักท่องเที่ยวชนิดใช้ได้ครั้งเดียว เป็นการชั่วคราว พ.ศ. .... | ตช | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงยกเลิกการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมตามมาตรา ๑๒ (๑) ประเภทนักท่องเที่ยวชนิดใช้ได้ครั้งเดียว เป็นการชั่วคราว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายมาตรการในการยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราของคนต่างด้าวซึ่งประสงค์จะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยวเป็นเวลาไม่เกินสิบห้าวัน ในกรณียื่นขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa On Arrival) ที่มีการเก็บอัตราค่าธรรมเนียมประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว จำนวนเงิน ๒,๐๐๐ บาท ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓๐ (พ.ศ. ๒๕๕๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้ยกเลิกการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นการชั่วคราวต่อไปอีก โดยกำหนดระยะเวลาการใช้บังคับต่อเนื่องจากที่ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมไว้เดิมจนถึงหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ คือ วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติแก้ไขถ้อยคำให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับกฎกระทรวงยกเลิกการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราตามมาตรา ๑๒ (๑) ประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว เป็นการชั่วคราว พ.ศ. ๒๕๖๑ ก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมบุคลากรเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้บริการในการตรวจลงตราให้เพียงพอกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นด้วย รวมทั้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการประเมินความคุ้มค่าและผลกระทบในด้านต่าง ๆ ในการดำเนินการดังกล่าว เพื่อเป็นแนวทางของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในระยะต่อไปให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อราชการ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13818 | การรับมอบภารกิจพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน | วธ | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนปฏิบัติงานตามภารกิจพิธีการศพทั่วประเทศ และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักในการปฏิบัติภารกิจนี้ โดยให้พร้อมดำเนินการเต็มรูปแบบได้ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นต้น เพื่อกำหนดเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างรองรับการปฏิบัติงาน อัตรากำลัง วัสดุครุภัณฑ์ งบประมาณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยยึดหลักความประหยัด เหมาะสม คุ้มค่า เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ราชการ และให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13819 | แนวทางการจัดซื้อยา หรือเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย | กค | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการจัดซื้อยา หรือเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ ให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อผลิตภัณฑ์ยา หรือเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย มูลค่ารวมไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ ของแผนความต้องการจัดซื้อยาตามชื่อสามัญ (Generic name) หรือเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยารายการที่ตรงกับบัญชีนวัตกรรมไทยทั้งหมดของหน่วยงานนั้น ๆ ดังนี้ ๑.๑.๑ จัดซื้อยาทั่วไป (ยาเคมี) ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยตามบัญชีรายการยาของหน่วยงานนั้น ๆ ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ ของมูลค่ารวมของวงเงินงบประมาณค่าจัดซื้อยาทั่วไป (ยาเคมี) ตามชื่อสามัญที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทย ณ ต้นปีงบประมาณ ๑.๑.๒ จัดซื้อยาชีววัตถุ ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยตามบัญชีรายการยาชีววัตถุของหน่วยงานนั้น ๆ ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ ของมูลค่ารวมของเงินงบประมาณค่าจัดซื้อยาชีววัตถุตามชื่อสามัญที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทย ณ ต้นปีงบประมาณ ๑.๒ วิธีการจัดซื้อในบัญชีนวัตกรรมไทย ๑.๒.๑ หากรายการยาตามชื่อสามัญ (Generic name) ที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ หรือเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาตามบัญชีนวัตกรรมไทยรายการใด มีผู้แทนจำหน่ายเอกชนเพียงรายเดียว และมีองค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทย หรือโรงงานเภสัชกรรมทหาร ได้ผลิตออกจำหน่ายด้วยแล้ว หน่วยงานของรัฐจะจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจงจากผู้แทนจำหน่ายเอกชน องค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทย หรือโรงงานเภสัชกรรมทหาร ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยรายใดก็ได้ ๑.๒.๒ หากรายการยาตามชื่อสามัญ (Generic name) ที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ หรือเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาตามบัญชีนวัตกรรมไทยรายการใด มีผู้แทนจำหน่ายเอกชนหลายราย และมีองค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทย หรือโรงงานเภสัชกรรมทหาร ได้ผลิตออกจำหน่ายด้วยแล้ว หากหน่วยงานของรัฐจะจัดซื้อจากผู้แทนจำหน่ายเอกชน ให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อโดยวิธีคัดเลือก แต่หากจะจัดซื้อจากองค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทย หรือโรงงานเภสัชกรรมทหาร หน่วยงานของรัฐจะจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจงจากองค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทย หรือโรงงานเภสัชกรรมทหาร ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยรายได้ก็ได้ อนึ่ง หน่วยงานของรัฐจะต้องปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ในข้อ ๑.๑.๑ และข้อ ๑.๑.๒ โดยเคร่งครัด หากในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่สามารถจัดซื้อยาทั่วไป (ยาเคมี) หรือยาชีววัตถุ ได้ตามสัดส่วนร้อยละที่กำหนดไว้ในข้อ ๑.๑.๑ และข้อ ๑.๑.๒ หน่วยงานของรัฐแต่ละแห่งจะต้องรายงานเหตุผลความจำเป็นไปยังหน่วยงานต้นสังกัดทุกรายไตรมาส เพื่อให้หน่วยงานต้นสังกัดรายงานไปยังสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13820 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2560 เกี่ยวกับการกู้เงินสำหรับโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) | กค | 08/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ทั้งในประเทศและต่างประเทศจากแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสมและนำมาให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ต่อ สำหรับการดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินโดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งจัดทำรายงานผลการดำเนินการต่าง ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยเฉพาะในส่วนของการพิจารณาแนวทางการจัดตั้งองค์กรพิเศษที่เป็นอิสระจากการกำกับกิจการของ รฟท. พร้อมทั้งกำกับติดตามแผนการดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการโครงการฯ ได้ภายในปี ๒๕๖๔ ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....