ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1375 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 27481 - 27500 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 27481 | กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2557 | นร11 | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๗๖,๔๔๓ ล้านบาท โดยสามารถจัดหาเงินสดเพื่อใช้ลงทุนได้ประมาณ ๒๑๕,๒๙๘ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ของรัฐวิสาหกิจที่คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิรวม ๒๗๑,๙๘๗ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๙๐,๖๖๒ ล้านบาท และการเบิกจ่ายลงทุนรวม ๒,๓๕๗,๓๔๙ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๗๘๕,๗๘๓ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๘๒๓,๔๑๕ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๗๖,๘๘๘ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๒.๑ กรอบการลงทุนโครงการต่อเนื่องที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการแล้วและงานตามภารกิจปกติ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๙๗๓,๔๑๕ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๑๖,๘๘๘ ล้านบาท ๑.๒.๒ กรอบการลงทุนสำหรับการเพิ่มเติมระหว่างปี วงเงินดำเนินการ จำนวน ๘๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เห็นควรให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน ๑.๒.๓ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวง และระดับองค์กร ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้รายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะดังกล่าวและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๑.๔ เห็นชอบในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการพิจารณากรอบและงบประมาณลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ควรคำนึงถึงความสามารถในการเบิกจ่ายลงทุนในอดีต ความพร้อม และประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจประกอบด้วย รวมทั้งให้กระทรวงเจ้าสังกัดและรัฐวิสาหกิจเร่งนำเสนอโครงการตามแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมในการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถเริ่มดำเนินโครงการลงทุนต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาครัฐตามนโยบายของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 27482 | การได้รับเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมหารือเรื่อง การได้รับเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยที่ประชุมมีมติว่า การกำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตำแหน่งวิชาการที่ได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูงของอันดับเงินเดือนของตำแหน่งที่ดำรงอยู่ให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของอันดับเงินเดือนเดิม โดยให้ไปอาศัยรับเงินเดือนในตำแหน่งถัดไปอีกตำแหน่งนั้น ก่อให้เกิดความเสมอภาคและเป็นธรรม ในการได้รับค่าตอบแทนเช่นเดียวกับข้าราชการครูซึ่งทำหน้าที่สอนเหมือนกัน ก่อให้เกิดขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน ลดการสูญเสียบุคลากรให้กับหน่วยงานอื่นโดยเฉพาะภาคเอกชน ทำให้คณาจารย์สามารถทุ่มเทงานอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องไปหารายได้เสริมภายนอกสถาบันอุดมศึกษา ประกอบกับคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) มีแนวทางที่เตรียมไว้ในเรื่อง มาตรฐานภาระงานทางวิชาการของผู้ดำรงตำแหน่งวิชาการที่จะดูแลให้คณาจารย์ผลิตผลงานวิชาการออกมาอย่างต่อเนื่อง ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติม กฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาปรับแก้ไขถ้อยคำ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการเห็นชอบด้วยแล้ว และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการประเมินผลหรือการวัดผลปฏิบัติงานประกอบการดำเนินการตามร่างกฎ ก.พ.อ.ฯ ด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้กระทรวงศึกษาธิการปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27483 | ความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 5) เรื่อง สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักเป็นโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 หรือไม่ | กค | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในคราวประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นควรให้คณะรัฐมนตรีรับทราบว่ากระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมที่จะพิจารณาดำเนินการซึ่งรวมถึงการปฏิบัติและการผ่อนผันตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่เกี่ยวข้องกับสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลัก เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการ เนื่องจากสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักมีความสำคัญต่อการจัดหาและกระจายเชื้อเพลิงที่จำเป็นต่อภาคการขนส่ง หากมีการหยุดให้บริการชั่วคราวย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชน ระบบการขนส่ง และระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมได้ โดยในระหว่างที่สถานีก๊าซธรรมชาติหลักยังอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ผู้ประกอบการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักจะต้องยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้ ในกรณีที่การขออนุญาตประกอบกิจการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นว่า หากสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักดำเนินการจัดตั้งก่อนประกาศบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการผังเมืองในพื้นที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะสามารถออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานได้ สำหรับสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่ดำเนินการจัดตั้งหลังประกาศบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการผังเมืองในพื้นที่ กระทรวงอุตสาหกรรมจะไม่มีอำนาจในการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน อย่างไรก็ดี มาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานได้ หากผู้ขอใบอนุญาตอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีฯ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความมั่นใจว่าพร้อมที่จะพิจารณาดำเนินการเพื่อมิให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจะสามารถพิจารณาออกใบอนุญาตให้กับสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่ยื่นขอใบอนุญาตให้แล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลา ๙๐ วัน [ทั้งนี้ ภายหลังจากที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๕) ได้แจ้งผลการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวแล้ว ได้มีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งดำเนินการยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานจากกระทรวงอุตสาหกรรมแล้ว] ๑.๒ หากคณะรัฐมนตรีมีนโยบายจะให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจพลังงานด้านต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการกำกับดูแลสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักด้วยนั้น กระทรวงพลังงานต้องดำเนินการให้มีกฎหมายที่ใช้ในการกำกับดูแลสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่มีมาตรฐานที่ไม่ด้อยไปกว่ากฎหมายเดิมที่ได้ดำเนินการอยู่โดยหน่วยงานอื่น ๆ ก่อนที่จะรับมอบภารกิจในการกำกับดูแลสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักไปดำเนินการ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการดำเนินการตามแนวทางที่ได้เสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เพื่อมิให้เกิดความเสียหายในด้านพลังงานของประเทศ ๓. เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในการจัดตั้งกระทรวงพลังงานเพื่อกำกับดูแลการพลังงานทั้งระบบ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาปรับแก้ไขกฎหมายเพื่อให้กฎหมายภายใต้กระทรวงพลังงานครอบคลุมการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงานทุกประเภท เช่น แก๊สธรรมชาติ Biogas พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานทดแทนประเภทอื่น ๆ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27484 | การแต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงมหาดไทย) (นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร) | มท | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมสำรวจ (วิศวกรสำรวจทรงคุณวุฒิ) กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 27485 | รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบข้อเท็จจริงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด | สผ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบข้อเท็จจริงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด พร้อมข้อสังเกตกับผลการดำเนินการตามรายงานดังกล่าวที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ประชุมพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ของกรุงเทพมหานคร และตรวจสอบข้อเท็จจริงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมเพื่อให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง ตลอดจนชี้แจงแสดงความคิดเห็นจำนวนรวม ๑๖ ครั้ง ๒. คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณาศึกษาข้อเท็จจริงและรายละเอียดข้อมูลเรื่องนี้จากเอกสาร ข้อมูล คำชี้แจงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งรายละเอียดจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ โดยนำมาประกอบการพิจารณาศึกษาข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ๓. สรุปผลการดำเนินการตามรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ในประเด็นเกี่ยวกับ ๓.๑ การติดตั้งกล้องพราง โดยหน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรุงเทพมหานคร ๓.๒ การจัดซื้อจัดจ้าง โดยหน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ๓.๒.๑ การคิดราคากลางงานจ้างเหมาไม่ควรนำรายการอื่น ๆ มารวม เช่น ค่าสำรวจ ค่าประกันภัย ควรคิดแยกเป็นเนื้องานที่ชัดเจน ๓.๒.๒ การติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ควรใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ๓.๒.๓ การเทียบเคียงราคาในการจัดซื้อควรพิจารณาถึงจำนวนกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่ติดตั้งด้วย ๓.๒.๔ ควรพิจารณาถึงรายละเอียดวิธีการจัดซื้อในแต่ละพื้นที่ว่าเหมือนกันหรือแตกต่างกัน เช่น การติดตั้ง การเชื่อมต่อ จำนวนกล้องที่ใช้ ๓.๓ ข้อเสนอแนะ โดยหน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ๓.๓.๑ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) เป็นผู้ดูแลทางวิชาการ ข้อกำหนด และราคากลาง ๓.๓.๒ เจ้าหน้าที่ที่ควบคุมหน้าจอแสดงผลสามารถเห็นเหตุการณ์อาชญากรรมได้อย่างชัดเจน แจ้งเหตุการณ์ไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันท่วงที ๓.๓.๓ ควรมีการเก็บข้อมูลสัญญาณภาพมากกว่า ๑ เดือน ๓.๓.๔ การเก็บสัญญาณภาพทั้งหมดควรเก็บไว้หลาย ๆ จุด แต่ละจุดสามารถเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายได้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ๓.๓.๕ กรณีมีเหตุการณ์ผิดปกติควรเก็บข้อมูลไว้หลาย ๆ ทาง และทำการบันทึกโดยเจ้าหน้าที่รับผิดชอบบันทึกเอง |
||||||||||||||||||||||||
| 27486 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 บังคับ ในเขตเทศบาลตำบลกวนวัน อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย พ.ศ. .... | มท | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในเขตเทศบาลตำบลกวนวัน อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในเขตเทศบาลตำบลกวนวัน อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย เพื่อประโยชน์ในด้านการควบคุมเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 27487 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 บังคับในท้องที่บางแห่ง ในเขตเทศบาลตำบลเมืองศรีไค อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. .... | มท | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในท้องที่บางแห่ง ในเขตเทศบาลตำบลเมืองศรีไค อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในท้องที่บางแห่งในเขตเทศบาลตำบลเมืองศรีไค อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อประโยชน์ในด้านการควบคุมเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 27488 | การดำเนินการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง | มท | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานข้อมูลการดำเนินการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง ๑.๑ การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องที่ลงนามความตกลงแล้วในปัจจุบันมี ๒๙ จังหวัด ที่ได้ดำเนินการส่งเสริมความร่วมมือในรูปแบบเมืองพี่เมืองน้องกับต่างประเทศ ๑๔ ประเทศ (๕๗ คู่ภาคี) ๑.๒ จังหวัด/เมือง ที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการริเริ่มสถาปนาความสัมพันธ์ โดยมีจังหวัดที่อยู่ระหว่างการริเริ่มสถาปนาความสัมพันธ์ จำนวน ๑๑ คู่ ๑.๓ กิจกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการสถาปนาความสัมพันธ์ที่น่าสนใจ จำนวน ๑๓ จังหวัดของไทยกับ ๒๓ จังหวัด/เมืองของต่างประเทศคู่ภาคี ๒. การดำเนินการของกระทรวงมหาดไทยเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุผลอย่างมีคุณภาพ ๒.๑ จัดทำโครงการสัมมนาเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่จังหวัดชายแดนเพื่อการรองรับประชาคมอาเซียนและการส่งเสริมทักษะด้านการเจรจาต่อรอง และการจัดประชุม ระหว่างวันที่ ๒๗-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เพื่อเพิ่มทักษะและประสบการณ์แก่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบงานกิจการชายแดนและงานวิเทศสัมพันธ์ในเรื่องนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยเกี่ยวกับแนวโน้ม ทิศทาง นโยบายการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งนโยบายการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง ๒.๒ แจ้งจังหวัดทุกจังหวัดที่ประสงค์จะดำเนินงานสร้างความสัมพันธ์ให้รับทราบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องกับต่างประเทศในระดับจังหวัด ๒.๓ แจ้งให้ ๒๙ จังหวัดที่ได้ลงนามสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องกับจังหวัดในต่างประเทศ รายงานข้อมูลการดำเนินการเพื่อนำเสนอรายงานผู้บังคับบัญชา และใช้เป็นข้อมูลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ ๒.๔ แจ้งจังหวัดทุกจังหวัดว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ความสำคัญและส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับจังหวัดของไทยกับจังหวัด/เมืองของต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เพื่อพัฒนาความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา และการท่องเที่ยว รวมทั้งให้จังหวัดที่จะสถาปนาความสัมพันธ์คำนึงถึงหลักเกณฑ์ความเหมาะสม/การเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดที่จังหวัดและประเทศไทยจะได้รับ
|
||||||||||||||||||||||||
| 27489 | รัฐบาลสาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายทอมัส ดี. คิจิเนอร์ (Mr. Thomas D. Kijiner)] | กต | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายทอมัส ดี. คิจิเนอร์ (Mr. Thomas D. Kijiner) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลประจำประเทศไทยคนแรก โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงโตเกียว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 27490 | เอกสารสำคัญที่จะรับรองในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 21 และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 25 | กต | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีรับรองเอกสารดังกล่าวในช่วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ ระหว่างวันที่ ๗-๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ๑.๒ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ ระหว่างวันที่ ๔-๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ทั้งนี้ ร่างปฏิญญาฯ และร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ในเชิงนโยบายเกี่ยวกับความร่วมมือและส่งเสริมการเปิดตลาดการค้า การลงทุน และการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมความเชื่อมโยงในด้านต่าง ๆ ระหว่างเขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการรับรอง เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เกี่ยวกับการปฏิบัติตามปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคฯ ที่จะลดอัตราภาษีรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปคให้เหลือร้อยละ ๕ หรือต่ำกว่า ภายในปี ๒๕๕๘ โดยในส่วนของประเทศไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะทำงานจัดทำแผนการปรับปรุงภาษีศุลกากรเพื่อเปิดเสรีทางการค้า เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและแนวทางในการดำเนินการลดภาษีรายการสินค้าดังกล่าวแต่ละรายการ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงผลกระทบโดยรวมต่ออุตสาหกรรม เนื่องจากการดำเนินการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมตามแถลงการณ์ของผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค จะลดเป็นการทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะกับเขตเศรษฐกิจที่เป็นสมาชิกเอเปคเท่านั้น และในการดำเนินการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมเอเปคดังกล่าว ให้รับฟังความเห็นจากภาคอุตสาหกรรมและภาคเอกชน รวมทั้งพิจารณามาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27491 | ขออนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกหารือทางการเมืองระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและการเคลื่อนย้ายประชากรแห่งสาธารณรัฐเอกวาดอร์ | กต | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการหารือทางการเมืองระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและการเคลื่อนย้ายประชากรแห่งสาธารณรัฐเอกวาดอร์ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบของการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีระดับรัฐมนตรีหรือระดับอื่นที่ได้รับมอบหมายโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของคู่ภาคีทุกสองปี โดยประเด็นการหารือครอบคลุมความสัมพันธ์ทวิภาคีประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
| 27492 | ขออนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวง การต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบีย | กต | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบีย โดยสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบของการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศของราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐโคลอมเบียในลักษณะเปิดกว้าง โดยทั้งสองฝ่ายสามารถกำหนดวาระการหารือระดับหัวหน้าคณะ ช่วงเวลา สถานที่หารือ ตลอดจนประเด็นหารือต่าง ๆ ให้ครอบคลุมความสัมพันธ์ทวิภาคี ประเด็นระหว่างประเทศ และอื่น ๆ ตามที่ทั้งสองฝ่ายเห็นเหมาะสม ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
| 27493 | ขออนุมัติจัดทำความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเอกวาดอร์ | กต | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเอกวาดอร์ (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Ecuador on the Exemption of Visa Requirements for Holders of Diplomatic and Service/Official Passports) โดยความตกลงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและการติดต่อราชการระหว่างเจ้าหน้าที่การทูตและข้าราชการของทั้งสองฝ่าย โดยสามารถพำนักในรัฐภาคีเป็นเวลา ๓๐ วัน ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มพูนความร่วมมือและยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในความตกลงฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
| 27494 | การใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ไปพลางก่อน | นร07 | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไปพลางก่อน เพื่อให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และสภากาชาดไทย จ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพันได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ อันเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จนกว่าพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จะประกาศใช้บังคับ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยมีสาระสำคัญของหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
๑. วงเงินงบประมาณที่อนุญาตให้ใช้จ่าย ๑.๑ งบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และสภากาชาดไทย ให้ใช้จ่ายได้ไม่เกินกึ่งหนึ่งของแต่ละแผนงานตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๒ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง และงบประมาณรายจ่ายเพื่อเป็นกองทุนหรือเงินทุนหมุนเวียน ให้ใช้จ่ายได้ไม่เกินกึ่งหนึ่งของแต่ละรายการงบกลาง และรายการงบประมาณรายจ่ายสำหรับกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ หรือที่มีการรวมการโอนหรือการยุบในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ใช้จ่ายได้ไม่เกินจำนวนวงเงินงบประมาณรายจ่ายแต่ละแผนงานที่สำนักงบประมาณกำหนดให้ในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒. กรณีที่มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในข้อ ๑ ให้สำนักงบประมาณมีอำนาจจัดสรรงบประมาณได้ตามความจำเป็นไม่เกินจำนวนวงเงินงบประมาณรายจ่ายตามแผนงานหรือรายการของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เฉพาะกรณีมีข้อผูกพันตามสัญญา กรณีต้องดำเนินการตามข้อตกลงที่รัฐบาลทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ สถาบันการเงินระหว่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ และกรณีมีความจำเป็นและเร่งด่วน ซึ่งหากไม่ดำเนินการจะเสียหายต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ๓. งบประมาณรายจ่ายที่จัดสรรให้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในข้อ ๑ และข้อ ๒ ให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งต้องหักออกจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และสภากาชาดไทย รวมทั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางและงบประมาณรายจ่ายกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ประกาศใช้บังคับแล้ว ๔. การบริหารงบประมาณรายจ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขนี้ ให้เป็นไปตามวิธีปฏิบัติที่สำนักงบประมาณกำหนด
|
||||||||||||||||||||||||
| 27495 | ขออนุมัติดำเนินโครงการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) แบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้น | กษ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ดำเนินโครงการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) แบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้น วงเงิน ๒๙๐.๘๖๓ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนปฏิบัติงานให้ครอบคลุมพื้นที่ระบาดทุกพื้นที่ จัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายงวดเพื่อทำความตกลงในรายละเอียดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ และรายงานผลการดำเนินงานระยะที่ ๑ ให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยทันทีก่อนดำเนินการระยะที่ ๒ ต่อไป ๑.๒ ให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่กำกับ ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีในการติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ๑.๓ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งทำการศึกษาวิจัย เพื่อหาแนวทางเพิ่มเติมในการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรมีมาตรการกำกับดูแล ควบคุม และติดตามผลการดำเนินงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สารเคมี ไปพิจารณา โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องสารเคมีตกค้างจากการใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้น เพื่อมิให้ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินโครงการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) โดยใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้นในพื้นที่ที่มีการระบาดของหนอนหัวดำอย่างรุนแรง โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๑๒๓,๖๒๔,๘๐๐ บาท และให้ประสานการดำเนินการกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเมินผลการดำเนินการและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ก่อนที่จะดำเนินการในระยะต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 27496 | การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ | พณ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและค่าเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ โดยมีวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๓๐,๘๘๔,๔๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒๒,๘๑๐,๔๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๘,๐๗๔,๐๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นของแต่ละแห่งกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ในการทำสัญญาเช่าให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) กำหนดเงื่อนไขในการยกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในกรณีที่จะย้ายไปใช้พื้นที่ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ของไทยในอนาคตตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณกรณีเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก) และให้กระทรวงพาณิชย์นำสำเนาสัญญาเช่าเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27497 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลในเมือง และตำบลสะเดียง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลในเมือง และตำบลสะเดียง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลในเมือง และตำบลสะเดียง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลในเมือง และตำบลสะเดียง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 27498 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 เรื่อง แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร | นร11 | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ เรื่อง แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับปรุงแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดประชุมหารือการปรับปรุงแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้หน่วยงานพิจารณาทบทวนแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ใน ๓ กรณี ได้แก่ การเพิ่มเติมโครงการที่สอดคล้องกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และมติคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ การเพิ่มเติมโครงการอื่นสมควรดำเนินการในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ เพื่อให้การแก้ไขปัญหามาบตาพุดมีความครบถ้วนสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการทบทวนโครงการเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๖ ภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร โดยหากยังไม่ได้รับงบประมาณและยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการ ให้ปรับปรุงรายละเอียดโครงการและแผนการใช้งบประมาณเป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ เพื่อให้เป็นปัจจุบัน ๒. การแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๑๖๔/๒๕๕๖ แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธานกรรมการ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาเสนอแนะแนวทางและมาตรการในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกต่อคณะรัฐมนตรี และกำกับดูแล ประสานงาน และเร่งรัดติดตามการดำเนินงานของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||
| 27499 | การจัดทำสัญญาเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย | พณ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙ รายการค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก ๑ แห่ง โดยมีวงเงินก่อหนี้ผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๔๓,๑๑๐,๔๖๒ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ผลผลิตการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ งบดำเนินงาน (ค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ) จำนวน ๑๔,๓๗๐,๑๕๔ บาท ส่วนงบประมาณที่เหลือให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามสัญญาเช่าต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการทำบันทึกต่อท้ายสัญญาเช่าที่ดินและการเบิกค่าใช้จ่ายในการเช่าที่ดิน และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้เร่งพิจารณาแนวทางการพัฒนาพื้นที่ที่มีอยู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) เน้นการดำเนินงานและใช้ประโยชน์อาคารที่ตั้งอยู่ในที่ดินที่เช่าจากการรถไฟแห่งประเทศไทยดังกล่าว เพื่อเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริม สนับสนุน และบ่มเพาะผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้มีความเข้มแข็ง รวมทั้งเป็นศูนย์แสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์ของ SMEs และของโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เพื่อสนับสนุนการส่งออกด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากพื้นที่ว่างใต้เขตทางพิเศษในสายทางต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 27500 | การเข้าเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ ค.ศ. 2006 | ทส | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ ค.ศ. ๒๐๐๖ (International Tropical Timber Agreement 2006 : ITTA 2006) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน ทั้งนี้ ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการเข้าเป็นภาคี ITTA 2006 คือ ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีสากลในการจัดการทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน ได้โอกาสในการเข้าร่วมกำหนดนโยบายการดำเนินงานขององค์การไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ (International Tropical Timber Organization : ITTO) ได้รับข้อมูลข่าวสารด้านการป่าไม้ในเขตร้อนเพื่อใช้ประโยชน์ในการวางแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านป่าไม้ในเขตร้อน และได้รับสิทธิในการเสนอโครงการต่าง ๆ เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจาก ITTO เพื่อความร่วมมือทางวิชาการในการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศในการบริหารจัดการการวิจัยพัฒนาและอื่น ๆ ด้านป่าไม้ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามขั้นตอนการเข้าร่วมเป็นภาคี ITTA 2006 ต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการวางแผนดำเนินการเพื่อให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านการมีโอกาสร่วมกำหนดนโยบายการดำเนินงานของ ITTO การได้รับข้อมูลข่าวสารด้านป่าไม้เขตร้อน การได้รับสิทธิในการเสนอโครงการเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจาก ITTO เพื่อประโยชน์ด้านวิชาการ การบริหารจัดการ การวิจัยและพัฒนา และการพัฒนาขีดความสามารถของไทย รวมทั้งควรกำหนดเป็นเงื่อนไขในการลงนามเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงฯ กรณีที่ ITTO ได้มีหนังสือยืนยันว่าจะไม่มีแผนการจัดตั้งสำนักงานในประเทศไทย และจะไม่ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาปฏิบัติการตั้งฐานที่มั่นถาวรในประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
.....
