ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1376 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 27501 - 27520 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 27501 | การประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 (CITES CoP16) และการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 63 และครั้งที่ 64 | ทส | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสรุปผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES CoP16) และการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาฯ ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าวในระหว่างวันที่ ๓-๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยมีผลการประชุมที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ได้แก่ ข้อเสนอให้บรรจุไม้พะยูง (Dalbergia cochinchinensis) อยู่ในบัญชี ๒ ข้อเสนอขอปรับลดบัญชีจระเข้น้ำจืด (Crocodylus siamensis) และจระเข้น้ำเค็ม (Crocodylus porosus) ของประเทศไทยจากบัญชี ๑ เป็นบัญชี ๒ การควบคุมการค้างาช้างภายในประเทศ การจัดทำรายงานผลการจับกุมการลักลอบฆ่าและค้าสัตว์ตระกูลแมวใหญ่ของเอเชีย (Asian big cats) เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร ครั้งที่ ๖๕ (กรกฎาคม ๒๕๕๖) การปรับคำนิยามในเรื่องการขยายพันธุ์เทียมที่จำเพาะสำหรับไม้กฤษณา การกำหนดให้วันที่ ๓ มีนาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันที่อนุสัญญา CITES ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๑๖ เป็นวันสัตว์ป่าโลก (World Widlife Day) และการเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายภูมิภาคอาเซียนในเรื่องการป้องกันการค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมายหรือ ASEAN-WEN รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมาย ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตามผลการประชุม CITES CoP16 และให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการเสนอต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ ๖๘ กำหนดให้วันที่ ๓ มีนาคมของทุกปี เป็นวันสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Day) ๑.๓ เห็นชอบต่อร่างแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ ซึ่งจัดทำโดยคณะทำงานจัดทำร่างแผนปฏิบัติการงาช้างฯ เพื่อแก้ไขปัญหาการค้างาช้างที่ผิดกฎหมายตามพันธกรณีแห่งอนุสัญญา CITES โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานเพื่อการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว และให้ปรับแก้ร่างแผนปฏิบัติการดังกล่าวในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับเป้าหมายของแผนปฏิบัติการฯ ส่วนหนึ่งมุ่งไปสู่การยุติการค้างาช้างในอนาคต ซึ่งข้อมูลจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้เกี่ยวข้องซื้อขายงาช้างที่ไม่เห็นด้วยในการห้ามซื้อขายงาช้างเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ในร่างแผนปฏิบัติการฯ ควรจะมีการศึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับธุรกิจการค้างาช้างในปัจจุบัน เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการยุติการค้างาช้าง หรือเสนอทางออกที่เป็นที่ยอมรับจากนานาชาติและผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27502 | ขออนุมัติลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร | กษ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร (Memorandum of Understanding between the Governments of the Member States of the Association of Southeast Asian Nations and the Government of the People’s Republic of China on Food and Agriculture Cooperation) โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาศักยภาพ การวิจัยและพัฒนา และการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านอาหารและการเกษตร รวมทั้งความมั่นคงด้านอาหาร เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ และการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือทางวิชาการด้านอาหารและการเกษตรระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๒ อนุมัติในหลักการว่าก่อนที่จะมีการลงนาม หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนซึ่งเป็นผู้ลงนาม และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือตามบันทึกความเข้าใจฯ ที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางในการผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศภาคี โดยเฉพาะการพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว การเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันภาคเกษตร การแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงสร้างโอกาสในการขยายตลาด รวมทั้งแก้ไขร่างคำแปลบันทึกความเข้าใจฯ ในหน้า ๔ ย่อหน้าสุดท้าย ที่ว่า “คริสต์ศักราชสองพันห้าร้อยสิบสาม” เป็น “คริสต์ศักราชสองพันสิบสาม” ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27503 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างประตูระบายน้ำพร้อมสถานีสูบน้ำคลองครุ โครงการส่งน้ำและ บำรุงรักษาภาษีเจริญ จังหวัดสมุทรสาคร | กษ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างประตูระบายน้ำพร้อมสถานีสูบน้ำคลองครุ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาภาษีเจริญ จังหวัดสมุทรสาคร จากกรอบวงเงินงบประมาณเดิม ๔๗,๙๔๐,๐๐๐ บาท เป็น ๕๔,๗๓๕,๑๗๗.๐๔ บาท ๑.๒ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างประตูระบายน้ำพร้อมสถานีสูบน้ำคลองครุ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาภาษีเจริญ จังหวัดสมุทรสาคร จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๕๑ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๕๗ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรดำเนินการควบคุม ติดตามเร่งรัดการดำเนินการของผู้รับจ้างดำเนินการในทุกโครงการอย่างเคร่งครัดให้สามารถดำเนินการแล้วเสร็จได้ตามระยะเวลาที่กำหนดในแผนดำเนินงานของโครงการนั้น ๆ เพื่อป้องกันความล่าช้าหรือการทิ้งงานของผู้รับจ้างฯ ซึ่งจะทำให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนล่าช้าออกไป รวมทั้งสร้างภาระแก่ภาครัฐในการจัดหางบประมาณเพิ่มเติมในการดำเนินการโครงการ ดังกรณีที่เกิดขึ้นกับโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำพร้อมสถานีสูบน้ำคลองครุ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาภาษีเจริญ จังหวัดสมุทรสาคร ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27504 | รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 และ พ.ศ. 2553 ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และ พ.ศ. ๒๕๕๓ ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป และให้กระทรวงพลังงานเปิดเผยรายงานในเรื่องนี้ต่อสาธารณชนต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๑ ผลการดำเนินงาน ได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ที่ ๑ การออกใบอนุญาตกำกับดูแลและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ใช้พลังงาน ชุมชน และประเทศชาติ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การส่งเสริมการประกอบกิจการและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การส่งเสริมการบริหารจัดการที่ดีและการแข่งขันในกิจการพลังงาน ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมโครงสร้างพลังงานของประเทศให้มีความมั่นคง เชื่อถือได้ และปลอดภัย ยุทธศาสตร์ที่ ๕ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบพลังงาน และยุทธศาสตร์ที่ ๖ การพัฒนาองค์กรสู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูง และภาพลักษณ์ที่ดีเป็นองค์กรชั้นนำในระดับประเทศ ๑.๒ งบการเงินและบัญชีทำการปีงบประมาณ ๒๕๕๒ มีสินทรัพย์หมุนเวียนรวม ๔๗๖,๕๙๗,๖๗๓.๒๘ บาท มีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ๑๘,๖๙๕,๕๒๓.๑๓ บาท มีสินทรัพย์รวม ๔๙๕,๒๙๓,๑๙๖.๔๑ บาท มีหนี้สินหมุนเวียนรวม ๔๔,๓๒๖,๓๑๓.๔๖ บาท มีรายได้จากการดำเนินงานรวม ๕๕๘,๐๔๔,๓๗๑.๒๐ บาท มีค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานรวม ๑๑๗,๔๑๙,๒๓๕.๐๑ บาท มีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิรวม ๔๔๐,๖๒๕,๑๓๖.๑๙ บาท ๒. รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒.๑ ผลการดำเนินงาน ได้ดำเนินการด้านมาตรฐานกิจการพลังงาน เพื่อกำกับดูแลมาตรฐานการบริการของผู้ประกอบกิจการพลังงานและรวมถึงการบริการของสำนักงานฯ ด้านประสิทธิภาพกิจการพลังงาน การกำกับดูแลอัตราค่าบริการไฟฟ้าและอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติให้สะท้อนต้นทุนการประกอบกิจการพลังงาน การบริหารจัดการและการแข่งขันในกิจการพลังงาน การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบพลังงาน การพัฒนาองค์กรสู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูง และมีภาพลักษณ์ที่ดีเป็นองค์กรชั้นนำในระดับประเทศ โดยอาศัยระบบบริหารจัดการสำนักงานที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ๒.๒ งบการเงินและบัญชีทำการปีงบประมาณ ๒๕๕๓ มีสินทรัพย์หมุนเวียนรวม ๖๐๓,๓๐๑,๙๐๑.๖๐ บาท มีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ๖๒,๑๘๒,๙๑๙.๖๔ บาท มีสินทรัพย์รวม ๖๖๕,๔๘๔,๘๒๑.๒๔ บาท มีหนี้สินหมุนเวียนรวม ๑๐๕,๕๒๒,๗๙๕.๐๕ บาท มีรายได้จากการดำเนินงานรวม ๕๙๖,๘๘๐,๑๐๗.๔๐ บาท มีค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานรวม ๔๑๒,๙๘๒,๓๓๓.๙๓ บาท มีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิรวม ๑๘๓,๘๙๗,๗๗๓.๔๗ บาท
|
||||||||||||||||||||||||
| 27505 | การยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | อส | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมพิจารณาตัดสินชี้ขาดการดำเนินคดีระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กับเอกชน และข้อพิพาทระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจด้วยกันเอง รวม ๔๕ เรื่อง จำแนกเป็น การดำเนินคดีระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจกับเอกชน ได้พิจารณาคดีเสร็จสิ้น จำนวน ๗ เรื่อง และข้อพิพาทระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจด้วยกันเอง ได้พิจารณาคดีเสร็จสิ้น จำนวน ๓๘ เรื่อง ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุด โดยคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 27506 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเครื่องหมายสำหรับประดับแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์และที่ใช้เป็นดุมเสื้อ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเครื่องหมายสำหรับประดับแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์และที่ใช้เป็นดุมเสื้อ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดเครื่องหมายสำหรับประดับแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์และที่ใช้เป็นดุมเสื้อ พ.ศ. ๒๔๙๘ ดังนี้
๑. กำหนดเครื่องหมายสำหรับประดับแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์และที่ใช้เป็นดุมเสื้อ "รามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ" ๒. กำหนดเครื่องหมายสำหรับประดับแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์และที่ใช้เป็นดุมเสื้อ พ.ศ. ๒๔๙๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดเครื่องหมายสำหรับประดับแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์และที่ใช้เป็นดุมเสื้อ "รามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ" เป็นรูปหน้าเสือสีทองประกอบวชิระสีเงิน
|
||||||||||||||||||||||||
| 27507 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาของสาขาวิชาเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 27508 | กรอบแนวทางและผลการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาตามนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล | ศธ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาตามนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล ประจำปี ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยการปฏิรูประบบความรู้ของสังคมไทย จากการสำรวจพบว่า การจัดการเรียนการสอนช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระของบทเรียน สามารถเชื่อมโยงเนื้อหาสาระของความรู้เพื่อการนำไปปฏิบัติได้ สามารถสรุปหรือจดบันทึกเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านได้ อยู่ในระดับมาก ผู้เรียนมีคุณลักษณะต่าง ๆ อยู่ในระดับมาก คือ มีความใฝ่รู้ ใฝ่เรียน สามารถค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ได้ เช่น อินเทอร์เน็ต สื่อเทคโนโลยีต่าง ๆ และมีการพัฒนาด้านคุณธรรม จริยธรรม และสังคมประชาธิปไตย ตระหนักในสิทธิและหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์คิดสร้างสรรค์ยังอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนความสามารถที่ยังต้องปรับปรุงคือ ความสามารถในการสื่อสารด้านภาษาอังกฤษของผู้เรียนทุกระดับการศึกษา สำหรับหลักสูตรการเรียนการสอน ผู้เรียนสายสามัญและสายอาชีพเห็นว่าสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกและประชาคมอาเซียน แต่การนำหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐานไปใช้ยังมีความยุ่งยากสำหรับครู อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า สถานศึกษาขั้นพื้นฐานในทุกภาคส่วนใหญ่ดำเนินการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาโดยจัดทำโครงการติวนักเรียนเพื่อเตรียมสอบ O-Net ส่วนการจัดทำโครงการห้องเรียนพิเศษเพื่อพัฒนาเด็กที่มีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ มีการดำเนินงานน้อยที่สุด ส่วนความพร้อมในการรองรับการกระจายอำนาจ สถานศึกษามีความพร้อมทุกด้าน ๑.๒ การสร้างและกระจายโอกาสทางการศึกษา จากการสำรวจพบว่า นักเรียน/นักศึกษาพอใจกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) และโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน โดยปัญหาที่พบของกองทุนฯ คือ การจัดสรรเงินกู้ยืมไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้เรียนและไม่สอดคล้องกับสาขาวิชา การขาดความเอาใจใส่ในการติดตามข่าวของผู้กู้ยืม และความล่าช้าของเงินที่ได้รับ ระบบการสอบคัดเลือกกลางเห็นว่าเป็นระบบที่สามารถคัดเลือกผู้เรียนได้ตรงตามความต้องการ มีความน่าเชื่อถือ และสามารถเพิ่มโอกาสทางการศึกษาในการเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา การเทียบโอนพบปัญหาอุปสรรคที่เกิดจากตัวผู้เรียนที่ไม่ให้ความสนใจ การประชาสัมพันธ์ไม่ทั่วถึงและขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณและวิชาการ แหล่งเรียนรู้ในชุมชนมีเพียงพอสำหรับการเรียนรู้เพิ่มเติม โดยแหล่งเรียนรู้ที่ผู้เรียนใช้มากที่สุดคือ ห้องสมุดโรงเรียน พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ ห้องสมุดประชาชน ๑.๓ การปฏิรูปครู ยกฐานะครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูงอย่างแท้จริง จากการสำรวจพบว่า ครูได้รับการพัฒนาความรู้และทักษะอย่างเพียงพอ ส่วนการขาดแคลนครู ส่วนใหญ่จะขาดแคลนทั้งครูสามัญและครูช่าง สาขาที่ขาดแคลนมากที่สุดคือ สาขาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ และครูช่างในระดับอาชีวศึกษา ซึ่งสถานศึกษาแก้ปัญหาด้วยการจ้างจากเงินงบประมาณของสถานศึกษา และมีการใช้สื่อเทคโนโลยีช่วยสอน สำหรับครู กศน. ส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนาโดยเนื้อหาสาระที่มีการพัฒนามากที่สุดคือ การจัดการเรียนการสอน การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ด้วยวิธีการอบรมมากที่สุด ๑.๔ การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน จากการสำรวจพบว่า โครงการศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center) มีความพร้อมในทุกด้านในระดับปานกลาง การพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถ และการนำไปใช้ประโยชน์ ครูและผู้บริหารเห็นว่าอยู่ในระดับมาก แต่ผู้เรียนเห็นว่ายังอยู่ในระดับปานกลางและมีผลทำให้ภาพลักษณ์ของผู้เรียนอาชีวศึกษาดีขึ้น โดยการดำเนินงานดังกล่าวส่วนใหญ่เห็นว่าไม่เพิ่มภาระและไม่ส่งผลกระทบ และการบริหารของศูนย์ฯ ส่วนใหญ่สามารถตอบสนองความต้องการของชุมชน นอกจากนี้ ผู้เรียน ครู และผู้บริหารได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ อาทิ การได้รับความรู้เพิ่มขึ้น การได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง สามารถสร้างรายได้ระหว่างเรียน โดยสถานศึกษาใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนหลายรูปแบบ อาทิ Project Based Learning, Problem Based Learning หลักสูตรทวิภาคี สหกิจศึกษา การฝึกปฏิบัติงานในสถานประกอบการ การจัดทำโครงการ/โครงการหลังจากเรียนภาคทฤษฎี เป็นต้น ๑.๕ การพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาให้ทัดเทียมกับนานาชาติ จากการสำรวจพบว่า การจัดเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ให้เด็กชั้น ป.๑ นักเรียน ผู้ปกครอง และครู มีความพึงพอใจในการได้รับการจัดสรรเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) และการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพาในการเรียนการสอนทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นที่จะเรียน สนใจเรียนและมีการช่วยเหลือ ให้คำแนะนำเพื่อนระหว่างการเรียนมากขึ้น แต่ผู้เรียนยังมีความพร้อมในการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์พกพาอยู่ในระดับปานกลาง และครูมีความรู้และทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์พกพาอยู่ในระดับพอใช้งานได้ รวมทั้งยังมีโรงเรียนที่ไม่มีความพร้อมเรื่องระบบไฟฟ้า การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วเพียงพอ และมีปัญหาด้านค่าใช้จ่ายในการใช้และบำรุงรักษา การซ่อมแซมการจัดเจ้าหน้าที่ประจำโรงเรียน ส่วนการใช้สื่อเทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอน ครูส่วนใหญ่ใช้เพื่อจัดทำแผนการสอน เตรียมการสอน ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ค้นคว้าข้อมูลเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน และใช้จัดเก็บข้อมูลด้านการเรียนของนักเรียน และครูมีการใช้ “โทรทัศน์เพื่อการศึกษา” ในการสอนและเพิ่มพูนความรู้ด้านเทคนิคการสอน ๑.๖ การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างทุนปัญญาของชาติ จากการสำรวจพบว่า สถาบันอาชีวศึกษาและสถาบันอุดมศึกษาส่งเสริมสนับสนุนงบประมาณด้านวิจัยอยู่ในระดับมาก และสนับสนุนให้ครู คณาจารย์ ทำวิจัยและพัฒนาควบคู่กับการสอน โดยผลการวิจัยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ในระดับมาก ส่วนสถานศึกษาต่ำกว่าอุดมศึกษามีการสนับสนุนทุนวิจัยค่อนข้างน้อย ๑.๗ การเพิ่มขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน จากการสำรวจพบว่า ความสามารถในการสื่อสารด้านภาษาอังกฤษของผู้เรียนทุกระดับการศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง ผู้เรียน ครู และผู้บริหาร เห็นว่าควรกำหนดให้มีหลักสูตรที่บูรณาการอาเซียนในทุกกลุ่มสาระและทุกระดับการศึกษา และเพิ่มความเข้มข้นในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ และจัดรายวิชาเลือกวิชาภาษาเพื่อนบ้าน ภาษาคู่ค้า ภาษาจีน เพิ่มขึ้น สำหรับ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ควรสอนภาษามลายู ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการไปพิจารณาปรับปรุงกรอบแนวทางการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาตามนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๘ ให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 27509 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | พน | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ที่จะรับรองในช่วงการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๑ (The 31th ASEAN Ministers of Energy Meeting : AMEM) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ณ เกาะบาหลี เมืองเดนปาซาร์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๑ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ ความพยายามของประเทศสมาชิกในการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ตามแผนปฏิบัติการพลังงานของอาเซียน ระหว่างปี ๒๕๕๓-๒๕๕๗ (ASEAN Plan of Action on Energy Cooperation APAEC 2012-2015) ความพยายามของอาเซียนในการรักษาเสถียรภาพความมั่นคง การพัฒนาพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และการผลักดันการดำเนินการโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติอาเซียน (Trans-ASEAN Gas Pipeline : TAGP) และโครงการเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Gird-APG) การดำเนินตามเป้าหมายของการใช้พลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคให้เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕ ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด การส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์สันติ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาเซียน การพัฒนาขีดความสามารถของศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy : ACE) การสร้างเครือข่ายการกำกับกิจการพลังงานของอาเซียน การสนับสนุนข้อเสนอแนะของการศึกษาวิจัยเรื่องการบูรณาการตลาดพลังงานอาเซียน (ASEAN Energy Market Integration : AEMI) ของคณะนักวิจัยจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับเครือข่ายคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในประเทศสมาชิกอาเซียน และการส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศคู่เจรจาและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ เป็นต้น ๑.๑.๒ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ครั้งที่ ๑๐ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การหารือเกี่ยวกับบทเรียนจากกรณีเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมาไดอิชิ การร่วมมือกันในด้านการเก็บสำรองน้ำมัน (Oil Stockpiling) การสนับสนุนเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับตลาดพลังงาน การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน การเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรในภูมิภาคนี้ตามโครงการอบรมด้านการอนุรักษ์พลังงานและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เป็นต้น ๑.๑.๓ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๗ แถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระสำคัญ คือ การประกาศจุดยืนที่จะร่วมมือกันอย่างจริงจังในสาขาพลังงานต่าง ๆ อาทิ การปรับปรุงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพเพื่อการขนส่งและวัตถุประสงค์อื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำฐานข้อมูลเชื้อเพลิงชีวภาพในประเทศเอเชียตะวันออก และการร่วมมือในโครงการมองภาพอนาคตด้านพลังงาน (Energy Outlook) เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ นี้ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกดังกล่าวได้ ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง ๓ ฉบับ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในที่ประชุมได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับข้อสังเกตเกี่ยวกับถ้อยคำของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ของกระทรวงการต่างประเทศ และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมภายใต้กรอบความร่วมมือที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การก่อสร้างโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน และโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซอาเซียน หากมีการดำเนินการในประเทศไทย ขอให้มีการดำเนินการตามกฎระเบียบภายในประเทศอย่างเคร่งครัด เช่น การศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก่อนการดำเนินการ เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และให้เกิดความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27510 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2556 | กษ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและข้อร้องเรียน ๑.๑ ให้กระทรวงพลังงานผลักดันการใช้ไบโอดีเซล (B100) และ BHD ให้เป็นไปตามเป้าหมายแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกร้อยละ ๒๕ ใน ๑๐ ปี รวมถึงการใช้เพื่อทดแทนน้ำมันเตาของโรงไฟฟ้ากระบี่ ในสัดส่วนร้อยละ ๑๐ อย่างต่อเนื่อง ๑.๒ เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิและอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และต้องการเข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มและราคาผลปาล์มตกต่ำ ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ให้เกษตรกรทำหนังสือแจ้งต่อฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อรวบรวมและเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาต่อไป ๑.๓ การขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพื่อเข้าร่วมโครงการฯ ให้ขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันของเกษตรกร จากเดิมไม่เกิน ๕๐ ไร่ เป็นไม่เกิน ๘๐ ไร่ โดยให้ความช่วยเหลือตามพื้นที่ปลูกจริง แต่ไม่เกิน ๕๐ ไร่ ๑.๔ การขยายระยะเวลาโครงการฯ ให้คณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มด้านการตลาดพิจารณา และนำเสนอ กนป. ต่อไป ๒. ร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ปี ๒๕๕๗-๒๕๖๔ ๒.๑ ให้กรรมการพิจารณาให้ความเห็น/ข้อเสนอต่อร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ปี ๒๕๕๗-๒๕๖๔ และส่งให้ฝ่ายเลขานุการฯ ภายใน ๒ สัปดาห์ ๒.๒ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รวบรวมข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของกรรมการและให้ปรับปรุงร่างแผนพัฒนาฯ รวมทั้งจัดทำแผนงาน/โครงการ งบประมาณ และเสนอ กนป. เพื่อพิจารณาภายใน ๖ สัปดาห์ ๓. การเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มภายใต้กรอบการค้าระหว่างประเทศ ๓.๑ เห็นชอบให้เปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ปี ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗ ตามข้อผูกพันคือ ปริมาณในโควตา ๔,๘๖๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๐ นอกโควตาร้อยละ ๑๔๓ และการบริหารการนำเข้าให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและกระจายให้ผู้ผลิตภายในประเทศตามที่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเป็นผู้จัดสรร ๓.๒ เห็นชอบให้เปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มภายใต้กรอบการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) และ (Free Trade Area : FTA) ปี ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗ ตามข้อผูกพันของทุกกรอบการค้า และให้บริหารการนำเข้าเช่นเดียวกับ WTO คือ ให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและกระจายให้ผู้ผลิตภายในประเทศตามที่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเป็นผู้จัดสรร
|
||||||||||||||||||||||||
| 27511 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการทหารพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเหรียญพิทักษ์เสรีชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการทหารพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเหรียญพิทักษ์เสรีชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าว แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยคณะกรรมาธิการการทหารฯ ตั้งข้อสังเกตว่า "การพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๑ เหรียญราชอิสริยาภรณ์ซึ่งนับเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เพื่อพระราชทานแก่บุคคลต่าง ๆ มี ๔ ประเภท ประกอบด้วย บำเหน็จความชอบในราชการสงครามหรือบำเหน็จความชอบในความกล้าหาญ บำเหน็จความชอบในราชการแผ่นดิน บำเหน็จความชอบในพระองค์พระมหากษัตริย์ และพระราชทานเป็นที่ระลึก ต่างสร้างขึ้นโดยมีพระราชปณิธานและเจตนารมณ์ของกฎหมาย ในการพระราชทานแก่บุคคลที่มีพฤติกรรมและเหตุอันเป็น คุณูปการแก่แผ่นดินตามประเภทความชอบ โดยมีพระราชบัญญัติรองรับแก่การนั้น ดังนั้น การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้ต่างไปจากพระราชปณิธานและเจตนารมณ์ของกฎหมายตามความดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นการไม่บังควร หากคณะรัฐมนตรีเห็นว่ามีผู้ประกอบคุณงามความดีให้แก่แผ่นดิน ที่สมควรยกย่องให้ปรากฏ โดยให้ได้รับเหรียญบำเหน็จความชอบประเภทใดประเภทหนึ่งควรต้องเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติกำหนดเหรียญขึ้นใหม่เพื่อให้เหมาะสมแก่การนั้นเป็นการเฉพาะ"
|
||||||||||||||||||||||||
| 27512 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 45 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๔๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ บันดาเสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการภายในอาเซียนไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๑.๑.๑ ที่ประชุมรับทราบการดำเนินการตามแผนงานการไปสู่ประชาคมอาเซียน โดยประเทศที่ดำเนินการคืบหน้าได้มาก ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย รวมทั้งได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ที่ตกลงไว้เพื่อไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี ๒๐๑๕ ๑.๑.๒ ที่ประชุมมีมติให้ทุกประเทศเสนอมาตรการทางการค้าของตนเองที่ถูกร้องเรียนว่าเป็นปัญหาอุปสรรคทางการค้าจำนวนหนึ่งเรื่องเพื่อเป็นกรณีศึกษาตัวอย่างของการแก้ไข หรือยกเลิกมาตรการที่เป็นอุปสรรคทางการค้าในอนาคต โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปี ๑.๑.๓ ที่ประชุมได้หารือความคืบหน้าการจัดทำพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงด้านการค้าบริการของอาเซียน ซึ่งจะครอบคลุมสาขาบริการเพิ่มมากขึ้น โดยขอให้แต่ละประเทศสมาชิกเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๖ เพื่อให้ข้อผูกพันมีผลใช้บังคับโดยเร็วที่สุด ๑.๑.๔ ที่ประชุมรับทราบว่าอาเซียนได้ตกลงรับร่างพิธีสารสำหรับการปรับปรุงแก้ไขความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน เพื่อกำหนดกระบวนการเปลี่ยนแปลงข้อจำกัดในการให้อาเซียนเข้ามาลงทุน ๑.๒ ความคืบหน้าในการสร้างเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ๑.๒.๑ ที่ประชุมได้หารือเพื่อเตรียมการเยือนจีนและฮ่องกงของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ เพื่อประชาสัมพันธ์อาเซียนให้เป็นที่รู้จัก และขยายการค้าและการลงทุนกับจีนและฮ่องกงให้มากยิ่งขึ้น โดยไทยได้รับความไว้วางใจจากประเทศสมาชิกอาเซียนให้เป็นประเทศผู้ประสานงานของอาเซียนกับฮ่องกงในการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ที่จะเริ่มต้นเจรจาในต้นปี ๒๕๕๗ ๑.๒.๒ การเจรจาความตกลงเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับอินเดีย ทั้งสองฝ่ายสามารถสรุปการเจรจาความตกลงฯ ได้แล้ว โดยประเทศสมาชิกจะดำเนินกระบวนการภายในเพื่อลงนามความตกลงฯ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน-อินเดีย ในเดือนตุลาคม ศกนี้ ๑.๒.๓ ที่ประชุมอยู่ระหว่างการเจรจาสรุปความตกลงเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุนกับญี่ปุ่น โดยขอให้ทุกฝ่ายมีความยืดหยุ่นในการเจรจาให้มากขึ้น เพื่อให้สรุปการเจรจาได้ก่อนการฉลองครบรอบความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น ๔๐ ปี ในช่วงเดือนธันวาคม ศกนี้ ๑.๒.๔ การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP : Regional Comprehensive Economic Partnership) หรือความตกลงอาเซียน+๖ (อาเซียน ๑๐ ประเทศ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก โดยไทยได้ร่วมผลักดันให้ที่ประชุมเห็นพ้องในหลักการพื้นฐานสำคัญว่าประเทศสมาชิก RCEP ต้องมีตารางการเปิดตลาดเพียงตารางเดียว (single schedule of commitments) ที่เปิดให้กับทุกประเทศ ๑.๒.๕ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและรัสเซียได้ให้การรับรองแผนปฏิบัติการความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับรัสเซีย โดยที่ประชุมเห็นด้วยกับไทยว่าควรจัดลำดับความสำคัญของความร่วมมือเพื่อเร่งดำเนินการก่อน เช่น การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น ๑.๓ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ได้หารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับประเทศต่าง ๆ ได้แก่ การหารือกับรัฐมนตรีการค้าอาเซียน รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมฟิลิปปินส์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าอินโดนีเซีย การหารือกับรัฐมนตรีการค้าในภูมิภาคเอเชียและอเมริกาเหนือ ได้แก่ การหารือกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น และผู้แทนการค้าสหรัฐ รวมทั้งการหารือกับคณะผู้แทนจากสภาธุรกิจอาเซียน-สหรัฐ (USABC) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับประเด็นการหารือกับผู้แทนสหรัฐฯ ในการเข้าร่วมความตกลง TPP (Trans Pacific Partnership) ไม่น่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการเปิดตลาดสินค้าเพิ่มเติมให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยมากนัก การตัดสินใจเข้าร่วม TPP ควรตั้งอยู่บนผลประโยชน์สุทธิที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ โดยพิจารณาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในทุกมิติ ส่วนประเด็นเรื่องการลด/เลิกมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTMs) ควรผลักดันให้สมาชิกอาเซียนอื่นที่มีการบังคับใช้มาตรการ NTMs ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศเป็นจำนวนมากให้มีการลด/ยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้า เพิ่มความโปร่งใส เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27513 | รายงานประจำปี พ.ศ. 2555 คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ | ยธ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ และองค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ แผนการดำเนินงานของคณะกรรมการและฝ่ายเลขานุการ และโครงสร้างของสำนักงานกิจการยุติธรรมในฐานะเลขานุการ ๒. ส่วนที่ ๒ รวบรวมผลงานสำคัญของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติและคณะอนุกรรมการฯ จำแนกเป็น ๕ ด้าน ดังนี้ ๒.๑ การจัดทำแผนและการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารงานยุติธรรม ๒.๒ การส่งเสริมและประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการบริหารงานยุติธรรม ๒.๓ การศึกษา วิจัยและพัฒนากฎหมายและระบบงานยุติธรรม ๒.๔ การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้สู่สังคม ๒.๕ การพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ๓. ส่วนที่ ๓ รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับข้อมูลสถิติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และรายละเอียดของคณะอนุกรรมการฯ
|
||||||||||||||||||||||||
| 27514 | ร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมว่าด้วยการดำเนินการผลิต และการบริโภคที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน (Joint Statement on the Implementation of Sustainable Consumption and Production in ASEAN) | ทส | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมว่าด้วยการดำเนินการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน (Joint Statement on the Implementation of Sustainable Consumption and Production in ASEAN) ที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๔ ในวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๖ ณ เมืองสุราบายา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินการผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน โดยการสนับสนุนจากการจัดตั้ง ASEAN Forum on Sustainable Consumption and Production และการมีส่วนร่วมในกรอบงาน 10-year Framework Programme on Sustainable Consumption and Production และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดข้องต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ |
||||||||||||||||||||||||
| 27515 | การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ | พณ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๐ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย โดยมีวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๒๕,๕๖๖,๓๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๔๗,๓๔๔,๙๑๗.๑๒ รูปี คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ รูปี เท่ากับ ๐.๕๔๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๑,๘๓๖,๒๒๙.๒๘ รูปี หรือเท่ากับ ๖,๓๙๑,๖๐๐ บาท ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รองรับไว้แล้ว จำนวน ๓,๔๙๕,๙๐๐ บาท สำหรับงบประมาณในส่วนที่ขาดอยู่ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒,๘๙๕,๗๐๐ บาท ให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนงบประมาณที่เหลือให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ตามสัญญาเช่าต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ในการทำสัญญาเช่าให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) กำหนดเงื่อนไขในการยกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในกรณีที่จะย้ายไปใช้พื้นที่ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ของไทยในอนาคตตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณกรณีเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก) และให้กระทรวงพาณิชย์นำสำเนาสัญญาเช่าเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27516 | ขอความเห็นชอบการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับองค์กรส่งเสริมการค้าของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน | พณ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับองค์กรส่งเสริมการค้าของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยมีขอบเขตความร่วมมือที่สำคัญ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูล การจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าร่วมกัน การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระหว่างประเทศซึ่งจัดโดยองค์กรพันธมิตรแต่ละฝ่าย การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการจัดคณะผู้แทนการค้าระหว่างกัน การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์ในการทำธุรกิจการค้า การอำนวยความสะดวกทางการค้า เช่น การช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับ Trade Promotion Department ของราชอาณาจักรกัมพูชา ๑.๒ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับ Directorate General of National Export Development ของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ๑.๓ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับ Trade and Product Promotion Department ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๑.๔ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับ Center for International Trade Expositions and Missions ของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ๑.๕ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับ International Enterprise Singapore ของสาธารณรัฐสิงคโปร์ ๑.๖ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับ Vietnam Trade Promotion Agency ของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาความสอดคล้องของรายละเอียดระหว่างข้อตกลงความร่วมมือฯ กับยุทธศาสตร์ในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของประเทศไทย เพื่อสร้างความชัดเจนในการสร้างกลไกในการขับเคลื่อนร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งสร้างความเข้าใจในขอบเขตความร่วมมือระหว่างประเทศดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ในการพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจให้แข่งขันในตลาดอาเซียนได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27517 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายแสวง ฤกษ์จรัล และนายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์) | สธ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายแสวง ฤกษ์จรัล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ๒. นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
|
||||||||||||||||||||||||
| 27518 | โครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดของกระทรวงกลาโหม ประจำปีงบประมาณ 2557 - 2561 | กห | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๖) ถึงปีงบประมาณ ๒๕๖๑ (๑ ตุลาคม ๒๕๖๐) ๒. ให้ยกเว้นภาษีสำหรับเงินก้อน และเงินที่ได้รับจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) รวมถึงยกเว้นการชดใช้เงินส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ได้รับตามกฎหมายว่าด้วยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย กับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปกติคืนให้แก่ทางราชการ โดยให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการ |
||||||||||||||||||||||||
| 27519 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจิรชัย มูลทองโร่ย) | นร01 | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายจิรชัย มูลทองโร่ย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 27520 | มติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ครั้งที่ 8/2556 | กค | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ ซึ่งเห็นชอบผ่อนผันขยายระยะเวลาการก่อหนี้และการปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (รอบที่ ๒) ของหน่วยงาน จำนวน ๒๗๘ หน่วยงาน จำนวนเงิน ๑๒๓,๖๐๕.๘๙๗๕ ล้านบาท โดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพฯ และไม่สามารถก่อหนี้ได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ต้องตกลงกับกระทรวงการคลังขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ด้วย ตามที่คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
.....
