ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1371 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 27401 - 27420 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 27401 | การจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยกำหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และสภากาชาดไทย จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมทั้งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำแนกตามยุทธศาสตร์ประเทศ (CS) และจัดส่งให้สำนักงบประมาณตามแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และสภากาชาดไทย จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตลอดทั้งปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เต็มจำนวนวงเงินงบประมาณรายจ่ายตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๒. สำหรับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และสภากาชาดไทย ตลอดจนกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำแนกตามยุทธศาสตร์ประเทศ (CS) ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ จำแนกตามยุทธศาสตร์ประเทศ (CS) ตลอดทั้งปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เต็มจำนวนวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับจัดสรร ทั้งนี้ การจัดทำแผนตามข้อ ๑ และข้อ ๒ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้นำงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับจัดสรรตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไปพลางก่อน มาเป็นส่วนหนึ่งของแผนที่จัดทำขึ้นด้วย ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และสภากาชาดไทย จัดทำแผนตามข้อ ๑ และข้อ ๒ ส่งให้สำนักงบประมาณพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ เพื่อใช้ในการขอเบิกจ่ายและใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ประกาศใช้บังคับแล้ว โดยให้บันทึกข้อมูลในระบบ e-Budgeting [EvMIS หรือ EvMIS (CS)]
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27402 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่างๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร12 | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่ ค.ต.ป. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของ ค.ต.ป. ประจำกระทรวง คณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (อ.ค.ต.ป.) กลุ่มกระทรวง และ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด ที่ได้ดำเนินการสอบทานผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการและจังหวัด โดยมีสรุปภาพรวมจากรายงานข้อค้นพบของส่วนราชการและจังหวัดตามประเด็นการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการที่กำหนด พบว่า ส่วนราชการและจังหวัดมีการพัฒนาการดำเนินงานในประเด็นที่ได้สอบทานทั้ง ๕ ด้าน ได้แก่ การตรวจราชการ การตรวจสอบภายใน การควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยง การปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ และรายงานการเงิน อย่างต่อเนื่อง ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะตามความเห็นของ ค.ต.ป. และให้หน่วยงานที่พบปัญหาและผู้รับผิดชอบรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการทุก ๖ เดือน ต่อ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ตามที่รับผิดชอบ ๑.๓ รับทราบรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งพบว่า คณะกรรมการฯ มีผลการประเมินตนเองในภาพรวมรายคณะอยู่ในเกณฑ์ระดับดีเยี่ยม ๒. ให้ ค.ต.ป. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรปรับวิธีการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการเพิ่มขึ้นใน ๒ มิติ คือ มิติด้านการเงิน โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบและประเมินผลด้านประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ความสามารถในการลดต้นทุนและลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ และความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมิติด้านการบริหารจัดการ โดยคำนึงถึงความโปร่งใส ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารจัดการ ซึ่งควรกำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจนและใช้เป็นกลไกในการบริหารจัดการ และในการตรวจสอบและประเมินผลควรพิจารณาขยายไปถึงราชการส่วนท้องถิ่น มีการวางมาตรการในการตรวจสอบที่กระชับมากขึ้น และให้ฝ่ายเลขานุการของ ค.ต.ป. ควรมีพื้นฐานความรู้ที่หลากหลายและสามารถตรวจสอบในเชิงลึกได้ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มอัตรากำลังผู้ตรวจสอบภายในจังหวัด จากเดิมจังหวัดละ ๓ คน เป็นจังหวัดละ ๕-๗ คน เพื่อให้เหมาะสมกับขอบเขตปริมาณงานของแต่ละจังหวัด นอกจากนี้ เห็นควรให้นำข้อค้นพบและแนวทางแก้ไขในรายงานดังกล่าวเชื่อมโยงเข้ากับระบบการติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงกับศูนย์ปฏิบัติการของนายกรัฐมนตรี (PMOC) เพื่อคณะรัฐมนตรีจะได้ใช้ประโยชน์ในการกำกับการบริหารราชการของส่วนราชการอย่างบูรณาการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 27403 | ขออนุมัติแผนการกู้เงินในประเทศเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในช่วงระยะเวลา 5 ปี (ปีงบประมาณ 2557 - 2561) โดยการกู้ Roll-Over วงเงินรวม 18,800 ล้านบาท และอนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกู้เงินในปีงบประมาณ 2557 - 2561 วงเงินรวมไม่เกิน 18,800 ล้านบาท ตามแผนการกู้เงิน | คค | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนการกู้เงินในประเทศเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ในช่วงระยะเวลา ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) โดยการกู้เงิน Roll-Over วงเงินรวม ๑๘,๘๐๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้ กทพ. กู้เงินในปีงบประมาณ ๒๕๕๗-๒๕๖๑ วงเงินรวมไม่เกิน ๑๘,๘๐๐ ล้านบาท ตามแผนการกู้เงินฯ ทั้งนี้ ให้ กทพ. ไม่ต้องนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการกู้เงินเป็นรายปีอีก และให้ กทพ. บรรจุแผนการกู้เงินแต่ละปีที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีของกระทรวงการคลัง โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับ กทพ. เป็นผู้พิจารณาแหล่งเงินกู้ วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินที่เหมาะสม ตลอดจนเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้สำหรับปีงบประมาณ ๒๕๕๗-๒๕๖๑ ๒. ให้ กทพ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกู้เงินในแต่ละปีงบประมาณ ให้ กทพ. ดำเนินการขออนุมัติการกู้เงินจากคณะกรรมการ กทพ. และดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยบรรจุแผนการกู้เงินดังกล่าวในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณเพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณก่อนที่จะดำเนินการกู้เงินต่อไป นอกจากนี้ กรณีที่มีการปรับแผนการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ของ กทพ. ในแต่ละปีหรือระหว่างปี เห็นควรให้ กทพ. เสนอปรับแผนการกู้เงินต่อกระทรวงการคลังเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินการจริง และเพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถปรับแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีได้อย่างเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 27404 | ข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ 9 ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน | พณ | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียนและข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน โดยสาระสำคัญของข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการฯ เป็นการเพิ่มสาขาบริการที่ไทยจะเปิดให้อาเซียนถือหุ้นได้ร้อยละ ๗๐ ตามเป้าหมายของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) โดยมีข้อจำกัดในการให้บริการในแต่ละสาขาบริการหรือกิจกรรมที่ไทยต้องการสงวนเพื่อการกำกับดูแลสาขาบริการหรือกิจกรรมดังกล่าว เช่น การกำหนดประเภทของนิติบุคคลที่สามารถจัดตั้งได้ และการสงวนสิทธิไม่ให้ต่างชาติถือครองที่ดิน เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้กระทรวงพาณิชย์แก้ไขเงื่อนไขทั่วไปในตารางข้อผูกพันบริการโทรคมนาคมตามความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ก่อนเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามพิธีสาร ๓. เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบพิธีสารและข้อผูกพันดังกล่าวแล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียนและข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งเลขาธิการอาเซียนว่าประเทศไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้วเพื่อให้พิธีสารมีผลใช้บังคับ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 27405 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 5 พ.ศ. 2555 เรื่อง การป้องกันและลดผลกระทบด้านสุขภาพจากโรงไฟฟ้าชีวมวล และแผนการขับเคลื่อนมติฯ | สช | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง การป้องกันและลดผลกระทบด้านสุขภาพจากโรงไฟฟ้าชีวมวล พร้อมทั้งแผนการขับเคลื่อนมติฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติฯ ที่เกี่ยวข้องต่อไป ยกเว้นประเด็นการห้ามใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในโรงโรงไฟฟ้าชีวมวล [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๔ (๘)] และประเด็นการให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศให้โรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๖ (๒)] ให้ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ การห้ามใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าชีวมวล [ตามมติฯ ข้อ ๑.๔ (๘)] ให้กระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการในการลดและเลิกการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลให้ชัดเจน โดยเฉพาะในโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีขนาดกำลังผลิตกระแสไฟฟ้ารวมต่ำกว่า ๑๐ เมกะวัตต์ ๑.๒ การให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศให้โรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ [ตามมติฯ ข้อ ๑.๖ (๒)] ให้กระทรวงสาธารณสุข (กรมอนามัย) ร่วมกับกระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานดำเนินการปรับปรุงการจัดทำประมวลหลักการปฏิบัติงาน (COP) โดยให้มีมาตรการควบคุมและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพอย่างครอบคลุมด้วย และให้กรมอนามัยในฐานะเลขานุการคณะกรรมการสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมในการออกประกาศตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้การประกอบกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพต่อไป ๒. ยกเว้นประเด็นการห้ามใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าชีวมวล [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๔ (๘)] และประเด็นการให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศให้โรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๖ (๒)] ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาในประเด็นดังกล่าวว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่เพียงใด หรือมีแนวทางใดที่เหมาะสม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 27406 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ฟิลิปปินส์ | คค | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการเจรจาการบินร่วมกัน โดยมีการปรับปรุงเส้นทางการบิน สิทธิความจุความถี่ และเพิ่มเติมข้อบทว่าด้วยการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ซึ่งจะทำให้สายการบินของทั้งสองฝ่ายมีความยืดหยุ่นในการวางแผนการให้บริการ และเปิดโอกาสให้สามารถเพิ่มบริการระหว่างกันได้มากขึ้น รวมทั้งจะทำให้การขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศทั้งสองขยายตัวเพิ่มมากขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้โดยสาร ธุรกิจการขนส่งสินค้า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การค้า และการบริการระหว่างทั้งสองประเทศให้เจริญเติบโตอย่างมีศักยภาพ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งในระดับรัฐบาลและระดับสายการบินของทั้งสองประเทศต่อไป ๒. ให้นำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ ต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 27407 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลปงดอน ตำบลแจ้ห่ม ตำบลวิเชตนคร ตำบลบ้านสา อำเภอแจ้ห่ม ตำบลห้างฉัตร ตำบลหนองหล่ม ตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร ตำบลบ่อแฮ้ว ตำบลปงแสนทอง อำเภอเมืองลำปาง และตำบลใหม่พัฒนา ตำบลลำปางหลวง ตำบลไหล่หิน ตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | กษ | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลปงดอน ตำบลแจ้ห่ม ตำบลวิเชตนคร ตำบลบ้านสา อำเภอแจ้ห่ม ตำบลห้างฉัตร ตำบลหนองหล่ม ตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร ตำบลบ่อแฮ้ว ตำบลปงแสนทอง อำเภอเมืองลำปาง และตำบลใหม่พัฒนา ตำบลลำปางหลวง ตำบลไหล่หิน ตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลปงดอน ตำบลแจ้ห่ม ตำบลวิเชตนคร ตำบลบ้านสา อำเภอแจ้ห่ม ตำบลห้างฉัตร ตำบลหนองหล่ม ตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร ตำบลบ่อแฮ้ว ตำบลปงแสนทอง อำเภอเมืองลำปาง และตำบลใหม่พัฒนา ตำบลลำปางหลวง ตำบลไหล่หิน ตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลปงดอน ตำบลแจ้ห่ม ตำบลวิเชตนคร ตำบลบ้านสา อำเภอแจ้ห่ม ตำบลห้างฉัตร ตำบลหนองหล่ม ตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร ตำบลบ่อแฮ้ว ตำบลปงแสนทอง อำเภอเมืองลำปาง และตำบลใหม่พัฒนา ตำบลลำปางหลวง ตำบลไหล่หิน ตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27408 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ สำหรับงวดครึ่งปีแรก ปี 2556 | กค | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ สำหรับงวดครึ่งปีแรก ปี ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การรายงานและพัฒนาข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ และข้อมูลประกอบด้านอื่น ๆ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจ งานวิชาการ การส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร และสถานการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยศูนย์ข้อมูลฯ สามารถดำเนินงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้ในระดับที่น่าพอใจ และสามารถรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ สามารถนำข้อมูลเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ รวมทั้งมีการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงครึ่งแรก ปี ๒๕๕๖ ได้มีการจัดการอบรมและสัมมนาเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์และสร้างบทบาทของศูนย์ข้อมูลฯ ให้เป็นแหล่งข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่น่าเชื่อถือและนำไปใช้ในการวิเคราะห์เพื่อประกอบการตัดสินใจของทั้งผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27409 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการงานบริการและการส่งสินค้าข้ามแดนเพื่อการค้าระหว่างประเทศ" | สสป | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการงานบริการและการส่งสินค้าข้ามแดนเพื่อการค้าระหว่างประเทศ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กองบัญชาการกองทัพไทย กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การพาณิชย์ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน สำนักผู้แทนการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการด้านเชิงนโยบาย ได้แก่ ๑.๑ ดำเนินยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านแบบองค์รวม ๑.๒ จัดตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่ในการวางแผนและบริหารจัดการพื้นที่จังหวัดชายแดนที่เป็นประตูเศรษฐกิจการค้าและงานบริการ โดยมีการจัดตั้งในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นในจังหวัดที่มีการค้าชายแดน เพื่อปฏิบัติการและอำนวยความสะดวกในการบริหารจัดการการค้าชายแดน ๑.๓ เร่งรัดแก้ไข จัดทำ และเจรจา ข้อตกลง เงื่อนไข กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และดำเนินงานตามข้อตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นมาตรฐานสากล ๑.๔ เร่งดำเนินการปรับปรุงพิธีการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออกสินค้าชายแดนให้สอดคล้องกับกฎระเบียบองค์การการค้าโลก (WTO) และข้อตกลงความร่วมมืออาเซียน รวมถึงข้อตกลงความร่วมมือในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาค ๑.๕ ควรพิจารณากำหนดนโยบายจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน พร้อมกับผลักดันร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ๑.๖ เร่งดำเนินการพัฒนาองค์ความรู้ และทักษะในด้าน ๆ แก่บุคลากรให้มีศักยภาพ ๑.๗ จัดตั้งศูนย์ข้อมูลที่เกี่ยวกับแผนการพัฒนาเขตพื้นที่จังหวัดชายแดน ในทุกด้านทั้งการวางแผนผังภูมิประเทศ อาคารสถานที่ต่าง ๆ พร้อมรูปแบบโครงสร้างการบริหารจัดการงานบริการ และการบริหารจัดการส่งสินค้าข้ามแดน ๑.๘ ส่งเสริมสนับสนุนให้นักลงทุนไทยมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๙ ส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้ง เมืองคู่แฝดทางการค้าระหว่างจังหวัดชายแดนกับจังหวัดในประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๑๐ ส่งเสริมการลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชนที่เกี่ยวกับพื้นที่การพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพสินค้า ประกอบด้วยอาคารโกดังสินค้า พื้นที่การค้า เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณการลงทุน ๒. การดำเนินการด้านเชิงการบริหารจัดการ ได้แก่ ๒.๑ การบริหารจัดการงานบริการ โดยเร่งดำเนินการก่อสร้างอาคารและสถานที่ต่าง ๆ เช่น อาคารบริการด้านสินค้าและบุคคลแบบเบ็ดเสร็จ ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า สถานีตรวจปล่อยสินค้า พื้นที่ขบวนการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพสินค้า ถนน ระบบรางและสะพานในจังหวัดที่ขาดความพร้อม เช่น ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก บ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี บ้านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว ๒.๒ การบริหารจัดการส่งสินค้าข้ามแดน โดย ๒.๒.๑ ดำเนินการพัฒนา ปรับปรุง โครงสร้างพื้นฐาน ถนน ระบบราง และสะพาน เพื่อให้การบริหารจัดการระบบการขนส่งสินค้าและคนให้ไหลเคลื่อนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเร่งรัดการพัฒนาระบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ให้สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะทางบก ทางราง และทางน้ำ รวมทั้งพัฒนาการขนส่งระบบราง เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในระบบโลจิสติกส์ให้มีต้นทุนการขนส่งต่ำลงสามารถแข่งขันได้ ด้วยการขยายเส้นทางเชื่อมต่อระบบรางไปถึงพื้นที่จังหวัดชายแดนที่สำคัญ ๆ ที่เป็นประตูเศรษฐกิจการค้า และงานบริการ ตลอดจนปรับปรุงการวางผังเมือง การจัดภูมิประเทศ อาคารสถานที่ต่าง ๆ และโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่จังหวัดชายแดน เพื่อรองรับการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ๒.๒.๒ ดำเนินการพัฒนา ปรับปรุง สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการบริหารจัดการงานบริการ โดยเร่งรัดการนำเทคโนโลยีระบบสารสนเทศ พัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสารมาใช้ในการนำเข้าส่งออก เร่งจัดทำข้อตกลงทวิภาคีกับประเทศเมียนมาร์ กัมพูชา มาเลเซีย ในการเดินรถทุกประเภท และในกรณีที่มีการตรวจปล่อยสินค้า ที่จำเป็นต้องมีใบรับรองประเภทต่าง ๆ ที่ต้องสำแดง ณ ด่านศุลกากรกรุงเทพฯ เมื่อมีการตรวจปล่อยที่ด่านอื่น ๆ โดยเฉพาะประตูเศรษฐกิจการค้าและบริการที่เชื่อมต่อ ๔ ประเทศเพื่อนบ้าน ควรมีการปรับปรุงข้อกำหนดให้ยืดหยุ่นกับสถานการณ์การส่งออกในด้านนี้ด้วย ๒.๒.๓ ดำเนินการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจการค้าชายแดน โดยส่งเสริมสนับสนุนให้มีการพัฒนาองค์ความรู้ และข้อมูลให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจการค้าชายแดนเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงความรู้ด้านการพัฒนาด้านการผลิตของผู้ประกอบการรายย่อย ส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการรวมตัวของผู้ประกอบการ ตลอดจนส่งเสริมสนับสนุนด้านเงินลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการ โดยผ่านระบบของธนาคารในเครือของรัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27410 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | ยธ | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมราชทัณฑ์ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติขยายเวลาการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๔๙๗,๔๗๑,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรายการค่าวัสดุอาหาร ในเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ให้กรมราชทัณฑ์ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27411 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) (นางทรงพร โกมลสุรเดช) | ทก | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางทรงพร โกมลสุรเดช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กลุ่มที่ปรึกษา สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตั้งแต่วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27412 | แผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงาน การจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๑.๑ ผลการดำเนินงานปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้กำกับกิจการพลังงานตามแผนการดำเนินงานฯ อย่างครบถ้วน โดยมีผลสำเร็จการดำเนินงานที่สำคัญ ๔ ด้าน ได้แก่ การประกอบกิจการพลังงานมีมาตรฐานความปลอดภัย วิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมสูงขึ้น ด้วยการกำกับผ่านการอนุญาตที่มีการบูรณาการกับหน่วยงานอนุญาตอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการขอรับใบอนุญาต การกำกับการจัดหาพลังงานมีความเป็นธรรมและโปร่งใส การมีปฏิสัมพันธ์และมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียเพื่อพัฒนาพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีการพัฒนาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง รวมทั้งการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานกำกับกิจการพลังงานและการบริหารงานองค์กรตามเกณฑ์การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) ๑.๑.๒ การจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ กกพ. ได้ดำเนินการตามแผนการดำเนินงานฯ อย่างครบถ้วน สามารถจัดเก็บรายได้ และเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งเป็นไปตามแผนการดำเนินงาน โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จะจัดเก็บรายได้ฯ ได้จำนวน ๗๙๙.๗๙ ล้านบาท และจะเบิกจ่ายงบประมาณรวมทั้งผูกพันสัญญาได้ จำนวน ๗๙๙.๔๘ ล้านบาท ทั้งนี้ กกพ. อยู่ระหว่างการจัดหาสถานที่ทำการสำนักงาน กกพ. เป็นการถาวร และจัดสรรเงินงบประมาณเหลือจ่ายในปีงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ นี้ไว้แล้ว จำนวนประมาณ ๑๙๗ ล้านบาท และจะกันเงินเป็นภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม (ถ้ามี) เพื่อให้เพียงพอต่อการจัดหาสถานที่ทำการสำนักงาน กกพ. ๑.๒ เห็นชอบแผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่ายและประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยมีแผนการดำเนินงานฯ ที่สำคัญ ได้แก่ การบูรณาการงานออกใบอนุญาต ให้เป็นแบบบริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service : OSS) เพื่อเสริมสร้างกระบวนการกำกับดูแลกิจการพลังงานให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น การกำกับการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer : SPP) และผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Very Small Power Producer : VSPP) ให้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ได้ตามแผน PDP และ AEDP การคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้พลังงานและผู้มีส่วนได้เสียด้วยแผนคุ้มครองผู้ใช้พลังงานที่มุ่งเน้นให้เกิดผลในทางปฏิบัติด้วยการสร้างความตระหนักรู้ผ่านเวทีการมีส่วนร่วม และการบูรณาการงานพิจารณาข้อร้องเรียน/พิพาทของผู้ใช้พลังงาน และผู้มีส่วนได้เสียด้วยการพัฒนาฐานข้อมูลผู้ร้องเรียน รวมทั้งการพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ โดยพัฒนากระบวนการกำกับกิจการพลังงานและการบริหารจัดการสำนักงานให้ทันสมัย สอดคล้องตามเกณฑ์ PMQA ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กกพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนบริหารงบประมาณ โดยมุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งคำนึงถึงการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างประหยัด เพื่อให้การใช้จ่ายรายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการพลังงาน ซึ่งเป็นต้นทุนส่วนหนึ่งในการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้า เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 27413 | สรุปสาระสำคัญการเข้าร่วมงาน "China - ASEAN Vocational Education Exhibition and Forum" ประจำปี 2556 | ศธ | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสาระสำคัญการเข้าร่วมงาน “China-ASEAN Vocational Education Exhibition and Forum” ประจำปี ๒๕๕๖ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างวันที่ ๒-๔ กันยายน ๒๕๕๖ ณ นครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง สาธารณรัฐประชาชนจีน สรุปได้ ดังนี้
๑. การกล่าวเปิดงาน “China-ASEAN Vocational Education Exhibition and Forum” ประจำปี ๒๕๕๖ ในนามของประเทศสมาชิกอาเซียน เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๖ โดยกล่าวเชื่อมั่นว่าหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ จีน-อาเซียน โดยเฉพาะด้านการศึกษาและฝึกอบรมทางเทคนิคและสายอาชีพ (Technical and Vocational Education and Training : TVET) จะไม่เป็นเพียงแค่การเสริมสร้างประชาคมอาเซียนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมของพลเมืองในทุกภาคส่วนเพื่อการพัฒนาทางสายอาชีพในยุคโลกาภิวัฒน์ และเน้นย้ำถึงความร่วมมือที่กำลังดำเนินอยู่ซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายซึ่งกันและกันด้านการศึกษาและฝึกอบรมทางเทคนิคและสายอาชีพ รวมทั้งเชื่อมั่นว่าการพัฒนาของประเทศอาเซียนจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ๒. การร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา/วิทยาลัยอาชีวศึกษาของสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศอาเซียน โดยในส่วนของประเทศไทยมีสถาบันการศึกษาที่ร่วมงานและลงนามข้อตกลงความร่วมมือ ได้แก่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และ Guangxi Teachers Education University, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพาณิชยการอยุธยา และ Guangxi University of Science and Technology, มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย และ Yulin Normal University, วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกอุดรธานี และมหาวิทยาลัยภาษานานาชาติกว่างซี รวมทั้งสถาบันการศึกษาด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา ๙ แห่ง คือ วิทยาลัยการอาชีพชุมแพ จังหวัดขอนแก่น วิทยาลัยการอาชีพด่านซ้าย จังหวัดเลย วิทยาลัยการอาชีพบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี วิทยาลัยการอาชีพเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี วิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี วิทยาลัยการอาชีพแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ วิทยาลัยเทคนิคน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น วิทยาลัยเทคนิคคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ และวิทยาลัยการต่อเรือหนองคาย โดยได้ลงนามข้อตกลงการแลกเปลี่ยนครู นักศึกษา การใช้สื่อร่วมกัน ร่วมกับมหาวิทยาลัยหนานหนิง ๓. การกล่าวปาฐกถา หัวข้อ “Construction of Modern Vocational Education System” เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๖ โดยกล่าวถึงบทบาทผู้นำของกระทรวงศึกษาธิการสำคัญต่อการจัดเตรียมความพร้อมของประชากรในประเทศเพื่อก้าวไปสู่การเป็นพลเมืองโลก โดยการปลูกฝังทักษะการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ ทักษะด้าน ICT และทักษะชีวิตเพื่อส่งเสริมการมีงานทำ การสร้างระบบการศึกษาสายอาชีพสมัยใหม่จะเป็นศูนย์กลางต่อการจัดทำยุทธศาสตร์แห่งชาติของประเทศไทยเพื่อการปฏิรูปและพัฒนาการศึกษาและฝึกอบรมด้านเทคนิคและสายอาชีพ การเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสถานศึกษากับอุตสาหกรรมและการทำงานที่ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นกับภาคเอกชนมีส่วนสำคัญในการช่วยให้บัณฑิตและแรงงานในสายอาชีพมีทักษะในหลากหลายระดับ และสิ่งสำคัญประการหนึ่ง คือ พื้นฐานที่เข้มแข็งด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และทักษะภาษาต่างประเทศ เพื่อขยายการขับเคลื่อนของนักเรียนและโอกาสการมีงานทำในต่างประเทศ รวมถึงกลุ่มวัยทำงานและประชากรสูงวัยควรได้รับการฝึกอบรมเพื่อยกระดับทักษะอาชีพของตนเอง และเชื่อว่าข้อพันธกิจของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อไปจากนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของการศึกษาและฝึกอบรมด้านเทคนิคและสายอาชีพในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างเป็นรูปธรรม ๔. การเยี่ยมชมนิทรรศการด้านการศึกษาสายอาชีพจีน-อาเซียน ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษา วิทยาลัยการอาชีพ มากกว่า ๑๐๐ แห่ง ในหลายสาขาวิชาชีพ และเยี่ยมชม “ศูนย์ไทยศึกษา” ของมหาวิทยาลัยครูกว่างซี (Guangxi Teachers Education University) พร้อมทั้งหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับอธิการบดีและนักศึกษาไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27414 | ขอให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการฝึกอบรมและการประชุมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ | วท | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติตอบรับการเป็นเจ้าภาพในการจัดฝึกอบรมและการประชุมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ของประเทศไทย จำนวน ๒ รายการ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. การฝึกอบรม Regional Training Course on Basic Concepts of 3D Image-Guided Brachytherapy for Cervical Cancer ภายใต้กรอบโครงการภูมิภาค RAS/6/062 “Supporting 3D Image-Guided Brachytherapy Services” ระหว่างวันที่ ๗-๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ๒. การประชุม Mid-Term Project Coordination Meeting on “Establishing Radioactive Waste Management Infrastructure” ภายใต้กรอบโครงการภูมิภาค RAS/9/071 “Establishing Radioactive Waste Management Infrastructure” ระหว่างวันที่ ๙-๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพมหานคร |
|||||||||||||||||||||||||||
| 27415 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ 20 | กห | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย-ลาว ครั้งที่ ๒๐ เมื่อวันที่ ๑๕-๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบว่าความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่จะหมดอายุลงในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ และเห็นว่าความตกลงดังกล่าวเป็นประโยชน์ จึงเห็นชอบในหลักการให้แก้ไขความตกลงเพื่อให้มีผลต่อไปหรือทำความตกลงฉบับใหม่ โดยดำเนินการตามกฎหมายภายในของแต่ละฝ่ายให้ครบถ้วนก่อนมีผลบังคับใช้ ๒. ที่ประชุมแสดงความยินดีต่อความคืบหน้าในการปฏิบัติงานของคณะอนุกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย-ลาว และเห็นชอบให้มีการประชุมคณะอนุกรรมการฯ อย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง โดยผลัดกันเป็นเจ้าภาพ แต่เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น กรณีเร่งด่วน และมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสนอ ทั้งสองฝ่ายจะต้องเปิดการประชุมสมัยวิสามัญขึ้นทันที เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาให้จำกัดอยู่ในระดับท้องถิ่น โดยกำหนดจำนวนคณะอนุกรรมการฯ ผู้สังเกตการณ์พร้อมเจ้าหน้าที่เข้าร่วมประชุม ฝ่ายละไม่เกิน ๒๕ คน ๓. ที่ประชุมสนับสนุนการจัดการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าแขวงชายแดนไทย-ลาว ครั้งที่ ๑๐ ซึ่งฝ่ายลาวจะเป็นเจ้าภาพต่อไป ๔. ที่ประชุมแสดงความยินดีต่อความสำเร็จในการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนระดับจังหวัดและแขวง สำหรับจังหวัดและแขวงที่ยังไม่ได้มีการประชุมร่วมกัน จะสนับสนุนให้มีการประสานงานและแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง และให้มีการประชุมร่วมกันอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง โดยให้เชิญผู้แทนคณะอนุกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย-ลาว เข้าร่วมประชุมในฐานะผู้สังเกตการณ์ฝ่ายละไม่เกิน ๒ คน ๕. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการเสริมสร้างความสัมพันธ์และการแลกเปลี่ยนการเยือนซึ่งกันและกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แม่ทัพภาคที่ ๒ และแม่ทัพภาคที่ ๓ ราชอาณาจักรไทยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ หัวหน้ากรมใหญ่เสนาธิการกองทัพประชาชนลาว และหัวหน้ากรมใหญ่ตำรวจ กระทรวงป้องกันความสงบ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และแสดงความยินดีที่ฝ่ายลาวจะส่งข้าราชการของกองทัพประชาชนลาวเข้ารับการศึกษาหลักสูตรทางทหารของไทยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการจัดการประชุมคณะกรรมการร่วม ไทย-ลาว ว่าด้วยความร่วมมือด้านกิจการตำรวจ ครั้งที่ ๓ ซึ่งฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพต่อไป ๖. ที่ประชุมยินดีต่อผลการหารือระหว่าง ดร. สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล กับ ดร. ทองลุน สีสุลิด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมของสองประเทศ ในวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งเห็นชอบที่จะให้การดำเนินการด้านเขตแดนอยู่ภายใต้กรอบคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-ลาว และให้มีการจัดประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-ลาว ครั้งที่ ๙ ที่ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ๗. ที่ประชุมเห็นชอบให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินการตรวจพื้นที่ชายแดนร่วมกันอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง แต่ในกรณีมีปัญหาเกิดขึ้น หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสนอ ทั้งสองฝ่ายต้องพร้อมกันไปตรวจสอบพื้นที่โดยทันที ๘. ที่ประชุมสนับสนุนให้จัดการประชุมคณะกรรมการร่วม ไทย-ลาว เพื่อดูแลการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามลำแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง ครั้งที่ ๔ ซึ่งฝ่ายลาวเป็นเจ้าภาพโดยเร็ว ๙. ที่ประชุมเห็นชอบให้ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน และให้แต่ละฝ่ายมีการลาดตระเวนตรวจพื้นที่ชายแดนของตนเพื่อร่วมกันสกัดกั้นและปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว และสนับสนุนให้ปฏิบัติตามความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน ไทย-ลาว ของบันทึกการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าแขวงชายแดน ไทย-ลาว ครั้งที่ ๙ อย่างเคร่งครัด ๑๐. ที่ประชุมเห็นชอบให้คณะอนุกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย-ลาว จัดทำร่างแผนงานประกอบการดำเนินการเพื่อความร่วมมือด้านความมั่นคงชายแดน ไทย-ลาว ให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ๑๑. ที่ประชุมแสดงความยินดีต่อคณะอนุกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไปทั้งสองฝ่ายมีการปรับปรุงบัญชีรายชื่อผู้ประสานงานพร้อมระบบการติดต่อสื่อสารที่มีอยู่ในปัจจุบัน ระหว่างคณะอนุกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย-ลาว ระหว่างคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนระดับจังหวัดและแขวง ระหว่างกองกำลังป้องกันชายแดนของไทยกับกองบัญชาการทหารแขวงของลาว รวมทั้งระหว่างหน่วยประสานงานชายแดนประจำพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑๒. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายสากลภายในกรอบของอาเซียนด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด ๑๓. ที่ประชุมเห็นชอบให้เพิ่มการประสานงานและร่วมมือกันในการป้องกันการลักลอบค้าชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหายตามชายแดนของทั้งสองประเทศ ๑๔. ที่ประชุมเห็นชอบที่จะประสานและสนับสนุนให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่ายร่วมกันแก้ไขปัญหาผู้ลักลอบเข้าเมืองในภาพรวม รวมทั้งชาวม้งลาวลักลอบเข้าเมืองที่ยังคงเหลือยู่ในไทยส่งกลับให้ลาว ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายโดยเฉพาะชาวม้งลาวลักลอบเข้าเมือง ให้แจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบเพื่อร่วมกันพิจารณาแก้ไขตามแนวทางที่เหมาะสมต่อไป ๑๕. ฝ่ายไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ ๒๑ โดยจะแจ้งกำหนดเวลาและสถานที่จัดการประชุมให้ทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27416 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ โดยคณะกรรมการฯ มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)เกี่ยวกับการกำหนดให้มีระบบการรับรองความสามารถ และการกำหนดให้มีศูนย์ประเมินความสามารถทั้งภาครัฐและเอกชน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นศูนย์ประเมินความสามารถกลางนั้น เป็นบทบาทที่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) จะเป็นการเพิ่มภาระงบประมาณของประเทศ และอาจสร้างความสับสนให้กับประชาชนผู้รับบริการ จึงควรให้ความสำคัญกับการสร้างระบบการรับรองความสามารถที่เป็นเอกภาพ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเพิ่มขีดความสามารถของแรงงานไทยเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27417 | การจัดประชุมระดับสูง ไทย - แอฟริกา (Thai - Africa High - Level Dialogue) | กต | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. การจัดประชุมระดับสูง ไทย-แอฟริกา (Thai-Africa High-Level Dialogue) ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มพูนปฏิสัมพันธ์ระหว่างไทยกับแอฟริกาให้เป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทยในฐานะที่แอฟริกาเป็นตลาดใหม่ เพื่อแสวงหาพันธมิตรในเวทีระหว่างประเทศ และเพื่อพัฒนาไปสู่ความร่วมมือในระดับภูมิภาคเอเชีย-แอฟริกา ต่อไป ๒. การแต่งตั้งคณะทำงานระดับกระทรวงสำหรับการจัดประชุมระดับสูงระหว่างไทย-แอฟริกา ประกอบด้วยคณะทำงาน ๔ ด้าน ได้แก่ คณะทำงานด้านสารัตถะ ด้านอำนวยการ ด้านพิธีการและการรักษาความปลอดภัย และด้านประชาสัมพันธ์ โดยมีผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27418 | รายงานความคืบหน้าการติดตามการดำเนินการตามแผนนิติบัญญัติ พ.ศ. 2555 - 2558 | นร04 | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการติดตามการดำเนินการตามแผนนิติบัญญัติ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานจัดทำแผนนิติบัญญัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๗ เสนอ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุมจัดทำแผนนิติบัญญัติฯ แล้วรายงานให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานจัดทำแผนนิติบัญญัติฯ ทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป ๒. เห็นชอบให้ถอนร่างกฎหมายออกจากแผนนิติบัญญัติ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ ตามที่ส่วนราชการเสนอ รวม ๔ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการทุจริตของเจ้าพนักงานของรัฐบาลต่างประเทศและเจ้าพนักงานขององค์การภาครัฐระหว่างประเทศ พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาระบบการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ๓. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับใดที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรที่มีความจำเป็นต้องผลักดันให้เป็นกฎหมายตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้ทันสมัยประชุมสามัญทั่วไป หรือสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ แล้วให้ประสานรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) และคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดลำดับความสำคัญต่อไป ๔. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) รวบรวมข้อร้องเรียนจากผู้มีส่วนได้เสียที่ส่งมายังสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วส่งให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๕. กรณีข้อร้องเรียนที่ส่วนราชการได้รับจากผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง ให้ส่วนราชการดังกล่าวเร่งดำเนินการพิจารณาข้อมูลที่ได้รับการร้องเรียน เพื่อดำเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27419 | ขอความเห็นชอบช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยปี 2554 กรณีพิเศษ (ส้มโอ และทุเรียน) | กษ | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการพิจารณาทบทวนความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกรณีขอความเห็นชอบช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษ (ส้มโอ และทุเรียน) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดย ๑.๑.๑ การขอความช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้ปลูกส้มโอและทุเรียน เป็นการขอความช่วยเหลือเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของเกษตรกร ประกอบกับพื้นที่ประสบภัยเป็นแหล่งผลิตสำคัญของส้มโอและทุเรียน จึงจำเป็นต้องช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถฟื้นฟูสภาพสวนได้ หากได้รับการช่วยเหลือตามอัตราที่เสนอ เกษตรกรจะต้องถูกหักเงินในอัตราไร่ละ ๕,๐๙๘ บาท ที่เคยได้รับการช่วยเหลือไปแล้วในเบื้องต้นออก ๑.๑.๒ การพิจารณาการช่วยเหลือกรณีส้มโอและทุเรียนที่ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ ควรใช้แนวทางการช่วยเหลือเป็นเงินสดเหมือนกับการช่วยเหลือกรณีพืชอื่นซึ่งเกิดภัยในช่วงเดียวกัน ๑.๑.๓ ให้มีการทบทวนและปรับปรุงหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตรทั้งระบบ และในระยะต่อไปควรมีการปรับปรุงและกำหนดแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรในรูปแบบอื่น เช่น การให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย และการประกันภัยพืชผลทางการเกษตร ในกรณีของหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย ๑.๒ เห็นชอบช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษ (ส้มโอ และทุเรียน) วงเงินช่วยเหลือ ๔๕๘,๓๐๒,๘๗๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เนื่องจากสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ แล้ว โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อดำเนินการเบิกจ่ายให้เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ เกษตรกรที่จะได้รับการช่วยเหลือกรณีพิเศษ (ส้มโอ และทุเรียน) ดังกล่าว จะต้องเป็นเกษตรกรที่ประสบความเสียหายจากการเกิดอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ และจะต้องดำเนินการเพาะปลูกพืชชนิดเดิมที่ได้รับความเสียหาย (ส้มโอ และทุเรียน) เพื่อเป็นการอนุรักษ์ให้พืชผลไม้ที่มีชื่อเสียงประจำถิ่นคงอยู่สืบไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานและหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการให้การจ่ายเงินช่วยเหลือผ่าน ธ.ก.ส. ไปยังเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในกรณีนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษที่ต้องการให้เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยสามารถนำเงินที่ได้รับการช่วยเหลือไปใช้สำหรับการเพาะปลูกและฟื้นฟูส้มโอ และทุเรียน ทดแทนของเดิมที่ได้รับความเสียหาย เพื่อเป็นการอนุรักษ์ผลไม้ที่มีชื่อเสียงประจำถิ่นให้คงอยู่ได้อย่างแท้จริงต่อไป และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27420 | การรับรองแถลงข่าวร่วมจากการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐชิลีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู | กต | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อแถลงข่าวร่วมไทย-สาธารณรัฐชิลี และไทย-สาธารณรัฐเปรู ในโอกาสที่นายเซบัสเตียน ปิเญรา เอเชนีเก ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐชิลี และนายโอยันตา อุมาลา ตัสโซ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู จะเดินทางเยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๔-๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ในฐานะแขกของรัฐบาล และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองแถลงข่าวร่วมดังกล่าว ทั้งนี้ แถลงข่าวร่วมฯ ทั้งสองฉบับมีสาระสำคัญเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีในด้านต่าง ๆ ๑.๑.๑ สาธารณรัฐชิลี ได้แก่ เรื่องการค้าการลงทุน โดยเฉพาะการลงนามความตกลงการค้าเสรีไทย-ชิลี ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีลักษณะบูรณาการฉบับแรกที่ไทยมีกับประเทศในลาตินอเมริกา ความร่วมมือทางวิชาการ ความร่วมมือด้านการเกษตร การท่องเที่ยว การบริหารการเดินอากาศ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ตลอดจนความร่วมมือในกรอบพหุภาคีต่าง ๆ ๑.๑.๒ สาธารณรัฐเปรู ได้แก่ เรื่องการค้าการลงทุน ความเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ การประกาศการบรรลุผลการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) ฉบับสมบูรณ์ การแลกเปลี่ยนนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญและองค์ความรู้ระหว่างกันในสาขาการเกษตร อุตุนิยมวิทยา นวัตกรรม การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความร่วมมือทางวิชาการและการศึกษาการจัดการสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือในการต่อต้านอาชญากรรมองค์การ และการลักลอบค้ายาเสพติด ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และความร่วมมือในกรอบพหุภาคีต่าง ๆ ๑.๒ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของแถลงข่าวร่วมดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการให้ตัดข้อความในแถลงข่าวร่วมไทย-สาธารณรัฐเปรู หน้า ๔ ข้อ (๔) Inter-Institutional Cooperation Agreement between the Office of Narcotics Control Board (ONCB) and the National Commission for Development and Life without Drugs (DEVIDA) (To be confirmed), ออก เนื่องจากยังไม่สามารถลงนามในความตกลงดังกล่าวในช่วงเวลานี้ได้ ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
.....
