ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1378 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 27541 - 27560 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 27541 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งผู้ตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักนายกรัฐมนตรี) (จำนวน 3 ราย 1. นางประภาศรี บุญวิเศษ ฯลฯ) | นร01 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นางประภาศรี บุญวิเศษ ๒. นายสมพาศ นิลพันธ์ ๓. นางสาวอัมพวัน เจริญกุล
|
||||||||||||||||||
| 27542 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
| 27543 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน (นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม) | กค | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสุเมธ ดำรงชัยธรรม เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน แทนนายศรกวี ปูรณโชติ กรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสินที่ขอลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ (๑๗ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||
| 27544 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการบินพลเรือน (จำนวน 7 ราย 1. นายประสิทธิ์ ศิริภากรณ์ ฯลฯ) | คค | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการบินพลเรือน จำนวน ๗ คน ตามความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๗ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. นายประสิทธิ์ ศิริภากรณ์ ๒. นางพรศิริ มโนหาญ ๓. นายชัยศักดิ์ อังค์สุวรรณ ๔. รองศาสตราจารย์ นาวาอากาศเอก วรพจน์ ขำพิศ ๕. นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ๖. นายชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ ๗. นายพิสิฐ กุศลาไสยานนท์
|
||||||||||||||||||
| 27545 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (นางสาววรางคณา อิ่มอุดม) | อก | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาววรางคณา อิ่มอุดม ผู้บริหารส่วน ส่วนเศรษฐกิจด้านอุปทาน สำนักเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน เป็นกรรมการผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ แทนนางสาวจีรพรรณ โอฬารธนาเศรษฐ์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๗ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||
| 27546 | ข้อเสนอแนะ "แนวทางที่จะสร้างความปรองดองของคนในชาติ" | ยธ | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะ “แนวทางที่จะสร้างความปรองดองของคนในชาติ” ของศาสตราจารย์ อุกฤษ มงคลนาวิน ประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะฯ ดังนี้
๑. หลักนิติธรรม การออกกฎหมาย การใช้การบังคับใช้กฎหมาย การตีความกฎหมายและการดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมต้องอยู่ภายใต้หลักนิติธรรม หรือกฎหมายต้องไม่ขัดต่อหลักนิติรัฐหรือนิติธรรม หากกฎหมายใดขัดต่อหลักดังกล่าวจำเป็นที่จะต้องยกเลิกและแก้ไขปรับปรุงให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. หลักความยุติธรรม กระบวนการยุติธรรมหรือการบังคับใช้กฎหมายตามหลักนิติธรรมที่ให้ความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียม ซึ่งสังคมไทยมีปัญหาที่สำคัญ คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและปัญหาประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม โดยมีสาเหตุจากระบบกฎหมายไทยนำโทษทางอาญามาใช้เกินความจำเป็น การเน้นวิธีการลงโทษทางอาญาด้วยการจำคุก และปัญหาจากการกำหนดโทษปรับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๓. หลักเมตตาธรรม เป็นหลักการอีกประการหนึ่งที่จะช่วยสร้างความสามัคคีปรองดองของคนในชาติได้ โดยเฉพาะหากศาลยุติธรรมหรือหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จะได้ทบทวนแนวทางในการบังคับใช้กฎหมายด้วยการยึดมั่นในหลักความยุติธรรม ความเสมอภาค และคำนึงถึงสิทธิผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญา โดยเฉพาะการใช้ดุลพินิจเพื่อปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยเฉพาะการกระทำความผิดซึ่งไม่ได้เป็นอาชญากรรมแต่เกิดจากความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||
| 27547 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (จำนวน 6 ราย 1. นายมณฑล สงวนเสริมศรี ฯลฯ) [การพิจารณาแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน)] | สมศ | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๗ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) เสนอ ดังนี้
๑. นายมณฑล สงวนเสริมศรี ประธานกรรมการ ๒. นางเพ็ชรากรณ์ วัชรพล สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายเลอศักดิ์ จุลเทศ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นางวัลลิยา ปังศรีวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายสมบัติ สุวรรณพิทักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นายอรรถพล ใหญ่สว่าง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||
| 27548 | ขอเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ (นายจรัญ หอมเทียมทอง) | พณ | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายจรัญ หอมเทียนทอง ผู้แทนสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ แทนนายวรพันธ์ โลกิตสถาพร ที่ขอลาออก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๗ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||
| 27549 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติยศทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ประสานงานกับ ปสส. เพื่อดำเนินการกำหนดวันแถลงรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อที่ประชุมวุฒิสภา ในสมัยสามัญทั่วไป พ.ศ. ๒๕๕๖ และกำหนดวันแถลงหรือชี้แจงตามญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๖๑ (พลตำรวจโท ยุทธนา ไทยภักดี กับคณะ เป็นผู้เสนอ)
|
||||||||||||||||||
| 27550 | ร่างพระราชบัญญัติยศทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติยศทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||
| 27551 | เอกสารสิทธิ์และสิทธิครอบครองประกอบการออกใบรับรองเกษตรกร | นร | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงว่า “เอกสารสิทธิ์” ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๖ (เรื่อง มาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖/๕๗) หมายถึงเอกสารแสดงสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินและตามกฎหมายอื่น รวมทั้งเอกสารแสดงการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินที่หน่วยงานของรัฐออกให้เพื่อทำการเกษตร ทั้งนี้ การดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาราคาพืชเกษตรชนิดต่าง ๆ เช่น ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน และยางพารา เป็นต้น มีคณะกรรมการระดับนโยบายเฉพาะพืชเกษตรชนิดนั้น ๆ ดูแลรับผิดชอบและมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการอยู่แล้วโดยตรง ๒. ให้คณะกรรมการระดับนโยบายเฉพาะพืชเกษตรแต่ละชนิด เช่น คณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ เป็นต้น นำหลักการเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์ดังกล่าวข้างต้นไปพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการให้ถูกต้องและเหมาะสมสอดคล้องกับข้อเท็จจริงของสภาพปัญหาและการเพาะปลูกพืชเกษตรแต่ละชนิดต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 27552 | ผลการเยือนสมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐอิตาลี และสาธารณรัฐมอนเตเนโกร | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีรายงานผลการเยือนสมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐอิตาลี และสาธารณรัฐมอนเตเนโกร ในระหว่างวันที่ ๘-๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเยือนสมาพันธรัฐสวิส ได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และได้หารือกับผู้แทนขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) และการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development : UNCTAD) เกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิมนุษยชน การค้ามนุษย์และการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย รวมทั้งได้หารือกับสถาบันเพื่อการพัฒนาการจัดการ (Institute for Management Development : IMD) ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่มีการจัดศักยภาพด้านการแข่งขันของประเทศต่าง ๆ โดยได้ศึกษาเกี่ยวกับวิธีการจัดการข้อมูลของ IMD ในการจัดศักยภาพการแข่งขัน ซึ่งสามารถจะนำมาปรับใช้กับการวัดขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทย โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามเรื่องที่เกี่ยวกับการจดทรัพย์สินทางปัญญาแก่สินค้าและบริการ เนื่องจากเมื่อประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้ว การจดทรัพย์สินทางปัญญาต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นจะมีความสำคัญและจำเป็นมาก และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดต่อประสานงานกับ IMD เกี่ยวกับการดำเนินการวัดขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทยต่อไป ๒. การเยือนสาธารณรัฐอิตาลี ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลีเกี่ยวกับการเจรจาผลักดันเขตการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) ไทย-สหภาพยุโรป การพัฒนาร่วมกันทางด้านอาหารและการตลาดในลักษณะเป็นพันธมิตรในการทำการค้าสินค้า OTOP ของสาธารณรัฐอิตาลีในตลาดเอเชีย การออกแบบและแฟชั่น รวมทั้งได้ศึกษาดูงานที่ห้างสรรพสินค้า (Eataly Roma) ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีการพัฒนาการขายสินค้าเกษตรเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าจากผู้ผลิตต้นทางที่ให้ได้รับสินค้าที่สดใหม่ มีคุณภาพ และราคาที่เป็นธรรม และยังมีการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้บริโภคเกี่ยวกับการเลือกสินค้าและการปรุงอาหารด้วย โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนินการเกี่ยวกับการสนับสนุนธุรกิจ SMEs และการส่งเสริมการลงทุน และกระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาสินค้า OTOP ในภาพรวม และการพัฒนาในแต่ละจังหวัด รวมทั้งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาการขายสินค้าในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ของประเทศไทยให้สามารถสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีคุณภาพ ทั่วถึง และในราคาที่เหมาะสม ๓. การเยือนสาธารณรัฐมอนเตเนโกร ได้เข้าหารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐมอนเตเนโกรเกี่ยวกับการค้าการลงทุนระหว่างกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นควรที่จะสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นประตูการค้าสู่เอเชีย และสาธารณรัฐมอนเตเนโกรเป็นประตูการค้าสู่ภูมิภาคบอลข่านและยุโรปตะวันออก ซึ่งจะทำให้ทั้งสองประเทศสามารถขยายความร่วมมือทั้งด้านการท่องเที่ยว การประมง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ สาธารณรัฐมอนเตเนโกรยังต้องการการสนับสนุนในด้านการเกษตรและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารทะเลร้อยละ ๘๐ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการเพื่อส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือในด้านการค้าการลงทุนดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 27553 | การแก้ไขปัญหาการชุมนุมของกลุ่มเกษตรกรสวนยางพาราในพื้นที่ภาคใต้ | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรายงานว่า ตามที่ได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงในการแก้ไขปัญหาราคายางพาราระหว่างผู้แทนภาครัฐ และภาคีเครือข่ายเกษตรกรสวนยางพาราและปาล์มน้ำมันในวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๖ กลุ่มเกษตรกรสวนยางพาราในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชที่ยังมีความไม่พอใจได้ปิดเส้นทางจราจรสายหลัก ๒ จุด คือ บริเวณแยกควนหนองหงส์ อำเภอชะอวด และแยกบ้านเตาปูน อำเภอจุฬาภรณ์ ซึ่งเมื่อได้มีการเจรจากันแล้วในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ สถานการณ์ได้คลี่คลายลง คงเหลือจุดชุมนุมแห่งเดียว คือ บริเวณแยกควนหนองหงส์ โดยมีผู้ร่วมชุมนุมจำนวนประมาณ ๒๐๐ คน และในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าคลี่คลายสถานการณ์และขอคืนพื้นที่บริเวณแยกควนหนองหงส์ เพื่อเปิดการจราจรให้เป็นปกติได้ในช่วงเช้า ในช่วงบ่ายได้มีกลุ่มชายวัยรุ่นรวมตัวกันปฏิบัติการตอบโต้และปิดล้อมเจ้าหน้าที่ ใช้ก้อนหินขว้างปา ใช้ขวดน้ำมันจุดไฟ และใช้หนังสติ๊กยิงหัวน็อตและลูกแก้ว เจ้าหน้าที่ได้ตอบโต้ด้วยแก๊สน้ำตาเท่าที่จำเป็นและถอยออกจากจุดปะทะประมาณ ๑๐ กิโลเมตร เพื่อลดการสูญเสีย ผลการปะทะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ ๗๖ นาย บาดเจ็บสาหัส ๔ นาย รถยนต์ถูกไฟไหม้ ๙ คัน และอาวุธปืนสูญหาย ๒ กระบอก ทั้งนี้ การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวได้พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าอันจะก่อให้เกิดสถานการณ์รุนแรงบานปลาย และได้ดำเนินการต่อผู้ชุมนุมในกรอบของกฎหมาย เป็นไปตามขั้นตอนและมาตรฐานสากล เพื่อให้เป็นที่ยอมรับได้ของสังคมโดยทั่วไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ปฏิบัติงานกันด้วยความเสียสละและย้ำว่า การแก้ไขปัญหาการชุมนุมของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพาราดังกล่าวต้องใช้ความอดทน ดำเนินการด้วยความละมุนละม่อม และบริหารจัดการให้เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานสากล รวมทั้งให้เป็นที่ยอมรับของสังคมโดยรวม อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของโลกมีการชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของประเทศ และปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการรับรู้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน ล่าช้า และไม่ทั่วถึง ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจทุกหน่วยงานควรเร่งชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสาธารณชนทั่วไปได้รับทราบข้อเท็จจริงที่ถูกต้องอย่างรวดเร็วและเป็นที่เข้าใจตรงกัน ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการประสานงานกับโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โฆษกประจำกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริง ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้ว ให้สื่อมวลชนและประชาชนได้ทราบอย่างถูกต้อง ทั่วถึง และทันต่อสถานการณ์ต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์บูรณาการการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการบริหารจัดการยางพาราที่อยู่ในสต็อกให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ สนับสนุนการใช้ประโยชน์จากยางธรรมชาติให้เพิ่มมากขึ้น โดยให้แจ้งความจำนงไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรองนายกรัฐมนตรี (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการศึกษาภาพรวมของอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ (value chain) เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพาราในระยะยาวต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 27554 | การดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษาทางเลือกของประชาชน | นร05 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
||||||||||||||||||
| 27555 | เลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในระหว่างวันที่ 19-20 กันยายน 2556 | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้เลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ กันยายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี ออกไปก่อน และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานงานกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณากำหนดวันสำหรับการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 27556 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... ของวุฒิสภา พร้อมผลการพิจารณาตามข้อสังเกตดังกล่าวที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในกรณีที่บทนิยามคำว่า "ความผิดร้ายแรง" ตามร่างมาตรา ๓ ได้กำหนดความผิดอาญาที่มีโทษจำคุกขั้นสูงตั้งแต่สี่ปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เป็นการกำหนดฐานความผิดที่มีอัตราโทษจำคุกที่ต่ำเกินไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้กระทำความผิดอาญาที่ไม่ร้ายแรง ฉะนั้น จึงควรบัญญัติให้อัตราโทษจำคุกตามร่างพระราชบัญญัตินี้มากกว่าสี่ปี ตามอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร ๒. ในกรณีที่บทนิยามคำว่า "พนักงานสอบสวน" ตามร่างมาตรา ๓ นั้นให้หมายถึงพนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนคดีอาญาความผิดที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามร่างพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น ซึ่งมิได้หมายความรวมถึงพนักงานสอบสวน ผู้มีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทุกประเภท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๖) ๓. การออกข้อบังคับเพื่อปฏิบัติการเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตามร่างมาตรา ๔ ซึ่งบัญญัติให้อัยการสูงสุดเป็นผู้มีอำนาจออกข้อบังคับนั้น อัยการสูงสุดควรให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมปรึกษาหารือและหาแนวทางร่วมกันในการกำหนดข้อบังคับเพื่อให้เกิดความรอบคอบและเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานต่อไป ๔. การบัญญัติให้ผู้กระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๘๙ และมาตรา ๘๙/๑ ดังนั้น ร่างมาตรา ๑๐ ซึ่งบัญญัติให้เป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนควรได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติก่อน ๕. การสืบสวนและสอบสวนการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามร่างมาตรา ๑๔ เป็นการบัญญัติให้ข้าราชการอัยการชั้น ๓ ขึ้นไปหรือข้าราชการพลเรือนตั้งแต่ระดับชำนาญการขึ้นไป หรือข้าราชการตำรวจตำแหน่งตั้งแต่สารวัตรหรือเทียบเท่าขึ้นไป เป็นหัวหน้าในการดำเนินการในการเข้าตรวจค้นจับกุม ได้ทุกกรณี ดังนั้น จึงควรมีมาตรการควบคุมการใช้ดุลพินิจดังกล่าวของพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ๖. เกี่ยวกับอัตราโทษที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัตินี้ ตามที่บัญญัติไว้ในร่างมาตรา ๘ กำหนดไว้เป็น “สองเท่า” ร่างมาตรา ๙ และมาตรา ๒๙ วรรคสอง กำหนดไว้เป็น “สามเท่า” เป็นการกำหนดอัตราโทษที่หนักเกินไป อาจเป็นที่เกรงกลัวของเจ้าหน้าที่ที่จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ นอกจากนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๙ ก็ได้กำหนดอัตราโทษไว้ในอัตราที่สูงอยู่แล้วสำหรับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ คือ จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปีหรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือประหารชีวิตนั่นเอง |
||||||||||||||||||
| 27557 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกรกฎาคม 2556 | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชานและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ได้ดำเนินการกำหนดราคาสินค้าและบริการควบคุม การดูแลราคาต้นทางและราคาปลายทาง การกำหนดมาตรการในการดูแลราคา การตรึงราคาจำหน่ายสินค้า การกำกับดูแลราคาจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ การติดตามตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย (สายตรวจ Mobile Unit) การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันดีเซล การส่งเสริมให้มีการใช้แก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น รวมทั้งการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง ตลอดจนการตรึงราคา NGV สำหรับประชาชน และกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ ๒. ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศสร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค ได้ดำเนินการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับค่าแรงงานเป็นวันละ ๓๐๐ บาท และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ SMEs การจัดสรรเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การขยายระยะเวลาโครงการบ้าน ธ.อ.ส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก และการคืนภาษีสำหรับการซื้อรถยนต์คันแรก ๓. ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ฉบับที่ .. พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล) ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) ได้ดำเนินการโอนเงินโครงการพัฒนาศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชน (SML) ไปแล้วจำนวน ๗๗,๔๗๑ หมู่บ้าน/ชุมชน จำแนกเป็นหมู่บ้าน/ชุมชน ๗๖ จังหวัด จำนวน ๗๖,๕๓๔ แห่ง ชุมชนในกรุงเทพมหานคร จำนวน ๙๓๗ แห่ง ๕. ยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน ได้แก่ การดำเนินโครงการบัตรเครดิตเกษตรกร ได้อนุมัติแล้ว ๔,๑๓๒,๕๘๕ บัตร ส่งมอบบัตรแล้ว ๔,๑๒๕,๙๖๐ ราย วงเงินอนุมัติ ๖๐,๑๘๓ ล้านบาท การขึ้นทะเบียนเกษตรกรในพืชสำคัญ ๓ ชนิด (ข้าวนาปี มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) การดำเนินโครงการรับจำนำขาวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ มีสหกรณ์เข้าร่วมโครงการฯ รวม ๒๒๖ สหกรณ์ ได้ให้บริการรับจำนำ/บริการรวบรวมข้าวเปลือกจากสมาชิก ๓๕๑,๕๖๑ ราย ปริมาณข้าวเหลือรวม ๑,๗๔๔,๒๖๐.๖๐๑ ตัน องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรรับจำนำแล้ว ๓.๕๕๔ ล้านตัน มูลค่า ๕๖,๑๙๕.๙๓๕ ล้านบาท จำนวนเกษตรกร ๔๘๒,๐๒๒ ราย จำนวนโรงสี ๒๗๐ แห่ง นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินโครงการรักษาเสถียรภาพราคามะพร้าว ปี ๒๕๕๕ การรักษาเสถียรภาพราคายาง การเยียวยาและการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรจากภัยพิบัติด้านเกษตรกร ในกรณีฝนทิ้งช่วง/ภัยแล้ง อุทกภัย วาตภัย และศัตรูพืชระบาด การจัดทำระบบทะเบียนครัวเรือนเกษตรกร การช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจนที่เป็นลูกหนี้กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจนที่มีปัญหาด้านหนี้สินและที่ดิน เป็นต้น ๖. ปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ได้ดำเนินการจัดหาที่ดินให้แก่เกษตรกร การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ การจัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดการที่ดินป่าไม้ ๗. เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ ได้ดำเนินการโครงการสีสันสดใสเมืองไทยน่าเที่ยว โครงการพัฒนาถนนสายท่องเที่ยว ส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวเมืองช้าง พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวตามรอยเส้นทางถ่ายทำภาพยนตร์ รวมถึงการพัฒนาฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ จำนวน ๑๙ โครงการ ๘. สนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) ได้ดำเนินการจัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ให้วางจำหน่ายสินค้า OTOP การจับคู่เจรจาธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การส่งเสริมมาตรฐานและยกระดับสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยการสร้างตราสินค้า ถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาการผลิต ยกระดับผู้ประกอบการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพตามแนวพระราชดำริ รวมทั้งเสริมสร้างผู้ประกอบการรายใหม่
|
||||||||||||||||||
| 27558 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อนำไปชำระคืนเงินต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่ถึงกำหนด ในปีงบประมาณ 2557 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อนำไปชำระคืนเงินต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ จำนวน ๒๐,๐๗๔.๔๙๔ ล้านบาท (ไถ่ถอนพันธบัตรและชำระคืนเงินต้นเงินกู้ที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ จำนวน ๑๖,๙๙๒.๗๑๑ ล้านบาท และชำระค่าดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ จำนวน ๓,๐๘๑.๗๘๓ ล้านบาท) ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงินดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งพิจารณาแนวทางและหรือมาตรการในการบริหารจัดการหนี้ของ ขสมก. โดยเร็ว เพื่อแก้ไขปัญหาด้านฐานะการเงินของ ขสมก. ในระยะยาว และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการให้บริการด้านการเดินทางแก่ประชาชน นอกจากนี้ ควรมีแผนปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเพิ่มรายได้จากการบริการ รวมทั้งเร่งรัดการแก้ไขปัญหาอุปสรรค และปรับปรุงระบบการบริหารการเงินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 27559 | ขออนุมัติเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวประจำกรุงเทพมหานคร | กต | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวประจำกรุงเทพมหานคร โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมกรุงเทพมหานคร ๒. แต่งตั้งนายจักร จามิกรณ์ เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวประจำกรุงเทพมหานคร
|
||||||||||||||||||
| 27560 | สรุปสถานการณ์นักท่องเที่ยว ระหว่างเดือนมกราคม - กรกฎาคม 2556 | กก | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์นักท่องเที่ยว ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จำนวน ๒,๒๒๓,๖๘๕ คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากที่สุด ๑๐ อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ อินเดีย ออสเตรเลีย และรัสเซีย ตามลำดับ ๒. เดือนมกราคม-กรกฎาคม ๒๕๕๖ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทย จำนวน ๑๔,๙๖๘,๐๕๙ คน โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ภูมิภาคที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ เอเชียตะวันออก ยุโรป และอเมริกา ตามลำดับ สำหรับประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากที่สุด ๑๐ อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย รัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย สหราชอาณาจักร ลาว ออสเตรเลีย และเยอรมนี ตามลำดับ ๓. ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การขยายตัวของการเดินทางท่องเที่ยวโลก ความนิยมต่อแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทย สินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีความหลากหลาย ประเทศไทยมีความคุ้มค่าทางการท่องเที่ยวสูง ประชาชนมีความเป็นมิตร สร้างความอบอุ่นและประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว ประกอบกับการดำเนินการตามแผนงานส่งเสริมและสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีส่วนสำคัญในการช่วยลดอุปสรรคด้านการเดินทางท่องเที่ยว ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ กระตุ้นและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยเพิ่มขึ้น ๔. แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยว ปี ๒๕๕๖ องค์การการท่องเที่ยวโลก United Nations World Tourism Organization (UNWTO) คาดว่าแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวโลกในปี ๒๕๕๖ จะขยายตัวต่อเนื่องประมาณร้อยละ ๓-๔ จากปีที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทย จากการวิเคราะห์สถิติการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในช่วง ๗ เดือนแรกของปี ๒๕๕๖ และแนวโน้มสถานการณ์การเดินทางท่องเที่ยวโลก ตลอดจนแผนงานและมาตรการด้านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การประชาสัมพันธ์และกระตุ้นตลาดของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวของประเทศไทยในปี ๒๕๕๖ จะขยายตัวไม่ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ๕. ผู้เดินทางชาวไทยเดินทางออกไปต่างประเทศ ปี ๒๕๕๖ ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม ๒๕๕๖ มีผู้เดินทางชาวไทยเดินทางออกไปต่างประเทศ จำนวน ๔,๗๐๖,๘๐๕ คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยผู้เดินทางชาวไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเป็นหลักและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||
.....
