ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1370 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 27381 - 27400 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 27381 | การรับรองอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยการจัดการสารปรอท | ทส | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับรอง (adoption) อนุสัญญามินามาตะว่าด้วยการจัดการสารปรอท และเอกสารข้อมติ (resolutions) และกรรมสารสุดท้าย (the final act of the conference) ในการประชุม Conference of Plenipotentiaries on the Minamata Convention on Mercury ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ เมือง Kumamoto/Minamata ประเทศญี่ปุ่น โดยจะยังไม่ลงนามในอนุสัญญาฯ ๑.๒ หากมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ขอให้การรับรองเอกสารข้อมติและกรรมสารสุดท้ายอยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรตรวจสอบเนื้อหาสาระของอนุสัญญาฯ ว่าเป็นไปตามกรอบการเจรจาของประเทศไทยสำหรับประชุมคณะเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการสารปรอท เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ที่รัฐสภาเห็นชอบด้วย เนื่องจากการรับรองอนุสัญญาฯ ดังกล่าวจะนำไปสู่การลงนามและการแสดงเจตนาเข้าผูกพันกับประเทศไทยซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาต่อไปด้วย หากประเทศไทยมีนโยบายที่จะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ดังกล่าว นอกจากนี้ การดำเนินการด้านการจัดการสารปรอททั้งวัฏจักรชีวิตตั้งแต่การผลิต การนำเข้า การส่งออก การใช้การบำบัด และการจัดการสารปรอท ยังมีความจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากอีกหลายภาคส่วน และควรหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน รวมทั้งควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการปฏิบัติตามพันธกรณีฯ เพื่อจัดเตรียมความพร้อมในการรองรับอนุสัญญาฯ ก่อนพิจารณาลงนามในอนุสัญญาฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27382 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 2/2556 | นร11 | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ ระหว่างวันที่ ๒๖ มิถุนายน-๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ เมืองเมดาน สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยประเด็นสำคัญของการประชุมฯ ได้แก่ แผนการดำเนินงานในแต่ละกลุ่มเพื่อนประธาน การจัดทำรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี การจัดทำรายงานความก้าวหน้าในช่วงกลางของแผนงาน APEC New Strategy for Structural Reform (ANSSR) การหารือระดับนโยบายเรื่องที่ ๑ : การปฏิรูประบบราชการ (Bureaucratic Reform) การหารือระดับนโยบายเรื่องที่ ๒ : มาตรฐานการบัญชีภาครัฐ และ International Public Sector Accounting Standards (IPSAS) การหารือระดับนโยบายเรื่องที่ ๓ : การอภิปรายเรื่องภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค สรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องบทเรียนจากวิกฤติทางการเงินสำหรับกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทและบรรษัทภิบาล (Corporate Law and Governance) และสรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องการลดขั้นตอนการรับรองเอกสารตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการยกเลิกความจำเป็นในการรับรองเอกสารทางการของต่างประเทศ ค.ศ. ๑๙๖๑ (Hague Convention of 5 October 1961 Abolishing the Requirement of Legalisation for Foreign Public Documents) รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๑ ฝ่ายไทยได้หารือกับญี่ปุ่นในฐานะผู้ประสานงานหลักของกลุ่มเพื่อนประธานในเรื่องการปฏิรูปกฎระเบียบ โดยเสนอขอให้ญี่ปุ่นพิจารณาประเทศไทยเป็นกรณีศึกษาในโครงการที่จะจัดทำในอนาคต คือ การส่งเสริมนวัตกรรม และการพัฒนาบรรยากาศทางธุรกิจของ SMEs ๑.๒ ข้อตกลงตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. ๑๙๖๑ เป็นผลให้การรับรองเอกสารทางการของต่างประเทศมีความสะดวกรวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วยป้องกันการสูญหาย และสามารถตรวจสอบได้ง่ายจากการบริการแบบ One-Stop Service ซึ่งเป็นประโยชน์กับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เป็นการอำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุนระหว่างรัฐภาคี ทั้งด้านการค้าข้ามพรมแดนและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งอ้างอิงได้จากการประเมินในฐานข้อมูลของธนาคารโลกเรื่อง Investing Across Borders ที่ให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกตามอนุสัญญากรุงเฮก ตลอดจนช่วยพัฒนาตัวชี้วัด EoDB ของประเทศให้อยู่ในอันดับที่ดีขึ้น ๑.๓ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ควรมีการศึกษาข้อตกลงตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. ๑๙๖๑ ในรายละเอียด และพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ไทยจะเข้าร่วมเป็นรัฐภาคี (Contracting State) ของอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการยกเลิกความจำเป็นในการรับรองเอกสารทางการของต่างประเทศ ค.ศ. ๑๙๖๑ (Hague Convention of 5 October 1961 Abolishing the Requirement of Legalisation for Foreign Public Documents) โดยไม่ต้องสมัครเป็นสมาชิก (Member State) ขององค์กรกฎหมายระหว่างประเทศ Hague Conference on Private International Law (HCCH) ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาข้อตกลงตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. ๑๙๖๑ ในรายละเอียดและพิจารณากำหนดท่าทีของไทย และนำเสนอผลการพิจารณาแก่คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 27383 | การโอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในส่วนของ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ให้กับสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) | นร04 | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในส่วนของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา ประกอบด้วย อาคาร สิ่งปลูกสร้าง และระบบสุขาภิบาล จำนวน ๑๕ รายการ มูลค่ารวม ๒,๔๕๙,๘๖๗,๗๗๙ บาท ครุภัณฑ์ จำนวน ๓๙๖ รายการ (ประเภท) มูลค่ารวม ๑๑๑,๙๐๐,๐๐๐ บาท สัญญาก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้าง หนังสือค้ำประกันสัญญา พร้อมทั้งการรับประกันผลงานตามสัญญา จำนวน ๖ สัญญา และสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินราชพัสดุแปลงทะเบียนหมายเลข ชม.๑๗๔๕ ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ ๓๓๕ ไร่-งาน-ตารางวา ไปเป็นของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ตามความในมาตรา ๔๐ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 27384 | การใช้อัตราข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจากผลการเกษียณอายุราชการเพื่อบรรจุบัณฑิตครูคืนถิ่นตามโครงการกองทุนการศึกษา สำนักงานเลขาธิการคณะองคมนตรี | ศธ | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ใช้อัตราข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจากผลการเกษียณอายุราชการในทุกปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป เพื่อรองรับการบรรจุนักศึกษาทุนพระราชทาน “บัณฑิตครูคืนถิ่น” โครงการกองทุนการศึกษา สำนักงานเลขาธิการคณะองคมนตรี เท่าจำนวนนักศึกษาทุนที่สำเร็จการศึกษาในแต่ละปีการศึกษา ให้ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการครูสังกัด สพฐ. ในโรงเรียนที่อยู่ในโครงการกองทุนการศึกษา หรือโรงเรียนเครือข่ายในภูมิลำเนาท้องถิ่นของตนเอง ตามเงื่อนไขข้อผูกพันของโครงการฯ โดยให้รายงานจำนวนอัตราเกษียณอายุราชการที่ต้องใช้ในการบรรจุนักศึกษาทุนพระราชทานในแต่ละปีการศึกษาให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) รับทราบด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ทันต่อการบรรจุนักศึกษาทุนพระราชทานเป็นการเฉพาะเท่าจำนวนที่จะใช้ในการบรรจุในแต่ละปีงบประมาณ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๖ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖)] ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ที่เห็นควรมีการวิเคราะห์โครงสร้างอัตรากำลังคนในภาพรวมของสถานศึกษาในสังกัด สพฐ. ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจขององค์กร ควรเน้นการบรรจุครูผู้สอนให้มีคุณวุฒิตรงตามวิชาที่สอนตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความต้องการของโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่โครงการฯ รวมทั้งควรจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับแผนความต้องการอัตรากำลังคนและข้อมูลครูของโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ของโครงการฯ ให้มีความชัดเจน อาทิ จำนวนอัตราและจำนวนโรงเรียนที่ขอบรรจุครู จำนวนบัณฑิตครูคืนถิ่นในแต่ละปี จำนวนครูที่ขาดแคลนในแต่ละสาขาวิชาหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ และการวิเคราะห์ถึงผลกระทบในการบริหารจัดการอัตรากำลังครู กรณีหากมีการยุบหรือยุบเลิกโรงเรียนในพื้นที่พิเศษดังกล่าวในระยะยาว เพื่อเป็นข้อมูลประกอบให้ คปร. พิจารณาตามเหตุผลความจำเป็นเป็นปี ๆ ไป สำหรับการดำเนินการในปีต่อไป เห็นควรดำเนินการตามข้อเสนอมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ตามมติ คปร. ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27385 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงาน | พน | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงาน (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China on Energy Cooperation) โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อมุ่งหวังที่จะทำให้เกิดโอกาสทางการค้า การลงทุนด้านพลังงานในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยคำนึงถึงความสนใจร่วมกันในการพัฒนาและกระตุ้นเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และสังคมสำหรับทั้งสองประเทศและประชาชนของทั้งสองประเทศ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกับผู้มีอำนาจลงนามของสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||||||||
| 27386 | ขออนุมัติดำเนินโครงการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และขอยกเลิกโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA | ทก | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแนวทางการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ HSPA ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยมีรูปแบบการให้บริการขายส่งบริการ (Wholesaler) และผู้ให้บริการขายต่อบริการ (Reseller) บนเทคโนโลยี HSPA เพื่อให้สามารถให้บริการแก่ผู้ใช้บริการรายเดิมและปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจสื่อสารไร้สายของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (กสท) ให้สามารถแข่งขันในตลาดโทรคมนาคม รวมทั้งเร่งฟื้นฟูฐานะการเงินเพื่อให้องค์กรอยู่ได้แม้ไม่มีรายได้จากสัญญาสัมปทาน ภายใต้แผนยุทธศาสตร์เพื่อพลิกฟื้นฐานะการเงิน ปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐ ซึ่งคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจมีมติเห็นชอบแผนดังกล่าวแล้ว ๑.๒ อนุมัติให้ยกเลิกโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ส่วนภูมิภาค มูลค่า ๓,๘๐๐ ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ [เรื่อง โครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ของ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)] อนุมัติให้ดำเนินโครงการดังกล่าว เนื่องจากหมดความจำเป็นจากการที่ กสท เลือกใช้ระบบ HSPA แทนระบบ CDMA ในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่ ๑.๓ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดตรวจสอบการดำเนินโครงการดังกล่าวของ กสท ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด และตรวจสอบข้อเท็จจริงของการดำเนินโครงการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ HSPA รวมทั้งจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงของโครงการและติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด ๑.๔ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดควรตรวจสอบการดำเนินโครงการดังกล่าวของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด และตรวจสอบข้อเท็จจริงของการดำเนินโครงการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ HSPA การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงของโครงการและติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด และกระทรวงการคลังควรพิจารณาปรับปรุงรูปแบบการดำเนินงาน บทบาท และความจำเป็นในการคงสภาพของรัฐวิสาหกิจในธุรกิจโทรคมนาคมให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแข่งขันในปัจจุบันและเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจขององค์กร ไปดำเนินการ รวมทั้งให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตรวจสอบรายละเอียดของสัญญา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ กสท และไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ ๒. ให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นว่า ในอนาคตหาก กสท มีความประสงค์ที่จะยกเลิกการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ CDMA ทั้งหมด ก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบหรือประกาศที่เกี่ยวข้องของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม และให้ กสท พิจารณาถึงความผูกพันและผลกระทบในสัญญาที่เกี่ยวข้องกับโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA รวมถึงผลกระทบต่อผู้ใช้บริการระบบดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27387 | ปฏิญญาบันดาร์เสรีเบกาวันว่าด้วยโรคไม่ติดต่อในอาเซียน | สธ | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบปฏิญญาบันดาร์เสรีเบกาวันว่าด้วยโรคไม่ติดต่อในอาเซียน (Bandar Seri Begawan Declaration on Noncommunicable Diseases in ASEAN) ซึ่งจะมีการรับรองโดยผู้นำอาเซียนในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ (23rd ASEAN Summit) ในวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม โดยปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านโรคไม่ติดต่อในภูมิภาคอาเซียน เช่น การลดปัจจัยเสี่ยงสำหรับโรคไม่ติดต่อ การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารร่วมกับภาคเอกชนเพื่อให้มีข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับการเลือกอาหารเพื่อสุขภาพ การคัดกรองผู้ที่เสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อให้มีความสะดวกในการค้นหาในระยะแรกและการป้องกันโรคในระดับปฐมภูมิ เป็นต้น ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญ ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองในปฏิญญาฯ ดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
| 27388 | การรับรองร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติ | มท | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยเรื่อง การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติ ที่จะมีการรับรองในที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ (23rd ASEAN Summit) ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างความร่วมมือของประเทศสมาชิกอาเซียนในด้านการจัดการภัยพิบัติ ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน (ASEAN Agreement on Disaster Management and Emergency Response : AADMER) และแผนงานการจัดการภัยพิบัติภายใต้กรอบ AADMER พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 27389 | การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงศึกษาธิการแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนด้านการศึกษา | ศธ | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงศึกษาธิการแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนด้านอาชีวศึกษา ซึ่งจะมีการลงนามบันทึกความตกลงดังกล่าวในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ ทำเนียบรัฐบาล ในช่วงการเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นความร่วมมือทางด้านอาชีวศึกษา โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อสนเทศ การวางแผนความร่วมมือ การฝึกอบรม การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา การอำนวยความสะดวกทางการศึกษา รวมทั้งการยอมรับวุฒิการศึกษา ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||||||||
| 27390 | ขออนุมัติการลงนามความตกลงว่าด้วยการส่งเสริม 4 โครงการความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | วท | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างความตกลงว่าด้วยการส่งเสริม ๔ โครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Draft) Agreement on Promoting 4 Cooperation Projects between the Ministry of Science and Technology of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Science and Technology of the People’s Republic of China ในระหว่างการเยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ได้แก่ การร่วมจัดตั้งศูนย์วิจัยร่วมไทย-จีนด้านรถไฟความเร็วสูง การร่วมพัฒนาศูนย์ให้บริการข้อมูลการสำรวจดาวเทียมระยะไกล ความร่วมมือด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี และโครงการแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่มีผลกระทบต่อเนื้อหาสาระของร่างความตกลงฯ ฉบับนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับรายละเอียดโครงการ ASEAN-China STEP Program ไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าให้ดำเนินโครงการในลักษณะทวิภาคีเป็นรายประเทศ หน่วยงานผู้ปฏิบัติควรซักซ้อมความเข้าใจกับฝ่ายอาเซียนและจีนในเรื่องนี้เพื่อไม่ให้ถูกทักท้วงจากประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ และเห็นควรเพิ่มข้อความที่ระบุว่า “ให้การดำเนินกิจกรรมภายใต้ร่างความตกลงฯ เป็นไปตามกฎระเบียบภายในประเทศ” สำหรับโครงการพัฒนาศูนย์ให้บริการข้อมูลการสำรวจดาวเทียมระยะไกล หากมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศ อาจมีข้อมูลที่ถือเป็นความลับ จึงขอให้คำนึงถึงการจัดการข้อมูลซึ่งถือเป็นความลับ ให้เป็นไปตามกฎหมายภายในประเทศของแต่ละฝ่าย เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27391 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 5/2556 ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2556) | นร04 | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ ณ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. ร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องมรสุมที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทย หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ และจะเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกตามแนวร่องมรสุมพาดผ่านทะเลอันดามัน ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก ๒. ในช่วงวันที่ ๗-๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ ภาคกลางตอนล่าง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน มีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทย มีกำลังแรง สำหรับในช่วงวันที่ ๑๐-๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ยังคงมีฝนตกหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่ปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย มีกำลังอ่อนลง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง ๒. สถานการณ์น้ำและน้ำท่วม กรมชลประทานรายงานว่า ๒.๑ ปริมาณน้ำท่าในบริเวณจุดสำคัญ ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา สถานี C.2 เขื่อนเจ้าพระยา สถานี C.13 และ อ.บางไทร สถานี C.29 ปริมาณน้ำไหลผ่าน ๑,๗๗๑, ๒,๐๓๒ และ ๒,๒๗๖ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ตามลำดับ ๒.๒ ระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ แม่น้ำปิง ที่สถานี P.1 จังหวัดเชียงใหม่ +๑.๖๖ เมตร ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๐๔ เมตร แม่น้ำวัง ที่สถานี W.4A จังหวัดตาก +๓.๑๐ เมตร ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๐๐ เมตร แม่น้ำยม ที่สถานี Y.16 จังหวัดพิษณุโลก +๘.๒๙ เมตร สูงกว่าตลิ่ง ๑.๒๙ เมตร แม่น้ำน่าน ที่สถานี N.1 จังหวัดน่าน +๑.๐๑ เมตร ต่ำกว่าตลิ่ง ๕.๙๙ เมตร แม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ +๒๓.๐๙ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๑๑ เมตร และแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.13 จังหวัดชัยนาท ระดับน้ำเหนือเขื่อน +๑๖.๖๐ ม.รทก. ระดับน้ำท้ายเขื่อน +๑๔.๔๖ ม.รทก. ๒.๓ น้ำในเขื่อน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ๖,๒๙๕, ๕,๗๐๙ และ ๑,๐๖๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ๓. สถานการณ์อุทกภัย ดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก ๓.๑ อุทกภัย จังหวัดจันทบุรีมีฝนตกหนักในพื้นที่ส่งผลให้ได้รับผลกระทบเพิ่มเติม ๒ อำเภอ ๔ ตำบล ๙ หมู่บ้าน สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด อำเภอโป่งน้ำร้อน ได้เข้าพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งแจ้งเตือนประชาชนให้เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์และเก็บของขึ้นที่ปลอดภัย สำหรับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมชุมชนบริเวณหมู่บ้านรอยัลโฮมวิลเลจ ซอย ๑๐๒ เขตเทศบาลหัวหิน และอำเภอหัวหิน สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ๔ ประจวบคีรีขันธ์ สนับสนุนเครื่องสูบน้ำ รถเครน รถไฟฟ้าส่องสว่าง เรือท้องแบน เข้าช่วยเหลือ โดยมีชลประทานเพชรบุรีสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ ศูนย์การทหารราบสนับสนุนรถบรรทุก พร้อมกำลังพล เตรียมช่วยเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย ๓.๒ ดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก กรมทรัพยากรธรณีแจ้งเตือนภัย ให้อาสาสมัครเครือข่ายกรมทรัพยากรธรณีเฝ้าระวังภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากในระหว่างวันที่ ๖-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยในจังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง จันทบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง และพังงา เนื่องจากมีฝนตกหนักและตกต่อเนื่อง และมีน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมในบางพื้นที่แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
| 27392 | สรุปสถานการณ์สาธารณภัย และการช่วยเหลือ | มท | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การคาดหมายลักษณะอากาศ การสั่งการเพื่อเตรียมความพร้อม และการให้ความช่วยเหลือ ๑.๑ สภาพอากาศ ในช่วงวันที่ ๗-๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ ภาคกลางตอนล่าง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน มีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยมีกำลังแรง คลื่นสูง ๒-๓ เมตร และในช่วงวันที่ ๑๐-๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ยังคงมีฝนตกหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทย มีกำลังอ่อนลง ๑.๒ การสั่งการเพื่อเตรียมความพร้อม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้สั่งการเพื่อเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม อันเกิดจากฝนตกหนัก และคลื่นลมแรง โดยให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ๕ ศูนย์เขต และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ๑๓ จังหวัด ในพื้นที่ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม อันเกิดจากฝนตกหนัก และคลื่นลมแรง ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ๒. สรุปสถานการณ์อุทกภัย ข้อมูล ณ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ เกิดอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขังระบายไม่ทัน และน้ำล้นตลิ่ง ตั้งแต่วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๖ จนถึงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ รวมทั้งสิ้น ๓๘ จังหวัด ๒๗๖ อำเภอ ๑,๗๑๖ ตำบล ๑๓,๗๗๙ หมู่บ้าน ๙๓๘,๔๓๕ ครัวเรือน ๓,๐๙๖,๒๐๒ คน พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย ๓,๑๕๒,๐๘๓ ไร่ ถนน ๕,๓๙๗ สาย สะพาน ๒๙๙ แห่ง ท่อระบายน้ำ ๔๒๖ แห่ง ฝาย/ทำนบ ๕๑๙ แห่ง บ้านเรือนถูกน้ำท่วม ๑๕,๖๑๐ หลัง โรงเรียน ๒๒๕ แห่ง วัด ๓๙๙ แห่ง และสถานที่ราชการ ๕๗ แห่ง ๓. สรุปสถานการณ์วาตภัย ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ จังหวัดนราธิวาสเกิดเหตุวาตภัยในพื้นที่อำเภอเมืองนราธิวาส รวม ๔ ตำบล ๙ หมู่บ้าน บ้านเรือนเสียหาย ๑๖๙ หลัง ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ๘๔๕ คน โรงเรียนปอเนาะ ๑ แห่ง และเสาไฟฟ้า ๓๐ ต้น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนราธิวาสร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เข้าสำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือแล้ว ๔. สรุปสถานการณ์ภัยแล้ง/ฝนทิ้งช่วง ข้อมูล ณ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ จังหวัดที่ยังคงมีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ได้แก่ จังหวัดตาก บุรีรัมย์ และนครราชสีมา รวม ๑๔ อำเภอ ๑๑๒ ตำบล ๑,๒๔๑ หมู่บ้าน และจังหวัดที่ยังคงมีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ฝนทิ้งช่วง) ได้แก่ จังหวัดแพร่ ๑ อำเภอ รวม ๒ ตำบล ๑๘ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑,๓๖๕ ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตร ๑๑,๔๔๐ ไร่ ๕. สรุปสถานการณ์แผ่นดินไหว ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๐๕.๒๘ น. เกิดแผ่นดินไหวบนบก ขนาด ๒.๕ ริกเตอร์ บริเวณตำบลเวียง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๒๑.๓๗ น. เกิดแผ่นดินไหวบนบก ขนาด ๒.๙ ริกเตอร์ บริเวณสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ห่างจากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประมาณ ๒๘ กม. และวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๐.๓๘ น. เกิดแผ่นดินไหวในทะเล ขนาด ๖.๖ ริกเตอร์ บริเวณทะเลโอคอตสค์ ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย ๖. สรุปสถานการณ์อุบัติภัย และเหตุการณ์สำคัญ ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ จังหวัดบุรีรัมย์ เกิดเหตุรถยนต์กระบะบรรทุกคนงานเสียหลักชนต้นไม้ บริเวณถนนสาย ๒๑๙ มหาสารคาม-บุรีรัมย์ กม.ที่ ๒๑๕-๒๑๖ บ้านโนนสวรรค์ ตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่าน มีผู้เสียชีวิต ๑๖ ราย และได้รับบาดเจ็บสาหัส ๘ คน จังหวัดสมุทรสาคร เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารโรงงานผลิตเครื่องสุขภัณฑ์เซรามิกและกระเบื้องบุผนัง ของบริษัทไทยอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัดกระเบื้องไทย ตั้งอยู่เลขที่ ๗๕ หมู่ที่ ๓ ถนนเศรษฐกิจ ๑ ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน และจังหวัดตราด เกิดเหตุหินถล่มลงมาทับเส้นทางสัญจรไป-มา บริเวณทางโค้งก่อนถึงหาดทรายขาว ตำบลเกาะช้าง อำเภอเกาะช้าง ซึ่งทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดตราด อำเภอ ตำรวจท่องเที่ยว เทศบาลตำบลเกาะช้าง ดำเนินการนำหินที่ถล่มลงมาออกจากเส้นทางเรียบร้อยแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
| 27393 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม และแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ (หลังปรับปัจจัยฤดูกาล) ในเดือนสิงหาคมแสดงถึงภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นทั้งด้านการใช้จ่ายและการผลิต โดยเฉพาะดัชนีการบริโภคภาคเอกชน การส่งออก การผลิตภาคเกษตร การผลิตภาคอุตสาหกรรม และภาคการท่องเที่ยวซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น ๑.๒ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เครื่องชี้ด้านอุปสงค์เริ่มปรับตัวดีขึ้นทั้งด้านการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออก ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนยังปรับตัวลดลง เนื่องจากฐานที่สูง (รถยนต์และการนำเข้าสินค้าทุน) และการเบิกจ่ายงบประมาณยังปรับตัวลดลง ในด้านการผลิต จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวเร่งขึ้น ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวช้าลง การส่งออกเริ่มขยายตัว อย่างไรก็ตาม ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรยังคงปรับตัวลดลงตามการลดลงของผลผลิตข้าวนาปรัง ข้าวโพด และประมง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ภาวะฝนทิ้งช่วง และโรคตายด่วนในกุ้ง ตามลำดับ ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ อัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวต่อเนื่อง อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำและดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มกลับมาเกินดุล ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การเบิกจ่ายงบประมาณ และการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในเดือนสิงหาคมต่ำกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่หนี้สาธารณะลดลงจากเดือนก่อนหน้า ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ขยายตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้าตามการขยายตัวของสินเชื่อภาคธุรกิจ ส่วนสินเชื่อภาคครัวเรือนชะลอตัวลง ในขณะที่เงินฝากขยายตัวในอัตราชะลอตัวลง ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเพิ่มสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ทรงตัวตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เงินบาทอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการไหลออกสุทธิของเงินทุนเคลื่อนย้าย ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๓.๘-๔.๓ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีในช่วงร้อยละ ๒.๓-๒.๘ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ อย่างไรก็ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปียังมีข้อจำกัดเพิ่มเติมจากผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย ในขณะที่การแก้ไขปัญหาเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกายังคงเป็นสถานการณ์ที่ต้องติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
|
||||||||||||||||||||||||
| 27394 | การติดตามสถานการณ์อุทกภัยในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ | นร04 | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ พร้อมพัฒน์) รายงานสรุปสถานการณ์อุทกภัยในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ๑.๑ สถานการณ์อุทกภัย ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ กันยายน ๒๕๕๖ สาเหตุเนื่องจากร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดตาก กำแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและแม่น้ำป่าสักเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ ๓ อำเภอ ได้แก่ อำเภอหล่มเก่า อำเภอหล่มสัก และอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ รวม ๒๔ ตำบล ๑๐๓ หมู่บ้าน ๑.๒ สถานการณ์อุทกภัยครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๖ จนถึงปัจจุบัน สาเหตุจากพายุดีเปรสชั่นบริเวณทะเลจีนใต้ได้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลาง ผ่านประเทศลาว และเข้าสู่ประเทศไทย หลังจากนั้นได้อ่อนกำลังเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ ทำให้จังหวัดเพชรบูรณ์เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยในวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๖ วัดปริมาณน้ำฝนได้ ๕๒๐.๗ มิลลิเมตร ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและแม่น้ำป่าสักเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ ๖ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ อำเภอหนองไผ่ อำเภอชนแดน อำเภอวิเชียรบุรี อำเภอศรีเทพ และอำเภอวังโป่ง รวม ๓๗ ตำบล ๒๒๖ หมู่บ้าน ๑.๓ สถานการณ์อุทกภัย ณ วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ ยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัยอยู่จำนวน ๕ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ อำเภอหนองไผ่ อำเภอบึงสามพัน อำเภอวิเชียรบุรี และอำเภอศรีเทพ รวม ๒๒ ตำบล ๙๒ หมู่บ้าน ๒. สรุปผลกระทบและความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ระหว่างวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ จนถึงปัจจุบัน จำนวนราษฎรที่ได้รับผลกระทบ ๗๓ ตำบล ๕๐๘ หมู่บ้าน ๑๔,๐๗๗ ครัวเรือน ๕๑,๓๙๔ คน มีผู้เสียชีวิต จำนวน ๓ ราย ถนนได้รับความเสียหาย ๑๑๗ สาย สะพาน ๘ แห่ง ท่อระบายน้ำ ๘ แห่ง พื้นที่การเกษตรเสียหาย ๒๓,๖๔๘ ไร่ และบ่อปลา ๑,๐๙๗.๒๕ ไร่ ๓. แนวโน้มสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ มีแนวโน้มว่าจะคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติในไม่ช้า หากไม่มีสถานการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่ขึ้นอีก สืบเนื่องจากพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์มีความลาดชันสูงทำให้น้ำสามารถไหลผ่านได้อย่างรวดเร็ว โดยสังเกตได้จากระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักมีระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง และระดับน้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตรและบ้านเรือนของราษฎรก็มีระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
|
||||||||||||||||||||||||
| 27395 | แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ (เพิ่มเติม) (จำนวน 3 ราย 1. พลเอก สหชาติ พิพิธกุล ฯลฯ) | สธ | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการกำหนดระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ (เพิ่มเติม) จำนวน ๓ ราย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ ตุลาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. พลเอก สหชาติ พิพิธกุล ๒. นายแพทย์สัมฤทธิ์ ศรีธำรงสวัสดิ์ ๓. ศาสตราจารย์วิษณุ ธรรมลิขิตกุล
|
||||||||||||||||||||||||
| 27396 | ท่าทีประเทศไทยต่อระบบติดตามสถานการณ์หมอกควันของอนุภูมิภาคอาเซียนตอนล่าง (ASEAN Sub-Regional Haze Monitoring System : HMS) | ทส | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการกับการใช้ระบบติดตามสถานการณ์หมอกควันของอนุภูมิภาคอาเซียนตอนล่าง (ASEAN Sub-Regional Haze Monitoring System : HMS) เป็นระบบร่วมในการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์หมอกควันของประเทศอาเซียนตอนล่าง ๒. เห็นชอบให้ประเทศไทยเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียนให้นำประเด็นการแบ่งปันข้อมูลแผนที่พิกัดการใช้ประโยชน์ที่ดินและแผนที่สัมปทานเข้าระบบ HMS กลับมาพิจารณาในรายละเอียดให้รอบคอบ โดยผ่านกลไกภายใต้ข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ทั้งนี้ หากประเทศไทยมีความจำเป็นต้องแบ่งปันข้อมูลใด ๆ เข้าระบบ HMS ต้องนำกลับมาหารือหน่วยงานในประเทศก่อน และจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย/ข้อบังคับของประเทศไทย ๓. หากในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ (23rd ASEAN Summit) ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม มีประเด็นเพิ่มเติมที่ไม่ใช่สาระสำคัญต่อการดำเนินงาน และไม่ขัดต่อกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
| 27397 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการรับรองหรือลงนามระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 23 | พม | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
๑. เห็นชอบต่อร่างเอกสาร จำนวน ๔ ฉบับ ซึ่งจะมีการรับรองหรือลงนามและเพื่อทราบระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ (23rd ASEAN Summit) และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ดังนี้ ๑.๑ เอกสารซึ่งจะมีการรับรองหรือลงนาม จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยเรื่องการขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการขจัดความรุนแรงต่อเด็ก (Declaration on the Elimination of Violence Against Women and Elimination of Violence Against Children in ASEAN) ๑.๑.๒ ร่างปฏิญญาบันดาร์เสรีเบกาวัน ว่าด้วยการประกอบการและการจ้างงานของเยาวชนในอาเซียน (Bandar Seri Begawan Declaration on Youth Entrepreneurship and Employment) ๑.๑.๓ รายงานการประเมินผลครึ่งแผนของแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (Mid-Term Review of the ASEAN Socio-Cultural Community Blueprint: Consolidated Report) ๑.๒ เอกสารซึ่งจะเสนอผู้นำอาเซียนเพื่อรับทราบ ได้แก่ แถลงการณ์ร่วมของคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ ๑๐ ๒. ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
| 27398 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (นักบริหารสูง) ทดแทนข้าราชการที่เกษียณอายุ (จำนวน 3 ราย 1. นายชนรรค์ พุทธมิลินประทีป ฯลฯ) | นร | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายชนรรค์ พุทธมิลินประทีป ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ๒. นายธรรมศักดิ์ สัมพันธ์สันติกูล ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ๓. นางเยาวลักษณ์ มานะตระกูล ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
| 27399 | การติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพิจิตร | นร | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) รายงานสรุปผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคเพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์อุทกภัย เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “หวู่ติ๊บ” ส่งผลให้เกิดฝนตกหนัก ประกอบกับเกิดน้ำไหลหลากจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ไหลเข้าท่วม และระดับน้ำในแม่น้ำยม แม่น้ำน่าน สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังในพื้นที่จังหวัดพิจิตร รวม ๑๒ อำเภอ ๕๘ ตำบล ๔๓๓ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑๔,๗๘๔ ครัวเรือน ๔๒,๕๓๔ คน พื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ จำนวน ๗๘,๑๕๗ ไร่ โรงเรียน ๑๒ แห่ง และวัด ๒ แห่ง สถานการณ์ปัจจุบัน ระดับน้ำเริ่มลดลง แต่ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่การเกษตร และที่อำเภอตะพานหิน และอำเภอบางมูลนาก ระดับน้ำเพิ่มขึ้น เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำน่านเพิ่มสูงขึ้น ทำให้น้ำเอ่อล้นไหลเข้าท่วม ๒. การมอบนโยบายแก่หัวหน้าส่วนราชการและการแจ้งข้อห่วงใยของรัฐบาลแก่ประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัย ๒.๑ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และให้จังหวัดเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัย เพราะจังหวัดพิจิตรเป็นพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยทุกปี ซึ่งหัวหน้าส่วนราชการ องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล นายอำเภอมีความเอาใจใส่ในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี ๒.๒ นายกรัฐมนตรีได้ผลักดันโครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศ วงเงินงบประมาณ ๓.๕ แสนล้านบาท เพื่อบริหารจัดการน้ำในเรื่องของการก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดเตรียมบุคลากร ข้อมูล และเอกสารต่าง ๆ เพื่อจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ ๒.๓ การเยียวยาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยจะมีการช่วยเหลือตามระเบียบต่อไป ซึ่งจะต้องเข้าไปสำรวจพื้นที่ความเสียหายทั้งอาคารบ้านเรือน พืชไร่ พืชสวน นาข้าว เป็นต้น และการช่วยเหลือเกษตรกรในการพักชำระหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรซึ่งต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์กระทรวงการคลังที่กำหนดไว้ สำหรับการบูรณะสาธารณูปโภคได้แจ้งให้จังหวัดสำรวจพื้นที่ความเสียหายเพื่อขอรับงบประมาณในการดำเนินการซ่อมแซมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 27400 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (จำนวน 4 ราย 1. นายจุมพล มนัสช่วง ฯลฯ) | กต | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (เอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ) จำนวน ๔ ราย ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑.นายจุมพล มนัสช่วง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงตริโปลี รัฐลิเบีย สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเอเธนส์ สาธารณรัฐเฮลเลนิก สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ สืบแทนนายพฤทธิพงศ์ กุลทนันทน์ ซึ่งเกษียณอายุราชการ ๒. นายกิตติพงษ์ ณ ระนอง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงตริโปลี รัฐลิเบีย สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ สืบแทนนายจุมพล มนัสช่วง ๓. นายกุลกุมุท สิงหรา ณ อยุธยา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ สืบแทนนายกิตติพงษ์ ณ ระนอง ๔. นางบุษยา มาทแล็ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดาการ์ สาธารณรัฐเซเนกัล สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ สืบแทนนายกุลกุมุท สิงหรา ณ อยุธยา
|
||||||||||||||||||||||||
.....
