ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1310 จากทั้งหมด 6222 หน้า แสดงรายการที่ 26181 - 26200 จากข้อมูลทั้งหมด 124426 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง | วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 26181 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการต่อสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก สถานเอกอัครราชทูต ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย เมืองไทเป ไต้หวัน และทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย | กต | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ เพื่อเป็นค่าเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก สถานเอกอัครราชทูต ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย เมืองไทเป ไต้หวัน และทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย วงเงินงบประมาณ ๕๓,๓๘๖,๕๖๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่นสำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณค่าใช้จ่าย ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบดำเนินงาน รายการค่าเช่าอาคารสถานทูตสถานกงสุล จำนวน ๑๙,๘๓๗,๘๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑ จำนวน ๓๓,๕๔๘,๗๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศนำแนวทางตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง โครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ) ที่ให้ดำเนินการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพและสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ในทำนองเดียวกับศูนย์ดำรงธรรม รวมทั้งนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ในการจัดสร้างหรือเช่าอาคารเป็นที่ทำการสถานทูตหรือที่ทำการของหน่วยงานต่าง ๆ ในต่างประเทศ ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีผู้แทนประจำต่างประเทศพิจารณาดำเนินการในแต่ละกรณีให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงผลประโยชน์และความคุ้มค่าในการลงทุนที่ประเทศจะได้รับ รวมตลอดถึงระดับของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีต่อกัน เป็นสำคัญด้วย 
 | |||||||||||||||||||||||||||
| 26182 | การประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ปี ค.ศ. 2014 ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ | ทก | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มอบอำนาจให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการอภิปราย ลงมติ และลงนามในกรรมสารสุดท้ายของการประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็มของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) ปี ค.ศ. ๒๐๑๔ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกตราสารแต่งตั้ง (Credentials) โดยมอบอำนาจในการอภิปราย ลงมติ และลงนามในกรรมสารสุดท้ายของการประชุมฯ ให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) เกี่ยวกับด้านต่างประเทศด้วย | |||||||||||||||||||||||||||
| 26183 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้ ๑. เรื่องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและมติคณะรัฐมนตรี ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องซึ่งเคยได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตามข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีเร่งดำเนินการตามที่เคยได้รับมอบหมาย ๒. ด้านต่างประเทศ ๒.๑ สืบเนื่องจากการที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๗ ซึ่งได้มีการเจรจาและลงนามบันทึกความตกลงร่วมกัน ดังนั้น เพื่อเร่งสานต่อความร่วมมือระหว่างกัน จึงมอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงคมนาคม ดำเนินการ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ ในการเตรียมประเด็นเพื่อใช้ในการเจรจาระหว่างประเทศ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณาจัดเตรียมข้อมูลและนำประเด็นหลักที่ทุกเวทีโลกให้ความสำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การแพร่ระบาดของโรคร้ายแรง (Pandemics) เป็นต้น รวมไว้ในประเด็นการเจรจาด้วย ๒.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจัดหาสถานที่เพื่อจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือการค้าและการลงทุนของไทยในต่างประเทศ รวมทั้งจัดมุมประเทศไทย (Thai Corner) เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยให้ต่างชาติได้รู้จัก ๓. ด้านเศรษฐกิจ ๓.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดมาตรการลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับการวิจัยและการพัฒนาองค์ความรู้ซึ่งก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๓.๒ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและบรรเทาความเดือดร้อนทางการเกษตร เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าทางการเกษตรทุกประเภท ๓.๓ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่ระบุแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ประเภทของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ทั้งนี้ ให้กำหนดตัวชี้วัดกิจกรรม และกรอบระยะเวลาการดำเนินการ ที่ชัดเจน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์ต่อไป ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ๔.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) และรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้ทุกส่วนราชการที่จะมีการจัดซื้อจัดจ้างหรือดำเนินโครงการซึ่งต้องมีการจ้างที่ปรึกษาโครงการ พิจารณาจ้างหรือเพิ่มสัดส่วนการจ้างที่ปรึกษาที่เป็นนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญชาวไทย โดยเฉพาะบุคลากรภาครัฐที่จบการศึกษาในระดับปริญญาเอก เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และลดการจ้างที่ปรึกษาจากต่างประเทศ ๔.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้กระทรวงกลาโหม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เร่งดำเนินการพัฒนาในเรื่องการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งพัฒนาด้านเศรษฐกิจ รวมถึงแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น การทุจริตของเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นเงื่อนไขผลักให้ประชาชนไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐ ๔.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงภารกิจและการปฏิบัติงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ให้เป็นที่ยอมรับจากส่วนราชการมากยิ่งขึ้นด้วย ๕. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๕.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณากำหนดแนวทางสนับสนุนให้ผู้ที่สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งมิได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติมีส่วนร่วมในการปฏิรูปผ่านเวทีหรือกลไกอื่น ๆ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป รวมทั้งให้ชี้แจงข้อเท็จจริง หากมีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับข้อมูลด้านการปฏิรูปต่าง ๆ ที่คลาดเคลื่อน เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจและรับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง ๕.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาดำเนินการ ๕.๒.๑ กำหนดมาตรการในการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและครบถ้วนแก่ประชาชน โดยปราศจากการบิดเบือนอันจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ความขัดแย้ง ๕.๒.๒ กำหนดแนวทางในการนำมาตรการต่าง ๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเคยมีมติหรือออกเป็นประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน นอกจากนี้ ให้พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการมีอยู่ของคณะกรรมการตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการที่จำเป็นต้องคงไว้ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบันด้วย ๕.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงยุติธรรมพิจารณาดำเนินการ ๕.๓.๑ พิจารณาอำนาจหน้าที่และความเชื่อมโยงของระบบศาลกับองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องกับงานด้านกระบวนการยุติธรรม นอกจากนั้น ให้รวบรวมประเด็นต่าง ๆ เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาระบบศาลและองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องกับงานด้านกระบวนการยุติธรรม แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อนำเสนอสภาปฏิรูปแห่งชาติด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาต่อไป ๕.๓.๒ เห็นควรให้พิจารณากำหนดแนวทางการประสานงานระหว่างพนักงานอัยการซึ่งเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายและดำเนินคดีแทนรัฐบาลกับหน่วยงานของรัฐที่ถูกฟ้องคดี ๕.๓.๓ พิจารณากำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาพื้นที่ควบคุมนักโทษคดียาเสพติดที่มีอยู่อย่างจำกัดแต่มีนักโทษคดียาเสพติดจำนวนมาก นอกจากนั้น ให้พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์ในการประกันตัวโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งปัจจุบันยกเว้นเฉพาะกรณีคดียาเสพติด โดยควรให้พิจารณายกเว้นคดีประเภทอื่นที่มีความร้ายแรง เช่น คดีเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๕.๔ ในกรณีที่กระทรวงใดเสนอแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ให้รัฐมนตรี เจ้าสังกัดชี้แจงสาระสำคัญ ความจำเป็นในการปรับโครงสร้าง รวมทั้งผลกระทบต่อจำนวนบุคลากรและงบประมาณให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อพิจารณาความสอดคล้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน ๖. ด้านอื่น ๆ ๖.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการติดตามการรายงานและการพยากรณ์เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศและระดับน้ำอย่างใกล้ชิด และให้ทุกส่วนราชการติดตามสภาพอากาศและระดับน้ำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมฝนหลวงและการบินเกษตร) ดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงให้แก่เกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง ๖.๒ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมสรรพสามิต) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการประกอบกิจการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และบังคับใช้กฎหมายแก่ผู้ฝ่าฝืนอย่างเข้มงวด รวมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบริเวณใกล้สถานศึกษาและที่สาธารณะ 
 | |||||||||||||||||||||||||||
| 26184 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. .... | ศร | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. .... [กำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและการทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาตรา ๔๕ วรรคสอง] ตามที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ทั้งนี้ สำหรับร่างมาตรา ๕ เกี่ยวกับอัตราเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งพนักงานคดีรัฐธรรมนูญ และร่างมาตรา ๘ เกี่ยวกับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้รอผลการพิจารณาของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ รับไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการกำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ เพื่อกำหนดแนวทางการปรับปรุงค่าตอบแทนหรือเงินเพิ่มค่าครองชีพของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งองค์กรอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญให้เกิดความเป็นธรรม เท่าเทียม และยึดโยงกันอย่างเหมาะสมต่อไป | |||||||||||||||||||||||||||
| 26185 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... | ทส | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดนิยามคำว่า “การบริหารจัดการ” “ที่ดิน” และ “ทรัพยากรดิน” ๑.๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า คทช. ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๒ มีกรรมการโดยตำแหน่งอีก ๙ คน และมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกิน ๑๐ คน ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรเอกชนที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย โดยมีเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการและเลขานุการ และข้าราชการในสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ได้รับมอบหมายจากเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวนไม่เกิน ๒ คน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ๑.๓ กำหนดให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ ๔ ปี นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่ต้องไม่เกิน ๒ วาระติดต่อกัน ๑.๔ กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ๑.๕ กำหนดค่าใช้จ่ายสำหรับเบี้ยประชุม ค่าตอบแทน รวมทั้งค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและคณะอนุกรรมการ ๒. อนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๒๕ (เรื่อง นโยบายการใช้และกรรมสิทธิ์ที่ดิน และนโยบายเกี่ยวกับการจัดตั้งธนาคารที่ดิน) เฉพาะในส่วนของข้อ ฉ (ที่กำหนดให้การจัดที่ดินซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบันให้ดำเนินการต่อไป แต่ไม่ให้ขยายพื้นที่ดำเนินการ และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทำแผนปฏิบัติการ หรือโครงการในการจัดที่ดินที่เหลืออยู่ให้เสร็จสิ้นภายใน ๕ ปี) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ | |||||||||||||||||||||||||||
| 26186 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงิน และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันการก่อสร้างโครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์ภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2556 - 2560 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กระทรวงศึกษาธิการ | ศธ | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติการเพิ่มวงเงิน และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันโครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์ ภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กระทรวงศึกษาธิการ จากวงเงินรวม ๒,๑๖๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงินรวม ๓,๐๐๑,๓๒๙,๖๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารศูนย์การแพทย์ พร้อมระบบสาธารณูปการ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ โดยใช้เงินรายได้สมทบตามสัดส่วนที่เคยได้รับการจัดสรรงบประมาณ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศในระยะยาว (๕-๑๐ ปี) ตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้มีความชัดเจนว่าในระยะต่อไป สมควรจะมีการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศกี่แห่ง เพื่อความเป็นเลิศด้านใด และจัดทำในพื้นที่ใด ตามลำดับความสำคัญเร่งด่วน ทั้งนี้ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ที่จำเป็นจะต้องจัดตั้งขึ้นอีก ควรมีการกระจายตัวทั่วทุกภาคของประเทศสอดคล้องกับแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดและจังหวัดที่เกี่ยวข้อง และให้โรงพยาบาลและสถานศึกษาในจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมเป็นเครือข่ายเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ได้อย่างเต็มศักยภาพ และให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการนำยุทธศาสตร์ดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน | |||||||||||||||||||||||||||
| 26187 | การรายงานของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) | นร04 | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) รายงานผลการเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สรุปได้ ดังนี้ ๑. นายกรัฐมนตรีได้หารือกับประธานาธิบดีเต็งเส่ง (Thein Sein) ในระหว่างการเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๗ โดยได้เน้นย้ำความร่วมมือกันทางด้านการค้าและการลงทุน เป็นหุ้นส่วนเพื่อความมั่นคงและการพัฒนา โดยด้านความมั่นคงได้หารือเกี่ยวกับการแก้ปัญหายาเสพติด แรงงานต่างด้าวและการพิสูจน์สัญชาติ ส่วนด้านเศรษฐกิจจะเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมระหว่างประเทศไทย-สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เช่น ก่อสร้างถนนระหว่างเมียวดี-กอกะเร็ก การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย เขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด เพิ่มจุดผ่านแดนถาวร เช่น ด่านสิงขร-ม่อต่อง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เป็นพยานการลงนามบันทึกความตกลงบ้านพี่เมืองน้อง จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ เชียงใหม่-เชียงตุง ประจวบคีรีขันธ์-มะริด และระนอง-เกาะสอง เพื่อความร่วมมือในการเปิดจุดผ่านแดนถาวร การพัฒนาเศรษฐกิจการค้า และด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน ๒. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือกับนายวันนะ หม่อง ลวิน (U Wunna Maung Lwin) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยแจ้งว่าประเทศไทยมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ซึ่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเป็นประเทศแรกที่นายกรัฐมนตรีเยือนอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ มีการหารือเกี่ยวกับการจัดทำยุทธศาสตร์ร่วมในการจัดระเบียบและพัฒนาพื้นที่ชายแดน การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย การพัฒนาด้านเศรษฐกิจทั้งในกรอบความร่วมมือแบบทวิภาคีและในกรอบอาเซียน การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน/การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในไทย ๓. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ ๑๔ ที่ประเทศออสเตรเลีย ได้พบปะและหารือกับนางจูลี่ บิชอป (Julie Bishop) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้าของประเทศออสเตรเลีย เพื่อยืนยันนโยบายของรัฐบาลไทยที่ต้องการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศออสเตรเลียให้ครอบคลุมในทุก ๆ มิติ เน้นย้ำความพร้อมของภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชนของไทยที่จะเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partners) กับทุกภาคส่วนของประเทศออสเตรเลียในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่การแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศสมาชิกประชาคม ASEAN ที่จะขยายบทบาทความร่วมมือกับประเทศออสเตรเลียให้ครอบคลุมไปถึงภาคการผลิตของเอกชนในลักษณะธุรกรรมร่วมทุนระหว่างกลุ่มบรรษัทข้ามชาติที่มีศักยภาพของ ASEAN อาทิเช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ของประเทศไทยและบริษัท เปโตรนาส จำกัด ของประเทศมาเลเซีย เพื่อลงทุนร่วมกันในการดำเนินธุรกิจการสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศออสเตรเลียด้วย 
 | |||||||||||||||||||||||||||
| 26188 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 5 ราย) (1. นางสาวสุทธิลักษณ์ ระวิวรรณ ฯลฯ) | ทส | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง จำนวน ๕ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑. นางสาวสุทธิลักษณ์ ระวิวรรณ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสาวอาระยา นันทโพธิเดช ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายชัยพร ศิริพรไพบูลย์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นางรวีวรรณ ภูริเดช ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง 
 | |||||||||||||||||||||||||||
| 26189 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 7 ราย (1. นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ฯลฯ) | อก | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๗ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑. นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ๒. นายปณิธาน จินดาภู ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายอุฤทธิ์ ศรีหนองโคตร ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายสมชาย หาญหิรัญ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายสุรพงษ์ เชียงทอง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ๖. นายหทัย อู่ไทย ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ๗. นายพิชัย ตั้งชนะชัยอนันต์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย 
 | |||||||||||||||||||||||||||
| 26190 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส) | นร10 | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ 
 | |||||||||||||||||||||||||||
| 26191 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | ศย | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับโทษปรับ การรอการกำหนดโทษและรอการลงโทษ และแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทษของผู้ใช้และผู้ถูกใช้) และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การโอนคดีที่มีผลกระทบต่อการอนุรักษ์หรือการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม การคุ้มครองผู้บริโภคเป็นส่วนรวม หรือประโยชน์สาธารณะอย่างอื่นไปยังศาลแพ่ง) รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการขยายอัตราโทษจำคุกที่ศาลจะลงโทษจำคุกผู้กระทำความผิด และอาจใช้ดุลยพินิจรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษ จากเดิมอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี ขยายอัตราโทษจำคุกออกไปเป็นไม่เกินห้าปี ควรคำนึงถึงข้อดี ข้อเสีย และผลกระทบอื่น ๆ อย่างรอบด้าน เพราะการขยายอัตราโทษจำคุกให้สูงขึ้นย่อมจะเป็นผลให้คดีที่ผู้กระทำความผิดสำคัญหรือคดีที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสามารถได้รับโอกาสในการรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษ ส่วนการนำเงื่อนไขเพื่อคุมประพฤติอย่างใด ๆ มาใช้กับการกระทำความผิด ควรมีการกำหนดกลไกการพิจารณา การใช้ข้อมูลอย่างรอบด้าน และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การคุมประพฤติมีความสอดคล้องต่อลักษณะผู้กระทำความผิดและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการกำหนดเพิ่มวิธีการอายัดทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับ และหลักเกณฑ์การบังคับทรัพย์สินเพื่อชำระค่าปรับ การปรับปรุงอัตราเงินในการกักขังแทนค่าปรับ การยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับจำนวนค่าปรับที่ผู้ต้องโทษอาจขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป | |||||||||||||||||||||||||||
| 26192 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ก.พ. (หม่อมหลวงพัชรภากร เทวกุล) | นร10 | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งหม่อมหลวงพัชรภากร เทวกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ก.พ. สำนักงาน ก.พ. สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งให้ข้าราชการรักษาราชการแทนในตำแหน่งดังกล่าว เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ 
 | |||||||||||||||||||||||||||
| 26193 | รายงานการร้องเรียนของประชาชน | นร01 | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบรายงานการร้องเรียนของประชาชนที่เดินทางมาร้องเรียน ณ ศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ จำนวน ๔ กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มผู้ประกอบการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตในประเทศไทย กลุ่มประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม กลุ่มชมรมผู้ค้าน้ำมันจังหวัดนนทบุรี และสถาบันการจัดการที่ดินชุมชนแนวใหม่ ๕ ภาค (สกทช.) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้ ๒.๑ กรณีกลุ่มผู้ประกอบการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตในประเทศไทย ขอความอนุเคราะห์ในการปกป้องผู้ประกอบการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตในประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการนำเข้าเหล็กเส้นจากสาธารณรัฐประชาชนจีน มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ กรณีกลุ่มประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ขอให้พิจารณาตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมในการบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีระหว่างบริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด กับ บริษัท ไทยประสิทธิผล จำกัด มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ๒.๓ กรณีกลุ่มชมรมผู้ค้าน้ำมันจังหวัดนนทบุรี ขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีน้ำมันขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี เนื่องจากมีการออกข้อบัญญัติเรียกเก็บภาษีดังกล่าวในอัตราที่สูงทำให้ผู้ค้าน้ำมันในจังหวัดนนทบุรีได้รับความเดือดร้อน มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับไปเร่งรัดให้กระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดนนทบุรีดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงกับกลุ่มผู้ร้องเรียนต่อไป ๒.๔ กรณีสถาบันการจัดการที่ดินชุมชนแนวใหม่ ๕ ภาค (สกทช.) ขอให้พิจารณาออกเอกสารสิทธิที่ดินให้แก่ราษฎรในพื้นที่ที่ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบและพื้นที่เขตป่าเขาฉกรรจ์โนนสาวเอ้ให้แก่ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยในพื้นที่อำเภอวังสมบูรณ์ จังหวัดสระแก้ว มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง | |||||||||||||||||||||||||||
| 26194 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมรายการค่าจ้างศึกษาออกแบบรายละเอียดระบบขนส่งมวลชนเมืองนครราชสีมาและการพัฒนาระบบเชื่อมต่อการเดินทางของผู้โดยสารกับระบบรถไฟความเร็วสูงเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เป็นค่าจ้างศึกษาความเหมาะสมและออกแบบระบบรถไฟทางคู่ช่วงเด่นชัย - เชียงใหม่ ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร | คค | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร จากเดิม รายการค่าจ้างศึกษาออกแบบรายละเอียดระบบขนส่งมวลชนเมืองนครราชสีมาและการพัฒนาระบบเชื่อมต่อการเดินทางของผู้โดยสารกับระบบรถไฟความเร็วสูงเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา กรอบวงเงิน ๑๑๗.๖๘๓๐ ล้านบาท เป็น ค่าจ้างศึกษาความเหมาะสมและออกแบบระบบรถไฟทางคู่ ขนาดทาง ๑.๐๐ เมตร (Meter Gauge) ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ งบประมาณทั้งสิ้น ๑๑๗.๖๘๓๐ ล้านบาท โดยปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ตั้งงบประมาณ ๒๓.๕๓๖๖ ล้านบาท ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ตั้งงบประมาณผูกพันจำนวน ๕๑.๐๖๘๘ ล้านบาท และปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ตั้งงบประมาณผูกพันจำนวน ๔๓.๐๗๗๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในประเด็นด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ การจ้างศึกษาและออกแบบเกี่ยวกับการขนส่งระบบรางดังกล่าว ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ที่กำหนดให้ทุกส่วนราชการที่จะมีการจัดซื้อจัดจ้างหรือดำเนินโครงการซึ่งต้องมีการจ้างที่ปรึกษาโครงการพิจารณาจ้างหรือเพิ่มสัดส่วนการจ้างที่ปรึกษาที่เป็นนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญชาวไทย เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และลดการจ้างที่ปรึกษาจากต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการประหยัดงบประมาณและส่งเสริมการจ้างงานภายในประเทศด้วย | |||||||||||||||||||||||||||
| 26195 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมรายการค่าจ้างศึกษาความเหมาะสมและออกแบบเบื้องต้นระบบเชื่อมต่อการเดินทางของผู้โดยสารกับระบบรถไฟความเร็วสูงเขตพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก เป็นค่าจ้างศึกษาและออกแบบกรอบรายละเอียด (Definitive Design) รถไฟทางคู่ขนาดทางมาตรฐาน ช่วงนครราชสีมา - แหลมฉบัง - มาบตาพุด และช่วงแก่งคอย - บ้านภาชี - บางซื่อ ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร | คค | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร จากเดิม รายการค่าจ้างศึกษาความเหมาะสมและออกแบบเบื้องต้นระบบเชื่อมต่อการเดินทางของผู้โดยสารกับระบบรถไฟความเร็วสูงเขตพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก กรอบวงเงิน ๔๙.๓๐๔๐ ล้านบาท เป็น ค่าจ้างศึกษาและออกแบบกรอบรายละเอียด (Definitive Design) รถไฟทางคู่ขนาดมาตรฐาน ช่วงนครราชสีมา-แหลมฉบัง-มาบตาพุด และช่วงแก่งคอย-บ้านภาชี-บางซื่อ งบประมาณทั้งสิ้น ๔๙.๓๐๔๐ ล้านบาท โดยปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ตั้งงบประมาณ ๙.๘๖๐๘ ล้านบาท ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ตั้งงบประมาณผูกพันจำนวน ๓๔.๕๑๒๘ ล้านบาท และปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ตั้งงบประมาณผูกพันจำนวน ๔.๙๓๐๔ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการ ฯ หากโครงการรถไฟฟ้าทางคู่ขนาดมาตรฐาน ช่วงนครราชสีมา-แหลมฉบัง-มาบตาพุด และช่วงแก่งคอย-บ้านภาชี-บางซื่อ ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดโครงการ หรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ กระทรวงคมนาคมต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการดังกล่าว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป และให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อนำผลการศึกษาโครงการรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกมาใช้ประกอบในการพิจารณาศึกษาแนวเส้นทางที่เหมาะสมของโครงการ ช่วงนครราชสีมา-แหลมฉบัง-มาบตาพุด รวมทั้งพิจารณาปรับเพิ่มขอบเขตงานการศึกษาในด้านการวิเคราะห์ทางเลือกของการพัฒนา รูปแบบการลงทุน และการเปรียบเทียบความเหมาะสมของโครงการฯ ระหว่างการพัฒนารถไฟขนาดทางมาตรฐานความเร็ว ๑๖๐-๑๘๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง และรถไฟความเร็วสูง เพื่อให้การพัฒนาระบบรถไฟขนาดทางมาตรฐานของประเทศสามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมและความต้องการเดินทางและขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. สำหรับการจ้างศึกษาและออกแบบเกี่ยวกับการขนส่งระบบรางดังกล่าว ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ที่กำหนดให้ทุกส่วนราชการที่จะมีการจัดซื้อจัดจ้างหรือดำเนินโครงการซึ่งต้องมีการจ้างที่ปรึกษาโครงการ พิจารณาจ้างหรือเพิ่มสัดส่วนการจ้างที่ปรึกษาที่เป็นนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญชาวไทย เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และลดการจ้างที่ปรึกษาจากต่างประเทศซึ่งจะเป็นการประหยัดงบประมาณและส่งเสริมการจ้างงานภายในประเทศด้วย | |||||||||||||||||||||||||||
| 26196 | การรายงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | กค | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงาน ดังนี้ ๑. ได้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยไปร่วมการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๕๗ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๙-๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ สำนักงานใหญ่ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยได้ชี้แจงถึงนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นผ่านการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และนโยบายในการเตรียมวางรากฐานให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ยั่งยืนในระยะยาว เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การปฏิรูปภาษีให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจให้มีความโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล แม้เศรษฐกิจไทยจะเผชิญความเสี่ยงหลายด้านแต่ยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง และฐานะการคลังของไทยที่เข้มแข็ง ทั้งนี้ พบว่าผู้เข้าร่วมประชุมที่เป็นชาวต่างชาติมีความเข้าใจในสถานการณ์ทางการเมืองของไทยมากขึ้น เนื่องจากพัฒนาการต่าง ๆ ของไทยเป็นไปตาม Roadmap ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติกำหนดไว้ โดยมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาปฏิรูปแห่งชาติ เป็นต้น ๒. ได้ร่วมในพิธีลงนามในความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับ AMRO จากสถานะบริษัทจำกัดขึ้นเป็นองค์การระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในการเป็นหน่วยงานติดตาม ประเมินและเฝ้าระวังทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน+๓ และสนับสนุนการดำเนินงานของมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation : CMIM) ซึ่งเป็นกลไกทางการเงินที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน+๓ ในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กันและกันในกรณีที่ประเทศสมาชิกประสบวิกฤตหรือกำลังจะประสบวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นความช่วยเหลือที่เสริมเพิ่มเติมจากความช่วยเหลือทางการเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) 
 | |||||||||||||||||||||||||||
| 26197 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 | อก | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขกฎกระทรวงประเภทหรือชนิดของโรงงานเพื่อกำหนดให้กิจการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลัก ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง และกิจการพลังงานอื่น ๆ เช่น การประกอบกิจการโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ การประกอบกิจการโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานลม ตามกฎหมายที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน ไม่ใช่การประกอบกิจการโรงงานที่ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.๔) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบหลังจากการปรับแก้ไขกฎกระทรวงฉบับนี้ ได้แก่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และคณะกรรมการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง เร่งหามาตรการควบคุมพื้นที่ให้อนุญาตสำหรับการประกอบกิจการตามความเหมาะสม โดยให้ความสำคัญต่อผลกระทบที่อาจมีต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม และความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนบริเวณใกล้เคียง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งหรือข้อร้องเรียนระหว่างประชาชนและผู้ประกอบการในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป | |||||||||||||||||||||||||||
| 26198 | การสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรม | มท | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ  ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ทุกกระทรวงสั่งการให้ส่วนราชการในสังกัดทั้งส่วนราชการส่วนกลางที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัด อำเภอ ส่วนราชการส่วนภูมิภาค รัฐวิสาหกิจในสังกัด ให้การสนับสนุนด้านบุคลากร วัสดุอุปกรณ์ ข้อมูลงานบริการประชาชนด้านต่าง ๆ หรือด้านงบประมาณ ในการดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ตามความเหมาะสมและจำเป็น ๑.๒ ให้ทุกกระทรวงสั่งการให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัด สนับสนุนการจัดทำข้อมูล งานบริการประชาชน ข้อมูลข่าวสารสำคัญที่ประชาชนควรทราบ ข้อมูล กฎ ระเบียบ เงื่อนไข ขั้นตอน การพิจารณาอนุมัติ/อนุญาต ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ข้อมูลรายชื่อเจ้าหน้าที่พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อขอทราบข้อมูล หรือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตลอด ๒๔ ชั่วโมง และช่องทางการส่งเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ หรืองานบริการอื่น ๆ ๒. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรม ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้กระทรวงมหาดไทยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี รายการที่หมดความจำเป็นหรือรายการที่มีเงินเหลือจ่ายในการดำเนินการในโอกาสแรกก่อน โดยให้กระทรวงมหาดไทย ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้ชัดเจน แล้วขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ หากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไม่เพียงพอ ก็ให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปดำเนินการ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ขอความร่วมมือให้ฝ่ายต่าง ๆ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้แก่ ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายสังคมจิตวิทยา ฝ่ายเศรษฐกิจ ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และฝ่ายกิจการพิเศษ สนับสนุนข้อมูลต่าง ๆ ในความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน หรือที่ประชาชนควรทราบให้แก่ศูนย์ดำรงธรรมด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งจัดทำกรอบภารกิจและแนวทางการปฏิบัติงานในเรื่องต่าง ๆ ของศูนย์ดำรงธรรมให้ชัดเจน รวมทั้งให้จัดทำแผนการดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรมในระยะต่อไป (ระยะที่ ๒) ให้เหมาะสมชัดเจน โดยควรพิจารณากำหนดให้ศูนย์ดำรงธรรมมีอัตรากำลังรองรับการปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบภารกิจที่กำหนดขึ้นเป็นการเฉพาะ และให้มีเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career Path) ที่ชัดเจนด้วย | |||||||||||||||||||||||||||
| 26199 | มาตรการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยแล้ง ปี 2557/2558 | กษ | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบสถานการณ์น้ำ ซึ่งเป็นการสรุปปริมาณฝนในช่วงฤดูฝนปี ๒๕๕๗ สถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำแม่กลอง และลุ่มน้ำอื่น ๆ และเห็นชอบการงดส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปรังในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง โดยให้มีการออกประกาศทางราชการแจ้งพื้นที่ที่ให้งดการส่งน้ำและงดการทำนาปรังในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ รวม ๒๖ จังหวัด ทั้งนี้ การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยในพื้นที่งดส่งน้ำและงดทำนาปรัง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานตามมาตรการแก้ปัญหาผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ในกรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๓๗๗,๗๙๐,๐๐๐ บาท และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในระยะ ๓ เดือนแรก) โดยให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับการดำเนินโครงการเพื่อการปรับปรุง/ซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างที่มีอยู่เดิมมากกว่าการก่อสร้างใหม่ รวมทั้งให้พิจารณาใช้แรงงานจากประชาชนในพื้นที่เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ ด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยติดตามสถานการณ์ที่มีเกษตรกรบางส่วนยังคงปลูกข้าวนาปรังในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลองที่ให้งดการส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก และอาจได้รับความเสียหายจากการไม่มีน้ำเพียงพอได้ ๔. ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำของประเทศให้เหมาะสมสอดคล้องกับปริมาณน้ำที่กักเก็บได้ และความต้องการใช้น้ำในพื้นที่เกษตรกรรมทั้งที่อยู่ในเขตและนอกเขตชลประทาน รวมทั้งความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนการใช้พื้นที่การเพาะปลูกให้เหมาะสม (Zoning) และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เกษตรกรและสาธารณชนผู้สนใจได้รับทราบโดยทั่วถึงกันด้วย | |||||||||||||||||||||||||||
| 26200 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ลาออก | วท | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ แทนนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ลาออก โดยให้ดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ 
 | |||||||||||||||||||||||||||
					.....
									
			