ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1306 จากทั้งหมด 6222 หน้า แสดงรายการที่ 26101 - 26120 จากข้อมูลทั้งหมด 124426 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง | วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 26101 | ขอความเห็นชอบการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟ ระหว่างไทย - กัมพูชา | คค | 28/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟ ระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงบันทึกความเข้าใจฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการลงนามและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงคมนาคมสามารถดำเนินการได้ โดยประสานกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้แทนสำหรับการลงนามดังกล่าว ๒. กระทรวงคมนาคมยืนยันว่า จุดเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นจุดแบ่งความรับผิดชอบในการลงทุน การก่อสร้าง การบริหารจัดการ และการบำรุงรักษาเส้นทางรถไฟ โดยจุดเชื่อมต่อดังกล่าวจะไม่ทำให้ประเทศไทยและกัมพูชาเสียสิทธิในการอ้างเขตแดนในพื้นที่นั้น ๓. ในอนาคตหากประเทศไทยและกัมพูชาจะมีการเจรจาเกี่ยวกับเส้นทางเชื่อมต่อข้ามพรมแดนระหว่างกันขึ้นอีก ให้เพิ่มผู้แทนกระทรวงกลาโหมเป็นองค์ประกอบในคณะเจรจาด้วย และให้คณะเจรจาดังกล่าวพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการพัฒนาเชื่อมต่อเส้นทางบริเวณตำบลบ้านไร่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ด้วย ทั้งนี้ ในการเจรจาให้คำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายเป็นสำคัญ | ||||||||||||||||||
| 26102 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับกัมพูชา | กก | 28/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับกัมพูชา ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการปรับแก้ถ้อยคำบางส่วนของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญ ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) เกี่ยวกับด้านต่างประเทศด้วย ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยรับไปประสานงานกับหน่วยงานของกัมพูชาเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน เช่น การกำหนดเส้นทางสัญจรโดยจักรยานที่เชื่อมโยงกันระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพด้วย ทั้งนี้ การกำหนดเส้นทางดังกล่าวให้คำนึงถึงความสะดวกปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ | ||||||||||||||||||
| 26103 | สถานการณ์การค้ามนุษย์และการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย | พม | 28/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบสถานการณ์การค้ามนุษย์และการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย โดยประเทศไทยได้พยายามดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างต่อเนื่อง ภายใต้หลักมาตรฐานสากล ได้แก่ การดำเนินคดีและการบังคับใช้กฎหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเร่งรัดการดำเนินคดีค้ามนุษย์ในกระบวนการยุติธรรม การคุ้มครองช่วยเหลือโดยเน้นการทำงานรูปแบบทีมสหวิชาชีพเพื่อให้การคุ้มครองผู้เสียหายทั้งคนไทยและคนต่างด้าว การจัดระเบียบคนขอทานนำร่องทั้งที่เป็นคนไทยและคนต่างด้าวเพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดแยกและบำบัดฟื้นฟู การขับเคลื่อนและบูรณาการความร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคและจัดระบบติดตามการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในระดับจังหวัด การสนับสนุนและดำเนินงานร่วมกับองค์กรเอกชนและภาคประชาสังคมอย่างใกล้ชิดในการต่อต้านการค้ามนุษย์ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับประเทศต้นทาง ทางผ่าน และปลายทางทั้งในรูปแบบทวิภาคี และพหุภาคี ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับเรื่องนี้ไปพิจารณาในคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการและแนวทางแก้ไขเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ให้ครอบคลุมทั้งระบบทุกประเด็น และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการโดยด่วนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำรายงานความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทย โดยให้มีข้อมูลการดำเนินการที่ครบถ้วน ชัดเจน เช่น การดำเนินการด้านกฎหมาย มาตรการต่าง ๆ งบประมาณที่ใช้ ผลการจับกุม การดำเนินคดีและการลงโทษผู้กระทำผิด รวมถึงการแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องในกระบวนการค้ามนุษย์ แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน และให้ส่งรายงานดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบด้วยเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงในการปฏิบัติงานร่วมกัน รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศส่งรายงานดังกล่าวให้สถานทูตในต่างประเทศได้ทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการชี้แจงทำความเข้าใจกับหน่วยงาน/องค์กรต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ส่งรายงานให้ประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อประกอบการจัดทำรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report : TIP Report) ต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับไปกำกับดูแลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจดทะเบียนเรือประมงของไทยให้ถูกต้องครบถ้วนทั้งหมด เพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบและการติดตามตรวจสอบการใช้แรงงานไทยและแรงงานต่างด้าวในการทำประมงให้ถูกต้องต่อไป โดยมีเรือประมงไทยที่ยังมิได้จดทะเบียนหรือมีทะเบียนซ้ำซ้อนอยู่อีกประมาณ ๓,๐๐๐ ลำ และให้กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (กองบังคับการตำรวจน้ำ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับเรือประมงที่ผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าวอาจขอความร่วมมือกระทรวงกลาโหม (กองทัพเรือ) เพื่อขอกำลังเจ้าหน้าที่ทหารมาร่วมดำเนินการด้วยก็ได้ 
 | ||||||||||||||||||
| 26104 | ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ASEAN Joint Statement on Climate Change 2014) | ทส | 28/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ASEAN Joint Statement on Climate Change 2014) ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการดำเนินการให้การผลักดันการลดก๊าซเรือนกระจก และการปรับตัวด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งมีความสอดคล้องต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้บรรลุผลในเรื่องความมั่นคงทางอาหารและการแก้ไขปัญหาความยากจนในภูมิภาคอาเซียน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ นี้ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ ให้เป็นดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นผู้พิจารณา โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาใหม่จนสิ้นสุดกระบวนการกล่าวถ้อยแถลง ณ ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญา สมัยที่ ๒๐ ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแสดงจุดยืนของไทยที่มีความตั้งใจและสนับสนุนการดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ด้านการต่างประเทศเกี่ยวกับการกำหนดประเด็นและท่าทีของไทยให้ครอบคลุมทั้งในฐานะของประเทศไทยและในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกของอาเซียนด้วย | ||||||||||||||||||
| 26105 | การรายงานสถานการณ์พลังงานของไทย | พน | 28/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรายงานสถานการณ์พลังงานของไทย และให้กระทรวงพลังงานเผยแพร่ข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และชี้แจงเพื่อสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันให้แก่ประชาชนผู้สนใจด้วย ดังนี้ ๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานเหตุผลความจำเป็นของการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ ๒๑ ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และพึ่งพาก๊าซธรรมชาติอย่างมาก โดยพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในปัจจุบันมาจากก๊าซธรรมชาติถึงร้อยละ ๗๐ แต่ปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติในประเทศลดลงทุกปี จึงต้องมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากประเทศอื่น ประกอบกับแผนการจัดหาพลังงานทดแทนจากแหล่งอื่น เช่น ไบโอดีเซล หรือพลังงานจากถ่านหินยังไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามแผนได้ จึงจำเป็นต้องหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม ๒. นายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน รายงานเพิ่มเติมว่า ๒.๑ การผลิตก๊าซในประเทศลดลง ปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติของไทยอยู่ที่ ๕,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หากไม่มีการลงทุนและสำรวจเพิ่ม จะมีก๊าซใช้ได้อีกเพียง ๗-๑๔ ปี เท่านั้น จึงต้องออกประกาศเชิญชวน โดยนำพื้นที่ที่เปิดสำรวจมา ๒๐ รอบที่แล้ว แต่ไม่พบมาเปิดใหม่ รวมกับพื้นที่ใกล้เคียง รวม ๒๙ แปลง ทั้งบนบกและในทะเล โดยพื้นที่ที่คาดว่าจะพบปิโตรเลียมส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งการขีดแปลงจะหลีกเลี่ยงพื้นที่ใกล้ชายฝั่ง พื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ เอ เขตอนุรักษ์สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เขตอุทยานแห่งชาติ ตลอดจนแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ โดยคาดว่าถ้ามีการขอแปลงสำรวจครบทั้ง ๒๙ แปลงที่เปิดนี้ ก็จะมีการลงทุนสำรวจปิโตรเลียมใน ๓-๕ ปีข้างหน้า ถึงประมาณ ๕,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การประกาศดังกล่าวไม่ใช่การให้สัมปทาน แต่เป็นการให้ยื่นคำขอและมีการสงวนสิทธิการให้สัมปทาน โดยเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี ๒.๒ ในส่วนของผลประโยชน์ของรัฐ ตามระบบสัมปทานไทย (Thailand III) แบ่งเป็นค่าภาคหลวงปิโตรเลียม (ร้อยละ ๕-๑๕) ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ร้อยละ ๕๐) และผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ (อัตราก้าวหน้า ร้อยละ ๗๕) ซึ่งสามารถกำหนดผลประโยชน์เพิ่มเติมเป็นภาคบังคับ ประกอบด้วยการสนับสนุนเงินเพื่อการศึกษาและพัฒนาชุมชนในท้องถิ่น (CSR) เงินให้เปล่าในการลงนาม (Signature Bonus) เงินให้เปล่าในการผลิต (Production Bonus) และให้บริษัทไทยที่คณะกรรมการปิโตรเลียมเห็นชอบเข้าร่วมประกอบกิจการในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕ (Thai Participation) และให้ใช้สินค้าและบริการในประเทศเป็นอันดับแรก ๒.๓ ผลการศึกษาพบว่า ระบบสัมปทานไทยที่รัฐได้ส่วนแบ่งกำไรร้อยละ ๗๒ และผู้ลงทุนได้ร้อยละ ๒๘ นั้น มีความเหมาะสม โดยรัฐได้รายได้มากกว่าระบบสัมปทานอื่น นอกจากนั้น ตามกฎหมายปิโตรเลียม ปิโตรเลียมถือเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐ ผู้ขุดพบมีสิทธิ์ขาย มีสิทธิ์ได้ประโยชน์ แต่รัฐเป็นผู้มีอำนาจในการควบคุม ๒.๔ ในประเด็นที่มีการกล่าวว่า แปลงในอ่าวไทย (G1/57) บริเวณใกล้จังหวัดระยองอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนกับประเทศกัมพูชา นั้น ขอยืนยันว่า แปลง G1/57 อยู่ในเขตสิทธิอธิปไตยของไทยโดยสมบูรณ์ โดยมีขอบเขตของแปลงนี้จรดกับแปลงสำรวจที่มีผู้รับสัมปทานเดิมถือสิทธิไว้อยู่แล้ว ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ยืนยันสิทธิไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งแปลงเดิมนั้นเป็นการยืนยันสิทธิของไทยในเขตไหล่ทวีปทับซ้อนไทย-กัมพูชา จึงไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ทับซ้อนแต่อย่างใด 
 | ||||||||||||||||||
| 26106 | รายงานการดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรม | วธ | 28/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรายงานการดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรม ดังนี้ ๑. ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลหุ่นโลก กรุงเทพฯ ๒๐๑๔ (Harmony World Puppet Carnival Bangkok Thailand 2014) ระหว่างวันที่ ๑-๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ เวทีการแสดงรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ๑๓ แห่ง และห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน โดยจะมีคณะหุ่นนานาชาติและหุ่นไทย ๑๖๕ คณะ จาก ๘๐ ประเทศทั่วโลก เข้าร่วมงาน ๒. เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ประเทศไทยได้รับโบราณวัตถุจำนวนกว่า ๕๐๐ รายการ คืนจากพิพิธภัณฑ์ Bowers ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์จากแหล่งโบราณคดีสำคัญที่ถูกลักลอบนำออกไปจากประเทศไทย 
 | ||||||||||||||||||
| 26107 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 28/10/2557 | |||||||||||||||
| ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้ ๑. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและมติคณะรัฐมนตรี ๑.๑ ให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเร่งรัดดำเนินการดูแลผู้ลี้ภัยและปรับปรุงพื้นที่ควบคุมผู้ลี้ภัยทั้งหมดให้มีสภาพที่เหมาะสมเพียงพอต่อการพำนักในช่วงระหว่างรอการส่งกลับประเทศต้นทาง รวมทั้งการพิจารณาย้ายพื้นที่ควบคุมไปยังศูนย์พักพิงต่าง ๆ ตลอดจนเร่งการดำเนินการเพื่อผลักดันผู้ลี้ภัยดังกล่าวกลับประเทศต่อไปโดยเร็ว และรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องต่าง ๆ ของไทย และรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเร่งสนับสนุนข้อมูลประกอบการดำเนินการเกี่ยวกับการมีอยู่ของคณะกรรมการตามประกาศหรือคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ และให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินการสรรหาและแต่งตั้งคณะกรรมการและผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจในกำกับให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ การดำเนินการสรรหาและแต่งตั้งต้องยึดหลักความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ๑.๔ ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการศึกษาแนวทางและมาตรการในการลดภาระหนี้สินครัวเรือนและหนี้นอกระบบโดยเร็ว และให้กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิต และรายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๑.๕ ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการรวบรวมผลการดำเนินงานของกองทุนที่อยู่ในความรับผิดชอบโดยเร็ว และรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางการพัฒนาพื้นที่ที่กำหนดเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้เป็นชุมชนเมืองใหม่ ประกอบด้วยพื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่การพาณิชย์ โรงแรมและที่พักอาศัย เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคต โดยอาจพิจารณาแนวทางการพัฒนาเมืองคู่แฝดทางการค้าซึ่งเชื่อมโยงกับเมืองคู่ค้าหลักในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น ๒.๒ ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับการให้ความร่วมมือในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะการเข้าร่วมพัฒนาในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ๒.๓ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินการสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมโดยการร่วมทุนให้เงินกู้หรือสนับสนุนผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในช่วงที่ผ่านมาต่อนายกรัฐมนตรีภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๒.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำข้อมูลการลดภาษีศุลกากร (tariff) และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariffs) ที่ประเทศไทยมีภาระผูกพันต้องดำเนินการตามที่ได้ทำความตกลงกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี โดยจัดทำข้อมูลดังกล่าว ณ ปัจจุบันและในปี ๒๕๕๘ รวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเสนอนายกรัฐมนตรีภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๒.๕ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติติดตามและศึกษาการปรับโครงสร้างและการจัดการด้านพลังงานของประเทศอินโดนีเซีย ตามนโยบายของประธานาธิบดี วิโดโด เพื่อใช้ประกอบการดำเนินการในกรณีของประเทศไทย และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย ๓. ด้านการต่างประเทศ ๓.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินการจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับประเด็น/ท่าทีที่สำคัญของไทยในด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง กฎหมาย เพื่อใช้ประกอบการประชุมหรือการเดินทางเยือนนานาประเทศของนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ในการกำหนดประเด็นและท่าทีของไทยให้ครอบคลุมทั้งในฐานะของประเทศไทยและในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกของอาเซียนด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติศึกษาข้อมูลการจัดระเบียบที่อยู่อาศัยของสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งได้มีการสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเป็นตึกสูง เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดและการจัดระเบียบที่อยู่อาศัยของไทยต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการร่วมระหว่างประเทศ (Joint Committee) พิจารณากำหนดให้มีการประชุมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินการตามภารกิจของแต่ละคณะมีความก้าวหน้าและมีผลสัมฤทธิ์ โดยอาจจะกำหนดให้มีการประชุมทุกเดือน หรือทุกสองเดือน เป็นต้น ๓.๔ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำกับดูแลไม่ให้มีการดำเนินกิจกรรมของชนกลุ่มน้อยจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาในพื้นที่ประเทศไทยที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสันติภาพและความเป็นเอกภาพภายในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อเป็นการสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครพิจารณากำหนดมาตรการดูแลพื้นที่สำคัญทั้งในกรุงเทพมหานครและทุกจังหวัดที่ไม่ควรเกิดน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่ราชการที่ให้บริการแก่ประชาชน เช่น โรงพยาบาล ๔.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงคมนาคมกำหนดมาตรการดูแลความปลอดภัยในการเดินทางในช่วงเทศกาลท่องเที่ยว โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือที่สภาพภูมิอากาศเริ่มมีหมอกปกคลุมพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งจะมีผลต่อความปลอดภัยในการสัญจรของนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ ๔.๓ ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินงาน/โครงการซึ่งกำหนดเริ่มดำเนินการในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ตามแผนปฏิบัติการ (Action plan) ระยะ ๑ ปี ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการที่เป็นการเตรียมการรองรับภัยแล้ง เช่น การขุดลอกคูคลอง และขุดบ่อเพื่อสำรองน้ำใช้ในช่วงภัยแล้ง เป็นต้น ๔.๔ ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการสร้างการรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร รวมทั้งชี้แจงประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐบาลให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องโดยไม่ตอบโต้ให้เกิดความขัดแย้ง และอาจเชิญบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับหรือเป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชนเป็นผู้ประสานทำความเข้าใจดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างราบรื่น 
 | ||||||||||||||||||
| 26108 | การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 21/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และการกำหนดปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้สำนักงบประมาณรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการให้สอดคล้องกับทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ โดยครอบคลุมประเด็นบูรณาการมากขึ้น เช่น การสร้างโอกาสจากกรอบข้อตกลงในภูมิภาค (ประชาคมอาเซียน) และอนุภูมิภาค การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษควบคู่กับการพัฒนาเมือง การสร้างรายได้ของประเทศที่ครอบคลุมทั้งในมิติของภาคเกษตร อุตสาหกรรม ท่องเที่ยวและบริการ และด้านแรงงานที่ครอบคลุมถึงการบริหารจัดการแรงงานของไทยเอง ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการและจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว รวมถึงการค้ามนุษย์ เป็นต้น และควรให้มีการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดของนโยบายในลักษณะบูรณาการ เพื่อประโยชน์ในการจัดทำแผนปฏิบัติการและการติดตามประเมินผล รวมทั้งประเมินผลการใช้งบประมาณบูรณาการของปีที่ผ่านมา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณกำหนดประเด็นที่เกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคงเพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณและให้มีผู้แทนของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเข้าร่วมในขั้นตอนของการจัดทำยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณด้วย ๓. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจัดทำแผนปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคงให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณต่อไป | ||||||||||||||||||
| 26109 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 21/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในรายการที่มีวงเงินรวมต่ำกว่า ๕๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑,๕๑๓ รายการ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๕๐๐ ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๔๑ รายการ และที่มีวงเงินรวม ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๓๓ รายการ โดยเป็นงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๓๑,๑๗๔.๕ ล้านบาท จากวงเงินภาระผูกพัน รวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๙๓,๒๖๓.๑ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ข้อ ๑.๓ และข้อ ๑.๖ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) และตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณได้ ๑.๓ รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เสนอในครั้งนี้ หากเป็นรายการที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณสามารถพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นนั้น ๆ สามารถปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีก ๑.๔ เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีผลบังคับใช้แล้ว จึงเห็นควรให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยเฉพาะรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลและเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนฯ และมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย ๒. ในส่วนของรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๓๓ รายการ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเจ้าของเรื่องพิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป | ||||||||||||||||||
| 26110 | แนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. ....) | นร | 21/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน 
 | ||||||||||||||||||
| 26111 | แนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 21/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๘/๒๕๕๗ วันพุธที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ และเห็นชอบให้เสนอร่างพระราชบัญญัติต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน จำนวน ๙ ฉบับ คือ ๑. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดความผิดเกี่ยวกับเพศ) ๒. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดนิยามคำว่า "เจ้าพนักงาน") ๓. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๐ พ.ศ. .... ๔. ร่างพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๕. ร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. .... ๖. ร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ๗. ร่างพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. .... ๘. ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... ๙. ร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 
 | ||||||||||||||||||
| 26112 | การประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี | นร05 | 21/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้มีการประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ ในวันอังคารที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ โดยภายหลังการประชุมร่วมฯ จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรีจัดส่งเอกสารที่จะนำเสนอต่อที่ประชุมร่วมฯ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมฯ ภายในวันศุกร์ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ 
 | ||||||||||||||||||
| 26113 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 21/10/2557 | |||||||||||||||
| ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้ ๑. เรื่องเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนถึงผลกระทบในแต่ละพื้นที่อันเนื่องจากภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง เพื่อมิให้พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย รวมทั้งหามาตรการเตรียมความพร้อมรองรับกรณีเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคด้วย ๑.๒ เนื่องจากในระยะนี้มีเหตุการณ์ที่แสดงถึงความไม่ปลอดภัยจากการท่องเที่ยวในประเทศไทยหลายกรณี เช่น การประทุษร้ายนักท่องเที่ยวจนถึงแก่ชีวิต อุบัติเหตุทางเรือ จึงให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดมาตรการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวอย่างเร่งด่วน รวมทั้งกำหนดบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ประกอบการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเพิ่มความระมัดระวังในการให้บริการยิ่งขึ้น ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการพิจารณาหาแนวทางการจัดพื้นที่ทำกินหรือใช้ประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๑.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดดำเนินการกำหนดมาตรการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดโดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับการจัดผังเมือง โดยพิจารณาจัดแบ่งพื้นที่เป็นส่วนที่อยู่อาศัยและส่วนที่เป็นศูนย์กลางการประกอบอาชีพและการพาณิชย์ รวมทั้งคำนึงถึงการขยายของเมืองที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาในอนาคตเพื่อให้การจัดผังเมืองเป็นไปอย่างมีระบบในระยะยาวต่อไป ๑.๕ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดดำเนินการจัดทำรายงานข้อมูลข้อเท็จจริงกรณีการทำเหมืองแร่โปแตชในประเทศไทย โดยให้นำเสนอผลดี ผลเสีย ผลกระทบ มาตรการในการป้องกัน แก้ไขปัญหา และการให้ความช่วยเหลือดูแลสิ่งแวดล้อมและผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ รวมทั้งแนวทางการใช้ประโยชน์จากแร่โปแตชในประเทศไทยอย่างครบวงจร เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว และให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อให้มีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาหาแนวทางการทำเหมืองแร่โปแตชและการทำเหมืองเกลือที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย ๒. ด้านต่างประเทศ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการจัดส่งข้อมูลในความรับผิดชอบ เช่น แผนและยุทธศาสตร์ของหน่วยงาน ให้กระทรวงการต่างประเทศเพื่อใช้ประกอบการดำเนินการของศูนย์ความร่วมมือการค้าและการลงทุนของไทยในต่างประเทศรวมทั้งจัดมุมประเทศไทย (Thai Corner) เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยให้ต่างชาติได้รู้จักต่อไปด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาหรือการทำความตกลงระหว่างประเทศพิจารณาจัดกลุ่มประเทศตามประเด็นสำคัญที่จะใช้ในการเจรจาหรือทำความตกลงระหว่างประเทศ เช่น กลุ่มประเทศที่เป็นตลาดการส่งออก กลุ่มประเทศที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทย เพื่อใช้ประโยชน์ในการเจรจาหรือทำความตกลงระหว่างประเทศในระยะต่อไป ทั้งนี้ ให้ทุกส่วนราชการพิจาณาตรวจสอบและทบทวนผลการดำเนินการตามบันทึกความตกลง บันทึกความเข้าใจ หรือเอกสารความร่วมมือระหว่างประเทศที่ได้เคยจัดทำไว้แล้ว เพื่อใช้ประกอบการจัดเตรียมข้อมูลในการเจรจาในอนาคตด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดแนวทางให้ศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของกระทรวงต่าง ๆ และศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัด มีการทำงานที่เชื่อมโยงกันอย่างครบวงจร โดยเฉพาะให้มีการประสานงานกับกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านในแต่ละพื้นที่เพื่อรับทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจำแนกตามกลุ่มประเภทต่าง ๆ และให้กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ประสานงานทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ นอกจากนั้น ให้ทุกส่วนราชการจัดให้มีเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของแต่ละส่วนราชการไปประจำในแต่ละศูนย์ด้วย โดยเฉพาะในระดับภูมิภาค ให้กำชับเจ้าหน้าที่ให้ความร่วมมือกับผู้ว่าราชการจังหวัดในการดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเต็มประสิทธิภาพด้วย ๓.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการคลัง พิจารณาดำเนินการตรวจสอบข้อร้องเรียนกรณีการงดจ่ายเงินบำนาญและเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ และเรียกเงินเบี้ยหวัดและเงินค่าครองชีพคืน โดยให้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้ถูกต้อง แล้วรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งแก้ไขปัญหาการปล่อยน้ำเสียของสถานประกอบการลงสู่ลำคลองของชุมชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ ๓.๔ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดพื้นที่สำหรับใช้ประโยชน์สาธารณะริมแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น บริเวณธนาคารแห่งประเทศไทยและสะพานพระราม ๘ ในลักษณะของโครงการอเนกประสงค์ (mixed use) โดยการสร้างเขื่อนตลอดแนวพื้นที่ โดยเหนือแนวเขื่อนจัดเป็นพื้นที่สาธารณะเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ในการพักผ่อน ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ และใต้แนวเขื่อนก่อสร้างท่อระบายน้ำเพื่อนำน้ำออกสู่ทะเลและป้องกันปัญหาอุทกภัยในอนาคต ทั้งนี้ ควรศึกษาแนวทางการดำเนินการจากประเทศที่ได้มีการสร้างพื้นที่ใช้ประโยชน์ในลักษณะนี้แล้ว เช่น สาธารณรัฐเกาหลี ๓.๕ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาทบทวนแผนหรือยุทธศาสตร์ระยะยาวต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบที่มีระยะเวลาดำเนินการของแผนหรือยุทธศาสตร์ในช่วงเวลาที่แตกต่างหรือเหลื่อมล้ำกัน โดยปรับกรอบระยะเวลาของแผนหรือยุทธศาสตร์ใหม่ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อให้การดำเนินการตามแผนและการบูรณาการระหว่างแผนมีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น ๓.๖ ให้ทุกส่วนราชการถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลเฉพาะเรื่องที่ดำเนินการมีผลสัมฤทธิ์แล้วและประชาสัมพันธ์เรื่องที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น 
 | ||||||||||||||||||
| 26114 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2556 เงินงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี) | กษ | 21/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการเปลี่ยนแปลงรายการเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี) โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ผ่านสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร งบประมาณจำนวน ๖๑๐.๒๐๘ ล้านบาท จากเดิม ค่าใช้จ่ายเพื่อชดเชยดอกเบี้ยให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่พักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้สมาชิกและค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูอาชีพแก่สมาชิก เป็น เพื่อจ่ายชดเชยดอกเบี้ยให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรตามโครงการฯ ปีที่ ๒ และรายการดังกล่าวข้างต้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะดำเนินการเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมสหกรณ์) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการติดตามประเมินผลโครงการฯ โดยเฉพาะการติดตามผลการจ่ายเงินอุดหนุนฟื้นฟูอาชีพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย | ||||||||||||||||||
| 26115 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ | ทก | 21/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน ๗ คน แทนชุดเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑. นายจรัมพร โชติกเสถียร ประธานกรรมการ ๒. นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการเงินและด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ๓. นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิศวกรรมศาสตร์ ด้านสังคมศาสตร์และการบริหารงานบุคคล ๔. นางสาววิลาวรรณ วนดุรงค์วรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการเงิน ๕. นายชวลิต อัตถศาสตร์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านนิติศาสตร์ ๖. นายธีระ อภัยวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ ๗. นางสาวสิบพร ถาวรฉันท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และด้านการเงิน 
 | ||||||||||||||||||
| 26116 | การแก้ไขปัญหายางพารา ตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2557 | กษ | 21/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบแนวทางการบริหารจัดการยางขององค์การสวนยาง และเห็นชอบการดำเนินงานตามโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง โครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง โครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยกรอบวงเงินและการบริหารงบประมาณในการดำเนิน ๔ โครงการดังกล่าว ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการหาตลาดผลิตภัณฑ์ยางให้กับผู้ประกอบการ การส่งเสริมให้มีการใช้ยางพาราเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ยางในประเทศเพิ่มขึ้น การระบายสต็อกยางและรับซื้อยางเพื่อทดแทนปริมาณสต็อกที่ระบายออกสู่ตลาดในแต่ละครั้งควรพิจารณาตามความเหมาะสมของเงื่อนไขของราคาและภาวะตลาดในขณะนั้น การกำหนดมาตรการเพื่อบรรเทาปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำเป็นการเฉพาะหน้าอย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาอัตราการให้ความช่วยเหลือที่ชัดเจนและเป็นธรรมแก่เกษตรกรทุกกลุ่ม การสนับสนุนองค์ความรู้และแนวทางพัฒนาอาชีพทางเลือกให้เหมาะสมกับเกษตรกรในแต่ละพื้นที่โดยการให้สินเชื่อแก่เกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริมต้องมีความรัดกุม เหมาะสมตามศักยภาพของเกษตรกรอย่างแท้จริง และการจัดทำฐานข้อมูลเกษตรกร การจ่ายเงิน จะต้องมีการจัดทำทะเบียนอย่างถูกต้อง ไม่รั่วไหล รวมทั้งมีการควบคุม ให้โปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ในการระบายยางในสต็อกของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์พิจารณากำหนดราคาให้เหมาะสม โดยใช้ระดับคุณภาพยางเป็นเกณฑ์ ๓. ในส่วนของโครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ให้จ่ายเงินชดเชยรายได้ให้แก่เกษตรกรตามพื้นที่สวนยางเปิดกรีดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์โดยช่วยเหลือแก่ครัวเรือนที่มีพื้นที่สวนยางเปิดกรีดไม่เกิน ๑๕ ไร่ อัตราไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท และกรณีครัวเรือนที่มีพื้นที่สวนยางเปิดกรีดเกินกว่า ๑๕ ไร่ขึ้นไป ให้จ่ายไม่เกิน ๑๕ ไร่ ในอัตรา ๑,๐๐๐ บาทต่อไร่ หรือไม่เกินครัวเรือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท (เช่น กรณีครัวเรือนที่มีพื้นที่สวนยางเปิดกรีด ๒๕ ไร่ จะได้รับการจ่ายเงินชดเชยรายได้ ๑๕,๐๐๐ บาท) โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) กำหนดแนวทางการดำเนินการจ่ายเงินที่ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในเรื่องการตรวจสอบผู้มีสิทธิรับเงินชดเชยรายได้ โดยให้ประสานงานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการตรวจสอบความถูกต้องว่าเป็นพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์หรือสิทธิทำกินในพื้นที่นั้น ซึ่งรวมถึงประเภทเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นที่ยอมรับของกรมป่าไม้ รวม ๔๖ รายการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแนวทางการจ่ายเงินดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนก่อนดำเนินการต่อไป | ||||||||||||||||||
| 26117 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล) | กค | 21/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป เพื่อให้พระราชบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้ก่อน ๑ มกราคม ๒๕๕๘ | ||||||||||||||||||
| 26118 | ขออนุมัติยกเว้นเป็นกรณีพิเศษในการก่อสร้างอาคารที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ในพื้นที่ กองคลังแสง กรมสรรพาวุธทหารบก (เดิม) จังหวัดนนทบุรี | กห | 21/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุญาตให้กระทรวงกลาโหม (กองทัพบก) ก่อสร้างอาคารที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ในพื้นที่กองคลังแสง กรมสรรพาวุธทหารบก (เดิม) จังหวัดนนทบุรี ซึ่งมีความสูงและเนื้อที่ไม่เป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๖ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ จำนวน ๓ รายการ ได้รับการยกเว้นการดำเนินการตามกฎกระทรวงว่าด้วยการยกเว้น ผ่อนผัน หรือกำหนดเงื่อนไขการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑. อาคารสโมสรริมน้ำ ๑ หลัง สูง ๑๖.๓๖ เมตร (อยู่ในบริเวณที่ ๒ ความสูงควบคุมไม่เกิน ๑๒ เมตร) เนื่องจากพื้นที่ก่อสร้างติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา จึงจำเป็นต้องดำเนินการถมดินให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันอุทกภัย จึงทำให้มีความสูงเกินข้อกำหนดตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๖ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๒ (ข) (๑) จำนวน ๔.๓๖ เมตร ๒. อู่จอดเรือ พื้นที่ ๑๓,๐๐๐ ตารางเมตร (อยู่ในบริเวณที่ ๒ พื้นที่ควบคุมไม่เกิน ๒,๐๐๐ ตารางเมตร) เนื่องจากมีความจำเป็นในการก่อสร้างอู่จอดเรือให้เพียงพอกับยุทโธปกรณ์ของหน่วยและไม่มีพื้นที่อื่นใดที่เหมาะสมในการก่อสร้าง จึงทำให้อู่จอดเรือมีพื้นที่เกินกว่าข้อกำหนดตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๖ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๒ (ข) (๕) จำนวน ๑๑,๐๐๐ ตารางเมตร ๓. อาคารที่พักชั้นนายสิบ จำนวน ๑๐ หลัง (ขนาด ๔๘ ครอบครัว) และอาคารที่พักชั้นนายร้อย จำนวน ๔ หลัง (ขนาด ๓๒ ครอบครัว) ซึ่งอยู่ในบริเวณที่ ๓ ความสูงควบคุมไม่เกิน ๑๖ เมตร โดยที่อาคารที่พักชั้นนายสิบ มีความสูง ๒๗.๒๕ เมตร และอาคารที่พักชั้นนายร้อยมีความสูง ๒๐.๘๕ เมตร เนื่องจากกองทัพบกมีความจำเป็นในการก่อสร้างอาคารที่พักให้เพียงพอกับกำลังพลพร้อมครอบครัวที่จะเข้าพักอาศัยของหน่วยและไม่มีพื้นที่อื่นใดที่เหมาะสมในการก่อสร้าง จึงทำให้มีความสูงของอาคารทั้งสองมีความสูงเกินกว่าข้อกำหนดตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๖ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๒ (ค) (๑) จำนวน ๑๑.๒๕ เมตร และจำนวน ๔.๘๕ เมตร ตามลำดับ | ||||||||||||||||||
| 26119 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | กค | 21/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและเห็นชอบรายงานการเงินภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วยงบแสดงฐานะทางการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ (ส่วนราชการ มหาวิทยาลัยของรัฐ จังหวัด กลุ่มจังหวัด หน่วยงานอิสระ องค์การมหาชน และมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ) กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน ๘,๑๘๘ หน่วยงาน จากทั้งหมด ๘,๓๘๘ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๘๐ ซึ่งผลการวิเคราะห์พบว่า กลุ่มรัฐวิสาหกิจมีสินทรัพย์รวมมากที่สุด มูลค่ารวม ๑๑.๘๑ ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นสถาบันการเงินและธุรกิจพลังงาน สำหรับรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐมีสินทรัพย์รวม ๙.๑๒ ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในรูปที่ดินราชพัสดุ เงินกู้ในภาพรวม ๗.๔๓ ล้านล้านบาท เป็นของรัฐบาลกลาง ๓.๗๒ ล้านล้านบาท รองลงมาเป็นของรัฐวิสาหกิจ ๓.๖๗ ล้านล้านบาท รายได้ในภาพรวมเป็นของรัฐวิสาหกิจ ๔.๙๘ ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นรายได้ของธุรกิจพลังงานและการไฟฟ้า รองลงมาเป็นรายได้ของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ๒.๘๐ ล้านล้านบาท ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายต้นทุนขายและบริการในภาครัฐวิสาหกิจและค่าใช้จ่ายบุคลากรของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาปรับปรุงลักษณะการวิเคราะห์ให้สามารถสะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และความเสี่ยงทางการคลังของภาครัฐในภาพรวม การให้ความรู้ในด้านการบันทึกข้อมูลทางบัญชีให้กับเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้สามารถจัดทำบัญชีได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานที่กำหนด รวมทั้งให้มีการแยกการรายงานในส่วนของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินและไม่ใช่สถาบันการเงินออกจากกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เนื่องจากการรายงานฐานะของกองทุนและทุนหมุนเวียนเป็นองค์ประกอบหนึ่งของรายงานการเงินรวมภาครัฐ ซึ่งที่ผ่านมาหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้เคยมีข้อสั่งการ (๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗) เกี่ยวกับเรื่องกองทุนต่าง ๆ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมผลการดำเนินงานของกองทุนต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ และส่งให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) วิเคราะห์ และเสนอแนวทางการปรับปรุงพัฒนา หรือยกเลิกกองทุนเพื่อเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) มอบหมายให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับงบประมาณของกองทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและกองทุนอื่น ๆ ของทุกหน่วยงานเพื่อนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) พิจารณาประกอบการจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยและการพัฒนาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้น จึงให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป | ||||||||||||||||||
| 26120 | การขอความเห็นชอบต่อปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน | กห | 21/10/2557 | |||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑. ปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศมุ่งสู่ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของประชาคมอาเซียน (Joint Declaration of the ASEAN Defence Ministers on Defence Cooperation towards Peaceful and Prosperous ASEAN Community) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการประกาศเจตนารมณ์ การกำหนดกรอบแนวทางในการดำเนินการร่วมกันของกระทรวงกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาคและสร้างสังคมที่มีความสงบสุขและสันติภาพในอาเซียนร่วมกัน ที่แสดงออกถึงความพอใจในผลลัพธ์ที่สร้างสรรค์ของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ ๘ อย่างสอดคล้องกับหัวข้อความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ เพื่อให้ประชาคมอาเซียนมีความสันติสุขและมั่งคั่งในการดำรงเป้าหมายการเป็นภูมิภาคที่มีความแน่นแฟ้น สันติสุข และเข้มแข็ง ๒. แผนปฏิบัติการ ๓ ปี (ปี ๒๕๕๗-๒๕๕๙) เป็นแผนปฏิบัติงานที่มีความต่อเนื่องจากแผนปฏิบัติงาน ๓ ปี (ปี ๒๕๕๔-๒๕๕๖) มีวัตถุประสงค์เพื่อการคงไว้ซึ่งแรงผลักดันและเสริมสร้างกระบวนการความร่วมมือด้านความมั่นคง ๓. เอกสารแนวความคิดว่าด้วยการจัดตั้งเครือข่ายการติดต่อสื่อสารแบบเร่งด่วนภายใต้กรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันหรือหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและการตีความที่ไม่ตรงกันมิให้เพิ่มขึ้น และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือการตอบสนองในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว ๔. พิธีสารเพิ่มเติมสำหรับเอกสารแนวความคิดว่าด้วยการจัดตั้งการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา เป็นการปรับปรุง กลั่นกรอง และสร้างความชัดเจนให้กับกลไกและกระบวนการการทำงานของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ๕. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนฯ ทั้งนี้ เมื่อลงนามในปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนฯ แล้ว ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการตามปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนฯ แผนปฏิบัติการ ๓ ปีฯ เอกสารแนวความคิดว่าด้วยการจัดตั้งเครือข่ายการติดต่อสื่อสารฯ และพิธีสารเพิ่มเติมสำหรับเอกสารแนวความคิดว่าด้วยการจัดตั้งการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนฯ ได้ตามความเหมาะสมและเสนอความคืบหน้าการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป | ||||||||||||||||||
					.....
									
			