ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 306 จากทั้งหมด 567 หน้า แสดงรายการที่ 6101 - 6120 จากข้อมูลทั้งหมด 11338 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
6101 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมือง และผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | กค | 15/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 2 โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) แบ่งวงเงินจำนวนไม่เกิน 5,000 ล้านบาท จากวงเงินค้ำประกันรวม 30,000 ล้านบาท จากโครงการฯ เพื่อให้การค้ำประกันสินเชื่อของผู้ประกอบการที่ได้รับ ผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมืองและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งนี้ ให้ บสย. สามารถกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมเพื่อให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น รวมทั้งการยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันในปี พ.ศ. 2553 ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับการค้ำประกันจาก บสย. อยู่เดิมแล้ว และทรัพย์สินได้รับความเสีย หายในเหตุเพลิงไหม้จากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมือง สำหรับเงื่อนไขอื่น ๆ ให้ บสย. ดำเนิน การตามหลักเกณฑ์ที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 ต่อไปเช่นเดิม 2. เห็นชอบการชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันที่ บสย. ยกเว้นการเรียกเก็บจากลูกค้าตามข้อ 1 ในวง เงินไม่เกิน 37.5 ล้านบาท และให้เบิกตามที่เสียหายจริง โดยให้ บสย. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับ การจัดสรรเป็นงบประมาณชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
6102 | ขออนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุและมติคณะรัฐมนตรี สำหรับการดำเนินโครงการด้านการศึกษา สาธิต และจัดทำต้นแบบในโครงการความร่วมมือด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ACMECS | พน | 08/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2530 (เรื่อง การพิจารณาวาง ระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลไทยที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ) ตามที่กระทรวง พลังงานเสนอ 2. สำหรับการขอยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ ไขเพิ่มเติม ข้อ 136 ในการแก้ไขสัญญาว่าจ้างจัดทำโครงการความร่วมมือด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ระหว่างไทยและสหภาพพม่า และข้อ 157 (3) ในการโอนพัสดุที่เกิดจากการดำเนินโครงการด้านการศึกษา สาธิต และจัดทำต้นแบบ จำนวน 14 โครงการ ให้แก่ประเทศสมาชิกภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรว ดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) นั้น ให้ กระทรวงพลังงานนำเสนอขออนุมัติต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
6103 | รายงานผลการพิจารณาทบทวนคุณสมบัติโรงเรียนขนาดเล็กที่สมควรจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนรายหัวเพิ่มเติม ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2552 | ศธ | 02/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ 1.1 รายงานผลการพิจารณาทบทวนคุณสมบัติโรงเรียนขนาดเล็กที่สมควรจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนรายหัวเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2552 โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดทำเกณฑ์ที่กำหนดแตกต่างจากที่เสนอคณะรัฐมนตรีในครั้งแรก เนื่องจากได้กำหนดให้โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก (นักเรียนตั้งแต่ 300 คนลงมา) นั้น ให้รวมโรงเรียนขยายโอกาสด้วยเนื่องจากเป็นโรงเรียนที่อยู่ในชนบทห่างไกล โดยขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเฉพาะนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น หัวละ 1,000 บาท/คน/ปี เพื่อจะได้จัดสรรให้โรงเรียนได้ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 เป็นต้นไป 1.2 เห็นชอบการกำหนดให้โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็กให้รวมโรงเรียนขยายโอกาส (นักเรียนตั้งแต่ 300 คนลงมา) โดยจัดงบประมาณสนับสนุนเฉพาะนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น 2. สำหรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มให้โรงเรียนตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 นั้น เนื่องจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 มิได้ตั้งงบประมาณเพื่อการนี้ไว้ สพฐ. จึงต้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จากโครงการสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 15 ปี ที่ได้รับจัดสรร จำนวน 40,604.6911 ล้านบาท มาดำเนินการไปก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 กระทรวงศึกษาธิการได้เสนอตั้งไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของ สพฐ. จำนวน 888.70 ล้านบาท แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
6104 | การให้ธนาคารออมสินดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แทนธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 02/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้ธนาคารออมสินดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ ระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ 1 มกราคม 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2556 ในวงเงิน 25,000 ล้านบาท แทน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยทางการชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนเงินกับอัตราผลตอบแทนที่ธนาคารออม สินได้รับจากการปล่อยสินเชื่อตามโครงการนี้ในอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยคำนวณจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน สำหรับผู้ฝากทั่วไปสูงสุดของธนาคารออมสิน บวกร้อยละ 0.98 ต่อปี และหักอัตราผลตอบแทนจากการให้ สถาบันการเงินกู้ร้อยละ 0.01 ต่อปี ตามข้อเสนอของธนาคารออมสิน โดยใช้งบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทยเข้ม แข็ง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2552 ทั้งนี้ ให้ธนาคารออมสินเบิกจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง 1.2 ให้ธนาคารออมสินดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ ในวงเงินที่ยังคงค้างจากการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของ ธปท. ในโครงการนี้ประมาณ 3,000 ล้านบาท (ซึ่งเป็นวงเงินภายในกรอบ 25,000 ล้านบาท) โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2553 เพื่อสนับ สนุนความต้องการของผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เสนอศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดน ภาคใต้ (ศอ.บต.) โดยทางการจะชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนเงินกับอัตราผลตอบแทนที่ธนาคารออมสินได้รับจาก การปล่อยสินเชื่อ ตามโครงการนี้ให้แก่ธนาคารออมสินในหลักการเดียวกันกับข้อ 1.1 หรือคิดเป็นวงเงินงบประมาณ 69.48 ล้านบาท (ชดเชยให้ในช่วงวันที่ 1 มิถนายน-31 ธันวาคม 2553) โดยใช้งบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทย เข้มแข็ง ทั้งนี้ ให้ธนาคารออมสินเบิกจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง 2. ส่วนการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเพื่อการคำนวณวงเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างทุนกับอัตราผลตอบแทนที่ ธนาคารออมสินได้รับจากการปล่อยสินเชื่อตามโครงการนี้ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณ อีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยให้มีกรอบวงเงินชดเชยรวมไม่เกิน 3,046.98 ล้านบาท (2,977.50+69.48 ล้านบาท) |
||||||||||||||||||||||||
6105 | การใช้พัสดุที่ผลิตในประเทศและเป็นกิจการของคนไทย | พณ | 02/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน
ที่ 19 มกราคม 2553 เกี่ยวกับการใช้พัสดุที่ผลิตในประเทศและเป็นกิจการของคนไทย ดังนี้ ความตกลงว่าด้วยการ อุดหนุน และมาตรการตอบโต้การอุดหนุนขององค์การการค้าโลกอนุญาตให้สมาชิกยกเว้น/คืนภาษีนำเข้าให้กับวัตถุ ดิบที่นำเข้ามาในประเทศเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกได้โดยไม่ถือว่าเป็นการอุดหนุนต้องห้าม (Prohibited Subsidy) แต่ต้องไม่มากกว่าภาษีนำเข้าที่เรียกเก็บจากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าส่งออก อย่างไรก็ตาม แม้มาตร การดังกล่าวจะไม่เป็นการอุดหนุนต้องห้าม แต่ก็ถือว่าเป็นการอุดหนุนที่ถูกตอบโต้ได้ (actionable subsidies) หาก การอุดหนุนดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสมาชิกอื่น โดยอาจถูกเก็บภาษีตอบโต้การอุดหนุน (countervailing duty-CVD) หรือถูกฟ้องร้องให้ยกเลิกโครงการอุดหนุนในองค์การการค้าโลกได้
|
||||||||||||||||||||||||
6106 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การทำลายลำไยอบแห้ง ปี 2546 และปี 2547 โดยการรีไซเคิลเป็นพลังงานชีวมวล ตามข้อเสนอโครงการของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | กษ | 02/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.)
รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การทำลายลำไยอบแห้งปี 2546 และปี 2547 โดยการรีไซ เคิลเป็นพลังงานชีวมวลตามข้อเสนอโครงการของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีผลการดำเนินงานดังนี้ 1. ดำเนินการส่งมอบลำไยอบแห้งให้แก่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อทำการบดทำลายแล้ว จำนวน 42,195.75 ตัน (4,219,575 กล่อง) คิดเป็นร้อยละ 90.11 ของเป้าหมาย 2. จำหน่ายกล่องลำไยอบแห้ง จำนวนเงินทั้งสิ้น 24,054,176.25 บาท 3. การดำเนินการส่งมอบลำไยอบแห้งให้แก่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้งบประมาณจากกอง ทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) จำนวน 1,821,385.72 บาท 4. การดำเนินการส่งมอบลำไยอบแห้งปี 2546 และปี 2547 ที่เก็บในคลังสินค้าของสหกรณ์การเกษตร ในจังหวัดลำพูน จำนวน 2 แห่ง และจังหวัดลำปาง จำนวน 1 แห่ง ตรวจพบลำไยอบแห้งในกล่องบางส่วนมีปริมาณ และน้ำหนักน้อยกว่าปกติ จึงได้แจ้งความร้องทุกข์ไว้เป็นหลักฐานในเบื้องต้น รวมทั้งได้แต่งตั้งคณะกรรมการคัดแยก และตรวจนับปริมาณลำไยอบแห้งที่ได้รับความเสียหาย ประกอบด้วย ผู้แทนส่วนราชการในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง ผู้แทน เกษตรกร และผู้แทน อ.ต.ก. เพื่อจะได้ทราบปริมาณลำไยอบแห้งที่เสียหาย และ อ.ต.ก. จะได้ดำเนินการเรียกร้อง ค่าเสียหายตามสัญญาหรือฟ้องร้องดำเนินคดีต่อไป 5. การดำเนินการส่งมอบและบดทำลายลำไยอบแห้งจะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2553
|
||||||||||||||||||||||||
6107 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย | วท | 02/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยี รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียน วิทยาศาสตร์ในโรงเรียน (โครงการ วมว.) โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย ครั้งที่ 6 ซึ่งมีผลการดำเนินงานดังนี้ 1. สนับสนุนนักเรียนห้องเรียนวิทยาศาสตร์ของโครงการไปแล้ว 2 รุ่น (ปีการศึกษา 2551 และ 2552) รวม 8 ห้องเรียน คือ ชั้น ม. 4 และ ม. 5 ใน 4 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงเรียนราช สีมาวิทยาลัย โรงเรียนดรุณสิกขาลัย และโรงเรียน มอ. วิทยานุสรณ์ และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ได้ดำเนินคัด เลือกนักเรียนรุ่นที่ 3 (ปีการศึกษา 2553) เสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2553 โดยเพิ่มห้องเรียนวิทยา ศาสตร์อีก 1 แห่งในโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 2. สำหรับผลการดำเนินงานในส่วนของคณะกรรมการ/คณะทำงานของมหาวิทยาลัย-โรงเรียนที่เข้าร่วม โครงการ วมว. อาทิ 2.1 พัฒนาหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนห้องเรียนวิทยาศาสตร์โครงการ วมว. ประจำปีการศึกษา 2551 และ 2552 ของทั้ง 4 โรงเรียน 2.2 จัดทำมาตรฐานหลักสูตรห้องเรียนวิทยาศาสตร์โครงการ วมว. 2.3 การจัดกิจกรรมร่วมระหว่างวิทยาลัย-โรงเรียน ในโครงการ วมว. 2.4 จัดสัมมนา "การบริหารโครงการ วมว." จำนวน 2 ครั้ง 2.5 ดำเนินงานสนับสนุนและส่งเสริมให้นักเรียนโครงการ วมว. เข้าสู่ระดับ World Class 3. ปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งแนวทางแก้ไข โครงการ วมว. ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทำให้นักเรียน กลุ่มเป้าหมายและผู้ปกครองยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิด เป้าหมายโครงการและการจัดการหลักสูตรที่ไม่ชัดเจน หรือคลาดเคลื่อน จึงได้เพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์โครงการให้ทั่วถึง โดยเฉพาะให้เข้าถึงโรงเรียนในต่างจังหวัด มากขึ้น รวมทั้งจัดปฐมนิเทศและปัจฉิมนิเทศแก่นักเรียนในโครงการรวมทั้งผู้ปกครอง เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
6108 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 02/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบผลการทบทวนโครงการลงทุนของกระทรวงสาธารณสุขที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงวงเงิน 178.6200 ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขขยายเวลาการจัดส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงินโครง การลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2553 ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 2. อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ของกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน 9,845.9073 ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขขยายเวลาการจัดส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอ จัดสรรเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2553 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 3. อนุมัติการเปลี่ยนแปลงโครงการของกระทรวงสาธารณสุขที่จะใช้วงเงินเหลือจากการทบทวน จำนวนเงิน 1,484.1405 ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขขยายเวลาการจัดส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอ จัดสรรเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2553 ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 4. รับทราบตามที่กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ขอปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการ ใช้จ่ายเงินในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 2554 และ 2555 โครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่สิ่งก่อสร้าง แหล่งน้ำ วงเงิน 829.8 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้ม แข็ง 2555 เห็นว่า กรณีดังกล่าวเป็นการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงิน เพื่อให้สอดคล้องกับความ สามารถในการเบิกจ่ายเงินอันเป็นผลมาจากการพิจารณาความเหมาะสมของงวดงานภายใต้วงเงินที่ได้รับอนุมัติจาก คณะรัฐมนตรี จึงเห็นสมควรอนุมัติการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินดังกล่าวได้
|
||||||||||||||||||||||||
6109 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินการตามประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือน | นร | 25/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการ ก.พ. ครั้งที่ 3/2553 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2553 ที่เห็นชอบให้ส่วน ราชการมีกลุ่มงานคุ้มครองจริยธรรมเป็นหน่วยงานภายในรับผิดชอบภารกิจของกลุ่มงานคุ้มครองจริยธรรม โดย เปลี่ยนศูนย์ประสานราชการใสสะอาดของส่วนราชการและจังหวัด หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบภารกิจด้านการส่ง เสริมคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล เป็นกลุ่มงานคุ้มครองจริยธรรมของส่วนราชการและจังหวัดและปฏิบัติ งานภายใต้การกำกับดูแลของเลขานุการคณะกรรมการจริยธรรมส่วนราชการ และจังหวัด ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ 2. ให้ส่วนราชการ จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าบทบาทของกลุ่มงานคุ้มครองจริยธรรมนี้ควรมุ่งเน้นให้ความสำคัญ กับการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส ตลอดจนกระบวนการรับเรื่องร้องเรียนและร้องทุกข์ และควรสร้างระบบเพื่อพิทักษ์ ดูแลพยานและผู้ร้องเรียนให้ได้รับความปลอดภัย มีการสอบสวนที่เป็นธรรม และโปร่งใส ไปพิจารณาดำเนินการ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
6110 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 เรื่อง การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | นร | 25/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 เรื่อง การบริหารโครงการภายใต้
แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ข้อ 4 จาก "อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับ โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 สำหรับโครงการภายใต้แผนพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดน ภาคใต้ ที่เสนอขออนุมัติใช้เงินเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี วงเงิน 2,170.04 ล้านบาท ........." เป็น "อนุมัติการจัด สรรเงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 สำหรับโครงการภายใต้แผนพัฒนาพื้น ที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เสนอขอใช้เงินเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี วงเงิน 2,223.04 ล้านบาท ........."
|
||||||||||||||||||||||||
6111 | ขอขยายเวลาโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 โครงการเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ | พณ | 25/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. ให้กรมส่งเสริมการส่งออกขยายเวลาลงนามในสัญญาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2553 สำหรับ 2 โครงการ ประกอบด้วยโครงการพัฒนาศักยภาพผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสมุนไพรไทยเพื่อการส่งออกสู่ ตลาดโลก และโครงการพัฒนาทักษะเชิงสร้างสรรค์และเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมไลฟ์สไตล์ ออกไป เป็นให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2553 2. ให้กรมส่งเสริมการส่งออกขยายเวลาดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายงบประมาณของโครงการเศรษฐ กิจสร้างสรรค์ ทั้ง 2 โครงการดังกล่าว ออกไปจากที่จะต้องสิ้นสุดภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เป็นสิ้นสุดภาย ในเดือนธันวาคม 2553
|
||||||||||||||||||||||||
6112 | การเลื่อนเงินเดือนข้าราชการผู้ได้รับการพิจารณาบำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติ (สำนักงานผู้แทนการค้าไทย) | นร | 18/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ข้าราชการผู้ไปช่วยปฏิบัติราชการให้แก่ผู้แทนการค้าไทยได้รับการพิจารณา
บำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษ ตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2552 โดยให้ประธาน ผู้แทนการค้าไทยและผู้แทนการค้าไทยมีโควตาคนละ 2 คน ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ส่วนเงิน เลื่อนเงินเดือนให้ปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการต้นสังกัดตามความเห็นของ สำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
6113 | รายงานผลการดำเนินโครงการควบคุมและรับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมง IUU ตามมติคณะรัฐมนตรี | กษ | 11/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอรายงานผลการดำเนินโครงการควบ
คุมและรับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมง IUU (โครงการ IUU) ในช่วง 3 เดือนแรก (มกราคม-มีนาคม 2553) สรุปได้ดังนี้ 1. ทำการตรวจ stock สัตว์น้ำและสินค้าที่โรงงานมีอยู่ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2553 จำนวน 124 โรงงาน แล้วสร็จเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2553 และออกเอกสารยืนยันสัตว์น้ำจับก่อนวันที่ 1 มกราคม 2553 ให้แก่โรงงานที่ ร้องขอจำนวน 102 โรงงาน รวม 2,375 ฉบับ รวมทั้งออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำให้แก่ผู้ประกอบการโรงงานรวม 81 ฉบับ ตามที่ผู้ประกอบการร้องขอ 2. ทำการจดทะเบียนเรือได้ 1,545 ลำ 3. ทำการคัดเลือกท่าเทียบเรือได้ครบจำนวน 64 แห่ง และอยู่ระหว่างตรวจประเมินสุขอนามัยและศักย ภาพของท่าเทียบเรือดังกล่าว เพื่อคัดเลือกและกำหนดเป็นท่าเทียบเรือที่จะทำการปรับปรุงในปีต่อไป ซึ่งกำหนดได้ แล้ว 11 ท่า เป็นขององค์การสะพานปลา ที่เหลือกำลังอยู่ระหว่างการตรวจประเมินเพื่อคัดเลือกให้ได้ครบ 20 ท่า ตามที่ตั้งเป้าไว้ รวมทั้งอยู่ระหว่างการกำหนดมาตรฐานและเงื่อนไขการตรวจรับรองเรือประมง 4. จัดทำเอกสารประกวดราคาการจัดจ้างทำระบบเครือข่ายข้อมูลคอมพิวเตอร์แล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการ ดำเนินการประกวดราคา 5. จัดทำแผนการประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ วิทยุ รวมทั้งแผนการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปเอกสาร โบรชัวร์ โปสเตอร์ เพื่อประชาสัมพันธ์ในระดับพื้นที่ 6. กรมประมงจัดตั้งศูนย์ประสานงานการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2553 โดย ศูนย์ประสานงานได้ปฏิบัติงานมา 1 เดือนแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงสำนักงานและจัดซื้อครุภัณฑ์และวัสดุ สำนักงาน
|
||||||||||||||||||||||||
6114 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช | อก | 11/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบการผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรม ชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามคำขอที่ 3/ 2548 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532 และวันที่ 15 พฤศจิกายน 2533 ตามที่กระทรวงอุตสาห กรรมเสนอ 2. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรระมัดระวังเรื่องคุณภาพ น้ำ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรับความเห็นของกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เกี่ยว กับขั้นตอนการอนุญาตประทานบัตรให้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจ สอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรม ชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณฯ ซึ่งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณาราย งานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงการเหมืองแร่ให้ความเห็นชอบแล้ว ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบ อนุญาตต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้น ที่ที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือสุขอนามัยของประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนหรือกระบวนการ พิจารณาเพื่อประโยชน์ในการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเป็นสื่อกลางในการสร้างความ เข้าใจที่ถูกต้องต่อโครงการที่ขอประทานบัตรในการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ลุ่มน้ำกับประชาชนในพื้นที่ ไปดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
6115 | รายงานการศึกษาความเหมาะสมในการขยายกำลังการผลิตและย้ายสถานที่ตั้งโรงงานน้ำตาล (การขออนุญาตย้ายสถานที่ตั้งและหรือขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาล เรื่อง การขอขยายกำลังการผลิต และการขอนำกำลังการผลิต/เครื่องจักรไปตั้งที่แห่งใหม่ และขอขยายกำลังการผลิต และเรื่อง รายงานการศึกษาความเหมาะสมในการขยายกำลังการผลิต และย้ายสถานที่ตั้งโรงงานน้ำตาลทราย) | อก | 11/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการการย้ายสถานที่ตั้งและหรือขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาลทราย และเห็น ชอบการขอขยายกำลังการผลิต และการขอนำกำลังการผลิต/เครื่องจักรไปตั้งที่แห่งใหม่และขอขยายกำลังการผลิต จำนวน 11 โรงงาน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ตุลา คม 2532 (เรื่อง การย้ายสถานที่ตั้งและตั้งโรงงานน้ำตาลทรายใหม่ และการพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรี) ซึ่งไม่อนุญาตให้มีการตั้งโรงงานน้ำตาลทรายเพิ่มขึ้นใหม่ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 (เรื่อง การแก้ไขปัญหาราคาอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ) ซึ่งห้ามไม่ให้มีการเพิ่มกำลังการผลิต โดยให้กระทรวงอุตสาห กรรมและหน่วยที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) และคณะ กรรมการพิจารณาความเหมาะสมในการขยายกำลังการผลิตและการย้ายสถานที่ตั้งของโรงงานน้ำตาลไปพิจารณา ดำเนินการ ดังนี้ 1.1 ในการขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาลทรายจะทำให้ความต้องการปริมาณอ้อยในภาพรวม เพิ่มขึ้น สามารถกระทำได้โดยการเพิ่มพื้นที่การเพาะปลูก และเพิ่มผลผลิตเฉลี่ยให้ได้ 15 ตันต่อไร่ โดยกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ต้องให้การสนับสนุนในเรื่องระบบชลประทานเพื่อให้มีน้ำใช้สำหรับการปลูกอ้อยให้เพียงพอ 1.2 หากอนุญาตให้ย้ายหรือขยายกำลังการผลิต ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี นับจากวันที่ ได้รับหนังสือแจ้งจากกระทรวงอุตสาหกรรม และให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย 1.3 ในการขอย้ายสถานที่ตั้งโรงงานน้ำตาลทราย ควรคำนึงถึงหลักเกณฑ์ของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ กำหนดเกี่ยวกับระยะห่างระหว่างโรงงานน้ำตาลทรายแห่งใหม่กับโรงงานน้ำตาลทรายเดิม และพื้นที่ปลูกอ้อยของ ชาวไร่อ้อยคู่สัญญากับโรงงานน้ำตาลทรายที่ขอย้ายไปตั้งใหม่ประกอบด้วย 1.4 ควรมีการทบทวนนโยบายส่งเสริมการผลิตเอทานอลให้มีความคล่องตัวขึ้นซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ จะทำให้โรงงานน้ำตาลทรายประสบความสำเร็จได้ในอนาคต 2. เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณากรณีการย้ายและขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำ ตาลไทยเอกลักษณ์ เนื่องจากยังไม่ได้ผ่านกระบวนการ และขั้นตอนการพิจารณาของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
6116 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ค่าน้ำมัน ค่าเหมาซ่อม พร้อมดอกเบี้ย ประจำปีงบประมาณ 2552 (ตุลาคม 2551 - กันยายน 2552) ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 04/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ค่าน้ำมัน ค่าเหมาซ่อม พร้อม ดอกเบี้ย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จำนวน 3,966.105 ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้และ ปรับเงินกู้ตามยอดหนี้ที่ต้องชำระจริง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ 2. ให้ ขสมก. และกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 [เรื่อง แผนปรับปรุงการบริหารจัด การและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)] โดยเฉพาะการจัดทำแผนและ ขั้นตอนในการดำเนินโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดเพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน และให้กระทรวงคมนาคมหาแนว ทางการบริหารเงินทุนหมุนเวียน สำหรับชำระค่าน้ำมัน และค่าเหมาซ่อมให้ทันตามสัญญา ไปพิจารณาดำเนินการใน ส่วนที่เกี่ยวข้องโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
6117 | ขออนุมัติแนวทางการให้กู้ต่อแก่โครงการรถไฟชานเมือง สายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 04/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 แนวทางการให้กู้ต่อโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ของการรถไฟ แห่งประเทศไทย (รฟท.) 1.2 ให้กระทรวงการคลังทำสัญญาให้กู้ต่อโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รัง สิต กับ รฟท. วงเงิน 63,018 ล้านเยน หรือประมาณ 22,783 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าโครงสร้างพื้น ฐานงานโยธา ค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ตู้รถไฟฟ้า ค่าจ้างที่ปรึกษา และค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด 1.3 ให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศ และให้ รฟท. กู้ต่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับงานระบบไฟฟ้า และเครื่องกล ตู้รถไฟฟ้า ค่าจ้างที่ปรึกษางานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล และภาษีมูลค่าเพิ่ม ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน วง เงิน 6,243 ล้านบาท โดยให้ รฟท. เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าว จนกว่าจะมีข้อยุติแนวทางการบริหารจัดการ และผู้รับภาระการลงทุนงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล และตู้รถไฟฟ้า 1.4 ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เฉพาะในส่วนค่าโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลเป็นผู้รับภาระ เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อ ไป 2. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมเร่งพิจารณาหาข้อยุติกรอบวงเงินลงทุนโครงการรถไฟชาน เมือง สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ในส่วนค่าใช้จ่ายลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล ตู้รถไฟฟ้า ค่าจ้างที่ปรึกษางานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลที่ชัดเจนสำหรับการเจรจาเงินกู้ของกระทรวงการคลัง รวม ทั้งพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการในรูปแบบ Public Private Partnership (PPPs) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2552 นอกจากนี้ ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. จัดทำรายละเอียดของแผนปรับโครงสร้างองค์กรและการบริหารกิจการรถไฟที่ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ เชิงธุรกิจการพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการด้านการเงินและสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และแก้ไข ข้อตกลงหรือข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาระบบรถไฟของประเทศให้แล้วเสร็จ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบโดยเร็วต่อไป ตามความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ กิจและสังคมแห่งชาติ และให้ รฟท. จัดทำบัญชีแยกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเฉพาะในส่วนค่าโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาล เป็นผู้รับภาระอย่างชัดเจน เพื่อให้สำนักงบประมาณสามารถจัดสรรงบประมาณชำระหนี้ได้อย่างถูกต้อง ตามความ เห็นของสำนักงบประมาณ 3. ให้กระทรวงคมนาคม รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนเกี่ยว กับการบริหารจัดการที่ดินบริเวณชุมชนบางซื่อให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย |
||||||||||||||||||||||||
6118 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนที่นำทางแห่งชาติการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ พ.ศ. 2551 - 2555 เพื่อเป็นอุตสาหกรรมเพื่ออนาคต (New Wave Industry) ของประเทศไทย | วท | 04/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอรายงานผลการดำเนินการ
ตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนที่นำทางแห่งชาติการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ พ.ศ. 2551-2555 เพื่อ เป็นอุตสาหกรรมเพื่ออนาคต (New Wave Industry) ของประเทศไทย สรุปผลการดำเนินการได้ดังนี้ 1. ภาพรวมผลการดำเนินการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพตามแผนที่นำทางแห่งชาติฯ ที่ผ่าน มาส่งผลให้เกิดการริเริ่มพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ได้แก่ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นโยบายด้าน สิ่งแวดล้อม และมาตรการให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนและภาษีต่าง ๆ การพัฒนาเทคโนโลยีที่มีศักยภาพใน เชิงพาณิชย์ รวมทั้งการจัดทำโครงการนำร่องเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพได้อย่างดีในระดับ หนึ่ง ส่วนปัญหาหลักที่พบ คือ การดำเนินงานเพื่อให้บรรลุตัวชี้วัดของ 4 กลยุทธ์หลักของแผนที่นำทางแห่งชาติฯ ทำได้ยาก เนื่องจากต้องอาศัยการสร้างความเข้าใจถึงความสำคัญในการดำเนินการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติก ชีวภาพอย่างบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงต้องมีการปรับแผนเพื่อกำหนดกรอบงบประมาณและตัวชี้ว้ดให้ ชัดเจนและเหมาะสมกับภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2. ในส่วนของงบประมาณดำเนินการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สนช.) ได้รับ การจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณสำหรับโครงการยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพตาม แผนที่นำทางแห่งชาติฯ ในปี พ.ศ. 2551-2553 เป็นจำนวน 248 ล้านบาท และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทค โนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 25 ล้านบาท (พ.ศ. 2553) รวมเป็นเงินที่ได้รับการ จัดสรร 273 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่างบประมาณที่ระบุไว้ในแผนที่นำทางฯ จำนวน 1,635.10 ล้านบาท ส่งผลต่อ การดำเนินการ โดยเฉพาะกลยุทธ์ที่ 2 การเร่งรัดและสร้างเทคโนโลยี ในเรื่องของการสนับสนุนให้เกิดการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพที่มีศักยภาพสู่อุตสาหกรรม และกลยุทธ์ที่ 3 การสร้าง อุตสาหกรรมและธุรกิจนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนและผลักดันให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมและธุรกิจนวัตกรรม ด้านพลาสติกชีวภาพในประเทศไทย ทั้งนี้ สนช. อยู่ระหว่างการปรับแผนการดำเนินงานเพื่อเร่งพัฒนาให้เกิดการ ลงทุนในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพอย่างครบวงจร
|
||||||||||||||||||||||||
6119 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ปีที่ 60 วันที่ 5 พฤษภาคม 2553 และเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 5 ธันวาคม 2553 โดยไม่ถือเป็นวันลา | วธ | 04/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ รวมถึงลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราช การ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจลาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่อง ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ฉันวาคม 2553 เป็นระยะเวลา 15 วัน ตามหลักสูตรศาสนศึกษา สำหรับผู้บวชระยะสั้น (15 วัน) ของกรมการศาสนา โดยไม่ถือเป็นวันลาเสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้ รับเงินเดือนตามปกติตามที่จังหวัดลำปางเสนอ 2. อนุมัติให้การใช้สิทธิการลาดังกล่าวมีผลครอบคลุมถึงการลาเข้าร่วมอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษกปีที่ 60 ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2553 และ การอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2553 ในปี 2553 โดยต้องเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการจัดขึ้น ตามแนวทางที่กรมการศาสนากำหนด ทั้งนี้ ให้ลาได้ ตามระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน 15 วัน ตามหลักศูตรศาสนศึกษาสำหรับผู้บวชระยะสั้น (15 วัน) ของกรมการศาสนา หากอุปสมบทเป็นเอกเทศโดยไม่ได้เข้าร่วมโครงการตามที่กำหนดนี้ จะไม่ได้รับสิทธิการลา ตามมติคณะรัฐมนตรี สำหรับข้าราชการที่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการมาแล้วสามารถจะลาอุปสมบทเพื่อ เฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก |
||||||||||||||||||||||||
6120 | รายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมของโครงการฝายหัวนา | กษ | 27/04/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบรายงานผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมของโครงการฝายหัวนา ตามที่กระทรวง เกษตรและสหกรณ์เสนอ 2. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 (เรื่อง การแก้ไขปัญหาของสมัชชาคน จน) และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2544 (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการ ฝ่ายหัวนา และอนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ดำเนินการพัฒนาโครงการก่อสร้างฝายหัว นาต่อไปจนแล้วเสร็จ ตลอดจนสำรวจข้อมูลและพิจารณาการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งกรมชลประทานถือปฏิบัติอยู่ รวมทั้งการดำเนินการ ตามแผนการแก้ไขผลกระทบและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมของโครงการต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณ สุข และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เห็นควรเพิ่มมาตรการป้องกันและลดผลกระทบต่อสุขภาพจิตของประชา ชน โดยเฉพาะประชาชนที่สูญเสียที่ดินทำกิน สูญเสียรายได้จากการประมงพื้นบ้าน และสูญเสียการเข้าใช้ประโยชน์ป่า บุ่ง ป่าทาม และควรมีมาตรการในการสร้างระบบการเฝ้าระวังแบบมีส่วนร่วมโดยภาคประชาชน และการสื่อสารความ เสี่ยงให้ประชาชนได้รับทราบถึงผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการและให้ความรู้ในการป้องกันและดูแลสุข ภาพแก่ประชาชน รวมทั้งให้ส่งรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมของโครงการฯ ให้คณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป เป็นต้น และรับข้อสังเกตของ สำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยที่ดินและทรัพย์สิน การกำหนดเงื่อนไขในการเจรจากับราษฎร ตลอดจน มาตรการควบคุมและป้องกันมิให้มีการบุกรุกล้ำพื้นที่บริเวณน้ำท่วมขังในช่วงฤดูแล้ง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจกับราษฎรให้ทั่วถึงชัดเจนในเรื่องความ เป็นธรรมในการจ่ายค่าชดเชยให้กับราษฎรที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ติดตามและประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการดำเนินการเรื่องดังกล่าว ให้เป็นรูปธรรมด้วย |