ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 304 จากทั้งหมด 567 หน้า แสดงรายการที่ 6061 - 6080 จากข้อมูลทั้งหมด 11338 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
6061 | ขอแก้ไขถ้อยคำชื่องาน "งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ปีที่ 60 วันที่ 5 พฤษภาคม 2553" ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 | วธ | 03/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แก้ไขถ้อยคำชื่องาน "งานพระราชพิธีบรมราชภิเษก ปีที่ 60 วันที่ 5 พฤษภาคม
2553" ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 (เรื่อง ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาเข้าร่วมอุปสมบท ในโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ปี ที่ 60 วันที่ 5 พฤษภาคม 2553 และเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 5 ธันวาคม 2553 โดยไม่ถือเป็นวันลา) แก้เป็น "งานเฉลิมพระเกียรติแห่งการบรมราชาภิเษกปีที่ 60" ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6062 | รายงานผลการติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 | นร | 03/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐนตรีรายงานผลการติดตามและเร่งรัดการ
ดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 กรณีผลการดำเนินการตรวจสอบข้อ มูลร้อยละ 100 ในพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรที่ผลการเปรียบเทียบข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมของสำนักงานพัฒนา เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ กับข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรมีความแตกต่างกันเกินกว่าร้อยละ 20 ตาม มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2553 โดยผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลภาพและแปลภาพถ่ายจากดาวเทียม จังหวัดที่มีพื้นที่แตกต่างกันเกินกว่าร้อยละ 20 ลดลงจาก 29 จังหวัด เหลือ 14 จังหวัด สำหรับพื้นที่ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก จำนวน 62 จังหวัด ในการแปลตีความครั้งที่ 1 มีพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง จำนวน 13,489,933 ไร่ ในการแปลตีความครั้งที่ 2 มีพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง จำนวน 14,556,672.21 ไร่ เพิ่มขึ้นจากครั้งที่ 1 จำนวน 1,068,739.21 ไร่ เมื่อนำผลการแปลตีความในครั้งที่ 2 เปรียบ เทียบกับข้อมูลการขึ้นทะเบียนและผ่านประชาคมในพื้นที่ 62 จังหวัด ซึ่งมีจำนวน 16,351,790 ไร่ มีความแตกต่าง กันจำนวน 1,795,117.79 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 10.98
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6063 | การใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการในสัญญาการให้สินเชื่อโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อน Hongsa Mine-Mouth Power Project กับ Hongsa Power Co., Ltd | กค | 03/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบการดำเนินการของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารออมสินตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2553 เกี่ยวกับการใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการในสัญญาการให้สินเชื่อ โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อน Hongsa Mine-Mouth Power Project ระหว่างธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารออมสิน กับ Hongsa Power Company Limited โดยให้กระทรวงการคลังรับความเห็น ของสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นว่ากรณีจำเป็นจะต้องใช้วิธีกระบวนการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท ดังกล่า วธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารออมสินควรเจรจากับธนาคารผู้ให้สินเชื่อรายอื่นเพื่อ ยอมรับเงื่อนไขในการกำหนดสถานที่ดำเนินกระบวนการพิจารณาเป็นประเทศไทยโดยใช้อนุญาโตตุลาการตาม ข้อบังคับของสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรมโดยใช้ภาษาไทยในกระบวนวิธีพิจารณา ซึ่งจะทำ ให้เกิดความสะดวก และลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับการระงับข้อพิพาทของคู่สัญญาที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมากกว่า ไป ดำเนินการต่อไปด้วย 2. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2553 เรื่องดังกล่าวเฉพาะในส่วนที่ให้กระทรวง การคลังรับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดไปดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6064 | การจัดซื้อผลไม้และพืชอื่นที่รับประทานแทนผลไม้ตามมติคณะรัฐมนตรี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | ยธ | 03/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้กรมราชทัณฑ์ซื้อผลไม้ในช่วงฤดูกาลล้นตลาดของผลไม้แต่ละประเภทจากองค์การบริหารส่วน จังหวัดหรือองค์กรประเภทอื่นที่เกษตรกรมีส่วนร่วมในโครงการตามความเหมาะสมได้ โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือองค์กรอื่นที่เกษตรกรมีส่วนร่วมในโครงการนั้น เป็นตัวแทนทำสัญญากับกรมราชทัณฑ์ในรูปแบบและวิธีการเดียว กันกับที่ดำเนินการที่จังหวัดชุมพร สำหรับจังหวัดชุมพร นั้น ให้กรมราชทัณฑ์ทำสัญญาจัดซื้อผลไม้ในช่วงฤดูกาลล้น ตลาดกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพรได้ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ทั้งนี้ จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2553 2. เห็นชอบการแก้ไขข้อความตามหนังสือกระทรวงยุติธรรม ด่วนที่สุด ที่ ยธ 0100/3017 ลงวันที่ 3 สิงหาคม 2553 หน้า 2 บรรทัดที่ 16 จากเดิม "16-31 สิงหาคม 2553 ..." เป็น "16-22 สิงหาคม 2553 ..." ตามที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6065 | แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง | วธ | 03/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบหลักการแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ 2. ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้หน่วยงานต่าง ๆ รับข้อเสนอตามแนวนโยบายฯ ไปพิจารณาและร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับระยะเวลาที่กำหนดไว้ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 3. ให้หน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับแนวนโยบายการจัดสรรทรัพยากร โดยเฉพาะการส่งเสริมและยอมรับระบบการทำไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยง เป็นประเด็นที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อประโยชน์ในการรักษาและจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะทรัพยากรที่ดินที่มีอยู่จำกัดให้คงอยู่อย่างยั่งยืนและพิจารณาประเด็นข้อขัดแย้งระหว่างกลุ่มชนชาติพันธุ์และระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับกลุ่มชนชาติพันธุ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจากประเด็นดังกล่าวด้วย และความเห็นของสำนักงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวเพื่อการจัดระบบบริการด้านสุขภาพควรให้ชาวกะเหรี่ยงที่ได้ผ่านการจัดทำประวัติและได้รับสิทธิในการอาศัยในประเทศไทยแล้วได้รับสิทธิการรับบริการสาธารณสุขเช่นเดียวกับกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2553 ที่กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6066 | การทบทวน ปรับปรุง หรือยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับสิทธิพิเศษของหน่วยงานต่างๆ | กค | 28/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ 1. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 มติคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมครั้งที่ 4/2551 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551 ครั้งที่ 1/2552 เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2552 ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2552 ดังนี้ 1.1.1 ให้หน่วยงานคงได้รับสิทธิพิเศษต่อไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขเดิม จำนวน 1 หน่วยงาน ได้แก่ สิทธิพิเศษของหน่วยงานสร้างอาวุธ ของกระทรวงกลาโหม 1.1.2 ให้หน่วยงานคงได้รับสิทธิพิเศษต่อไปโดยปรับปรุงหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการได้รับสิทธิพิเศษ จำนวน 5 หน่วยงาน ได้แก่ สิทธิพิเศษของโรงกลั่นน้ำมันฝาง กรมการพลังงานทหาร สิทธิพิเศษขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) สิทธิพิเศษของสภากาชาดไทย สิทธิพิเศษของโรงพิมพ์ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นที่มีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ และโรงพิมพ์ที่อยู่ในความควบคุมของหน่วยงานดังกล่าว และสิทธิพิเศษของโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา 1.1.3 ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่ให้สิทธิพิเศษแก่หน่วยงานต่างๆ จำนวน 2 หน่วยงาน ได้แก่ สิทธิพิเศษของโรงเรียนผู้ใหญ่รวมช่าง โรงเรียนผู้ใหญ่สายอาชีวศึกษา และโรงเรียนฝึกฝนอาชีพเคลื่อนที่ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2517 แจ้งตามนัยหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ สร 0203/ว 118 ลงวันที่ 10 ตุลาคม 2517 และสิทธิพิเศษของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเดิม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2531 แจ้งตามนัยหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0205/ว 190 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2531 1.2 มติคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมครั้งที่ 2/2551 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2551 ครั้งที่ 3/2551 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ดังนี้ 1.2.1 ให้หน่วยงานคงได้รับสิทธิพิเศษต่อไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขเดิม จำนวน 1 หน่วยงาน ได้แก่ สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 1.2.2 ให้หน่วยงานคงได้รับสิทธิพิเศษต่อไป โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์ หรือเงื่อนไขการได้รับสิทธิพิเศษของหน่วยงานต่าง ๆ จำนวน 4 หน่วยงาน ได้แก่ วิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการต่อเรือพระนครศรีอยุธยา (โรงเรียนต่อเรือพระนครศรีอยุธยา เดิม) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กรมอาชีวศึกษา เดิม) บริษัท ไม้อัดไทย จำกัด และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ 1.2.3 ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่ให้สิทธิพิเศษแก่หน่วยงาน จำนวน 1 หน่วยงาน ได้แก่ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2541 แจ้งตามนัยหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร 0205/ว(ล) 12361 ลงวันที่ 23 กันยายน 2541 เนื่องจากไม่มีภารกิจในการผลิต รับจ้างทำ จำหน่าย ให้บริการหรือหมดความจำเป็นที่จะได้รับสิทธิพิเศษต่อไปและให้แจ้งเวียนมติคณะรัฐมนตรีให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และ หน่วยงานอื่นของรัฐ ทราบต่อไป 2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า กรณีสิทธิพิเศษของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ให้ดำเนินการโดยวิธีกรณีพิเศษได้นั้น สมควรกำหนดให้มีการตรวจสอบราคาตลาดเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ราคาอ้างอิงด้วย เพื่อให้การดำเนินการมีความโปร่งใสและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6067 | สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ขออนุมัติยุติการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการขยายโอกาสทางการศึกษาไปสู่ภูมิภาค วิทยาเขตสารสนเทศจังหวัดระยอง | ศธ | 28/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังยุติการดำเนินการตาม
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2539 ในการขยายโอกาสทางการศึกษาไปสู่ภูมิภาควิทยาเขตสารสนเทศจังหวัด ระยอง เพื่อมอบหมายให้สถาบันอุดมศึกษาอื่นขยายโอกาสทางการศึกษาในพื้นที่ดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษา ธิการเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6068 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 และสรุปผลการสำรวจความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชน พ.ศ. 2553 | ทก | 28/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอรายงานผลการดำเนินการตามมติ คณะรัฐมนตรี เรื่อง สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชน เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 และสรุปผลการ สำรวจความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชน พ.ศ. 2553 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยภาพรวมผู้มีงาน ทำในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 มีจำนวน 37.02 ล้านคน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. 2552 จำนวน 4.9 แสนคน (จาก 34.51 ล้านคน เป็น 37.02 ล้านคน) หรือลดลงร้อยละ 1.3 ในส่วนของผู้ว่างงานทั่วประเทศมี จำนวน 5.86 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.5 ของกำลังแรงงานรวม (ลดลง 7.0 หมื่นคน เมื่อเปรียบ เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. 2552) ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน 2.01 แสนคน และผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน 3.85 แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการผลิต 1.85 แสนคน ภาคการบริการและการค้า 1.41 แสนคน และภาคเกษตรกรรม 5.9 หมื่นคน 2. รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่าจากสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชน ตามข้อ 1 ปรากฏว่ามีผู้ว่างงานทั้งสิ้น 5.86 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.5 ของกำลังแรงงานรวม เปรียบเทียบ กับช่วงเดียวกันกับปี พ.ศ. 2552 พบมีผู้ว่างงานลดลง 7 หมื่นคน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดือนที่ผ่านมา (เดือน เมษายน พ.ศ. 2553) มีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 1.35 แสนคน (จาก 4.51 เป็น 5.86 แสนคน) จึงมอบหมายให้กระทรวง แรงงานรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สำนักงานสถิติแห่งชาติ) และหน่วย งานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาวิเคราะห์ถึงสาเหตุของการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว และกำหนดแนวทางและมาตรการ แก้ไขปัญหาใหสอดคล้องกับข้อเท็จจริงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6069 | รายงานการเบิกค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสันถวไมตรี | กต | 28/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานการให้เงินสนับสนุนแก่ Club de Madrid
เพื่อจัดการประชุม Roundtable on "The Political Dimensions of the World Economic Crisis : an Asian Perspective" ในเดือนสิงหาคม 2553 ที่กรุงเทพ ฯ จำนวน 67,767.20 ยูโร หรือเท่ากับ 2,812,338.80 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 ยูโร เท่ากับ 41.50 บาท) จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ การให้เงิน Club de Madrid เพื่อสนับสนุนการจัดประชุมดังกล่าวมีลักษณะเป็นการดำเนินงานสันถวไมตรีซึ่งเป็น ไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2537
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6070 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 ที่มีข้อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นการเฉพาะ (มติ 2 เรื่อง แผนพัฒนาที่ยั่งยืนบนฐานการพึ่งตนเองด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม กรณีภาคใต้ ฯลฯ) | สช | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2552 มติ 2 เรื่อง แผนพัฒนาที่ยั่งยืนบนฐานการพึ่ง ตนเองด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม กรณีภาคใต้ มติ 4 เรื่อง ยุติการส่งเสริมการขายยาที่ขาดจริยธรรม : เพื่อลด ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และสุขภาพของผู้ป่วย มติ 5 เรื่อง ยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ และมติ 8 เรื่อง การจัดการปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน ซึ่งคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ในการประชุมครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553 เห็นชอบแล้ว และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติในส่วนที่ เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เสนอ 2. ให้ สช. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วน ที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนี้ 2.1 มติ 2 ควรเพิ่มนโยบายการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนภาคใต้ได้สามารถเรียนรู้วิชา ชีพที่เชื่อมต่อกับการประกอบอาชีพ พัฒนาทักษะวิชาชีพที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริงควบคู่ไป การให้ความสำคัญกับการ พัฒนาอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ตามความต้องการและความจำเป็นของท้องถิ่นโดยไม่กระทบวิถี ชีวิตและสุขภาพชุมชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวปฏิบัติในการเชื่อม โยงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการเมืองที่มีความสมดุล มั่นคง เป็นธรรม ยั่งยืน พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงตาม หลักของความพอประมาณ 2.2 มติ 5 และมติ 8 ควรสนับสนุนให้มีการเรียนรู้หรือกิจกรรมนอกหลักสูตร เพื่อเพิ่มพื้นที่เรียนรู้ ในรูปแบบของทักษะชีวิต ทักษะสังคม (Socialization) กิจกรรมที่เน้นการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมความเป็นผู้นำที่ ทำให้เยาวชนสามารถเรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมอย่างมีเหตุผล เพื่อเพิ่มทางเลือกของเยาวชน นักศึกษา ในการใช้เวลา ว่างให้เกิดประโยชน์ และห่างไกลภาวะความเสี่ยงต่าง ๆ ในสังคม 2.3 ในการจัดทำร่างแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืนมีความสอดคล้องและให้ ความสำคัญตามประเด็นในมติสมัชชาสุขภาพแล้ว ทั้งนี้ การทบทวนร่างแผนแม่บทฯ และแผนพัฒนาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ควรมอบให้คณะกรรมการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์เป็นผู้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2552 เนื่องจากมีหน้าที่ในการพิจารณาและกำหนดนโยบาย แผนงาน โครงการและมาตรการในการพัฒนาอุตสาห กรรมภาคการผลิตเชิงนิเวศน์ให้สามารถดำรงอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืนในภาพรวมทั้งระบบ 2.4 การดำเนินงานตามมติ 5 ควรให้มีการทบทวนมาตรการด้านสุขภาพที่ดำเนินการอยู่ปัจจุบันทั้ง ระบบ ทั้งนี้ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ต้องดำเนินการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน ชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายประชาคมด้านสุขภาพ โดยคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เช่น ปัจจัยทาง ด้านเศรษฐกิจและสังคม สภาพแวดล้อม พฤติกรรมสุขภาพ ระบบบริการสุขภาพ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6071 | โครงการจัดทำข้อเสนอประเทศไทยเพื่อผลักดันเป็นข้อกำหนดสหประชาชาติ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง | ยธ | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบผล/ความคืบหน้าการดำเนินโครงการจัดทำข้อเสนอประเทศไทยเพื่อผลักดันเป็นข้อกำหนด สหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง (Enhancing Lives of Female Inmates-ELFI) ในพระดำริของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ในเวที การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ 12 (Twelfth United Nations Congress on Crime Prevention and Criminal Justice-12th UN Congress) ที่เมืองซัลวาดอร์ ประเทศ บราซิล ระหว่างวันที่ 12-19 เมษายน 2553 และในการประชุมคณะกรรมาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกัน อาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา (Commission on Crime Prevention and Criminal Justice-CCPCJ) สมัยที่ 19 ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 17-21 พฤษภาคม 2553 ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ 2. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศให้การสนับสนุนกระทรวงยุติธรรมในฐานะเป็นหน่วยงานรับผิด ชอบหลักในการดำเนินโครงการ ELFI ในพระดำริของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในส่วนของการใช้ช่องทางทางการทูตทั้งในกรอบทวิภาคี และในเวทีสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก รวมทั้งการ อำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์การผลักดันร่างข้อกำหนดสหประชาชาติสำหรับ การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง (Draft United Nations rules for the treatment of women prisoners and non-custodial measures for women offenders) หรือ "The Bangkok Rules" ให้บรรลุผลสำเร็จในขั้นตอนสุดท้าย ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ 3. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงยุติธรรมจัดทำแผนการจัดตั้ง "สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศ" (Thailand Institute for Justice-TIJ) ตามข้อเสนอประเทศไทยต่อสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิง ในเรือนจำ และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง (Enhancing Lives of Female Inmates-ELFI) ในพระดำริของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิตติยาภา ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติ ธรรมพิจารณาทบทวน บทบาทภารกิจของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมที่รับผิดชอบภารกิจด้านการฝึก อบรม ด้านการพัฒนาความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศประกอบด้วย เพื่อความเป็นเอกภาพไม่เกิดความซ้ำ ซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่เดิม ส่วนการพิจารณาจัดตั้งส่วนราชการต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 เรื่อง นโยบายการพัฒนาระบบราชการ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553 เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงาน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ไปพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา อีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6072 | การรับรองข้อตกลงการเป็นพันธมิตรสำหรับการอนุรักษ์นกอพยพและการใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกอพยพอย่างยั่งยืนในเส้นทางการบินเอเชียตะวันออก - ออสเตรเลีย (Partnership for the Conservation of Migratory Waterbirds and the Sustainable Use of their Habitats in the East Asian - Australasian Flyway) | ทส | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 2/2553 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 ซึ่งคณะกรรมการฯ มีมติดังนี้ 1.1 เห็นชอบในการรับรองข้อตกลงการเป็นพันธมิตรสำหรับการอนุรักษ์นกอพยพและการใช้ประโยชน์ ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกอพยพอย่างยั่งยืนในเส้นทางการบินเอเชียตะวันออก-ออสเตรเลีย 1.2 มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานประสานงานกลางโครงการความร่วมมือพันธมิตรสำหรับการอนุรักษ์นก อพยพ และการใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกอพยพอย่างยั่งยืนในเส้นทางการบินเอเชียตะวันออก-ออสเตรเลีย (Partnership for the Conservation of Migratory Waterbirds and the Sustainable Use of their Habitats in the East Asian-Australasian Flyway) 1.3 เห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการเสนอพื้นที่ชุ่มน้ำที่มี ความสำคัญระดับนานาชาติของประเทศไทยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 และวันที่ 3 พฤศจิกา ยน 2552 เป็นพื้นที่เครือข่ายอนุรักษ์นกอพยพตามโครงการความร่วมมือฯ 2. เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ดังนี้ 2.1 การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรของโครงการความร่วมมือฯ เป็นความสมัครใจในการดำเนินงานและไม่มี การจ่ายเงินบริจาค 2.2 พันธกิจที่สำคัญ คือ การเสนอพื้นที่เข้าเป็นเครือข่ายนกอพยพ การอนุรักษ์นกอพยพและถิ่นที่อยู่ อาศัย คือ พื้นที่ชุ่มน้ำด้วยการใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกอย่างยั่งยืนภายในประเทศของตนโดยทางโครงการ ความร่วมมือฯ อาจสนับสนุนงบประมาณดำเนินงานผ่านทางองค์กรพัฒนาเอกชนหรือหน่วยงานในพื้นที่ 2.3 โครงการอนุรักษ์นกอพยพและการใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกอพยพอย่างยั่งยืนในเส้นทาง การบินเอเชียตะวันออก-ออสเตรเลียจะมีส่วนสนับสนุนเจ้าหน้าที่องค์กรที่เข้าร่วมเป็นภาคีและประชาชนในพื้นที่ให้ มีความรู้ และเกิดความตระหนักถึงความสำคัญของแหล่งที่อยู่อาศัยของนกอพยพ มีการสร้างกลไกการทำงานร่วม กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้มีการอนุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัย คือ พื้นที่ชุ่มน้ำโดยมีการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด และ กำหนดให้พื้นที่แห่งนั้นเป็นพื้นที่อนุรักษ์ 2.4 โครงการความร่วมมือฯ จะช่วยสนับสนุนการดำเนินการภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำและ อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีลำดับที่ 110 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2541 โดยมีสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานประสานงานกลาง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6073 | การเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณา ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอผลการพิจารณาการเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 หรือตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรให้มีการแก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติม และมอบหมาย ให้สำนักงบประมาณนำเรื่องการเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายฯ ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว เสนอ ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 สภา ผู้แทนราษฎร เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป โดยให้ปรับปรุงรายละเอียด ดังนี้ 1.1 ปรับลดรายการเงินอุดหนุนช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาและเงินอุดหนุนเงินสงเคราะห์ของกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เพื่อให้เป็นไปตามหลักการบริหารงบประมาณ ซึ่งการช่วยเหลือกลุ่มเป้า หมายดังกล่าว มีเงื่อนไขจะต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติ และได้มีการตั้งงบประมาณรองรับการดำเนินงานในปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2554 ไว้แล้ว 1.2 เพิ่มรายการตามนโยบายรัฐบาลของกระทรวงสาธารณสุข กรมประชาสัมพันธ์ กองทุนพัฒนา เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา สำนักงานประกันสังคม โดยให้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อ วันที่ 15 มิถุนายน 2553 2. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2553 ที่กำหนดให้ส่วนราชการ รัฐ วิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเสนอรายการขอเพิ่มงบประมาณภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2553 และให้ดำเนินการตาม ขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6074 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องการดำเนินงานของคณะกรรมการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน | กษ | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินงานของคณะกรรมการช่วยเหลือเกษตร กรและผู้ยากจน สรุปได้ดังนี้ 1. การอนุมัติเงินกู้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 (ตุลาคม 2552-มีนาคม 2553) กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจนได้อนุมัติเงินกู้ให้เกษตรกรและผู้ยากจนจำนวน 604 ราย จำนวนเงินที่อนุมัติ 185,472,876 บาท จำนวนที่ดินที่ช่วยไถ่ถอนหรือซื้อคืน 5,413-1-00.3 ไร่ และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2553 กองทุนหมุนเวียนฯ ได้อนุมัติเงินกู้จำนวน 22,396 ราย จำนวนเงิน 3,249,376,965.63 บาท จำนวนที่ดินที่ขอไถ่ถอนหรือซื้อคืน 234,279-3-97.2 ไร่ สำหรับการรับชำระหนี้ ในช่วงเดือนตุลาคม 2552-มีนาคม 2553 กองทุนหมุนเวียนฯ ได้รับชำระหนี้ต้นเงินคืนจำนวนเงิน 79.41 ล้าน บาท และดอกเบี้ยจำนวนเงิน 38.85 ล้านบาท และ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553 กองทุนหมุนเวียนฯ มียอดหนี้ต้น เงินกู้คงเหลือจำนวน 1,490.40 ล้านบาท เป็นหนี้ปกติจำนวนเงิน 914.42 ล้านบาท และหนี้ค้างชำระจำนวน 575.98 ล้านบาท 2. สถานะการเงินในช่วง 6 เดือนแรก (ตุลาคม 2552-มีนาคม 2553) กองทุนหมุนเวียนฯ มีรายรับ ทั้งสิ้นจำนวน 123,551,292.24 บาท และรายจ่ายทั้งสิ้นจำนวน 229,859,510.68 บาท และ ณ วันที่ 31 มีนา คม 2553 กองทุนหมุนเวียนฯ มียอดเงินคงเหลือรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 456,598,768.41 บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6075 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 8/2553 | นร | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ในการประชุม
ครั้งที่ 8/2553 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ กรรมการและเลขานุการ รศก. เสนอ โดยที่ประชุมคณะกรรมการ รศก. มีมติ ดังนี้ 1. รับทราบรายงานสถานการณ์การส่งเสริมการลงทุน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลง ทุน กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับข้อสังเกตของ คณะกรรมการ รศก. เกี่ยวกับการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างของไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศยังมี ปัญหาด้านสินเชื่อเนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินและต้นทุนของสินเชื่อสูงกว่าของต่างประเทศ ส่วนการวิเคราะห์การลงทุน ควรวิเคราะห์ในเชิงผลิตภาพการผลิตของแรงงาน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโน โลยี โดยในระยะยาวควรมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของแรงงานไทยและเทคโนโลยีที่พัฒนาผลิตภาพการผลิตของ อุตสาหกรรมไทย นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิต (Resource-Based Industry) เช่น อุตสาหกรรมอาหาร สินค้าเกษตร บริการ เทคโนโลยีชีวภาพ และยา เป็นต้น รวมทั้งควรเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ โดยเร่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ได้แก่ แพทย์ผู้เชี่ยว ชาญเฉพาะด้านที่ยังไม่มีเพียงพอ และการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน ไปพิจารณา ดำเนินการ พร้อมทั้งจัดทำสรุปภาวการณ์ลงทุนของนักลงทุนไทยในต่างประเทศ และรายงานคณะกรรมการ รศก. ในคราวต่อไป 2. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ และมอบ หมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการ รศก. ที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเร่งพิจารณา ปรับรูปแบบโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขน ส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ในการประชุมครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2553 ให้เกิด ความชัดเจนในการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้กับประชาชน และให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงการ ที่สนับสนุนยุทธศาสตร์การขนส่งเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐ กิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion : GMS) และการลงทุนที่จะช่วยสนับสนุนการเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) เป็นต้น และความเห็นของฝ่ายเลขานุการที่ เห็นควรเร่งรัดการดำเนินโครงการลงทุนสำคัญในสาขาขนส่งที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ดำเนินการโครงการ แล้ว อาทิ โครงการก่อสร้างทางคู่ ช่วงแหลมฉบัง-ศรีราชา-แหลมฉบัง โดยเร่งรัดการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน เดือนมีนาคม 2 554 เพื่อเพิ่มความจุในเส้นทางรถไฟสายตะวันออกให้สามารถรองรับปริมาณการขนส่งตู้สินค้า ทางรถไฟไปยังท่าเรือแหลมฉบังได้เพิ่มมากขึ้น โครงการลงทุนภายใต้แผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ การรถไฟแห่งประเทศไทย (เพิ่มเติม) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 ที่มีความพร้อมและ สามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน 11 ราย ให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทยติดตามเร่งรัด การดำเนินการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งเร่งรัดการปรับโครงสร้างการรถไฟแห่งประเทศ ไทยให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 เป็นต้น สำหรับการดำเนินโครงการลงทุนสำคัญ ที่อยู่ระหว่างการจัดเตรียมโครงการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน ควรให้ความสำคัญกับ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่เริ่มโครงการเพื่อให้เกิดความยอมรับของประชาชนในพื้นที่ และดำเนิน การตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปประกอบการพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6076 | การรวมเงินกองทุนพิเศษเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่ปอไว้ในกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร | กษ | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้รวมเงินกองทุนพิเศษเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่ปอ จำนวน 34,705,389.97 บาท เข้าไว้ ในกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร เพื่อให้การบริหารจัดการกองทุนสงเคราะห์เกิดความคล่องตัวและเกิดประโยชน์สูงสุด ในการช่วยเหลือเกษตรกร ตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร ครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อนการดำเนินการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นว่าหากมีการรวมกองทุนแล้วจะ ต้องไม่กระทบต่อเกษตรกรชาวไร่ปอที่จะขอสนับสนุนเงินช่วยเหลือจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรในอนาคต รวมทั้ง ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการชี้แจงทำความเข้าใจกับ เกษตรกรชาวไร่ปอถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการรวมกองทุน และมีการดูแลให้เกษตรกรชาวไร่ปอมีโอกาสเข้าถึงความ ช่วยเหลือของกองทุนเกษตรกรอย่างเท่าเทียมกับเกษตรกรโดยทั่วไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6077 | การปรับภารกิจและโครงสร้างของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ | นร | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการการปรับภารกิจและโครงสร้างองค์กรของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อ ให้การดำเนินงานด้านความมั่นคงเป็นไปอย่างทันสถานการณ์และครอบคลุมประเด็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความ มั่นคงของประเทศในระยะต่อไป รวมทั้งการปรับปรุงพระราชบัญญัติสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2502 และฉบับ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2507 เพื่อให้เป็นกฎหมายที่สนับสนุนประสิทธิภาพการดำเนินงานของสำนักงานสภาความมั่น คงแห่งชาติ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ โดยให้ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องดำเนิน การตามนโยบายของรัฐบาลตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 เรื่อง นโยบายการพัฒนาระบบ ราชการ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553 เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัด ตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 2. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ให้ดำเนินการตามขั้นตอนการแบ่งส่วนราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ที่ได้แจ้งเวียนให้ส่วนราชการทราบและถือปฏิบัติแล้วตามหนังสือสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ นร 1200/ว 18 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2549 เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง กฎกระทรวงการแบ่งส่วนราชการ ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6078 | การขอความเห็นชอบและการลงนามในร่างข้อตกลงการรับมอบ - ส่งมอบชุดป้องกันวัตถุระเบิดพร้อมอุปกรณ์ประกอบ ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรเลีย | กห | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ 1.1 เห็นชอบร่างข้อตกลงการรับมอบ-ส่งมอบ ชุดป้องกันวัตถุระเบิดพร้อมอุปกรณ์ประกอบ ระหว่าง รัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรเลีย 1.2 หากมีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดของร่างข้อตกลงฯ ที่จะไม่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอาณา เขตไทยหรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎ หมายระหว่างประเทศ หรือต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือมีผลกระทบต่อความ มั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้าการลงทุน หรืองบประมาณ ของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ให้กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพไทย ดำเนินการได้ตามความเหมาะสม 1.3 ให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างข้อตกลงฯ 2. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็น ร่างข้อตกลงฯ ถือเป็นสัญญา เชิงพาณิชย์ (สัญญาให้) อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายออสเตรเลีย ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2535 กำหนดให้ส่งร่างข้อตกลงฯ ให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาก่อนลงนามสัญญา ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6079 | การขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำชายแดนระหว่างประเทศ) | มท | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไข มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) 2. อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณซึ่งประมาณราคากลางสูงกว่างบประมาณรวมวงเงินเผื่อ เหลือเผื่อขาดที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันเพิ่มขึ้นเกินร้อยละ 5 โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำ ชายแดนระหว่างประเทศ จำนวน 7 รายการ ดังนี้ 2.1 รายการที่ 1 เขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง บ้านคกงิ้ว หมู่ที่ 5 ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ความยาว 400 เมตร จากเดิมวงเงิน 44,000,000 บาท เป็นวงเงิน 58,900,000 บาท 2.2 รายการที่ 2 เขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง บ้านไชยบุรี หมู่ที่ 3 ตำบลไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ความยาว 800 เมตร จากเดิมวงเงิน 66,000,000 บาท เป็นวงเงิน 93,400,000 บาท 2.3 รายการที่ 3 เขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง บ้านกุดข้าวปุ้น หมู่ที่ 3, 1 ตำบลขามเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ความยาว 500 เมตร จากเดิมวงเงิน 41,000,000 บาท เป็นวงเงิน 69,500,000 บาท 2.4 รายการที่ 4 เขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง บ้านห้วยเซือมเหนือ ตำบลไคสี อำเภอบึงกาฬ จังหวัด หนองคาย ความยาว 682 เมตร จากเดิมวงเงิน 62,000,000 บาท เป็นวงเงิน 83,450,000 บาท 2.5 รายการที่ 5 เขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง บ้านหาดแฮ่ ตำบลโคกกว้าง อำเภอบุ่งคล้า จังหวัด หนองคาย ความยาว 500 เมตร จากเดิมวงเงิน 50,000,000 บาท เป็นวงเงิน 74,450,000 บาท 2.6 รายการที่ 6 เขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง บ้านถิ่นดุง ตำบลวัดหลวง อำเภอโพนพิสัย จังหวัด หนองคาย ความยาว 600 เมตร จากเดิมวงเงิน 60,000,000 บาท เป็นวงเงิน 95,000,000 บาท 2.7 รายการที่ 7 เขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง บ้านเมืองหมีใหญ่ หมู่ที่ 7 ตำบลเมืองหมี อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ความยาว 700 เมตร จากเดิมวงเงิน 88,000,000 บาท เป็นวงเงิน 99,330,000 บาท 3. อนุมัติให้เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำชายแดน ระหว่างประเทศ จำนวน 1 รายการ คือ รายการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง บ้านโพนสา ตำบลโพนสา อำเภอท่า บ่อ จังหวัดหนองคาย ความยาว 650 เมตร จากเดิมวงเงิน 93,000,000 บาท เป็นวงเงิน 98,200,000 บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6080 | ขอแก้ไขมาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ว่างงานและผู้ประกอบธุรกิจแฟรนไชส์และขายตรง จากผลกระทบของเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ภายใต้ : โครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการธุรกิจโลจิสติกส์ไทย และปรับปรุงหลักเกณฑ์สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย | พณ | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ 1.1 ปรับแก้ไขมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ที่ถูกเลิกจ้างหรือผู้ว่างงานที่มีความประสงค์จะประกอบ ธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรงโดยเพิ่มเติมกลุ่มเป้าหมายของมาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบ การ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน และ 25 พฤษภาคม 2553 ให้ครอบคลุมผู้ถูกเลิกจ้างหรือผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมและประสงค์จะประกอบ ธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรงด้วย 1.2 ปรับปรุงหลักเกณฑ์สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย เพิ่มเติม ในมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2552 ดังนี้ 1.2.1 เพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในการใช้วงเงินสินเชื่อ โดยวงเงินสินเชื่อต่อราย : รายละไม่เกิน 5 ล้าน บาทเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน และเป็นเงินลงทุนในการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถบรรทุก/รถขนส่ง ให้แก่ผู้ประกอบ การในโครงการ โดยให้เป็นอำนาจหน้าที่ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ในการอนุมัติวงเงินสินเชื่อต่อราย 1.2.2 ผ่อนปรนให้ผู้กู้ที่มีกิจการเกี่ยวเนื่องกันสามารถใช้วงเงินสินเชื่อได้ตามประเภทของกิจการใน กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ โดยกรณีเป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกันหรือกิจการที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกัน ซึ่งสามารถแยกการ ดำเนินธุรกิจและ/หรือสถานประกอบการได้อย่างชัดเจน อนุโลมให้สามารถขอสินเชื่อได้ โดยกู้ได้วงเงินสูงสุดกิจการ ละไม่เกิน 5 ล้านบาท ของโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย 2. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงพาณิชย์แจ้งข้อมูลผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยตรงกรณีรายบุคคลให้กระทรวงแรงงานเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบกลุ่มนี้โดยให้ความสำคัญกับความ พร้อมในด้านการสร้างความรู้และฝึกอาชีพแก่ผู้ว่างงานเพื่อนำไปสู่ทางเลือกในการประกอบอาชีพใหม่ และให้กระทรวง พลังงานพิจารณาความเป็นไปได้ของการขยายผลของโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ซึ่งได้ดำเนินการมา อย่างได้ผลแล้ว โดยใช้เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 2,000 ล้านบาท และงบประมาณสมทบจากการปิโตรเลียม แห่งประเทศไทย (ปตท.) จำนวน 5,000 ล้านบาท เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ 11 แห่งปล่อยสินเชื่อผ่อนปรนแก่ผู้ใช้รถ ทั่วไปและผู้ประกอบการขนส่งทั่วประเทศ และความเห็นของคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและประชา ชนที่ทรัพย์สินได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมือง ที่เห็นควรพิจารณาให้แก่กลุ่ม ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเป็นอันดับแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อ ไป |