ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 309 จากทั้งหมด 567 หน้า แสดงรายการที่ 6161 - 6180 จากข้อมูลทั้งหมด 11338 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
6161 | การขออนุมัติคณะรัฐมนตรีให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการในสัญญาจัดหาเงินกู้เพื่อชำระค่าเครื่องบินแอร์บัส A330-300 จำนวน 6 ลำ | คค | 23/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อ พิพาทสำหรับสัญญาจัดหาเงินกู้เพื่อชำระค่าเครื่องบินแอร์บัส A330-300 จำนวน 6 ลำ ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอ โดยยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับ เอกชน) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้ ให้ บกท. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าในการจัดทำสัญญาเงินกู้ดังกล่าว บกท. ควรคำนึงถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบ คอบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำเนินธุรกิจของ บกท. ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 2. เห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่ว่าในปัจจุบันรัฐวิสาหกิจบางแห่งสามารถกู้เงินได้เอง ดังนั้น หากรัฐวิสาหกิจใดจะทำสัญญากู้เงินที่มีเงื่อนไขผูกพันกระทรวงการคลัง หรือมีเงื่อนไขที่ต้องได้รับความเห็น ชอบจากกระทรวงการคลังหรือคณะรัฐมนตรี รัฐวิสาหกิจนั้นควรดำเนินการให้เรียบร้อยก่อนมีการทำสัญญากู้เงิน |
||||||||||||||||||||||||||||||
6162 | การขยายเวลาการพิสูจน์สัญชาติและการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรแก่แรงงานต่างด้าวและการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเพิ่มเติม | นร | 23/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน
ที่ 19 มกราคม 2553 เกี่ยวกับการขยายเวลาการพิสูจน์สัญชาติและการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการ ชั่วคราวแก่แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ดังนี้ 1. ให้กระทรวงแรงงานเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและเพื่อให้แรงงาน ต่างด้าวเข้ารับการพิสูจน์สัญชาติภายในวันเวลาที่กำหนด โดยจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ทั้งที่เป็นภาษาไทย ภาษา อังกฤษ รวมทั้งที่เป็นภาษาลาว กัมพูชา และพม่า ด้วยตามความเหมาะสม 2. กรณีแรงงานพม่าที่ต้องเดินทางกลับไปพิสูจน์สัญชาติในประเทศพม่า ให้กระทรวงแรงงานประสาน งานกับกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเจรจากับทางการพม่าให้แรงงานพม่าสามารถดำเนินการพิสูจน์สัญชาติใน ประเทศไทยได้เพื่อความรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานพม่าที่ต้องเดินทางกลับประเทศ โดยทางเรือซึ่งเป็นช่วงมรสุม
|
||||||||||||||||||||||||||||||
6163 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราช สู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ 5 | ศธ | 16/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการตามโครงการพัฒนา
ศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ 5 ข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 โดยมีผลการ ดำเนินงานดังนี้ 1. อาคารชั้นใต้ดิน และอาคารโรงพยาบาล 1.1 งานโครงสร้างอาคารชั้นใต้ดินและอาคารโรงพยาบาล ดำเนินการได้ร้อยละ 96.42 1.2 งานสถาปัตยกรรมอาคารชั้นใต้ดินและอาคารโรงพยาบาล ดำเนินการได้ร้อยละ 3.11 1.3 งานระบบไฟฟ้าและสื่อสารอาคารชั้นใต้ดินและอาคารโรงพยาบาล ดำเนินการได้ร้อยละ 6.92 1.4 งานระบบปรับอากาศและระบายอากาศอาคารชั้นใต้ดินและอาคารโรงพยาบาล ดำเนินการได้ ร้อยละ 16.82 1.5 งานระบบป้องกันอัคคีภัยอาคารชั้นใต้ดินและอาคารโรงพยาบาล ดำเนินการได้ร้อยละ 33.99 1.6 งานระบบประปา สุขาภิบาล และระบายน้ำอาคารชั้นใต้ดินและอาคารโรงพยาบาล ดำเนินการ ได้ร้อยละ 27.25 2. อาคารศูนย์วิจัย 2.1 งานโครงสร้างอาคารศูนย์วิจัย ดำเนินการได้ร้อยละ 95.39 2.2 งานสถาปัตยกรรมอาคารศูนย์วิจัย ดำเนินการได้ร้อยละ 4.62 2.3 งานระบบไฟฟ้าและสื่อสารอาคารศูนย์วิจัย ดำเนินการได้ร้อยละ 2.52 2.4 งานระบบปรับอากาศและระบายอากาศอาคารศูนย์วิจัย ดำเนินการได้ร้อยละ 9.19 2.5 งานระบบป้องกันอัคคีภัยอาคารศูนย์วิจัย ดำเนินการได้ร้อยละ 12.16 2.6 งานระบบประปา สุขาภิบาล และระบายน้ำอาคารศูนย์วิจัย ดำเนินการได้ร้อยละ 18.94 3. อาคารสถานีไฟฟ้าย่อย 3.1 งานโครงสร้างอาคารสถานีไฟฟ้าย่อย ดำเนินการได้ร้อยละ 100 3.2 งานระบบไฟฟ้าและสื่อสารอาคารศูนย์วิจัย ดำเนินการได้ร้อยละ 0.48 3.3 งานระบบปรับอากาศและระบายอากาศอาคารศูนย์วิจัย ดำเนินการได้ร้อยละ 12.99 3.4 งานระบบป้องกันอัคคีภัยอาคารศูนย์วิจัย ดำเนินการได้ร้อยละ 11.08 3.5 งานระบบประปา สุขาภิบาล และระบายน้ำ อาคารศูนย์วิจัย ดำเนินการได้ร้อยละ 26.57 4. งานโครงสร้าง งานภายนอกอาคาร และงานภมิสถาปัตยกรรม ดำเนินการได้ร้อยละ 21.94
|
||||||||||||||||||||||||||||||
6164 | รายงานผลงานก้าวหน้างานก่อสร้างโครงการระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2549 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2553 | กษ | 16/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอรายงานผลก้าวหน้างานก่อสร้างโครงการ
ระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2549 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2553 ดังนี้ 1. ผลการดำเนินการ 1.1 งานก่อสร้างคลองระบายน้ำและถนนพร้อมอาคารประกอบ ส่วนที่ 1 มีผลการดำเนินการร้อยละ 88.35 เร็วกว่าแผน (ร้อยละ 83.74) ร้อยละ 4.61 1.2. งานก่อสร้างคลองระบายน้ำและถนนพร้อมอาคารประกอบ ส่วนที่ 2 มีผลการดำเนินการร้อย ละ 95.08 เร็วกว่าแผน (ร้อยละ 94.07) ร้อยละ 1.01 1.3 งานก่อสร้างคลองระบายน้ำ สถานีสูบน้ำ สะพานน้ำยกระดับ พร้อมอาคารประกอบ ส่วนที่ 3 มี ผลการดำเนินการเสร็จตามแผนที่ตั้งไว้ร้อยละ 100 2. ผลกระทบของการดำเนินการ ประชาชนเจ้าของที่ดินในบริเวณพื้นที่ก่อสร้างคลองระบายน้ำตัดผ่าน ต้องสูญเสียที่ดินในความครอบครองซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน โดยมีพื้นที่ที่จะต้องเวนคืน 1,290 ไร่ 3 งาน 18 ตารางวา 3. คาดว่าจะดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีแล้วเสร็จภายในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2553
|
||||||||||||||||||||||||||||||
6165 | การเปลี่ยนชื่อส่วนราชการ (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) (จำนวน 4 ฉบับ 1. ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อ "สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว" เป็น "กรมการท่องเที่ยว" พ.ศ. .... ฯลฯ) | กก | 16/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และ ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ 1.1 ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อ "สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว" เป็น "กรมการท่องเที่ยว" พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เปลี่ยนชื่อสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว เป็น กรมการท่องเที่ยว และเปลี่ยนชื่อตำแหน่ง ของผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว เป็น อธิบดีกรมการท่องเที่ยว และรองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนา การท่องเที่ยว เป็น รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว 1.2 ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อ "สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ" เป็น "กรมพลศึกษา" พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เปลี่ยนชื่อสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ เป็น กรมพลศึกษา และ เปลี่ยนชื่อตำแหน่งของผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ เป็น อธิบดีกรมพลศึกษา และรองผู้ อำนวยการสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ เป็น รองอธิบดีกรมพลศึกษา 2. กรณีร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พ.ศ. .... และ ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ ที่กระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ให้ดำเนินการตามแนวปฏิบัติในการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในกรม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาส่งร่างกฎกระทรวง จำนวน 2 ฉบับดังกล่าว ให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาแล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการต่อไป 3. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อส่วนราชการดัง กล่าวโดยเสนอเพิ่มเติมภารกิจและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการที่เปลี่ยนแปลงใหม่ตามร่างกฎกระทรวง ฯ ตามข้อ 2 จากเดิมซึ่งมีภารกิจหลักในงานนโยบาย งานให้คำปรึกษา หรืองานวิชาการแต่เพียงอย่างเดียว โดยเพิ่มเติมให้มีภาร กิจในงานปฏิบัติและให้บริการประชาชนด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะงานที่ปฏิบัติในปัจจุบัน นั้น จะต้องไม่เป็น การเพิ่มอัตรากำลังและภาระของงบประมาณ และให้คำนึงถึงบทบาทการดำเนินการของภาครัฐในการสนับสนุนงาน ด้านการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหลัก ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 เรื่อง การ ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ ไปดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
6166 | การแก้ไขปัญหาการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว (รอบที่ 1) เพิ่มเติมและการกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการประกันรายได้ผู้ปลูกข้าว (รอบที่ 2) | พณ | 16/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ 1. การแก้ไขปัญหาการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว (รอบที่ 1) เพิ่มเติม สรุปในประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1.1 ไม่เห็นชอบให้เกษตรกรจังหวัดร้อยเอ็ด มหาสารคาม และนครสวรรค์ ที่ไม่ได้มาขึ้นทะเบียนเกษตร กรภายในระยะเวลาตามที่กำหนดเดือนตุลาคม 2552 เข้าร่วมโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/ 53 (รอบที่ 1) เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2553 1.2 ให้คณะอนุกรรมการ กขช. ระดับจังหวัด แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อไต่สวนให้ได้ข้อเท็จจริงในพื้นที่ที่มี ปัญหา เช่น จังหวัดร้อยเอ็ด มหาสารคาม บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ลำปาง และเลย กรณีที่กลุ่มเกษตรกรขอใช้สิทธิ 16 -30 พฤศจิกายน 2552 แต่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้ใช้สิทธิช่วงวันที่ 1 ธันวาคม 2552-28 กุมภาพันธ์ 2553 และกรณีเกษตรกรจังหวัดมหาสารคามที่ปลูกข้าวในที่นาหลายแปลง แต่เกษตรอำเภอ ขึ้นทะเบียนให้ใช้สิทธิเพียงแปลงเดียว โดยหาต้นเหตุของปัญหาและดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน 1.3 ให้ ธ.ก.ส. แก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิของเกษตรกรให้ถูกต้อง โดยให้ได้รับสิทธิวันเดียวกันคือ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2552 ตามที่เกษตรกรจังหวัดมหาสารคามที่ปลูกข้าว 2 ชนิดร้องขอ เนื่องจากเกิดความผิด พลาดทางเอกสารและไม่ใช่ความผิดของเกษตรกร 1.4 เห็นชอบให้เกษตรกรจังหวัดขอนแก่นที่ทำสัญญากับ ธ.ก.ส. ช่วงวันที่ 1-16 ธันวาคม 2552 ใช้ สิทธิชดเชยได้ในวันที่ 1-15 ธันวาคม 2552 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 1.5 ให้ ธ.ก.ส. และสำนักงานการค้าภายในจังหวัดขอนแก่นตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า เกษตรกรจังหวัด ขอนแก่น จำนวน 28,369 ราย ทำสัญญาช่วงวันที่ 16-31 ธันวาคม 2552 จริงหรือไม่ หรือเป็นการใช้สิทธิในช่วง เวลาดังกล่าว แต่ได้รับเงินชดเชยน้อย หรือไม่ได้รับเงินชดเชย จึงมาขอใช้สิทธิช่วงวันที่ 1-15 ธันวาคม 2552 โดยให้ ตรวจสอบแล้วเสร็จภายใน 7 วัน 1.6 เห็นชอบให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวเหนียว และข้าวปทุมธานี 1 ที่ทำสัญญาในช่วงวันที่ 1-31 ธันวา คม 2552 สามารถใช้สิทธิชดเชยได้ โดยให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวเหนียวใช้สิทธิในช่วงวันที่ 16-30 พฤศจิกายน 2552 และเกษตรกรที่ปลูกข้าวปทุมธานี 1 ให้ใช้สิทธิในช่วงวันที่ 1-15 พฤศจิกายน 2552 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของชนิดข้าว ดังกล่าวที่จะได้รับเงินชดเชย 1.7 เห็นชอบยืนยันให้เกษตรกรในจังหวัดภาคใต้ใช้สิทธิประกันรายได้ รอบที่ 1 ช่วงหลังการเก็บเกี่ยว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2552 เพื่อให้เป็นไปตามหลักการของโครงการประกันรายได้ 2. เห็นชอบให้กำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 1 และรอบที่ 2 เป็นราคาเดียวกัน โดยยึดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้เดิม คือ คำนวณ จากมูลค่าข้าวสาร ณ ตลาดกรุงเทพมหานครรวมกับมูลค่าผลิตภัณฑ์ หักด้วยค่าแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร และค่าขนส่งเแลี่ยนจากกรุงเทพมหานครถึงจังหวัดจุดซื้อขายของเกษตรกร 3. เห็นชอบหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และแนวทางการปฏิบัติโครงการประกันรายได้เกษตรกร ปี 2552/53 รอบที่ 2 ตามคู่มือการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 ของกรมส่งเสริมการเกษตร และหลัก เกณฑ์การทำสัญญาและการใช้สิทธิโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 ของ ธ.ก.ส. ตามที่เสนอ โดยเพิ่มเติมในส่วนของขั้นตอนการทำประชาคม การออกใบรับรองผลการขึ้นทะเบียน และขั้นตอนการ จัดทำสัญญาประกันรายได้กับ ธ.ก.ส.
|
||||||||||||||||||||||||||||||
6167 | การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้างและผู้ประกอบอาชีพอื่น | มท | 16/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้ใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อจ่ายคืนเงินค่าปรับให้แก่ผู้ ประกอบอาชีพงานก่อสร้างที่ได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 และวัน 2 ธันวา คม 2551 กรณีผิดสัญญาที่ได้นำส่งเป็นเงินรายได้แผ่นดินแล้ว จำนวน 641 โครงการ จำนวนเงิน 123,324,148 บาท ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจ่ายคืนให้แก่ผู้รับจ้างต่อไป 1.2 การเบิกจ่ายเงินงบกลาง ฯ ให้เบิกจ่ายได้เมื่อกรมบัญชีกลางได้ตรวจสอบการขอคืนเงินค่าปรับและ ได้อนุมัติให้ถอนคืนเงินค่าปรับได้ 2. ให้กระทรวงมหาดไทยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง และให้รับความ เห็นของกระทรวงการคลัง ที่ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเบิกจ่ายเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณี ฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้เสร็จสิ้นภายในปีงบประมาณที่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณ หากกรมส่งเสริมการปกครองท้อง ถิ่นเบิกจ่ายเงินรายการดังกล่าวไม่แล้วเสร็จกระทรวงการคลังจะไม่อนุมัติให้กันเงินงบประมาณที่คงเหลือไว้เบิกเหลื่อม ปี ไปดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
6168 | การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคเขียวเตี้ย และโรคใบหงิก | กษ | 09/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบสถานการณ์การระบาดและการดำเนินการตามมาตรการ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ 2. อนุมัติในหลักการแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรเพื่อแก้ไขปัญหาโดยการตัดวงจรของเพลี้ยกระโดด สีน้ำตาล โรคเขียวเตี้ย และโรคใบหงิก ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ 2.1 ให้ความช่วยเหลือโดยจ่ายเงินช่วยเหลือเป็นเงินสดให้แก่เกษตรกรผู้ประสบภัย โดยใช้เกณฑ์การ ช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2549 พื้นที่ความเสียหายประมาณ 6.74 แสนไร่ จ่ายใน อัตราไร่ละ 2,280 บาท เป็นเงิน 1,537 ล้านบาท การจ่ายเงินสด ให้กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นผู้ดำเนินการและ จ่ายเงินช่วยเหลือผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง 2.2 ดำเนินการไถกลบต้นข้าวในพื้นที่ระบาด 6.74 แสนไร่ ในราคาไร่ละ 350 บาท เป็นเงิน 236 ล้านบาท โดยกรมพัฒนาที่ดินร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร และจังหวัดพื้นที่มีการระบาดเป็นผู้รับผิดชอบดำเนิน การ และสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดีที่กรมการข้าวผลิต พื้นที่ 6.74 แสนไร่ อัตราไร่ละ 15 กิโลกรัม ๆ ละ 18 บาท เป็นเงิน 182 ล้านบาท โดยกรมการข้าวและกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ รวมทั้งขอ หลักการให้ขยายเวลาการชำระหนี้และชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของเพลี้ย กระโดดสีน้ำตาล ฯ ที่เข้าร่วมในโครงการผ่าน ธ.ก.ส. สถาบันเกษตรกร และสถาบันการเงิน ส่วนงบประมาณชด เชยดอกเบี้ยจะขออนุมัติในภายหลัง 2.3 เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ฯ สามารถดำเนินการได้อย่างต่อ เนื่องและยุติลงอย่างถาวร จำเป็นต้องดำเนินการโครงการรวม 2 โครงการ วงเงินงบประมาณ 83 ล้านบาท ได้แก่ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายทอดเทคโนโลยีการป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล วงเงินงบประมาณ 25 ล้านบาท และโครงการป้องกันการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลอย่างยั่งยืน วงเงินงบประมาณ 58 ล้านบาท 2.4 ปฏิรูประบบการปลูกข้าวใหม่ โดยกำหนดช่วงเวลาการเพาะปลูกข้าวให้มีความชัดเจนสอดคล้อง กับสภาพทางกายภาพ ชีวภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (คณะกรรมการจัดทำระบบ การปลูกข้าว) จะพิจารณาระบบการปลูกพืชและมาตรการสนับสนุนที่เหมาะสมเสนอ เพื่อปรับปรุงระบบการปลูก ข้าวต่อไป 3. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรอง จ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 501 ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ฯ โดยให้ขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนัก งบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในส่วนที่เหลืออีกจำนวน 739 ล้านบาท (1,240-501 = 739) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร เสนอคณะกรรมการสงเคราะห์ เกษตรกรเพื่อขอใช้จ่ายจากเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรไปก่อนตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยด่วน และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ขอตั้งงบประมาณเพื่อชดใช้คืนกองทุน ฯ ต่อไป และให้รายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบในสัปดาห์หน้าด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
6169 | แนวทางปฏิบัติในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ | นร | 09/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ถือปฏิบัติเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ โดยระหว่างนี้หากส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องดำเนินการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ เห็นควรให้ส่วนราชการถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๑ (เรื่อง ขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ) โดยใช้เฉพาะทางเลือกที่ ๒ ที่ให้ทำสัญญาเช่าเป็นระยะเวลา ๓ ปี โดยต้องมีอัตราค่าเช่าไม่เกินอัตราค่าเช่าที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้ในระยะเวลา ๕ ปี เพื่อให้ส่วนราชการสามารถดำเนินการให้สอดคล้องกับผลการศึกษาเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างการเช่ากับการซื้อรถยนต์ของสำนักงบประมาณได้อย่างเหมาะสมในระยะต่อไป ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
6170 | ร่างพระราชบัญญัติขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญา พ.ศ. .... | กต | 02/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ
คือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และตัดความ "ให้หนังสือสัญญาที่จะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา" ในร่างมาตรา 4 วรรคสอง ออก ตามมติคณะรัฐมนตรีแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
6171 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2551/2552 และการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2552/2553 | อก | 02/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ในการประชุมครั้งที่ 10/2552 เมื่อวันที่ 1 ธันวา คม 2552 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ 1.1 กำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2551/2552 เป็นรายเขต ในอัตราตันอ้อยละ 917.87 บาท ณ ระดับค่าความหวาน 10 ซี.ซี.เอส. โดยกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ 55.07 บาทต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส. และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2551/2552 เท่ากับ 393.37 บาทต่อตันอ้อย 1.2 การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2552/2553 ในอัตราตันอ้อยละ 965.00 บาท ณ ระดับค่าความหวาน 10 ซี.ซี.เอส. โดยกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ 57.90 บาทต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส. และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2552/2553 เท่ากับ 413.57 บาทต่อตัน อ้อย 2. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดทำรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการตามแผน ปฏิบัติการพัฒนาอ้อยและแนวทางที่กำหนดในวาระอ้อยแห่งชาติ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการติดตาม กำกับ และทบทวนแนวทางการดำเนินการพัฒนาและแก้ไขปัญหาอ้อย นอกจากนี้ ให้ พิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2552 เกี่ยวกับแนวทางการยกเลิกอัตราการนำเงิน กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายภายหลังจากครบกำหนดชำระหนี้ของกองทุน ฯ ที่คาดว่าจะครบกำหนดประมาณเดือน พฤศจิกายน 2553 ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมในการพิจารณาทบทวนราคาน้ำตาลทรายใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ในปัจจุบันที่ราคาอ้อยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการ แล้วรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
6172 | การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2552 กรณี องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน | นร | 02/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงการบริหารและพัฒนาองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการ ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ระยะสั้น 1-2 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553-2554) และระยะยาว ดังนี้ 1.1 แนวทางการปรับปรุงการบริหารและพัฒนา อพท. (ระยะสั้น 1-2 ปี) ฯ ควรกำหนดประเด็น การปรับปรุง อพท. รวม 5 ประเด็น คือ 1.1.1 ปรับปรุงบทบาท ภารกิจในภาพรวม ให้ อพท. คงเจตนารมณ์ตามวัตถุประสงค์การจัด ตั้ง แต่ปรับบทบาทให้ชัดเจนและปรับวิธีการทำงานโดยมุ่งเน้นและจัดกลไกการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน 1.1.2 ปรับปรุงภารกิจด้านการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ให้พัฒนา "ต้นแบบ" การบริหาร จัดการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยว โดยเลือกพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวตามประเภทของแหล่งท่องเที่ยวเพื่อ นำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับบทบาทของ อพท. ในการบริหารจัดการพื้นที่พิเศษ หรือปรับปรุง อพท. เป็น องค์กรรูปแบบอื่นในระยะยาวต่อไป 1.1.3 แก้ไขพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง อพท. พ.ศ. 2546 ให้แก้ไขเฉพาะบางมาตราที่จำเป็นเพื่อ สนับสนุนการบริหารงานของ อพท. และคงมาตราที่บัญญัติเกี่ยวกับการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ 1.1.4 ปรับปรุงภายในองค์กร ให้ปรับโครงสร้างการจัดองค์กรรวมทั้งบทบาทหน้าที่ของ อพท. ส่วนกลางและพื้นที่พิเศษให้มีความเชื่อมโยงระหว่างกัน ปรับขนาดองค์กรเพื่อความคล่องตัว และนำข้อเสนอการ ปรับปรุงไปกำหนดตัวชี้วัดตามคำรับรองการปฏิบัติงานประจำปีระหว่างรัฐมนตรี-ประธานกรรมการบริหาร-ผู้ อำนวยการ อพท. 1.1.5 พัฒนากลไกการผลักดัน เพื่อนำแผนแม่บทการบริหารพัฒนาพื้นที่พิเศษไปสู่การปฏิบัติ ควรผลักดันให้คณะกรรมการผู้ซึ่งมีอำนาจตัดสินใจหรือส่วนราชการนำแผนแม่บทการบริหารพัฒนาพื้นที่พิเศษ ที่ อพท. เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบไปเป็นแนวทางในการพิจารณาหรือปฏิบัติ 1.2 แนวทางการปรับปรุงการบริหารและพัฒนา อพท. (ระยะยาว) เมื่อ อพท. สามารถดำเนินการ ตามแนวทางการปรับปรุงการบริหารและพัฒนาระยะสั้นให้เกิดผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมได้แล้ว จึงให้นำรูปแบบ การบริหารจัดการพื้นที่พิเศษ ตั้งแต่การจัดทำแผนและการนำแผนไปปฏิบัติให้บรรลุผลไปใช้เป็น "ต้นแบบ" ใน การบริหารจัดการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพื่อการปรับปรุง อพท. ในระยะยาวต่อไป 2. ให้คณะกรรมการ อพท. ดำเนินการตามแนวทางการปรับปรุงการบริหารและพัฒนา อพท. ตามที่ คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ |
||||||||||||||||||||||||||||||
6173 | ขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ ประจำปีงบประมาณ 2553 | นร | 02/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ส่วนราชการต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ผู้มีผลการปฏิบัติงานด้านยาเสพติดดีเด่นที่
ได้รับการจัดสรรโควตาบำเหน็จความชอบประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 สิงหา คม 2552 ที่ไม่สามารถปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ในการเลื่อนเงิน เดือนให้แก่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวจำนวน 7,827 คน เป็นจำนวนเงิน 50,132,030 บาทได้ โดยให้ส่วนราชการต้นสังกัด ปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเลื่อนเงินเดือน ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้มีผลการปฏิบัติงานด้านยาเสพติดดีเด่นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ก่อน แต่หากไม่สามารถ ปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณได้ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง ราย การเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
6174 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมเพื่อชดเชยการลดค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชนตามมติคณะรัฐมนตรี | กห | 26/01/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการให้กิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัตหีบ ของกองทัพเรือ เป็นหน่วยงานหนึ่งในหน่วยงาน ตามมาตรการลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของครัวเรือนของรัฐบาล เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่กิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัตหีบให้บริการ ในพื้นที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ได้รับสิทธิตามมาตรการดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2551 เป็นต้นไป ตาม ที่กระทรวงกลาโหมเสนอ 2. อนุมัติในหลักการงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมเพื่อชดเชยการลดค่าใช้ไฟฟ้าให้แก่ประชาชนให้กองทัพ เรือ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามข้อ 1. ทั้งนี้ มอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงกลาโหม (กองทัพเรือ) ตรวจ สอบการจัดเก็บและลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัตหีบให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดียว กับสิทธิที่ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้รับ เพื่อให้ทราบประมาณการวง เงินชดเชยที่ถูกต้อง เหมาะสม แล้วให้กองทัพเรือขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป 3. ให้กระทรวงการคลังรับไปตรวจสอบเพิ่มเติมด้วยว่ามีกรณีของหน่วยงานอื่นใดนอกเหนือจากกรณีของ กิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัตหีบที่รัฐสมควรต้องจ่ายเงินชดเชยให้ในทำนองเดียวกันเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
6175 | การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 | นร | 26/01/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอขอขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงาน รวมทั้งการจัดตั้งองค์การมหาชนหรือหน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายบริหารและหน่วยบริการ รูปแบบพิเศษเพิ่มใหม่ชั่วคราว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งได้สิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2552 โดยขยายระยะเวลาออกไปอีกตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2553 ยกเว้นกรณีดังต่อไปนี้ 1.1 การจัดตั้งหน่วยงานตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติ 1.2 การจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงาน เพื่อรับผิดชอบงานตามนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐ บาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้สั่งการให้ดำเนินการ 1.3 การยกฐานะส่วนราชการภายในกรมซึ่งมีการปรับปรุงงานให้มีคุณภาพสูงขึ้น โดยไม่มีผลทำให้ค่าใช้ จ่ายเพิ่มขึ้น 1.4 การยุบ รวม โอน หน่วยงานภายในส่วนราชการ/จังหวัดเดียวกัน หรือส่วนราชการในกระทรวงเดียว กันหรือต่างกระทรวง หรือระหว่างจังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยไม่มีผลทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 1.5 การถ่ายโอนภารกิจตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ซึ่งส่งผลให้ต้องมีการปรับปรุงหน่วยงานใหม่ 1.6 ทั้งนี้ ในการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงาน หรือปรับปรุงหน่วยงานใหม่ ตามข้อ 1.1- 1.5 ส่วนราชการต้องดำเนินการตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้กำหนดไว้ในแต่ละเรื่องด้วย 2. สำหรับกรณีการเปลี่ยนแปลงชื่อหน่วยงานเดิมให้สามารถดำเนินการได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
6176 | แต่งตั้งคณะกรรมการสนับสนุนการจัดตั้งสถานศึกษาเอกชนและคณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (รวม 2 คณะ) | ศธ | 26/01/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการ จำนวน 2 คณะ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
1. คณะกรรมการสนับสนุนการจัดตั้งสถานศึกษาเอกชน โดยมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกรรม การ และผู้อำนวยการสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจ หน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้การสนับสนุนสถานศึกษาเอกชน และสถาบันฝึกอบรมวิชาชีพ เอกชนให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี 2. คณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการ และผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริม การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายในการดำเนินงาน พัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถ พิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ในระดับมัธยมศึกษา ระดับอุดมศึกษา และระดับหลังสำเร็จการศึกษา
|
||||||||||||||||||||||||||||||
6177 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2552 | ทส | 26/01/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการทรัพยา
กรน้ำแห่งชาติเสนอสรุปผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2552 เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2552 สรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการจัดงานวันน้ำโลก ในภาคต่าง ๆ ทั้ง 4 ภาค ใช้ชื่อโครงการ "คุณภาพน้ำ คุณภาพชีวิต : ความท้าทาย และโอกาส" เนื่องในสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำแห่งชาติและวันน้ำโลก และให้แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการเพื่อช่วยในการจัดงาน โดยรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของกรรมการไปพิจารณาดำเนินการด้วย 2. ที่ประชุมมีมติให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วย งานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ. .... และรวบรวมความคิดเห็นนำเสนอ ประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อเสนอไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 3. ที่ประชุมมีมติให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ รวบรวมจำนวนหมู่บ้านที่ยังไม่มีระบบประปา พร้อมทั้งให้จัดลำดับ ความสำคัญที่ต้องดำเนินการเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นข้อ มูลในการพิจารณา ทั้งนี้ หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดที่ไม่สามารถดำเนินการเกี่ยวกับระบบประปาหมู่บ้าน ได้ ให้เสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจ ฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบให้หน่วยงานที่มีความพร้อมเข้ามาสนับ สนุนการดำเนินการ และหากไม่มีงบประมาณดำเนินการจะได้พิจารณาหาแหล่งงบประมาณ 4. ที่ประชุมมีมติรับทราบเกี่ยวกับโครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา และมอบ ให้กรมชลประทานรับไปศึกษาเพิ่มเติมและพิจารณาว่าจะสามารถนำโครงการดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการดำเนิน การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบได้อย่างไร พร้อมทั้งนำเสนอเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระ ยาทั้งระบบของกรมชลประทานในการประชุมครั้งต่อไป 5. ที่ประชุมมีมติรับทราบรายงานสรุปการเกิดอุทกภัยในปี พ.ศ. 2552 และผลการดำเนินงานของคณะ อนุกรรมการติดตามสถานการณ์น้ำ และเตรียมความพร้อมด้านอุทกภัย 6. ที่ประชุมมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 253/2552 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 เรื่องแต่งตั้งผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่ง ชาติเพิ่มเติม 7. ที่ประชุมมีมติรับทราบมติคณะรัฐมนตรีและการดำเนินงานตามมติที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากร น้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2552 และให้กระทรวงมหาดไทยติดตามการดำเนินการของแต่ละจังหวัดในเรื่องห้ามไม่ให้ มีการปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างในพื้นที่ชุ่มน้ำ และตรวจสอบการดำเนินการก่อสร้างอาคารวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย ราชภัฏในพื้นที่ชุ่มน้ำจังหวัดพิษณุโลก 8. ที่ประชุมมีมติรับทราบและเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ นำเสนอเรื่องที่หน่วยงานต่าง ๆ ขอความ เห็นจากคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติในระหว่างที่ไม่มีการประชุม ให้เสนอประธานกรรมการ ฯ พิจารณา สั่งการหรือให้ความเห็น และนำมาเสนอคณะกรรมการ ฯ ทราบในการประชุมครั้งต่อไป 9. ที่ประชุมมีมติรับทราบรายงานรายละเอียดโครงการผันน้ำจากพื้นที่จังหวัดจันทบุรีไปยังแหล่งเก็บกัก น้ำจังหวัดระยอง โดยให้กรมชลประทานดำเนินการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ครอบ คลุมเพิ่มเติมทั้งลุ่มน้ำก่อนดำเนินการก่อสร้างโครงการ 10. ที่ประชุมมีมติรับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดแนวทางและหลัก เกณฑ์การนำน้ำในแหล่งน้ำสาธารณะไปใช้ 11. ที่ประชุมมีมติรับทราบผลการดำเนินงานจัดประชุมของคณะอนุกรรมการจัดทำแผนการอนุรักษ์ฟื้น ฟูแหล่งน้ำและพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อหาแนวทางการปรับปรุงฟื้นฟูบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร และให้ประธานอนุกรรมการอนุ รักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำและพื้นที่ชุ่มน้ำติดตามการดำเนินงานมานำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป 12. ที่ประชุมมีมติรับทราบผลการประชุมหารือเพื่อหาแนวทางการจัดสรรน้ำสำหรับภาคการใช้น้ำด้าน ต่าง ๆ 13. ที่ประชุมมีมติมอบให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ รับไปพิจารณาการจัดทำตราสัญลักษณ์ของคณะกรรมการ ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
6178 | นายสุวัตร อภัยภักดิ์ กับพวกรวม 9 คน ฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอน การกระทำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างคำแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชากรณีการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก | กต | 26/01/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
1. รับทราบคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ซึ่งได้พิพากษาให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ที่ให้ความเห็นชอบร่างคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา และแผนที่แนบท้าย และที่ให้รัฐมนตรีว่า การกระทรวงการต่างประเทศลงนามในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติ ส่วนคำขอ อื่นให้ยก และให้คำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2551 มีผลต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด 2. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควรไม่อุทธรณ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
6179 | การขยายเวลาการพิสูจน์สัญชาติและการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรแก่แรงงานต่างด้าว และการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเพิ่มเติม | รง | 19/01/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบการขยายเวลาการพิสูจน์สัญชาติและการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวแก่ แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชาที่จดทะเบียนและได้รับอนุญาตทำงานปี พ.ศ. 2552 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 จำนวน 382,541 คน และตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2552 วันที่ 28 กรกฎาคม 2552 และวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 จำนวน 928,149 คน ออกไปอีก 2 ปี สิ้นสุดในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 โดยแรงงานต่างด้าวดังกล่าวต้องกรอกแบบการพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 และเข้ารับการพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จตามวันเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ไม่เกินวัน ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ 2. ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้นายจ้าง และแรงงานต่าง ด้าวทราบขั้นตอนการพิสูจน์สัญชาติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในช่วงการเร่งรัดให้แรงงานต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผัน ให้อยู่ในราชอาณาจักร ฯ กรอกแบบพิสูจน์สัญชาติ ฯ ให้เสร็จภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 ตามความเห็นของ กระทรวงการต่างประเทศ |
||||||||||||||||||||||||||||||
6180 | การแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) | นร | 19/01/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอการแต่งตั้งคณะกรรมการประสาน
งานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เรียกโดยย่อว่า (ปคค.) โดยมีเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่ประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี นโยบาย เร่งด่วนและนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล รวมถึงการดำเนินการอื่น ๆ ในสถานการณ์พิเศษตามที่ได้รับมอบหมาย และพิจารณาเสนอความเห็น และแนวทางการแก้ไขปัญหาอุปสรรค เกี่ยวกับการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี ต่อนายกรัฐมนตรี
|
.....