ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 109 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 2161 - 2180 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2161 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดท้องที่เขตสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. .... | มท | 31/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดท้องที่เขตสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดท้องที่เขตสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ตามพระราชบัญญัติสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. ๒๔๙๗ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยของประชาชน และการดำรงชีวิตโดยปกติสุขของประชาชน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2162 | แต่งตั้งคณะกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ตามพระราชบัญญัติสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2497 (จำนวน 11 ราย) | มท | 31/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๙๗ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ และแต่งตั้งคณะกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ตามพระราชบัญญัติสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. ๒๔๙๗ ขึ้นใหม่ รวม ๑๑ คน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกรรมการ ๑.๒ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการ ๑.๓ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นกรรมการ ๑.๔ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการ ๑.๕ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นกรรมการ ๑.๖ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นกรรมการ ๑.๗ อธิบดีกรมสรรพากร เป็นกรรมการ ๑.๘ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นกรรมการ ๑.๙ อธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นกรรมการ ๑.๑๐ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นกรรมการ ๑.๑๑ อธิบดีกรมการปกครอง เป็นกรรมการ และเลขานุการ ๒. ให้สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2163 | การผ่อนปรนการอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและการทำงานให้กับแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานตามข้อตกลงที่รัฐบาลไทยได้ลงนามกับรัฐบาลประเทศคู่ภาคี | รง | 31/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการผ่อนปรนการอยู่ในราชอาณจักรเป็นการชั่วคราวและการทำงานให้กับแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานตามข้อตกลงที่รัฐบาลไทยได้ลงนามกับรัฐบาลประเทศคู่ภาคี ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. อนุมัติในหลักการร่างประกาศ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักร ตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงานหรือบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน กรณีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าว ๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ซึ่งเข้ามาทำงานตาม MoU ที่การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดสามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวได้ต่อไปจนถึงระยะเวลาตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ หรือสิ้นสุดระยะเวลาตามที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เพิ่มเติม (หากมี) ๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๖๔ แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรณีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าว กัมพูชาและเมียนมา ซึ่งเข้ามาทำงานในประเทศไทยโดยใช้บัตรผ่านแดน ที่การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลง สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวได้ต่อไปจนถึงระยะเวลาตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ หรือสิ้นสุดระยะเวลาตามที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เพิ่มเติม (หากมี) ๓. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวที่การอนุญาตทำงานสิ้นสุดสามารถทำงานไปพลางก่อนได้ จนถึงระยะเวลาตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ หรือสิ้นสุดระยะเวลาตามที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เพิ่มเติม (หากมี) ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุมดำเนินคดีนายจ้างแรงงานผิดกฎหมายที่ลักลอบทำงานและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดหลังสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ ๕. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2164 | ขอทบทวนอัตราและระยะเวลาการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานตามร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย พ.ศ. .... | รง | 31/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการทบทวนอัตราและระยะเวลาการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานตามร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย พ.ศ. .... โดยปรับเพิ่มอัตราและระยะเวลาการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยที่นายจ้างรับรองหรือนายจ้างไม่ให้ทำงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย ทำให้ไม่สามารประกอบกิจการได้ตามปกติ เป็นอัตราร้อยละหกสิบสองของค่าจ้างรายวัน โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่ผู้ประกันตนไม่ได้ทำงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย แต่ทั้งนี้ไม่เกินเก้าสิบวัน และปรับเพิ่มอัตราและระยะเวลาการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยในกรณีหน่วยงานภาครัฐมีคำสั่งให้นายจ้างหยุดประกอบกิจการเพื่อป้องกันการระบาดของโรค เป็นอัตราร้อยละหกสิบสองของค่าจ้างรายวัน โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่นายจ้างหยุดประกอบกิจการตามคำสั่ง แต่ทั้งนี้ไม่เกินเก้าสิบวัน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย พ.ศ. .... ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับความเป็นธรรมในสังคม การคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมในสภาวการณ์วิกฤตของทุกภาคส่วน รวมทั้งวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคมทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมในอนาคต ตลอดจนดำเนินการตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างถูกต้องครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2165 | ขอทบทวนอัตราตามร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน กรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] | รง | 31/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการทบทวนอัตราเงินสมทบที่จัดเก็บสำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ ตามร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน กรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ตามร่างข้อ ๒ จาก “...ให้ส่งเงินสมทบในอัตราเดือนละสองร้อยสิบเอ็ดบาท” เป็น “...ให้ส่งเงินสมทบในอัตราเดือนละแปดสิบหกบาท” ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่นายจ้างและผู้ประกันตนจะได้รับ รวมทั้งวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคม ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยคำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบเพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่อง และเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2166 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้านโควิด - 19 สำหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล) | กค | 31/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้านโควิด-๑๙ สำหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่การนำเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] เพื่อบริจาคเป็นสาธารณกุศลบางกรณี และยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับการบริจาคสินค้าดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2167 | ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 | กค | 31/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ ๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การทบทวนมาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบหรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ ของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในการขยายกลุ่มเป้าหมายผู้ได้รับสิทธิ จาก ๓ ล้านคน เป็น ๙ ล้านคน โดยนำเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง จำนวนไม่เกิน ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๓ มาใช้ในการชดเชยรายได้ในเดือนเมษายน ๒๕๖๓ ไปพลางก่อน สำหรับในเดือนต่อ ๆ ไป กระทรวงการคลังจะได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินสนับสนุนที่ได้รับตามมาตรการชดเชยรายได้ฯ โดยให้กรมสรรพากรเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๑.๒ การทบทวนโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) เพื่อชดเชยต้นทุนการดำเนินงาน จำนวนไม่เกิน ๑,๖๐๐ ล้านบาท แบ่งเป็น ธนาคารออมสิน ไม่เกิน ๘๐๐ ล้านบาท และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไม่เกิน ๘๐๐ ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อให้ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ดำเนินการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่กระทบฐานะและผลการดำเนินการ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) มาตรการชดเชยรายได้ฯ ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการได้รับความช่วยเหลือที่รัดกุม รวมทั้งตรวจสอบหลักฐานของผู้ลงทะเบียนให้มีความถูกต้องครบถ้วน เพื่อคัดกรองให้ผู้ได้รับสิทธิเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบที่มีความเดือดร้อนในการดำรงชีพและมีความจำเป็นที่จะได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริง และ (๒) โครงการสินเชื่อฯ ควรพิจารณาให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจมีส่วนร่วมรับภาระต้นทุนในการดำเนินงานด้วย เพื่อสะท้อนประสิทธิภาพการดำเนินงานและร่วมแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2168 | โครงการ สธค. โรงรับจำนำของรัฐ สู้ภัยโควิด 19 โดยขยายเวลาตั๋วจำนำและลดดอกเบี้ยรับจำนำและการกู้เงิน Soft loan จำนวน 2,000 ล้านบาท จากธนาคารออมสิน โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน | พม | 31/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการกู้เงิน Soft loan ของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท จากธนาคารออมสิน เพื่อเป็นการเตรียมเงินทุนหมุนเวียนรองรับธุรกรรมการให้บริการรับจำนำแก่ประชาชนสำหรับโครงการ สธค. โรงรับจำนำของรัฐ สู้ภัยโควิด ๑๙ ส่วนการปรับเป้าหมายผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ ให้ สธค. เสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้ สธค. ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้ สธค. เร่งจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ เช่น Infographic VDO Clip เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน รวดเร็ว และทั่วถึงด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2169 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] | สธ | 31/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] (ยกเว้นหลักเกณฑ์ฯ ข้อ ๙) โดยให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับเป็นสำคัญ และการจัดให้มีระบบการกำกับ ติดตาม และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข อัตราที่กำหนด และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไปด้วย ๒. เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ เอกชน หรือกองทุนอื่นที่มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์หรือสาธารณสุข ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] และดำเนินการจ่ายค่าใช้จ่ายในอัตราตามบัญชีแนบท้ายหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยประกันวินาศภัยให้ใช้สิทธิดังกล่าวก่อน ๓. เห็นชอบให้กองทุนของส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์หรือสาธารณสุขดำเนินการแก้ไขปรับปรุง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ๔. เห็นชอบให้สถานพยาบาลซึ่งดำเนินการโดยกระทรวง ทบวง กรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษาของรัฐ สภากาชาดไทย ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ๕. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2170 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) | วธ | 31/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ประกอบด้วย (๑) การแต่งตั้งคณะทำงานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงวัฒนธรรม (๒) การดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อเป็นการติดตามเฝ้าระวังและให้ความช่วยเหลือประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และมาตรการที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค (๓) การบูรณาการความร่วมมือกับชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร และภาคีเครือข่าย เพื่อป้องกันและบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และ (๔) การจัดทำองค์ความรู้และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เพื่อช่วยกันรณรงค์ให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในการปฏิบัติตัว และมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2171 | การขอปรับโครงสร้างกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (กองทุนย่อยกองที่ 1) | กค | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี โดยยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ [เรื่อง การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund)] และคณะกรรมการที่แต่งตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ยกเว้นกองทุนย่อยกองที่ ๑ ที่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยได้จัดตั้งแล้ว ให้ดำเนินการต่อไป โดยปรับปรุงโครงสร้างและหลักการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (กองทุนย่อยกองที่ ๑) ให้ลงทุนในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs)/วิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ที่มีศักยภาพสูงหรือที่ใช้เทคโนโลยีเป็นฐานในกระบวนการผลิตหรือให้บริการ หรืออยู่ในกลุ่มธุรกิจที่มีประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ ต้องเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตได้ โดยร่วมลงทุนได้ไม่เกิน ๕๐ ล้านบาทต่อราย และร่วมลงทุนแต่ละรายไม่เกินร้อยละ ๔๙ ของทุนจดทะเบียนของกิจการ และให้มีคณะกรรมการพิจารณานโยบายการลงทุนทำหน้าที่กำหนดกรอบนโยบายการลงทุนและกำกับดูแลการลงทุนของกองทุนร่วมฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) รับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น (๑) การกำหนดวงเงินร่วมลงทุนไม่เกิน ๕๐ ล้านบาทต่อราย อาจทำให้เกิดความไม่ยืดหยุ่นในทางปฏิบัติ เพราะธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีเป็นฐานในการผลิตหรือให้บริการในบางอุตสาหกรรมใช้เงินลงทุนสูง และมีความเสี่ยงสูง แต่หากประสบผลสำเร็จก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสูง ภาครัฐจำเป็นต้องช่วยแบ่งเบาความเสี่ยงบางส่วน ซึ่งอาจทำให้กองทุนร่วมฯ ต้องร่วมลงทุนสูงกว่า ๕๐ ล้านบาท จึงเห็นควรให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการพิจารณานโยบายการลงทุนในการพิจารณานโยบายการลงทุนในการกำหนดวงเงินการลงทุนให้เหมาะสมกับธุรกิจและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา (๒) คณะกรรมการพิจารณานโยบายการลงทุนควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือก SMEs ให้ชัดเจนและมีความโปร่งใส รวมทั้งควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนร่วมฯ เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง และ (๓) กลุ่มเป้าหมาย อาจพิจารณาร่วมลงทุนกับกิจการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนา (COVID-19) เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2172 | ขออนุมัติหลักการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลราชวิถี | สธ | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ อนุมัติ และอนุญาตให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลราชวิถี เป็นอาคารสูง ๑๑ ชั้น ชั้นใต้ดิน ๒ ชั้น ความสูงของอาคารประมาณ ๕๕ เมตร ซึ่งมีความสูงเกินกว่าที่กำหนดไว้ในข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง กำหนดบริเวณซึ่งอาคารบางชนิดจะปลูกสร้างขึ้นมิได้ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุข (โรงพยาบาลราชวิถี) ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2173 | ร่างเอกสารโครงการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาและวิทยาศาสตร์ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและการค้าและกระทรวงนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งประเทศฮังการี ประจำปี ค.ศ. 2020 - 2022 | อว | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารโครงการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาและวิทยาศาสตร์ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงการต่างประเทศและการค้า และกระทรวงนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งประเทศฮังการี ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๐-๒๐๒๒ มีสาระสำคัญเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งประเทศฮังการี โดยฝ่ายฮังการีเสนอให้ทุนการศึกษาเต็มจำนวนแก่ผู้รับทุนชาวไทย จำนวน ๔๐ ทุนต่อปี เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ส่วนฝ่ายไทยให้ทุนการศึกษาเต็มจำนวนหรือทุนการศึกษาบางส่วนแก่นักเรียน/นักศึกษาฮังการี เพื่อศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของไทยเป็นระยะเวลา ๑-๒ ภาคการศึกษา ในระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๒๐-๒๐๒๒ ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างเอกสารโครงการแลกเปลี่ยนฯ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นควรตัดเนื้อหาในร่างเอกสารโครงการฯ I. Higher Education Paragraph 4. ซึ่งระบุว่า “The Thai Participant will consider the Hungarian Participants as a key partner within the framework of the One District One Scholarship programme enhancing the studies of Thai students on BA/BSc level and promote the studies of Thai students in Hungary through the aforementioned programme” เนื่องจากโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน (One District One Scholarship : ODOS) จะสิ้นสุดการดำเนินโครงการในปี ๒๕๖๓ และปัจจุบันยังไม่มีแผนการดำเนินโครงการในรุ่นต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารโครงการแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2174 | ร่างพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ เฉพาะมาตรการที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศและการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทยดำเนินการจัดทำร่างกฎหมายให้สอดคล้องกับนโยบาย BCG Model โดยเปิดโอกาสให้นำอ้อยไปผลิตเป็นเอทานอลหรือผลิตภัณฑ์ชีวมวลที่ผูกกับรายได้เกษตรกร รวมถึงพลังงานไฟฟ้าชุมชนต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจงมาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ที่ก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน (PM ๒.๕) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ (เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้) โดยให้รายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีถัดไป (๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2175 | การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | นร07 | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของหน่วยรับงบประมาณที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ส่งให้สำนักงบประมาณ รวมทั้งสิ้น ๑๓,๕๕๓.๑ ล้านบาท สำนักงบประมาณได้ปรับปรุงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้เป็นไปตามแนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๕,๐๐๓.๒ ล้านบาท ซึ่งการปรับปรุงดังกล่าวมีผลให้โครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตลอดจนงบประมาณรายจ่ายจำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ มีการเปลี่ยนแปลงไปจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2176 | มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 | กค | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ ๒ ของกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๑.๑ มาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบหรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ ของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) เห็นชอบในหลักการมาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบหรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ ของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังกำหนดประเภท กลุ่มเป้าหมายอย่างครอบคลุม เป็นธรรม รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา และร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบข้อมูลกลุ่มเป้าหมายให้มีความชัดเจน ถูกต้อง ครบถ้วน ครอบคลุมในระดับพื้นที่ และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไปด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๑.๒ มาตรการเสริมสร้างความรู้ ให้ชะลอมาตรการเสริมความรู้ไว้ก่อน โดยหากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเข้าสู่ภาวะปกติ ให้กระทรวงการคลังบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามภารกิจ เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว รวมถึงการจ้างงาน ให้เป็นไปตามแนวทางเดียวกัน และหากมีความจำเป็นจะต้องใช้จ่ายงบประมาณก็ให้ดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง มาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง] เป็นลำดับแรกก่อน สำหรับกรณีการช่วยเหลือ เยียวยา และบรรเทาผู้ได้รับผลกระทบต่อการจ้างงานภายในประเทศ ให้ดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง การขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง] ซึ่งได้อนุมัติหลักการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๒,๗๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่งในเรื่องของการจ่ายเงิน และมอบหมายเรื่องการฝึกอบรมให้ทุกหน่วยงานหารือร่วมกันเพื่อแบ่งเบาภาระงบประมาณ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๑.๓ มาตรการด้านภาษี ๑.๓.๑ รับทราบและเห็นชอบในหลักการมาตรการด้านภาษี จำนวน ๙ มาตรการ ประกอบด้วย (๑) มาตรการเลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (๒) มาตรการเลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นำส่ง และชำระภาษี (๓) มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าตอบแทนในการเสี่ยงภัยของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข (๔) มาตรการเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพ (๕) มาตรกรเลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล (๖) มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (๗) มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าของที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) (๘) มาตรการขยายเวลาการยื่นแบบรายการภาษีพร้อมกับชำระภาษีของสถานบริการที่ประกอบกิจการตามบัญชีพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐ และ (๙) มาตรการขยายเวลาการชำระภาษีให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น มาตรการขยายเวลาการยื่นแบบรายการภาษีพร้อมชำระภาษีของสถานบริการที่ประกอบกิจการตามบัญชีพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐ และมาตรการขยายเวลาการชำระภาษีให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ควรพิจารณาดำเนินการเป็นมาตรการชั่วคราวเท่านั้น และมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ควรดำเนินมาตรการในระยะสั้นเพื่อการบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) เท่านั้น โดยให้เร่งประเมินเพื่อปรับมาตรการภาษีในระยะต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๑.๓.๒ เห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร จำนวน ๒ ฉบับ (มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าตอบแทนในการเสี่ยงภัยของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และมาตรการเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพ) ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบับที่ ..) จำนวน ๑ ฉบับ [มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าของที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19)] ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๑ ฉบับ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ จำนวน ๑ ฉบับ และการปรับปรุงร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๒ ฉบับ (มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำร่างกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้มารวมพิจารณากับร่างกฎหมายที่มีหลักการเช่นเดียวกับที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๓ (มาตรการต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย) และยังอยู่ในระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย ๑.๔ มาตรการด้านการเงิน เห็นชอบในหลักการมาตรการด้านการเงิน จำนวน ๔ มาตรการ ประกอบด้วย (๑) โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) (๒) โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) (๓) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับสำนักงานธนานุเคราะห์เพื่อช่วยเหลือประชาชนฐานรากที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) และ (๔) โครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินมาตรการรวมทั้งสิ้น ๒๙,๓๔๖ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การพิจารณาให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจร่วมรับภาระต้นทุนในการดำเนินงาน การพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขเพื่อคัดกรองผู้เข้าร่วมโครงการให้เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง การพิจารณากำหนดเงื่อนไขให้เข้าร่วมโครงการได้ครัวเรือนละ ๑ โครงการ และการขยายการดำเนินมาตรการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรนดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงกองทุนหมู่บ้าน และสหกรณ์ต่าง ๆ เพื่อจะได้กระจายความช่วยเหลือไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๑.๕ การดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในระยะต่อไป มอบหมายให้กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กระทรวงสาธารณสุข ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาแนวทาง พร้อมทั้งแหล่งเงินที่สามารถนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในระยะต่อไป เพื่อเป็นอีกกลไกหนึ่งในการรับมือกับวิกฤติการระบาดของไวรัส COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการที่กระทรวงการคลังเสนอดังกล่าว เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ กระทรวงการคลังสมควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตลอดจนติดตามประเมินผลสมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดเวลาดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2177 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินหลักประกัน พ.ศ. .... | กก | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินหลักประกัน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินหลักประกัน พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยลดจำนวนเงินหลักประกันที่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวต้องวางต่อนายทะเบียนเพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวในระยะเร่งด่วนเนื่องจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้พิจารณาในประเด็นการกำหนดมาตรการในการคืนหลักประกันที่ได้เคยวางไว้เกินจำนวนหลักประกันตามกฎกระทรวงนี้ให้แก่ผู้วางหลักประกันด้วยตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2178 | การผ่อนปรนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 | รง | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการผ่อนปรนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าว ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓) ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ โดยให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ ซึ่งนายจ้างหรือผู้ได้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวมาทำงานได้ยื่นบัญชีรายชื่อความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวกับเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงแรงงาน หรือยื่นผ่านระบบออนไลน์ ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ และไม่สามารถดำเนินการขอตรวจอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปเพื่อการทำงานได้ทันภายในกำหนด รวมถึงผู้ติดตาม อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ มิให้นำมาตรา ๑๒ (๑๐) และมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ มาบังคับใช้แก่คนต่างด้าว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ เพื่อผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวและผู้ติดตามที่การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวได้ต่อไปได้จนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และให้ยกเว้นค่าเปรียบเทียบปรับการอยู่เกินกำหนด (Over Stay) รวมถึงการยกเว้นการปฏิบัติตามคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ ๑/๒๕๕๘ เรื่อง การไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาในราชอาณาจักร สั่ง ณ วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ฉบับที่ ..) เพื่อผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวที่การอนุญาตทำงานสิ้นสุดสามารถทำงานไปพลางก่อนได้จนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และใช้บัญชีรายชื่อความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวที่กรมการจัดหางานออกให้และใบอนุญาตทำงานฉบับเดิมไปพลางก่อนได้ โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวจนกว่าจะไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุมดำเนินคดีนายจ้างแรงงานผิดกฎหมายที่ลักลอบทำงานและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดหลังสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ ๕. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2179 | ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน พ.ศ. .... | รง | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ (๑) ให้นายจ้างที่ขึ้นทะเบียนนายจ้างและขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้รับการขยายกำหนดเวลายื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ดังนี้ ค่าจ้างงวดเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้ยื่นแบบรายการแสดงการนำส่งเงินสมทบและนำส่งเงินสมทบ ภายในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ค่าจ้างงวดเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้ยื่นแบบรายการแสดงการนำส่งเงินสมทบและนำส่งเงินสมทบ ภายในวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ค่าจ้างงวดเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้ยื่นแบบรายการแสดงการนำส่งเงินสมทบและนำส่งเงินสมทบ ภายในวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓ และ (๒) ให้ผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้รับการขยายกำหนดเวลานำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนตามมาตรา ๓๙ วรรคสาม ดังนี้ เงินสมทบงวดเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ภายในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ เงินสมทบงวดเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ภายในวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ เงินสมทบงวดเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ภายในวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการขยายกำหนดเวลาดังกล่าวมีผลทำให้สำนักงานประกันสังคมได้รับเงินสมทบล่าช้าจากเดิมในสถานการณ์ปกติ ซึ่งสำนักงานประกันสังคมจะต้องเร่งพิจารณาวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคมทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมในอนาคตไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2180 | ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตน กรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] | รง | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตน กรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ หรือโรคโควิด ๑๙ [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้นายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ ได้รับการลดหย่อนการออกเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมประจำงวดเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ถึงงวดเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยให้นายจ้างส่งเงินสมทบในอัตราร้อยละสี่ และผู้ประกันตนส่งเงินสมทบในอัตราร้อยละหนึ่ง ของค่าจ้างของผู้ประกันตน และให้ผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ ได้รับการลดหย่อนการออกเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมประจำงวดเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ถึงงวดเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยให้ส่งเงินสมทบในอัตราเดือนละสองร้อยสิบเอ็ดบาท ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่นายจ้างและผู้ประกันตนจะได้รับ รวมทั้งวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคมทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่อง และเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมในอนาคตไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....