ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 105 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 2081 - 2100 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2081 | คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงการคลัง) | กค | 26/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ยกเลิกคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของกระทรวงการคลัง จำนวน ๑๓ คณะ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแต่งตั้งคณะกรรมการที่สอดคล้องและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี) จำนวน ๑ คณะ คือ คณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นและเหมาะสมในการขอให้คงอยู่ของคณะกรรมการที่แต่งตั้งไว้เดิม และที่ขอแต่งตั้งเพิ่มเติม จำนวนรวม ๗ คณะ ได้แก่ คณะกรรมการป้องปรามธุรกิจการเงินนอกระบบ คณะกรรมการพิจารณากำหนดสำนักงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ คณะกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดขอบเขตที่ดินกำแพงเมือง-คูเมือง คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร คณะกรรมการกลั่นกรองการจัดเอาประกันภัยทรัพย์สินของรัฐ คณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน และคณะกรรมการพิจารณากำหนดสำนักงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษระดับจังหวัด ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี) ซึ่งมีหลักเกณฑ์ประกอบด้วย (๑) มีการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับส่วนราชการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (๒) มีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ (๓) มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล และ (๔) ในรอบสามปีที่ผ่านมา (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒) มีการจัดประชุมคณะกรรมการอย่างสม่ำเสมอ โดยให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นการแต่งตั้งคณะกรรมการที่ไม่สอดคล้องตามหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ และความซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการที่มีอยู่แล้ว ไปประกอบการพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ในการเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีในครั้งต่อ ๆ ไป ให้ระบุความสอดคล้องของคณะกรรมการแต่ละคณะกับหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวให้ชัดเจนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2082 | รายงานผลการปฏิบัติงาน กสทช. ประจำปี 2562 | กสทช | 26/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๖๒ ประกอบด้วย (๑) ผลการดำเนินงานสำคัญของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ. ประจำปี ๒๕๖๒ (๒) แผนการดำเนินงานและงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๖๓ (๓) งบการเงิน และรายงานการตรวจสอบภายใน (๔) ปัญหาและอุปสรรคในการประกอบกิจการ (๕) คุณภาพและอัตราค่าบริการโทรคมนาคมประเภทต่าง ๆ (๖) ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภค ในกรณีกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (๗) ประสิทธิภาพของกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ และ (๘) รายงานสภาพตลาดและการแข่งขัน ทั้งนี้ งบการเงินของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติยังไม่ได้ผ่านการรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเสนอ ๒. ในส่วนของรายงานงบการเงินสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๖๒ ซึ่งยังไม่ได้ผ่านการรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติดำเนินการให้ครบถ้วนตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๗๖ วรรคสอง (ที่บัญญัติให้รายงานการปฏิบัติงานประจำปีอย่างน้อยต้องมีเนื้อหาเกี่ยวกับงบการเงินและรายงานของผู้สอบบัญชีด้วย) แล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๓. ในการรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติต่อคณะรัฐมนตรีในปีต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง ข้อมูลงบการเงินที่ปรากฏในรายงานผลการปฏิบัติงาน กสทช. ประจำปี ๒๕๖๑ ที่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว เพิ่มเติม) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2083 | โครงการพัฒนาระบบส่งและจำหน่าย ระยะที่ 2 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 26/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบเกี่ยวกับโครงการพัฒนาระบบส่งและจำหน่าย ระยะที่ ๒ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค วงเงินลงทุนรวม ๗๗,๓๓๔ ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวเป็นการดำเนินการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าระบบสายส่ง ๑๑๕ เควี ระบบจำหน่ายแรงสูง ๒๒/๓๓ เควี และระบบจำหน่ายแรงต่ำในพื้นที่ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ๑๒ เขต ทั่วประเทศ ระยะเวลาในการดำเนินการ ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๘) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของแหล่งเงินทุน เห็นควรให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคใช้เงินรายได้ (Internal Cash Flow) เป็นลำดับแรกก่อนใช้เงินกู้ และกำหนดแนวทางการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนของโครงการฯ และหากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีความจำเป็นต้องกู้เงิน เห็นควรให้กู้เงินภายในประเทศโดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง รวมทั้งให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคควรประสานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเรื่อง การวางแผนการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้า เพื่อให้การลงทุนโครงการฯ เป็นไปอย่างคุ้มค่าและลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน และควรกำหนดมาตรการการดำเนินงาน การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงทั้งด้านความพร้อมที่ดิน แบบรูปรายการ การบริหารจัดการและควบคุมการดำเนินงานด้วยความรอบคอบ ตลอดจนสำรวจและรับฟังความคิดเห็นของเอกชนในการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเพิ่มเติมก่อนเริ่มดำเนินการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคให้ดำเนินโครงการฯ ให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2084 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา | ศธ | 26/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จำนวน ๘ คน ซึ่งเป็นการแต่งตั้งตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๑ รองศาสตราจารย์ประภาภัทร นิยม ๑.๒ นางปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ๑.๓ นางสาวศุภธิดา พรหมพยัคฆ์ ๑.๔ นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ๑.๕ รองศาสตราจารย์ทิศนา แขมมณี ๑.๖ นายสมศักดิ์ พะเนียงทอง ๑.๗ นางเนตรชนก วิภาตะศิลปิน ๑.๘ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ ๒. ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2085 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับปัญหาบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) | นร | 26/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2086 | ข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | นร07 | 26/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และเห็นชอบข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้ดำเนินการจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และเอกสารประกอบงบประมาณ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๓ และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2087 | ขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีน ว่าด้วยการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) และการกระชับความร่วมมือภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน | พณ | 26/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีน ว่าด้วยการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-๑๙) และการกระชับความร่วมมือภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน [ASEAN-China Economic Ministers’ Joint Statement on Combating the Coronavirus Disease (COVID-19) and Enhancing ACFTA Cooperation] และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีเศรษฐกิจของอาเซียนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการร่วมกันป้องกันและควบคุมปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลวิชาการ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา การให้ความช่วยเหลือด้านบุคลากรวิชาชีพ เทคโนโลยีและเวชภัณฑ์ รวมทั้งให้ความสำคัญกับความร่วมมือเพื่อขยายการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับจีน เช่น การอำนวยความสะดวกและการส่งเสริมการเคลื่อนย้ายของสินค้าและบริการอย่างเสรีตามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และการขจัดอุปสรรคทางการค้าด้านภาษีและมิใช่ภาษี เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2088 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ในคราวประชุม ครั้งที่ 4/2563 | นร11 | 26/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบเจตนารมณ์ของผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เรื่อง แผนงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรตามกลุ่มเป้าหมายของแผนงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่มีรายได้หลักมาจากการประกอบอาชีพเกษตรกร และได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพ ซึ่งกรณีที่ข้าราชการ (ข้าราชการประจำและลูกจ้าง รวมถึงข้าราชการบำนาญ) ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรไม่เข้าข่ายเป็นผู้มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือภายใต้มาตรการฯ เนื่องจากได้รับค่าตอบแทนและสวัสดิการของภาครัฐอยู่แล้ว และหากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จ่ายเงินช่วยเหลือให้กับกลุ่มข้าราชการดังกล่าวแล้ว ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานกรมบัญชีกลาง ในการพิจารณาดำเนินการหักเงินดังกล่าวจากค่าตอบแทนคืนที่กระทรวงการคลังต่อไป ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒. รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ เรื่อง โครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในส่วนของมาตรการช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ประกอบด้วย (๑) เด็กจากครัวเรือนยากจน (๐-๖ ปี) ๑,๔๕๑,๔๖๘ คน (๒) ผู้สูงอายุ ๙,๖๖๔,๑๑๑ คน และ (๓) ผู้พิการ ๒,๐๒๗,๕๐๐ คน รวมทั้งหมด ๑๓,๑๔๓,๐๗๙ คน วงเงินรวมไม่เกิน ๓๙,๔๒๙,๒๓๗,๐๐๐ บาท (โดยใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ไม่เกิน ๓๙,๔๒๙,๒๓๗,๐๐๐ บาท) และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาทบทวนร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนและเหมาะสมในประเด็นเกี่ยวกับการช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบาง แล้วให้นำเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้พิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2089 | การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร | นร08 | 26/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ออกไปอีก ๑ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ ๒. เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ รวม ๔ ฉบับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ ๒) ร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ และร่างประกาศ เรื่อง การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ๒.๒ รับทราบร่างประกาศ เรื่อง การให้ข้อกำหนด ประกาศ และคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนด ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ ๓. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเตรียมการเพื่อรองรับการผ่อนคลายมาตรการบังคับใช้กฎหมายในระยะที่ ๓ โดยให้คำนึงถึงปัจจัยด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยต่อไปด้วย ๔. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2090 | ร่างบันทึกความร่วมมือด้านไปรษณีย์ระหว่างกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารแห่งประเทศญี่ปุ่นและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับใหม่ | ดศ | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือด้านไปรษณีย์ระหว่างกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารแห่งประเทศญี่ปุ่นและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย (Memorandum of Cooperation in the Postal Field between the Ministry of Internal Affairs and Communications of Japan and the Ministry of Digital Economy and Society of the Kingdom of Thailand) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ (ยังไม่มีกำหนดวันลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ) โดยร่างบันทึกความร่วมมือฯ จัดทำขึ้นเพื่อใช้บังคับแทนบันทึกความร่วมมือฯ ฉบับเดิม ที่สิ้นสุดการใช้บังคับเมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ โดยคงหลักการและทิศทางในแนวทางเดิม แต่ปรับรายละเอียดเนื้อหาและเพิ่มกิจกรรมให้สอดคล้องกับสภาพการณ์และการดำเนินงานในปัจจุบัน เช่น การแปลงที่ทำการไปรษณีย์ในประเทศไทยให้ประชาชนได้นำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นหรือผลิตภัณฑ์เกษตรมาขายในช่องทางออนไลน์ และกำหนดให้การสิ้นสุดของบันทึกความร่วมมือฯ จะไม่มีผลต่อกิจกรรมความร่วมมือข้างต้นที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการในช่วงที่บันทึกความร่วมมือฯ หมดอายุ รวมทั้งเปลี่ยนการลงนามเป็นรัฐมนตรีว่าการของทั้งสองฝ่ายเพื่อยกระดับความร่วมมือด้านไปรษณีย์ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2091 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พลัดแอกอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตามคำขอประทานบัตรที่ ๔/๒๕๕๘ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พลัดแอกอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ที่จังหวัดสระบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ และ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรการและเงื่อนไขในการอนุญาตประทานบัตรให้รัดกุม เข้มงวด เพื่อป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกำกับและติดตามการดำเนินการให้ผู้ที่ได้รับประทานบัตรดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และเงื่อนไขในการอนุญาตประทานบัตรอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การทำเหมืองเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมและสามารถลดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และมีการฟื้นฟูป่าต้นน้ำและการปลูกป่าทดแทนเพื่อให้พื้นที่ทำเหมืองฟื้นคืนสภาพป่าในระยะต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ เช่น (๑) หน่วยงานที่เกี่ยวกับควรมีการกำกับติดตามให้ผู้ขอประทานบัตรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรการด้านสุขภาพของประชาชน และมาตรการการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภายใต้กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพในการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ และ (๒) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของไทยทั้งในภาพรวมและในเชิงพื้นที่ของแต่ละลุ่มน้ำให้ชัดเจน เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายในภาพรวมและตามบริบทของแต่ละพื้นที่ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2092 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ควบคุมงานก่อสร้างเรือนจำจังหวัดนครนายก 1 แห่ง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ด้วยวิธีคัดเลือก | ยธ | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) เปลี่ยนแปลงสถานที่ควบคุมงานก่อสร้างเรือนจำจังหวัดนครนายก ๑ แห่ง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ด้วยวิธีคัดเลือก จากเดิม ตำบลเขาพระ อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก เป็น ตำบลทรายมูล อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๔,๖๔๘,๓๐๐ บาท ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๓ ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑๘,๓๕๑,๗๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ทั้งนี้ เห็นควรให้กรมราชทัณฑ์เร่งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน อย่างโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. การดำเนินการแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงยุติธรรมถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) ที่กำหนดให้ในขั้นตอนการริเริ่มโครงการ ให้ส่วนราชการตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้อง ครบถ้วนในทุกมิติก่อนอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2093 | ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 เรื่อง อนุมัติการกู้เงิน Soft loan ของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) จำนวน 2,000 ล้านบาท จากธนาคารออมสิน โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน | พม | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง โครงการ สธค. โรงรับจำนำของรัฐ สู้ภัยโควิด ๑๙ โดยขยายเวลาตั๋วจำนำและลดดอกเบี้ยรับจำนำและการกู้เงิน Soft loan จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท จากธนาคารออมสิน โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน) ในข้อ ๑ เป็น “๑. อนุมัติการกู้เงิน Soft loan ของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท จากธนาคารออมสิน โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน เพื่อเป็นการเตรียมเงินทุนหมุนเวียนรองรับธุรกรรมการให้บริการรับจำนำแก่ประชาชน สำหรับโครงการ สธค. โรงรับจำนำของรัฐ สู้ภัยโควิด ๑๙ ทั้งนี้ ในส่วนของการปรับเป้าหมายผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย สธค. ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด” ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย สธค. รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรกำหนดแนวทางการบริหารจัดการภาระหนี้ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรอบคอบ เพื่อลดผลกระทบต่อสภาพคล่องและผลการดำเนินงานของ สธค. และ สธค. ควรดำเนินการก่อหนี้ให้สอดคล้องตามนัยมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2094 | ร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... | นร07 | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว พร้อมเอกสารประกอบ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2095 | ร่างแถลงการณ์ร่วมเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ | กต | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมเนื่องในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Joint Communique to Commemorate the 50th Anniversary of the Treaty on the Non-Proliferation of Nuclear Weapons) ซึ่งเป็นเอกสารที่รัฐภาคีสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์จะร่วมกันรับรองโดยไม่มีการลงนาม เนื่องในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี ของการมีผลใช้บังคับของสนธิสัญญาฯ มีสาระสำคัญเพื่อย้ำเจตนารมณ์ร่วมกันของรัฐภาคีสนธิสัญญาฯ ต่อการอนุวัติพันธกรณีของสนธิสัญญาฯ ในมิติต่าง ๆ อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ โดยได้ให้ความสำคัญในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การส่งเสริมความเป็นสากลของสนธิสัญญาฯ (๒) การตระหนักถึงความล่าช้าของการดำเนินงานด้านการลดอาวุธนิวเคลียร์และเรียกร้องให้ประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ (nuclear-weapon States) เร่งรัดการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง (๓) การตระหนักถึงผลกระทบทางมนุษยธรรมร้ายแรงอันเกิดจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์ (๔) การย้ำความสำคัญของการจัดตั้งเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในทุกภูมิภาค ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญต่อการป้องกันการแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และ (๕) การเรียกร้องให้รัฐภาคีร่วมกันหารืออย่างเปิดเผย โปร่งใส และสร้างสรรค์ เพื่อผลักดันให้สนธิสัญญาฯ มีความก้าวหน้า ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2096 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... | ดศ | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บางหน่วยงานและบางกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ ในช่วงระยะเวลาที่ยังไม่พร้อมที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายนี้ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งรัดการดำเนินการเพื่อจัดทำกฎหมายลำดับรอง หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องที่จำเป็นต้องมีเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ ๓. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการจัดทำระเบียบและประกาศออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๔. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเร่งดำเนินการออกกฎหมายลำดับรอง และกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งเร่งสื่อสารทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และนำไปสู่การปฏิบัติตามกฎหมายได้ทันที ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2097 | ร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกและคู่เจรจาสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) การรับมือ ความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วน | กต | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงเจ้าหน้าที่อาวุโสสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยความร่วมมือและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการรับมือกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ [Committee of Senior Officials (CSO) Statement on IORA Solidarity and Cooperation in response to COVID-19] และให้อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะเจ้าหน้าที่อาวุโส IORA ของไทย หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองเอกสารดังกล่าว โดยร่างถ้อยแถลงฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกและคู่เจรจาสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) การรับมือ ความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วน [Indian Ocean Rim Association (IORA) Virtual Meeting of the Committee of Senior Officials (CSO)-Dialogue Partner Engagement on COVID-19 : Responses, Cooperation, and Partnerships] ในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกในการแสดงความมุ่งมั่นร่วมกันในการรับมือกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ โดยมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูล มาตรการและแนวปฏิบัติอันเป็นเลิศ การจัดตั้งช่องทางการแลกเปลี่ยนข้อมูล การเปิดตลาดการค้าการลงทุน ความร่วมมือพหุภาคี การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศสมาชิกที่เปราะบาง และประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2098 | แนวทางการดำเนินโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนและการสนับสนุนอาหารกลางวันในโรงเรียนรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) | ศธ | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนและการสนับสนุนอาหารกลางวันในโรงเรียน รองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้ดื่มนม จำนวน ๒๖๐ วันต่อปีการศึกษา ตามประกาศของคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓ ประกาศ ณ วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ และ (ฉบับที่ ๒) ประกาศ ณ วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ มีแนวทางการบริหารจัดการ ดังนี้ ๑.๑.๑ กรณีภาคเรียนที่ ๑/๒๕๖๓ เปิดภาคเรียนวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ให้นักเรียนบริโภคนมชนิด ยู เอช ที ตามโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ ๑.๑.๒ กรณีภาคเรียนที่ ๑/๒๕๖๓ เปิดภาคเรียนหลังวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ หรือกรณีการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ หรือกรณีการสลับวันมาเรียน ให้นักเรียนบริโภคนมชนิด ยู เอช ที ตามโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ๑.๒ โครงการอาหารกลางวันในโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้รับประทานอาหารกลางวัน จำนวน ๒๐๐ วันต่อปีการศึกษา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่เห็นชอบให้นักเรียนตั้งแต่เด็กเล็ก และชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณอาหารกลางวันทุกคน จำนวน ๒๐๐ วัน และเพิ่มเงินอุดหนุนจากอัตรา ๑๐ บาทต่อคนต่อวัน เป็น ๑๓ บาทต่อคนต่อวัน และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่ให้เพิ่มเงินอุดหนุนเป็นอัตรา ๒๐ บาทต่อคนต่อวัน มีแนวทางการบริหารจัดการ ดังนี้ ๑.๒.๑ กรณีการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ หรือกรณีการสลับวันมาเรียน ทำให้โรงเรียนไม่สามารถจัดหาอาหารกลางวันให้แก่นักเรียนที่โรงเรียนได้ จึงจำเป็นต้องจ่ายงบประมาณค่าอาหารกลางวันนักเรียนให้แก่ผู้ปกครองนักเรียนเพื่อนำไปจัดหาอาหารกลางวันให้นักเรียนรับประทานที่บ้าน ทั้งนี้ ให้รวมถึงอาหารมื้ออื่น ๆ ที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเคยจัดให้ ตั้งแต่วันเปิดภาคเรียนวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ๑.๒.๒ กรณีการจัดการเรียนการสอนชดเชย ให้โรงเรียนดำเนินการจัดอาหารกลางวันให้แก่นักเรียนที่โรงเรียนได้เช่นเดียวกับวันจัดการเรียนการสอนตามปกติ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดชนิดของนม (นมพาสเจอร์ไรส์และนมยูเอชที) ในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงการขนส่ง การเก็บรักษา และสภาพแวดล้อมของโรงเรียนในแต่ละพื้นที่เพื่อให้นักเรียนได้รับนมที่มีคุณภาพไม่เกิดปัญหาการบูดเสียด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2099 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ การค้า และการพัฒนาแห่งประเทศแคนาดากับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ | อว | 12/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ การค้า และการพัฒนาแห่งประเทศแคนาดากับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกรอบความร่วมมือเกี่ยวกับการให้บริการและฝึกอบรมแบบในการพัฒนาหลักสูตรด้านความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสีที่ยั่งยืนและได้รับการรับรอง ซึ่งจะเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศไทยในการป้องกันตนเองจากภัยคุกคามด้านความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยของวัตถุนิวเคลียร์และรังสีในสถานประกอบการ เช่น เครื่องฉายรังสีต่าง ๆ ในโรงพยาบาลหรือมหาวิทยาลัยให้ได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุโจรกรรมวัตถุดังกล่าว ซึ่งสามารถนำไปผลิตอาวุธ เช่น ระเบิดกัมมันตรังสี (Dirty Bomb) ได้ โดยฝ่ายแคนาดาจะจัดหาความเชี่ยวชาญทางวิชาการให้แก่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เพื่อช่วยเหลือประเทศไทยในการพัฒนาโครงการฝึกอบรมในรูปแบบไม่เป็นตัวเงินและแบบให้เปล่ามูลค่าสูงสุด ๑,๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์แคนาดา (๒๗,๗๐๘,๐๐๐ บาท) โดยมีกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และสิ้นสุดภายในระยะเวลา ๒ ปี ๑.๒ เห็นชอบให้เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ (ต้องลงนามก่อนวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ เนื่องจากการดำเนินงานตามร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และสิ้นสุดภายในระยะเวลา ๒ ปี) ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจฯ ระบุว่าฝ่ายแคนาดาจะให้ความช่วยเหลือที่ไม่ใช่ทางการเงินกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นมูลค่า ๑,๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์แคนาดา จึงน่าจะเข้าข่ายมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ เรื่อง แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ซี่งให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ เรื่อง การขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรสร้างการรับรู้แก่ภาคประชาชนและสังคมเพื่อสร้างความตระหนักและเข้าใจบริบทการพัฒนาและสร้างขีดความสามารถของประเทศด้านความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสี โดยเฉพาะในมิติของความปลอดภัยและประโยชน์ที่จะได้รับอย่างยั่งยืน รวมถึงการดำเนินงานที่จะมีส่วนช่วยสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ และติดตามประเมินผลการดำเนินการเป็นระยะ เพื่อให้สามารถพิจารณาขยายความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศในสาขาอื่น ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2100 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันค่าเช่ารถยนต์สำหรับประธานกรรมการ ป.ป.ช. | ปช | 12/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันค่าเช่ารถยนต์สำหรับประธานกรรมการ ป.ป.ช. จากเดิม ๔๘ เดือน เป็น ๖๐ เดือน โดยผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๖๘ (๖๐ เดือน) ในอัตราไม่เกินเดือนละ ๙๐,๓๖๐ บาท/คัน/เดือน รวมวงเงินทั้งสิ้น ๕,๔๒๑,๖๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ แผนงานพื้นฐานด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ ผลผลิตการดำเนินการด้านป้องกัน ปราบปรามการทุจริต งบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป รายการค่าเช่ารถยนต์สำหรับประธานกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน ๓๖๑,๖๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๕,๐๖๐,๐๐๐ บาท ให้สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับค่าเช่าตามสัญญาต่อไป ทั้งนี้ เห็นควรให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
.....