ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 103 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 2041 - 2060 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2041 | การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2563)] | นร | 30/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แก้ไขจำนวนกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๓ จาก “จำนวน ๖๔ คน ประกอบด้วย กรรมาธิการที่คณะรัฐมนตรีเสนอชื่อ จำนวน ๑๖ คน และกรรมาธิการที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเลือก จำนวน ๔๘ คน โดยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาล จำนวน ๒๗ คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้าน จำนวน ๒๑ คน” เป็น “จำนวน ๗๒ คน ประกอบด้วย กรรมาธิการที่คณะรัฐมนตรีเสนอชื่อ จำนวน ๑๘ คน และกรรมาธิการที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเลือก จำนวน ๕๔ คน โดยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาล จำนวน ๓๐ คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้าน จำนวน ๒๔ คน”
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2042 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2561 เรื่อง การชำระหนี้เงินกู้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี 2558/2559 | อก | 30/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2043 | การลงนามหนังสือตราสารการโอนกรรมสิทธิ์ (Deed of Grant) และการส่งมอบเรือลาดตระเวนจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ | ยธ | 23/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการลงนามหนังสือตราสารการโอนกรรมสิทธิ์ (Deed of Grant) และการส่งมอบเรือลาดตระเวนจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ และ ๓ มีนาคม ๒๕๖๓) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. เลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยเดินทางไปลงนามในหนังสือตราสารการโอนกรรมสิทธิ์รับมอบเรือลาดตระเวนจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ จำนวน ๓ ลำ ได้แก่ เรือลาดตระเวนแบบ PT จำนวน ๑ ลำ และเรือลาดตระเวนแบบ SU จำนวน ๒ ลำ เพื่อส่งมอบให้แก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ สำนักงานใหญ่หน่วยงานตำรวจตระเวนชายฝั่งสิงคโปร์ (Police Coast Guard : PCG) โดยมีนายเชียง เคง ค็อง ผู้บังคับการ PCG เป็นผู้แทนสาธารณรัฐสิงคโปร์ในการลงนาม ๒. สำนักงาน ป.ป.ส. ได้จัดพิธีลงนามหนังสือตราสารการโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบเรือลาดตระเวน ระหว่างไทย-สปป.ลาว และไทย-เมียนมา เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ ท่าเรือ BMT Pacific Ltd. (BMTP) จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายเควิน ฉ็อก เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทยร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม โดยมีเลขาธิการ ป.ป.ส. นายวงเพ็ด แสนวงสา รองเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อตรวจตราและควบคุมยาเสพติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชนลาว และพันตำรวจเอก ลา มิน ผู้อำนวยการฝ่ายอำนวยการและแผน กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เป็นผู้แทนในการลงนามหนังสือตราสารการโอนกรรมสิทธิ์ ๓. ผู้แทนสำนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินการส่งมอบเรือลาดตระเวนแบบ SU จำนวน ๒ ลำ ให้แก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ประเทศละ ๑ ลำ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ๑ จังหวัดเชียงราย และดำเนินการส่งมอบเรือลาดตระเวนแบบ PT จำนวน ๑ ลำ ให้แก่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ ท่าเรือระนอง จังหวัดระนอง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2044 | การส่งคืนพื้นที่สวนป่าคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ เนื้อที่ 366 ไร่ 78 ตารางวา ให้กรมป่าไม้ เพื่อนำพื้นที่เข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล | ทส | 23/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ส่งคืนพื้นที่สวนป่าคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ จำนวน ๗ แปลง รวมพื้นที่ ๓๖๖ ไร่ ๗๘ ตารางวา ให้กรมป่าไม้ เพื่อนำพื้นที่เข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำมาตรการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าที่สมบูรณ์และพื้นที่สวนป่าให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการพิจารณาหลักเกณฑ์การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติให้ตรงตามเงื่อนไขที่กำหนด รวมทั้งเคร่งครัดในการพิจารณาประเภทและคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการจัดที่ดิน ตลอดจนการปฏิบัติตามข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ในที่ดินของผู้ที่ได้รับการจัดที่ดิน เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการจัดที่ดินของรัฐในพื้นที่ที่มีราษฎรบุกรุกเข้าไปครอบครองอย่างผิดกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. การนำพื้นที่สวนป่าคอนสารเข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินในครั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการไม่มีที่ดินทำกินและสมควรได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างแท้จริง โดยต้องบริหารจัดการและกำกับติดตามมิให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกับชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2045 | การเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ และขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2523 ในกรณีที่ปรากฏว่ายังมีส่วนราชการใดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต | ทส | 23/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหากรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต และให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการตามมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหากรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๓ (เรื่อง การเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) ในกรณีที่ปรากฏว่ายังมีส่วนราชการใดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และหากปรากฏว่ายังมีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตอีก ให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งกับหน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ทั้งนี้ ในส่วนของการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ ภายใน ๑๘๐ วัน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ นั้น ให้หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงเป็นผู้รวบรวมคำขออนุญาตของหน่วยงานในสังกัดให้ครบถ้วนเพื่อส่งไปยังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) ต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เช่น (๑) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ของแต่ละหน่วยงานอย่างรอบคอบและให้มีความเหมาะสม (๒) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการมาตรการที่เสนออย่างจริงจัง ไม่ควรมีการผ่อนผันอีกในอนาคต และพิจารณาดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปล่อยปละละเลยและมีส่วนเกี่ยวข้อง (๓) ให้ส่วนราชการผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต เร่งรัดขั้นตอนการยื่นคำขอและการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตในการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าเป็นไปอย่างรวดเร็ว และให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (๔) ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงบประมาณได้ใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาความพร้อมของพื้นที่ดำเนินการประกอบการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี และ (๕) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรกำหนดกลไกและแผนการติดตามประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดวิธีการที่เหมาะสมและไม่ขัดต่อกฎหมายในการดำเนินการกรณีที่ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเข้าใช้พื้นที่ป่าไม้เพื่อทำประโยชน์ในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมและดิจิทัล กรณีที่ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนำพื้นที่ป่าไม้ที่ได้รับอนุญาตไปให้ภาคเอกชนเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ต่อ/ถือกรรมสิทธิ์ในพื้นที่นั้น ๆ เพื่อประกอบกิจการ เช่น ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว กรณีการตั้งสำนักสงฆ์ในพื้นที่ป่า และกรณีการนำที่ดินของเกษตรกรที่รัฐอนุญาตให้เข้าใช้พื้นที่ไปให้เอกชนเช่าต่อ ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๔.๑ วางแผนและจัดลำดับความสำคัญในการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตโครงการที่ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๓ เพื่อบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่โครงการต่าง ๆ จะต้องหยุการดำเนินการเพื่อรอผลการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ๔.๒ ในระยะต่อไป ให้จัดทำแนวทางปฏิบัติในกรณีที่ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือเอกชนจะต้องดำเนินการเพื่อขออนุมัติ/อนุญาตเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ในแต่ละประเภท ตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้มีความชัดเจน ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน พร้อมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาของแต่ละขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติ/อนุญาตทั้งกระบวนการ รวมทั้งให้พิจารณานำระบบเทคโนโลยีนวัตกรรมที่ทันสมัยมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนงานด้วย ๕. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องดำเนินโครงการในพื้นที่ป่าประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นต้นไป คำนึงถึงความพร้อมในการดำเนินโครงการอย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้องเรียบร้อยก่อนเสนอขออนุมัติโครงการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ (เรื่อง การเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ) เพื่อป้องกันมิให้เกิดกรณีการเสนอขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีใด ๆ ภายหลังจากเริ่มดำเนินโครงการไปแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2046 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... | มท | 23/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วน ในท้องที่จังหวัดนครราชสีมา เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ และเมื่อร่างกฎกระทรวงฯ ประกาศใช้บังคับ กรมโยธาธิการและผังเมืองควรสนับสนุนให้เจ้าพนักงานของเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ควบคุมการขออนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลงอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงฯ อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2047 | การจัดทำข้อตกลงการบริหารจัดการกองทุน UN COVID - 19 Response and Recovery Multi - Partner Trust Fund (UN COVID - 19 MPTF) | กต | 23/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการจัดทำข้อตกลงการบริหารจัดการกองทุน UN COVID-19 Response and Recovery Multi-Partner Trust Fund (UN COVID-19 MPTF) และอนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก เป็นผู้ลงนามข้อตกลงฯ ของฝ่ายไทย โดยร่างข้อตกลงฯ จัดทำขึ้นระหว่างไทยในฐานะผู้บริจาคและโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme : UNDP) ภายใต้องค์การสหประชาชาติซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศในฐานะตัวแทนบริหารจัดการกองทุนฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดจำนวนเงินบริจาค การจัดสรรเงิน และการใช้เงินของกองทุนฯ ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขซึ่งจะใช้บังคับกับองค์การภายใต้องค์การสหประชาชาติที่เป็นผู้รับเงินและตัวแทนบริหารจัดการ โดยไม่มีการกำหนดพันธกรณีใด ๆ สำหรับผู้บริจาค ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2048 | รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 6 | นร10 | 23/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ ๖ ข้อมูล ณ วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๓ ซึ่งได้รับข้อมูลจาก ๑๔๖ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๙๙ ของส่วนราชการทั้งหมด (๑๔๗ ส่วนราชการ) ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work From Home) ส่วนราชการร้อยละ ๘๙ (๑๓๐ ส่วนราชการ) มีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ และส่วนราชการร้อยละ ๔๑ (๖๐ ส่วนราชการ) กำหนดให้มีจำนวนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งร้อยละ ๕๐ ขึ้นไป (ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งมี ๖๓ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๔๓) โดยในจำนวนนี้มีส่วนราชการร้อยละ ๑๖ (๒๓ ส่วนราชการ) มอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (เท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา) โดยมีการมอบหมายให้ปฏิบัติงานที่บ้านในหลายรูปแบบ เช่น ปฏิบัติงานที่บ้านสลับกับการมาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้งของส่วนราชการ วันเว้นวัน สัปดาห์ละ ๑ วัน สัปดาห์ละ ๒ วัน สัปดาห์เว้นสัปดาห์ เป็นต้น นอกจากนี้ ส่วนราชการร้อยละ ๑๐ (๑๖ ส่วนราชการ) มีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานทุกคนปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมี ๑๔ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๙) ๑.๒ การเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ มีส่วนราชการกำหนดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานเมื่อจำเป็นต้องปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ส่วนใหญ่ร้อยละ ๔๖ กำหนดการเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานเป็น ๓ ช่วงเวลา คือ เวลา ๐๗.๓๐-๑๕.๓๐ น. เวลา ๐๘.๓๐-๑๖.๓๐ น. และเวลา ๐๙.๓๐-๑๗.๓๐ น. และส่วนราชการร้อยละ ๑๔ ไม่ได้กำหนดให้มีการเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงาน ๒. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๙ มิถุนายน ๒๕๖๓) ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาแนวทางการดำเนินมาตรการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและลักษณะงานขององค์กร รวมทั้งให้นำมาตรการเหลื่อมเวลาในการปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งไปดำเนินการให้เกิดผลอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อลดปัญหาการคับคั่งของการจราจรด้วย นั้น ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการพิจารณากำหนดแนวทางการเหลื่อมเวลาการทำงานของหน่วยงานให้สอดคล้องกับการเหลื่อมเวลาของสถานศึกษาต่าง ๆ ที่มีกำหนดการเปิดภาคเรียนประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓ ในเดือนกรกฎาคมนี้ด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2049 | รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ | กค | 23/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) จำนวน ๕๕ แห่ง ในสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ ๘-๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ (ปฏิบัติงานที่บ้านหรือที่พักหรือสถานที่ตามที่รัฐวิสาหกิจกำหนด) รัฐวิสาหกิจ ๔๕ แห่ง ยังคงดำเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง และมีรัฐวิสาหกิจ ๑๐ แห่ง ที่ให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว เพิ่มขึ้น ๑ แห่ง จากสัปดาห์ก่อนหน้า (ช่วงระหว่างวันที่ ๑-๕ มิถุนายน ๒๕๖๓) ทั้งนี้ จากจำนวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด จำนวน ๒๗๒,๔๙๐ คน มีพนักงานและลูกจ้างปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง จำนวน ๔๐,๖๖๖ คน หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๕ ๑.๒ การปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ มีรัฐวิสาหกิจ ๓๔ แห่ง ยังคงดำเนินนโยบายการปฏิบัติงานเหลื่อมเวลา โดยมีช่วงเวลาเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ น.-๑๐.๓๐ น. เท่ากับสัปดาห์ก่อนหน้า (ช่วงระหว่างวันที่ ๑-๕ มิถุนายน ๒๕๖๓) ๒. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๙ มิถุนายน ๒๕๖๓) ให้ทุกรัฐวิสาหกิจพิจารณาแนวทางการดำเนินมาตรการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและลักษณะงานขององค์กร รวมทั้งให้นำมาตรการเหลื่อมเวลาในการปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งไปดำเนินการให้เกิดผลอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อลดปัญหาการคับคั่งของการจราจรด้วย นั้น ให้ทุกรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการพิจารณากำหนดแนวทางการเหลื่อมเวลาการทำงานของหน่วยงานให้สอดคล้องกับการเหลื่อมเวลาของสถานศึกษาต่าง ๆ ที่มีกำหนดการเปิดภาคเรียนประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓ ในเดือนกรกฎาคมนี้ด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2050 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและองค์การทางทะเลระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMO Member State Audit Scheme: IMSAS) | คค | 16/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization : IMO) เกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (Memorandum of Cooperation between the Kingdom of Thailand and the International Maritime Organization concerning Participation in the IMO Member State Audit Scheme : IMSAS) และอนุมัติให้อธิบดีกรมเจ้าท่าหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ ฝ่ายไทย รวมทั้งอนุมัติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMSAS) ตามกำหนดการของ IMO และดำเนินการตามพันธกรณีของอนุสัญญาระหว่างประเทศของ IMO ตลอดจนความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินการตามที่คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อประสานงานกับ IMO กำหนด โดยให้กรมเจ้าท่าเป็นหน่วยประสานการปฏิบัติ (ยังไม่มีกำหนดวันลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ และ IMO ได้กำหนดการตรวจสอบประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๔) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการกำหนดกฎหมายและวิธีปฏิบัติสำหรับการขนส่งสินค้าที่จัดเก็บสินค้าอันตรายตามหลักสากล กระทรวงคมนาคมในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าของประเทศควรเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำกลยุทธ์เพื่อกำกับดูแลการขนส่งสินค้าอันตรายทั้งระบบให้เป็นไปตามหลักสากลและอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการออกกฎระเบียบวิธีปฏิบัติ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด IMO อย่างครบถ้วนด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2051 | ผลการดำเนินงานโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | กค | 16/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสถานะการดำเนินโครงการ และการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒ ที่ยังไม่แล้วเสร็จ ๑.๒ ให้กระทรวงต้นสังกัดเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จที่ประสงค์จะดำเนินการต่อโดยใช้เงินจากแหล่งอื่นดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และเบิกจ่ายเงินให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว รวมทั้งกำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินงานตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการอย่างเคร่งครัด และขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานความก้าวหน้าของงาน แผนการใช้จ่ายเงิน และผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากแหล่งอื่นให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบภายในวันที่ ๗ ของเดือนถัดไปจนกว่าจะดำเนินโครงการแล้วเสร็จ ๑.๓ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการส่งคืนเงินคงเหลือจากการดำเนินโครงการในกรณีเบิกเงินจากคลังไปแล้ว แต่ไม่ได้จ่าย หรือจ่ายไม่หมด หรือได้รับคืน เข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง ชื่อบัญชี “เงินฝากเงินกู้สำหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน” ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการส่งคืนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ด้วย เพื่อให้กระทรวงการคลังนำเงินที่เหลือในบัญชีส่งคืนคลังและดำเนินการปิดบัญชีดังกล่าวตามระเบียบต่อไป ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถส่งคืนเงินคงเหลือภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเงินนั้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเองตามระเบียบการนำเงินส่งคลังที่เกี่ยวข้อง และรายงานกระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบต่อไป ๑.๔ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งดำเนินการส่งคืนกรอบวงเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรรไปที่สำนักงบประมาณ และแจ้งผลการส่งคืนเงินเหลือจ่ายที่เสร็จสิ้นแล้วให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ ด้วย ๑.๕ ให้กรมทรัพยากรน้ำที่มีโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จและอยู่ระหว่างการยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการพัสดุ รวมถึงกฎหมายและระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดโดยเร็ว และเสนอขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีต้นสังกัดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีขออนุมัติยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีที่มีเงินคงเหลือของโครงการ ขอให้ส่งคืนเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๒๐ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการส่งคืนเงินนั้นให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบด้วย และหากไม่สามารถส่งคืนเงินคงเหลือภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้กรมทรัพยากรน้ำนำเงินนั้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเองตามระเบียบการนำเงินส่งคลังที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควร (๑) ให้กระทรวงเจ้าสังกัดของหน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จ และให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยเคร่งครัด (๒) มีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการของหน่วยงานที่ดำเนินการภายใต้โครงการเงินกู้ฯ และ (๓) โครงการที่ดำเนินการและเบิกจ่ายไม่ทันวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ และประสงค์จะดำเนินการต่อโดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จากโครงการ/รายการที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และมีงบประมาณเหลือจ่าย และ/หรือหมดความจำเป็น ไม่สามารถดำเนินการได้ทันในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยให้รายงานความก้าวหน้าของงาน แผนการใช้จ่ายเงิน และผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ทราบตามขั้นตอนจนกว่าโครงการจะดำเนินการแล้วเสร็จ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2052 | การขอขยายระยะเวลาการดำเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว (The Temporary Data Collection Centre) ของทางการเมียนมา | รง | 16/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการดำเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว (The Temporary Data Collection Centre) ของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร ออกไปอีก ๑ ปี โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน จังหวัดสมุทรสาคร โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด และสำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรสาคร เป็นหน่วยงานหลักในการประสานกับทางการเมียนมาให้ดำเนินการตามมติที่ประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเรื่องรัฐบาลเมียนมาขอขยายเวลาการดำเนินการของศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราวที่จังหวัดสมุทรสาคร ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๑.๒ จังหวัดสมุทรสาคร โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร เป็นหน่วยงานพิจารณากำหนดวัน เวลา ในการเริ่มเปิดดำเนินการ รวมทั้งพิจารณาแนวทางการปฏิบัติงานของศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯ ให้สอดคล้องกับแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ๒. ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2053 | ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมระดับสูงผ่านระบบการประชุมทางไกลว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง : การต่อสู้กับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน | กต | 16/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมระดับสูงผ่านระบบการประชุมทางไกลว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง : การต่อสู้กับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (High-level Video Conference on Belt and Road International Cooperation : Combating COVID-19 with Solidarity) และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ได้รับมอบหมายเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว และร่วมให้การรับรองร่างถ้อยแถลงฯ โดยร่างถ้อยแถลงฯ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศตามแนวเส้นทางเศรษฐกิจสายไหมที่จะร่วมมือกันในการรับมือกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2054 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง | นร09 | 16/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ทบทวนรายชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๓ (เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง) ตามนัยมาตรา ๗ และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมการ ๒. นายนันทวัฒน์ บรมานันท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายนพดล เฮงเจริญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นายบุญอนันต์ วรรณพานิชย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายประสงค์ วินัยแพทย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๗. นายฤทัย หงส์สิริ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. นายอธิคม อินทุภูติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๙. นายเอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2055 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 [Joint Ministerial Statement of the Twenty Third ASEAN Socio - Cultural Community (ASCC) Council] | พม | 16/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ [Joint Ministerial Statement of the Twenty Third ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council] และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมฯ ร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ [23rd ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council’ Meeting] ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video conference) ในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนและหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียนในการสนับสนุนแผนงานสำคัญสำหรับประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนของเวียดนาม การรับรองปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สำหรับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปของงาน ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๖ และการมีส่วนร่วมของคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนในการพบปะหารือระหว่างเยาวชนและผู้นำอาเซียน เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2056 | ร่างกฎกระทรวงระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ พ.ศ. .... | พน | 09/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อเพื่อให้ครอบคลุมถึงการประกอบกิจการทั้งท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกและท่อส่งก๊าซธรรมชาติในทะเล รวมถึงท่อส่งก๊าซธรรมชาติเหลว เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อให้สอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการในปัจจุบันและเป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งควรเตรียมความพร้อมของบุคลากรภายในองค์กร และทำความเข้าใจในการปฏิบัติตามกฎหมายให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้ประกอบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ วิศวกรออกแบบ ผู้มีสิทธิจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ทดสอบและตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันและสามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2057 | คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของกระทรวงกลาโหม | กห | 09/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2058 | การแต่งตั้งหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ (ASEAN Ministerial Meeting on Transnational Crime : AMMTC) และการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานด้านอาชญากรรมข้ามชาติ | ตช | 09/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานด้านอาชญากรรมข้ามชาติ (ASEAN Ministerial Meeting on Transnational Crime : AMMTC) ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ต้องจัดทำเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวขึ้นอีก เนื่องจากคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีเป็นการแต่งตั้งโดยอาศัยอำนาจของคณะรัฐมนตรีในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหรือเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการแล้ว การแต่งตั้งคณะกรรมการนั้น ๆ ย่อมมีผลสมบูรณ์นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ โดยไม่จำเป็นต้องไปออกเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีหรือของหน่วยงานขึ้นอีก อันจะเป็นการแต่งตั้งที่ซ้ำซ้อนกับมติคณะรัฐมนตรีที่ได้ให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติไว้แล้ว ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบหมายผู้แทนที่เหมาะสมเพื่อทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติต่อไป ตามนัยข้อ ๑๔ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุมัติให้เดินทางไปราชการและการจัดประชุมของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงกลาโหมและกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการพิจารณามอบหมายผู้ที่จะทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยในการประชุมดังกล่าว ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ขั้นสูงในด้านที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และการระหว่างประเทศ เพื่อทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของชาติในระหว่างการประชุม ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2059 | การแต่งตั้งผู้ไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีกลับเข้ารับราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร) | ยธ | 09/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเฉพาะด้านกฎหมายมหาชน (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และค่าตอบแทนพิเศษนอกเหนือจากเงินเดือน ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2060 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของโควิด - 19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน (Joint Statement of the ASEAN Ministerial Meeting on Social Welfare and Development on Mitigating Impacts of COVID - 19 on Vulnerable Groups in ASEAN) | พม | 09/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของโควิด-๑๙ ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน (Joint Statement of the ASEAN Ministerial Meeting on Social Welfare and Development on Mitigating Impacts of COVID-19 on Vulnerable Groups in ASEAN) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาสมัยพิเศษ ว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของโควิด-๑๙ ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน ร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ในการตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ซึ่งส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเด็ก สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ กลุ่มเปราะบางและกลุ่มคนชายขอบในสังคม โดยให้คำมั่นว่าจะดำเนินการและผลักดันในประเด็นต่าง ๆ เช่น การสร้างหลักประกันการเข้าถึงการคุ้มครองทางสังคมด้วยการจัดสรรงบประมาณภาครัฐที่เพียงพอสำหรับการช่วยเหลือสังคม การปกป้องสิทธิความปลอดภัย และศักดิ์ศรี การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในระดับชาติ และความร่วมมือระหว่างสาขาในระดับอาเซียน รวมทั้งการมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการฟื้นฟูเยียวยาภายหลังการสิ้นสุดของการแพร่ระบาดแบบบูรณาการและครอบคลุม เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการสร้างหลักประกันการเข้าถึงการคุ้มครองทางสังคมที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เห็นควรให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณไปดำเนินการ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณถัดไปเห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....