ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 106 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 2101 - 2120 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2101 | ข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... | นร07 | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... และเห็นชอบการปรับปรุงข้อเสนอการโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ที่นำจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... และข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงบประมาณนำข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปเปิดเผยในเว็บไซต์ของสำนักงบประมาณ (www.bb.go.th) และจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... และเอกสารประกอบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๓ และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2102 | การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | นร07 | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณนำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามที่ได้ปรับปรุงรายละเอียดแล้ว ไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องตามมาตรา ๑๙ ของพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๓ เห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2103 | กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในด้านต่าง ๆ | นร11 | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในด้านต่าง ๆ ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้มีมติเห็นชอบแล้วในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2104 | โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | ยธ | 05/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อสนับสนุนงบประมาณให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน ๒๐ ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบเงินอุดหนุน ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน และกิจกรรมภายใต้กรอบงบประมาณ งบเงินอุดหนุน รายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านแต่ละประเทศ เพื่อให้มีการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ตามที่ได้รับจัดสรร ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร (๑) ให้ความสำคัญกับการกำหนดองค์ประกอบของโครงการฯ ที่ระบุถึงความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ การกำหนดให้มีมาตรการ กลยุทธ์ เป้าหมาย และตัวชี้วัดที่ชัดเจน รวมทั้งกลไกติดตามประเมินผลและวงเงินที่จะดำเนินการตามแผนให้ประสบผลสำเร็จและเป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด รวมถึงการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน (๒) ขั้นตอนการใช้จ่ายเบิกจ่ายงบประมาณ และการจัดซื้อจัดจ้าง ควรดำเนินการตามขั้นตอน กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยจะต้องคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ความมั่นคง และความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อประโยชน์สูงสุดของราชการเป็นสำคัญ และ (๓) สนับสนุนให้ประเทศเพื่อนบ้านแต่ละประเทศให้ความสำคัญกับการให้ความรู้กับประชาชนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และขบวนการค้ายาเสพติด พร้อมทั้งสร้างแนวร่วมกับประชาชนในการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเกิดความยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2105 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวใหม่ ปี 2563 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 05/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวใหม่ ปี ๒๕๖๓ จำนวน ๖ แผนงาน ภายในกรอบวงเงินรวม ๑๔,๑๙๗ ล้านบาท ได้แก่ (๑) แผนงานปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพสถานีไฟฟ้า ปีงบประมาณ ๒๕๖๓ (๒) แผนงานย้ายแนวและเปลี่ยนทดแทนอุปกรณ์ในระบบจำหน่ายและสายส่งไฟฟ้าเพื่อความมั่นคง ปี ๒๕๖๓-๒๕๗๐ (๓) แผนงานปฏิบัติการดิจิทัลด้านระบบงานและแพลตฟอร์ม (๔) แผนงานปฏิบัติการดิจิทัลด้านสื่อสารและโทรคมนาคมของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ปี ๒๕๖๓ (๕) แผนงานการใช้พื้นที่สำนักงานใหญ่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดำเนินการตามแผนแม่บท Phase B และ (๖) แผนงานจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการทดสอบการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยให้ทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นรายปีจนกว่าการดำเนินงานจะแล้วเสร็จ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ภายหลังจากได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเร่งจัดทำแผนความต้องการกู้เงินเพื่อขอบรรจุในแผนการบริหารหนี้สาธารณะต่อไป รวมทั้งจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงในด้านการเงินการลงทุนให้เหมาะสมสอดคล้องกับแผนการดำเนินงาน และพิจารณากู้เงินเพื่อการลงทุนตามความจำเป็นในภารกิจหลักขององค์กร โดยพิจารณาฐานะการเงินในปีนั้น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากภาระหนี้สินขององค์กรในระยะยาว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการดำเนินการตามแผนงานระยะยาวใหม่ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอย่างใกล้ชิดและพิจารณาปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงภายใต้พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) รายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2106 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดที่ดิน | มท | 05/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดที่ดิน จำนวน ๗ คน ตามมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๖๒ (มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๒) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นายประทีป เจริญพร (ด้านการจัดการที่ดิน) ๑.๒ นายสมบูรณ์ วงศ์กาด (ด้านทรัพยากรดิน) ๑.๓ นายพงษ์พิเชษฐ เก้าเอี้ยน (ด้านการปฏิรูปที่ดิน) ๑.๔ นายสมชาย ตะสิงห์ษะ (ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ๑.๕ นายทรงวุฒิ สายแก้ว (ด้านกฎหมาย) ๑.๖ นายวราพงษ์ เกียรตินิยมรุ่ง (ด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ) ๑.๗ นายจุมพล ริมสาคร (ด้านเศรษฐศาสตร์) ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดที่ดินในครั้งต่อ ๆ ไป ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2107 | มาตรการช่วยเหลือผู้ใช้น้ำประปาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพิ่มเติม | มท | 05/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้น้ำประปาที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพิ่มเติม เพื่อการประปานครหลวงและการประปาส่วนภูมิภาคจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. มาตรการของการประปานครหลวง ๑.๑ มาตรการเดิม (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๓) มาตรการที่ ๑ ขยายระยะเวลาการชำระค่าน้ำประปา สำหรับผู้ใช้น้ำที่จดทะเบียนประกอบธุรกิจโรงแรมและกิจการให้เช่าที่พักอาศัย โดยไม่คิดดอกเบี้ย สามารถผ่อนชำระได้ไม่เกิน ๖ เดือน ของแต่ละรอบใบแจ้งค่าน้ำประปาสำหรับรอบการใช้น้ำเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๖๓ ๑.๒ มาตรการเพิ่มเติม ๑.๒.๑ มาตรการที่ ๒ ลดค่าน้ำประปาให้กับผู้ใช้น้ำทุกประเภท เริ่มตั้งแต่รอบการใช้น้ำเดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๓ (ใบแจ้งค่าน้ำประปาเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ๒๕๖๓) ได้แก่ (๑) กรณีผู้ใช้น้ำที่ใช้น้ำน้อยกว่าหรือเท่ากับ ๑๐ ลูกบาศก์เมตร ยกเว้นการจัดเก็บค่าน้ำประปา ค่าบริการรายเดือน และค่าน้ำดิบ และ (๒) กรณีผู้ใช้น้ำที่ใช้น้ำมากกว่า ๑๐ ลูกบาศก์เมตร ยกเว้นค่าน้ำประปาสำหรับน้ำ ๑๐ ลูกบาศก์เมตรแรก และส่วนที่ใช้เกิน ๑๐ ลูกบาศก์เมตร ลดค่าน้ำในอัตราร้อยละ ๒๐ ๑.๒.๒ มาตรการที่ ๓ คืนเงินประกันการใช้น้ำให้กับผู้ใช้น้ำประเภทที่ ๑ ที่พักอาศัย และประเภทที่ ๒ ธุรกิจ ราชการ รัฐวิสาหกิจ อุตสาหกรรม และอื่น ๆ ๑.๒.๓ มาตรการที่ ๔ ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการชำระค่าน้ำประปา เมื่อชำระผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส, 7-11, เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี และ CenPay เป็นระยะเวลา ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑๗ เมษายน-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ ๑.๒.๔ มาตรการที่ ๕ ยกเว้นการตัดน้ำประปาทั้งชั่วคราวและถาวร (งดผูกลวดและถอดมาตรวัดน้ำ) เป็นระยะเวลา ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๒๓ มีนาคม-๓๐ กันยายน ๒๕๖๓ ๒. มาตรการของการประปาส่วนภูมิภาค ๒.๑ มาตรการเดิม (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๓) ๒.๑.๑ มาตรการที่ ๑ ขยายระยะเวลาการชำระค่าน้ำประปา สำหรับผู้ใช้น้ำที่จดทะเบียนประกอบธุรกิจโรงแรมและกิจการให้เช่าพักอาศัย โดยไม่คิดดอกเบี้ย สามารถผ่อนชำระได้ไม่เกิน ๖ เดือน ของแต่ละรอบใบแจ้งค่าน้ำประปา รอบการใช้น้ำเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๖๓ (สำหรับใบแจ้งค่าน้ำประจำเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๖๓) ๒.๑.๒ มาตรการที่ ๒ คืนเงินประกันการใช้น้ำให้กับผู้ใช้น้ำประเภทที่ ๑ ที่อยู่อาศัย ๒.๒ มาตรการเพิ่มเติม ๒.๒.๑ มาตรการที่ ๓ ลดค่าน้ำประปาให้กับผู้ใช้น้ำทุกประเภท ในอัตราร้อยละ ๒๐ ยกเว้นผู้ใช้น้ำส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ลดค่าน้ำประปาในอัตราร้อยละ ๓ (ไม่รวมค่าบริการรายเดือน) เริ่มตั้งแต่รอบการใช้น้ำเดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๓ (ใบแจ้งค่าน้ำประปาเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ๒๕๖๓) ๒.๒.๒ มาตรการที่ ๔ ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการชำระค่าน้ำประปา เป็นระยะเวลา ๓ เดือน เมื่อชำระผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส และ 7-11 ตั้งแต่วันที่ ๑๗ เมษายน-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และที่เทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม-วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ ๒.๒.๓ มาตรการที่ ๕ ขยายเวลารับชำระผ่านตัวแทนรับชำระค่าน้ำประปาจากภายใน ๑๐ วัน เป็น ภายใน ๒๐ วัน เป็นระยะเวลา ๓ เดือน (ใบแจ้งค่าน้ำประจำเดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๓)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2108 | การผ่อนปรนการอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและการทำงานให้กับแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานตามข้อตกลงที่รัฐบาลไทยได้ลงนามกับรัฐบาลประเทศคู่ภาคี | รง | 05/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการผ่อนปรนการอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและการทำงานให้กับแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานตามข้อตกลงที่รัฐบาลไทยได้ลงนามกับรัฐบาลประเทศคู่ภาคี พร้อมทั้งร่างประกาศ รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ขยายระยะเวลาการยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักร ตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน กรณีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีสาระสำคัญเป็นการผ่อนผันให้คนต่างด้าว ๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ซึ่งเข้ามาทำงานตาม MoU ที่การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวได้ต่อไป ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ ๑) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ขยายระยะเวลาการยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามมาตรา ๖๔ แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรณีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีสาระสำคัญเป็นการผ่อนผันให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาและเมียนมา ซึ่งเข้ามาทำงานในประเทศไทยโดยใช้บัตรผ่านแดน ที่การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวได้ต่อไป ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ ๑) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ ๑.๓ ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีสาระสำคัญเป็นการผ่อนผันให้คนต่างด้าวที่การอนุญาตทำงานสิ้นสุด สามารถทำงานไปพลางก่อนได้ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ ๑) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ ๒. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2109 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 | ดศ | 28/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ประกอบด้วย (๑) วาระเพื่อทราบ จำนวน ๗ เรื่อง เช่น ร่างแผนแม่บทอวกาศแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๘๐ (National Space Master Plan 2020-2037) ร่างพระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... และร่างประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมต่างชาติในการให้บริการในประเทศ เป็นต้น และ (๒) วาระเพื่อพิจารณา จำนวน ๑ เรื่อง ได้แก่ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อจัดทำนโยบายและแผนการดำเนินการเฝ้าระวังและบริหารจัดการการจราจรทางอวกาศ (Space Situational Awareness and Space Traffic Management) ตามที่คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับ (๑) การจัดทำกฎหมายว่าด้วยกิจการอวกาศ ควรดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายโดยเคร่งครัด (๒) การพิจารณาจำแนกบทบาท ภารกิจของสำนักงานกำกับกิจการอวกาศแห่งชาติในเรื่องการกำกับ ควบคุม ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนากิจการอวกาศ ทั้งในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ การรักษาสิ่งแวดล้อม และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการอวกาศ ให้เป็นไปตามกฎหมาย นโยบาย และแผนกิจการอวกาศให้ชัดเจน เพื่อมิให้ทับซ้อนกับหน่วยงานอื่นที่ดำเนินภารกิจเกี่ยวกับกิจการอวกาศอยู่แล้ว และ (๓) การขอจัดตั้งสำนักงานกำกับกิจการอวกาศแห่งชาติ ต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เรื่อง การขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการจัดตั้งหน่วยงาน ตลอดจนไม่เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2110 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดผู้ใช้พลังงานไฟฟ้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พน | 28/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดผู้ใช้พลังงานไฟฟ้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดผู้ใช้พลังงานไฟฟ้า พ.ศ. ๒๕๑๒ เพื่อกำหนดให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยสามารถจัดส่งหรือจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้พลังงานไฟฟ้าที่เป็นผู้ใช้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยอันจะทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยสามารถนำสถานีอัดประจุไฟฟ้ามาดำเนินการในเชิงพาณิชย์กับยานยนต์ของประชาชนได้ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ ส่วนเรื่องการเพิ่มสถานีอัดประจุไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยควรมีแผนและการดำเนินการจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าให้กระจายไปสู่ภูมิภาคได้อย่างรวดเร็วและเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม เพียงพอกับความต้องการในอนาคตเพื่อรองรับอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รวมถึงรถบัสไฟฟ้าที่คาดว่าในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ จะมีการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ๗๕๐,๐๐๐ คัน โดยคำนึงถึงราคาพลังงานไฟฟ้าที่สามารถจูงใจให้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าได้ในที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2111 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เข้าร่วมเป็นสมาชิกของเครือข่ายงานระดับภูมิภาคเพื่อการพัฒนาสหกรณ์การเกษตรแห่งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (NEDAC) | กษ | 28/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง ขออนุมัติให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมเป็นสมาชิกของข่ายงานระดับภูมิภาคเพื่อการพัฒนาสหกรณ์การเกษตรแห่งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (Regional Network for the Development of Agricultural Cooperatives in Asia and the Pacific : NEDAC) รวมทั้งยุติการจ่ายเงินค่าบำรุงสมาชิกให้กับ NEDAC ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมสหกรณ์) รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรใช้ประโยชน์จากเวทีความร่วมมือในการพัฒนางานด้านสหกรณ์ทั้งในระดับนานาชาติและระดับอาเซียนอื่น ๆ เช่น องค์การสัมพันธภาพสหกรณ์ระหว่างประเทศ (International Co-operative Alliance : ICA) และคณะกรรมการศูนย์อาเซียนเพื่อการพัฒนาสหกรณ์การเกษตร (The ASEAN Centre for the Development of Agricultural Cooperatives Board) เพื่อเป็นเครือข่ายความร่วมมือทั้งในด้านวิชาการและการผลักดันกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะส่งผลต่อการเสริมสร้างและยกระดับการพัฒนาสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็ง สามารถเป็นกลไกในการพึ่งพาตนเองของเกษตรกรได้อย่างยั่งยืนไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2112 | โครงการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพเพิ่มขีดความสามารถให้กับนักเรียน สำหรับโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล | ศธ | 28/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพเพิ่มขีดความสามารถให้กับนักเรียน สำหรับโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาโรงเรียนประจำตำบล (๑ ตำบล ๑ โรงเรียนคุณภาพ) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน ๘,๒๒๔ โรง ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานตามบริบทของชุมชนตนเอง ซึ่งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในชุมชน เพื่อให้ “โรงเรียนกลายเป็นศูนย์กลางในชุมชน” และมอบหมายสำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น ๕๑,๙๐๔.๗๓ ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ (๓ ปี) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยการดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ดำเนินการตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ที่สำนักงบประมาณได้ให้ความเห็นชอบและอนุมัติเงินจัดสรรไว้แล้ว สำหรับการดำเนินการในปีต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) รับความเห็นเพิ่มเติมของสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะที่จะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อยอดสู่การเรียนรู้ทักษะสำหรับศตวรรษที่ ๒๑ ควรเน้นการพัฒนาครูให้สามารถจัดการเรียนการสอนในลักษณะบูรณาการอย่างเป็นองค์รวม และการจัดการเรียนการสอนเชิงรุกที่เน้นการปฏิบัติจริง และควรมีการติดตามและประเมินผลโครงการฯ ที่ชัดเจน มีตัวชี้วัดที่สะท้อนการพัฒนาผู้เรียน รวมถึงการจัดทำระบบสารสนเทศเพื่อเก็บข้อมูลโรงเรียนในทุกมิติ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) บูรณาการโครงการฯ ร่วมกับโครงการอื่น ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยพิจารณาจัดกลุ่มโรงเรียนในโครงการตามประเด็นการพัฒนาที่มีลักษณะเดียวกันเข้าไว้ด้วยกัน เช่น กลุ่มโรงเรียนที่ต้องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มโรงเรียนที่ต้องการพัฒนา/ส่งเสริมคุณภาพครู เป็นต้น เพื่อให้สามารถวางแผนการดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีเป้าหมายของการดำเนินการในแต่ละระยะที่ชัดเจน นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ควรมีกลไกในการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินโครงการของโรงเรียน ก่อนที่จะขยายผลการดำเนินโครงการในแต่ละระยะเพื่อให้โรงเรียนดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อลดภาระให้แก่นักเรียน ครู และโรงเรียน และเป็นการใช้ทรัพยากรทางการศึกษาที่ประหยัด คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล สามารถแก้ไขปัญหาที่มีความหลากหลายในแต่ละโรงเรียนและแต่ละบริบทให้ตรงประเด็นและตรงตามความต้องการของพื้นที่มากยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) พิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการพัฒนาโรงเรียนขนาดกลางให้มีความพร้อม เพื่อเป็นศูนย์กลางให้แก่โรงเรียนขนาดเล็ก เพื่อรองรับกรณีที่จะต้องมีการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กในอนาคต ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง การขอยกเว้นเงื่อนไขการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และ ๒๕๖๐) ๔. โดยที่ปัจจุบันประเทศไทยประสบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลายาวนานจนกว่าปัญหาดังกล่าวจะหมดสิ้นไป ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการจึงควรพิจารณาทบทวนและจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินโครงการต่าง ๆ โดยเน้นการพัฒนาหลักสูตรออนไลน์และพัฒนาระบบการเรียนการสอนด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์มให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทั่วประเทศเป็นลำดับแรก เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2113 | แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2562 - 2570) | อก | 28/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๐) ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อวางกรอบแนวทางการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารในอนาคตแห่งอาเซียนควบคู่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยมีมาตรการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วย ๔ มาตรการ ได้แก่ มาตรการสร้างนักรบอุตสาหกรรมอาหารพันธุ์ใหม่ (Food Warriors) มาตรการสร้างนวัตกรรมอาหารอนาคต (Future Food Innovation) มาตรการสร้างโอกาสทางธุรกิจ (New Marketing Platform) และมาตรการสร้างปัจจัยพื้นฐานเพื่อเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรม (Enabling) และให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นควร (๑) กำหนดแผนการดำเนินงานให้ชัดเจน มีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ตามตัวชี้วัดของแผนปฏิบัติการฯ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อนำไปต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ (๒) ดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ โดยคำนึงถึงแนวโน้มความต้องการสินค้าอาหารสะอาดที่มีคุณภาพในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปในตลาดโลก ค่านิยม และมาตรฐานการผลิตที่เป็นสากล เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อคุณภาพและความปลอดภัย (Food Safety) ของอาหารแปรรูปของไทย (๓) เน้นมาตรการที่ส่งเสริมการพัฒนาผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีศักยภาพให้มีโอกาสในต่างประเทศ มีความเข้าใจตลาด เข้าถึงโอกาสในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เด่นในด้านคุณภาพและตรงกับความต้องการของตลาดในต่างประเทศ (๔) มุ่งเป้าสู่การส่งเสริมสถานะของผลิตภัณฑ์อาหารจากประเทศไทยในฐานะที่เป็น Clean Cuisine ที่โดดเด่นของโลก และ (๕) เร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้าง องค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติให้เป็นกลไกคณะกรรมการระดับชาติในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ และนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างบูรณาการและเป็นเอกภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๐) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการติดตามการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ เพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2114 | ร่างปฏิญญาทางการเมือง COVID-19 ของการประชุมสุดยอดกลุ่มเฉพาะกิจของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยวิธีออนไลน์ เพื่อรับมือกับ COVID-19 (Online Summit level Meeting of the NAM Contact Group in response to COVID-19) | กต | 28/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการรับรองร่างปฏิญญาทางการเมือง COVID-19 (Political Declaration of NAM on COVID-19) ของการประชุมสุดยอดกลุ่มเฉพาะกิจของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยวิธีออนไลน์ เพื่อรับมือกับ COVID-19 (Online Summit level Meeting of the NAM Contact Group in response to COVID-19) โดยร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมสุดยอดกลุ่มเฉพาะกิจของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยวิธีออนไลน์ เพื่อรับมือกับ COVID-19 ในวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ณ สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกในกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยให้ความสำคัญกับความร่วมมือกับประชาคมโลกเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 รวมทั้งการอำนวยความสะดวกด้านการส่งสินค้า โดยเฉพาะเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และอาหารให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบ การสนับสนุนการดำเนินงานของเลขาธิการสหประชาชาติและองค์การอนามัยโลกซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการรับมือกับสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 พร้อมทั้งสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ นักวิจัยด้านการแพทย์ และความร่วมมือจากนานาประเทศในการพัฒนาวัคซีนและแนวทางการรักษาเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชนจากทุกประเทศ และการจัดตั้งกลุ่มผู้ประสานงาน NAM (NAM Task Force) เพื่อติดตามการดำเนินงานตามร่างปฏิญญาฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2115 | การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนวาระพิเศษผ่านระบบการประชุมทางไกล (Special Meeting of ASEAN Tourism Minister on COVID-19) | กก | 28/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนวาระพิเศษผ่านระบบการประชุมทางไกล และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเทียวอาเซียนวาระพิเศษผ่านระบบการประชุมทางไกล (Special Meeting of ASEAN Tourism Minister on COVID-19) และให้ร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วมฯ โดยไม่มีการลงนามในการประชุมดังกล่าว ในวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐-๑๑.๐๐ น. ณ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงความห่วงใยและยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการเสริมสร้างความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทันท่วงที และบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นในวงกว้าง ตลอดจนเตรียมความพร้อมสำหรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์คลี่คลายลงเพื่อเรียกความเชื่อมั่นและคืนความเป็นปกติสุขกลับสู่ภูมิภาคในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า สถานการณ์โรคระบาด COVID-19 อาจก่อให้เกิดความปกติใหม่ (New Normal) ที่ทำให้พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไป เช่น ให้ความสำคัญกับมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศมากขึ้น การพิจารณาจัดทำแนวทางรับมือกับสถานการณ์ COVID-19 ร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก จึงควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวอาเซียนที่ยั่งยืนและเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2116 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2563 | นร11 | 28/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๓ ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซี่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ของกระทรวงการคลัง โดยในส่วนของโครงการเพื่อช่วยเหลือเยียวยาและชดเชยให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ของกระทรวงการคลัง เป็นการขยายจำนวนผู้เข้าข่ายได้รับสิทธิในโครงการดังกล่าว จากเดิม ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๓ [เรื่อง ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบหรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ ของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ครั้งที่ ๒] เห็นชอบไว้ ๑๔ ล้านราย ในกรอบวงเงิน จำนวน ๒๑๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็น จำนวน ๑๖ ล้านราย ในกรอบวงเงิน ๒๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้ แหล่งเงินที่จะนำไปใช้จ่ายและเบิกจ่ายเพื่อการข้างต้น ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำประมาณการความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้การกู้เงินเพื่อใช้จ่ายโครงการเป็นการกู้เงินตามความจำเป็นและเงื่อนเวลาสอดคล้องกับแนวทางการบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยคำนึงถึงต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2117 | การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร | นร08 | 28/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีก ๑ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ๒ เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ ๑) และร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ ๒.๒ รับทราบร่างประกาศ เรื่อง การให้ข้อกำหนด ประกาศ และคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ ๓. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2118 | มาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพิ่มเติม | พน | 21/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอเพิ่มเติมว่า เรื่องนี้เป็นการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนจำนวนมากย้ายถิ่นฐานกลับไปยังภูมิลำเนา รวมถึงการดำเนินการตามมาตรการการทำงานที่บ้าน (Work From Home) อันมีผลทำให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นมาก และโดยที่มาตรา ๖๔ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติกำหนดนโยบายและแนวทางการกำหนดอัตราค่าบริการในการประกอบกิจการพลังงาน ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงขอปรับเปลี่ยนข้อเสนอในหนังสือกระทรวงพลังงาน ด่วนที่สุด ที่ พน ๐๑๐๐/๑๕๓ ลงวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๓ จากเดิม ที่ขอเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เพิ่มเติม เป็น การเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าฯ เท่านั้น สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายรองรับการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว จะพิจารณาใช้จ่ายจากแหล่งเงินที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานต่อไป ๒. รับทราบมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เพิ่มเติม โดยแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือ (๑) ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน ๑๕๐ หน่วยต่อเดือน ให้ใช้ไฟฟ้าฟรี เป็นเวลา ๓ เดือน ในรอบการใช้ไฟฟ้าเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ๒๕๖๓ หากใช้ไฟฟ้าเกิน ๑๕๐ หน่วย ภายใน ๓ เดือนดังกล่าว จะไม่ถูกจัดอยู่ในประเภทที่จะให้ความช่วยเหลือในกลุ่มดังกล่าว และ (๒) ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกิน ๑๕๐ หน่วยต่อเดือน ให้จ่ายค่าไฟฟ้ารายเดือนสำหรับรอบการใช้ไฟฟ้าเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ เท่ากับค่าไฟฟ้าสำหรับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ และให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณารายละเอียดต่าง ๆ ในการดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าฯ รวมทั้งแหล่งที่มาของงบประมาณสำหรับดำเนินมาตรการดังกล่าว ให้มีความชัดเจนครบถ้วน และดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงพลังงานและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานพิจารณาบริหารจัดการเงินที่จะนำมาดำเนินมาตรการดังกล่าว โดยไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณ และดำเนินการตามนัยมาตรา ๒๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้ครบถ้วนด้วยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2119 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสำรวจตัวอย่างหรือสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. .... | ดศ | 21/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรายงานว่า ในการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลประชากรของประเทศในรูปของสำมะโนประชากรนั้น จะดำเนินการทุก ๑๐ ปี เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเสนอแนะขององค์การสหประชาชาติ (UN) โดยในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นปีครบรอบ ๑๐ ปี ที่สำนักงานสถิติแห่งชาติจะต้องดำเนินการสำรวจตัวอย่างหรือสำมะโนประชากรและเคหะ แต่โดยที่มีการระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ หรือโรคโควิด-๑๙ ทำให้มีความจำเป็นต้องเลื่อนดำเนินการดังกล่าวออกไปก่อน และเมื่อสถานการณ์โรคติดต่อดังกล่าวลดน้อยลง สำนักงานสถิติแห่งชาติจะเร่งดำเนินการสำรวจตัวอย่างหรือสำมะโนประชากรและเคหะต่อไป และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของระยะเวลาในการดำเนินการการจัดทำสำมะโนประชากรและเคหะต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสำรวจตัวอย่างหรือสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดทำการสำรวจตัวอย่างหรือสำมะโนประชากรและเคหะเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนและรายละเอียดของประชากรในครัวเรือน ณ ที่อยู่อาศัยปกติ ที่พบในวันที่ทำการสำรวจตัวอย่างหรือสำมะโน รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนและลักษณะที่อยู่อาศัยของประชากรเพื่อประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ การกำหนดนโยบายเพื่อการบริหารของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน และใช้เป็นฐานในการคาดประมาณจำนวนประชากรในอนาคต ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ การพิจารณาทบทวนระยะเวลาการสำมะโนประชากรและเคหะให้มีความถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการจัดเก็บประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล รวมทั้งการปฏิบัติให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2120 | การย้ายที่ตั้งสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ | กสทช | 21/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ย้ายที่ตั้งสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) (สำนักงานฯ) จากชั้น ๕ อาคารศูนย์ฝึกอบรม บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กรุงเทพมหานคร ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ภาค ๑ หลักสี่ กรุงเทพมหานคร โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติในฐานะหน่วยงานอำนวยการในนามประเทศไทยของ ITU เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการย้ายที่ตั้งสำนักงานฯ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....