ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 110 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 2181 - 2200 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2181 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย พ.ศ. .... | รง | 24/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน และร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้แก้ไขในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย ให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ในอัตราร้อยละห้าสิบของค่าจ้างรายวัน โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่ไม่ได้ทำงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยที่นายจ้างรับรอง หรือนายจ้างไม่ให้ทำงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย ทำให้ไม่สามารถประกอบกิจการได้ปกติ ทั้งนี้ ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน และกรณีหน่วยงานภาครัฐมีคำสั่งให้นายจ้างหยุดประกอบกิจการ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค ให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่ไม่ได้รับค่าจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ในอัตราร้อยละห้าสิบของค่าจ้างรายวันตลอดระยะเวลาที่นายจ้างหยุดประกอบกิจการตามคำสั่ง ทั้งนี้ ไม่เกินหกสิบวัน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัย การสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับ รวมทั้งการดำเนินการวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2182 | เงินกู้จากรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค ของกระทรวงศึกษาธิการ | กค | 24/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง มีสาระสำคัญเป็นการตอบรับข้อเสนอของรัฐบาลญี่ปุ่นในการให้กู้เงินผ่านองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) สำหรับดำเนินโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค ของกระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๙,๔๓๔ ล้านเยน ภายใต้กรอบเงื่อนไขการให้กู้เงินที่กำหนด รวมทั้งมีการกำหนดมาตรการที่รัฐบาลไทยต้องปฏิบัติ เช่น การยกเว้นภาษีอากรสำหรับเงินกู้และดอกเบี้ย และการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับโครงการฯ เป็นต้น ๑.๒ เห็นชอบร่างสัญญาเงินกู้โครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค และเห็นชอบการระบุให้ใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในร่างสัญญาเงินกู้ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดใน General Terms and Conditions for Japanese ODA Loans ฉบับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ของ JICA ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจาก JICA สำหรับโครงการฯ กรอบวงเงิน ๙,๔๓๔ ล้านเยน โดยอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง และลงนามในสัญญาเงินกู้กับ JICA ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ๑.๔ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดเตรียมทำคำรับรองทางกฎหมาย (Legal Opinion) สำหรับสัญญาเงินกู้โครงการฯ ในโอกาสแรก ภายหลังจากที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการฯ แล้ว ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2183 | การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 ค.ศ. 2021 | กก | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ ๖ ค.ศ. ๒๐๒๑ โดยมีกำหนดการแข่งขัน จำนวน ๑๐ วัน ในช่วงปลายเดือนเมษายน ๒๕๖๔ ณ จังหวัดชลบุรี และกรุงเทพมหานคร คาดการณ์ว่าจะมีการแข่งขันทั้งหมด จำนวน ๒๑ ชนิดกีฬา จากผู้เข้าแข่งขัน ๔๖ ประเทศ โดยใช้งบประมาณจากรายได้ที่เกิดขึ้นจากการจัดการแข่งขัน จำนวน ๒๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาล จำนวน ๑,๒๔๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท ในการจัดการแข่งขันรวมทั้งสิ้น ๑,๔๘๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน โดยคำนึงถึงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ก่อนดำเนินการต่อไปด้วย สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายหากมีความจำเป็นต้องนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีก็ให้ดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการจัดทำแผนการบริหารจัดการให้มีแหล่งรายได้อื่นและกระจายผลประโยชน์ภายในประเทศ อาทิ การสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุนการจัดการแข่งขัน และการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ รวมถึงการวางแผนจัดกิจกรรมเสริมเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศแก่กลุ่มชาวต่างชาติที่เข้าร่วมชมการแข่งขัน ตลอดจนมีการติดตามและประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ที่อาจส่งผลต่อการจัดการแข่งขันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับแผนรับมือกับความเสี่ยงดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2184 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา ที่จังหวัดชุมพร | อก | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตามคำขอประทานบัตรที่ ๑/๒๕๕๙ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา ที่จังหวัดชุมพร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรมีการกำกับติดตามให้ผู้ขอประทานบัตรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภายใต้กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ ในการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งทางด้านอุปทานและความต้องการใช้ในระยะปานกลางและระยะยาว เพื่อใช้ประกอบกับการพิจารณาความสามารถในการรองรับด้านสิ่งแวดล้อม และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรทำการศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศทั้งในภาพรวม และในเชิงพื้นที่ของแต่ละลุ่มน้ำให้ชัดเจนทั้งระดับความจำเป็นที่ต้องรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำ และความเพียงพอของพื้นที่ที่คงเหลือ พื้นที่ใดที่อยู่ในภาวะวิกฤติ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของประเทศในภาพรวมและตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งในการให้อนุญาตทำประโยชน์ การกำกับดูแล และการฟื้นฟูต่อไป และเมื่อสามารถจำแนกพื้นที่ป่าต้นน้ำที่มีความจำเป็นต่อประเทศอย่างชัดเจนแล้ว ควรพิจารณาตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองพื้นที่ป่าต้นน้ำ เพื่อไม่ให้มีการบุกรุกหรือนำไปใช้ประโยชน์ที่ไม่เหมาะสมอีกต่อไป รวมทั้งการให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจกับประชาชนถึงการบริหารจัดการลุ่มน้ำที่มีการผ่อนผันในคราวต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2185 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท เทพอุทิศธุรกิจ จำกัด ที่จังหวัดกาญจนบุรี | อก | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อทำเหมืองแร่โดโลไมต์ ตามคำขอประทานบัตรที่ ๑/๒๕๕๓ ของบริษัท เทพอุทิศธุรกิจ จำกัด ที่จังหวัดกาญจนบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับให้บริษัท เทพอุทิศธุรกิจ จำกัด ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงสาธารณสุขเห็นควรมีการกำกับติดตามให้ผู้ขอประทานบัตรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภายใต้กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ ในการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งทางด้านอุปทานและความต้องการใช้ในระยะปานกลางและระยะยาว เพื่อใช้ประกอบกับการพิจารณาความสามารถในการรองรับด้านสิ่งแวดล้อม และเห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศทั้งในภาพรวม และในเชิงพื้นที่ของแต่ละลุ่มน้ำให้ชัดเจนทั้งระดับความจำเป็นที่ต้องรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำ และความเพียงพอของพื้นที่ที่คงเหลือ พื้นที่ใดที่อยู่ในภาวะวิกฤติ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของประเทศในภาพรวมและตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งในการให้อนุญาตทำประโยชน์ การกำกับดูแล และการฟื้นฟูต่อไป และเมื่อสามารถจำแนกพื้นที่ป่าต้นน้ำที่มีความจำเป็นต่อประเทศอย่างชัดเจนแล้ว ควรพิจารณาตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองพื้นที่ป่าต้นน้ำ เพื่อไม่ให้มีการบุกรุกหรือนำไปใช้ประโยชน์ที่ไม่เหมาะสมอีกต่อไป รวมทั้งการให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจกับประชาชนถึงการบริหารจัดการลุ่มน้ำที่มีการผ่อนผันในคราวต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2186 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เพชรสมุทร (1970) ที่จังหวัดเพชรบุรี | อก | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตามคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑/๒๕๕๘ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เพชรสมุทร (๑๙๗๐) ที่จังหวัดเพชรบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด เพชรสมุทร (๑๙๗๐) ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงสาธารณสุขเห็นควรมีการกำกับติดตามให้ผู้ขอประทานบัตรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภายใต้กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ ในการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งทางด้านอุปทานและความต้องการใช้ในระยะปานกลางและระยะยาว เพื่อใช้ประกอบกับการพิจารณาความสามารถในการรองรับด้านสิ่งแวดล้อม และเห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศทั้งในภาพรวม และในเชิงพื้นที่ของแต่ละลุ่มน้ำให้ชัดเจนทั้งระดับความจำเป็นที่ต้องรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำ และความเพียงพอของพื้นที่ที่คงเหลือ พื้นที่ใดที่อยู่ในภาวะวิกฤติ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของประเทศในภาพรวมและตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งในการให้อนุญาตทำประโยชน์ การกำกับดูแล และการฟื้นฟูต่อไป และเมื่อสามารถจำแนกพื้นที่ป่าต้นน้ำที่มีความจำเป็นต่อประเทศอย่างชัดเจนแล้ว ควรพิจารณาตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองพื้นที่ป่าต้นน้ำ เพื่อไม่ให้มีการบุกรุกหรือนำไปใช้ประโยชน์ที่ไม่เหมาะสมอีกต่อไป รวมทั้งการให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจกับประชาชนถึงการบริหารจัดการลุ่มน้ำที่มีการผ่อนผันในคราวต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2187 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าก่อสร้าง ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ | มท | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างศาลากลางจังหวัดภูเก็ต พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ จากวงเงินเดิม ๔๗๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๔๘๕,๕๑๙,๖๔๘ บาท และอนุมัติให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๑ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๕ ตามนัยระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๗ (๓) โดยค่าก่อสร้างที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๖๘,๑๓๔,๕๐๐ บาท ให้ปรับแผนการปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรองรับค่างานก่อสร้างดังกล่าวตามความจำเป็น ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป จำนวน ๑๒๗,๘๖๕,๕๐๐ บาท ขอให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่ายภายในปีงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ สำหรับกรณีการยกเลิกสัญญาการก่อสร้างดังกล่าวซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ เห็นควรที่สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยจะพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ ข้อสัญญา และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้รับจ้างอย่างเคร่งครัดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. การดำเนินการแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้หน่วยงานในสังกัดถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) ที่กำหนดให้ในขั้นตอนการริเริ่มโครงการ ให้ส่วนราชการตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้อง ครบถ้วนในทุกมิติก่อนอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2188 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ครั้งที่ 1/2563 | นร | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญประกอบด้วย (๑) มาตรการด้านการเงินการคลัง ได้แก่ มาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ มาตรการกระตุ้นการลงทุนผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการขจัดอุปสรรคในกระบวนการก่อหนี้เพื่อสนับสนุนการลงทุนของภาครัฐ (๒) มาตรการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน ได้แก่ มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเร่งรัดให้เกิดการลงทุนและมีโครงการลงทุนใหม่เกิดขึ้น มาตรการสร้างความเชื่อมโยงสู่เศรษฐกิจฐานรากเพื่อสนับสนุนให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเศรษฐกิจในระดับฐานราก (๓) การเร่งรัดการลงทุนภาครัฐ โดยการเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ได้แก่ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม การลงทุนด้านพลังงาน การจัดการทรัพยากรน้ำ และ (๔) แผนการเจรจาการค้าระหว่างประเทศของประเทศไทย เป็นการรายงานความก้าวหน้าการทำความตกลงทางการค้า และสถานะการทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ของไทย และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงานดำเนินการตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าการลงทุนต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าการลงทุนเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการเพื่อขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ให้คำนึงถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน ความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยคำนึงถึงความโปร่งใส และมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมจากการดำเนินโครงการ รวมถึงดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2189 | รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | นร07 | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของหน่วยรับงบประมาณ และแนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2190 | การขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง | นร07 | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินโครงการตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๑๗,๓๑๐.๔๕๐๙ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการที่หน่วยรับงบประมาณขอรับการจัดสรรงบกลางฯ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง จำนวน ๑๑ กระทรวง ๒๘ หน่วยงาน วงเงิน ๑๔,๖๑๐.๔๕๐๙ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า กรณีค่าใช้จ่ายของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นนอกเหนือจากกรอบวงเงินงบกลางที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว เช่น การผลิตหน้ากากอนามัย การชดเชยต้นทุนการผลิตให้กับผู้ประกอบการหน้ากากอนามัย เป็นต้น ให้หน่วยรับงบประมาณเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นไปยังสำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2191 | การปรับแนวทางประเมินส่วนราชการและองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) | นร12 | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับแนวทางประเมินส่วนราชการและองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ๒๐๑๙ (COVID-19) และให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนดวิธีปฏิบัติเพื่อแจ้งให้ส่วนราชการและองค์การมหาชนปฏิบัติต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการปรับแนวทางประเมินดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงการดำเนินการตามมาตรการด้านงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ รวมถึงระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามแผนการปฏิบัติและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขเป้าหมายหรือตัวชี้วัดที่กำหนดอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ หรือประกอบในการจัดทำและบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. รับทราบแนวทางการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการกรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ของสำนักงาน ก.พ. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การปฏิบัติราชการของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในบทบาทต่าง ๆ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ส่วนราชการเกิดความคล่องตัวในการบริหารงาน และเพื่อให้การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐเกิดความยืดหยุ่น สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยการสนับสนุนของเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการปฏิบัติงานที่เหมาะสมตามความพร้อมของแต่ละส่วนราชการ และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณากำหนดแนวทางการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งหรือกำหนดวิธีปฏิบัติราชการแบบยืดหยุ่นกรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้ตามความเหมาะสมในแต่ละกรณีต่อไป โดยให้คำนึงถึงคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ รวมทั้งไม่ส่งผลกระทบหรือเกิดผลเสียหายต่อประสิทธิภาพประสิทธิผลในการบริหารราชการและการบริการประชาชน ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2192 | แนวทางการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | นร10 | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับแนวทางประเมินส่วนราชการและองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ๒๐๑๙ (COVID-19) และให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนดวิธีปฏิบัติเพื่อแจ้งให้ส่วนราชการและองค์การมหาชนปฏิบัติต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการปรับแนวทางประเมินดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงการดำเนินการตามมาตรการด้านงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ รวมถึงระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามแผนการปฏิบัติและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขเป้าหมายหรือตัวชี้วัดที่กำหนดอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ หรือประกอบในการจัดทำและบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. รับทราบแนวทางการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการกรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ของสำนักงาน ก.พ. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การปฏิบัติราชการของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในบทบาทต่าง ๆ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ส่วนราชการเกิดความคล่องตัวในการบริหารงาน และเพื่อให้การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐเกิดความยืดหยุ่น สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยการสนับสนุนของเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการปฏิบัติงานที่เหมาะสมตามความพร้อมของแต่ละส่วนราชการ และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณากำหนดแนวทางการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งหรือกำหนดวิธีปฏิบัติราชการแบบยืดหยุ่นกรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้ตามความเหมาะสมในแต่ละกรณีต่อไป โดยให้คำนึงถึงคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ รวมทั้งไม่ส่งผลกระทบหรือเกิดผลเสียหายต่อประสิทธิภาพประสิทธิผลในการบริหารราชการและการบริการประชาชน ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2193 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิค - 19) ครั้งที่ 1/2563 และมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤตการณ์จากโรคติดเชื้่อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิค - 19) ของกระทรวงสาธารณสุข | นร | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๓ ตามที่คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เสนอ ๒. เห็นชอบมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤตการณ์จากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๓ ประกอบด้วย ๒ มาตรการ ได้แก่ มาตรการป้องกันและสกัดกั้นการนำเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เข้าสู่ประเทศไทย และมาตรการยับยั้งการระบาดภายในประเทศเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ดังกล่าว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่งเร่งดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยด่วน รวมทั้งขอความร่วมมือจากภาคเอกชนให้ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2194 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการได้มาและการจำหน่ายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และการเช่าที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ทำการและที่พักเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดสงขลา ในรูปแบบหนังสือแลกเปลี่ยน | กต | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๑.๑ เห็นชอบให้รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนถือครองที่ดินเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑.๑ ให้รัฐบาลจีนซื้อที่ดินจากภาคเอกชนเพื่อใช้เป็นที่ทำการและที่พักเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่จีน ณ จังหวัดขอนแก่น จำนวน ๙ ไร่ ๓ งาน ๗๓.๔ ตาราวา และจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๑๒ ไร่ ๗๖ ตารางวา โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) เป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์แทนรัฐบาลจีน และรัฐบาลจีนทำสัญญาเช่าที่ดินต่อจากรัฐบาลไทยในอัตราค่าเช่าปีละ ๑ บาท ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่รัฐบาลไทยเคยดำเนินการกรณีการจัดที่ดินให้สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ๑.๑.๒ ให้รัฐบาลจีนเช่าที่ดินที่ราชพัสดุจังหวัดสงขลา หมายเลข สข. ๑๑๐๐ (บางส่วน) ตำบลพะวง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เนื้อที่ ๕ ไร่ ๖๕.๘ ตารางวา เพื่อใช้เป็นที่ทำการและที่พักเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่จีน ณ จังหวัดสงขลา โดยให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเช่าที่ดินที่ราชพัสดุ ๑.๒ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการได้มาและการจำหน่ายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและการเช่าที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ทำการและที่พักเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่จีน ณ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดสงขลา (ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฉบับใหม่) โดยกำหนดระยะเวลาการเช่าที่ดินแต่ละแปลงรวมกันไม่เกินแปลงละ ๗๐ ปี (๓๐ ปี+๓๐ ปี+๑๐ ปี) และกำหนดให้ฝ่ายจีนชำระค่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อใช้เป็นที่ทำการและที่พักเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่จีน ณ จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดเชียงใหม่ และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างเพื่อเป็นที่ทำการและที่พักเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่จีน ณ จังหวัดสงขลา ภายหลังสิ้นสุดการเช่า โดยยกเว้นค่าอากรและค่าธรรมเนียมการโอน ตลอดจนภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ โดยนำหลักประติบัติต่างตอบแทนมากำหนดเป็นเงื่อนไขในสัญญาเช่าที่ดินทั้งสองกรณี ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฝ่ายไทย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ กรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า เช่น การจัดซื้อที่ดินในจังหวัดเชียงใหม่เพื่อสร้างสถานกงสุลใหญ่จีนประจำจังหวัดเชียงใหม่ควรคำนึงถึงอัตลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ด้วย เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2195 | การขอเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งสำหรับข้าราชการตุลาการ | ศย | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เพื่อเช่ารถประจำตำแหน่งข้าราชการตุลาการมาใช้ในราชการ จำนวน ๘๕ คัน อัตราค่าเช่าปีละ ๔๑,๘๒๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาเช่า ๕ ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น ๒๐๙,๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยค่าเช่าในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ที่ได้รับจัดสรรภายใต้แผนงานพื้นฐานด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ผลผลิตการอำนวยความยุติธรรมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพตามที่กฎหมายบัญญัติ งบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนทั่วไป รายการค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ที่ได้รับจัดสรรเป็นค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง ในวงเงิน ๑,๕๗๙,๐๑๒,๘๐๐ บาท โดยในการทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันขอให้สำนักงานศาลยุติธรรมคำนึงถึงงบประมาณและระยะเวลาที่คงเหลือในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการจัดหารถประจำตำแหน่งสำหรับข้าราชการตุลาการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2196 | การยืนยันร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว (แผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ 1 ปี) | นร09 | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินการเพื่อจัดทำแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี เนื่องจากขณะนี้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศกำลังปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศตามมติคณะรัฐมนตรี (๓ ธันวาคม ๒๕๖๒) ทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับร่างกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับมาตามมติคณะรัฐมนตรี (๖ สิงหาคม ๒๕๖๒) จึงไม่สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ สมควรรอให้มีการประกาศใช้บังคับแผนการปฏิรูปประเทศที่ปรับปรุงใหม่เสียก่อน เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะได้จัดทำแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี ให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศได้อย่างถูกต้อง โดยจะดำเนินการจัดทำแผนการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่มีการประกาศแผนการปฏิรูปประเทศที่ปรับปรุงใหม่ในราชกิจจานุเบกษา และจะได้นำเสนอแผนการเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2197 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็ง [ห่วงโซ่อุปทานอาเซียน] [ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของอาเซียน] ในการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา (โควิด-19) | พณ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็ง [ห่วงโซ่อุปทานอาเซียน] [ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของอาเซียน] ในการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา (โควิด-๑๙) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างถ้อยแถลงฯ โดยร่างถ้อยแถลงฯ เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ ๒๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๙-๑๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ เมืองดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิด-๑๙ ผ่านการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความพยายามในการประสานงานและความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อการตอบสนองต่อความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและการค้าดิจิทัลเพื่อเอื้อให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไป แม้ในกรณีมีการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานในระยะยาว โดยเฉพาะความร่วมมือในการเร่งรัดการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและการค้าดิจิทัลที่สามารถเชื่อมโยงกันในภูมิภาค เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยในประเทศสมาชิก สามารถปรับตัวและเข้าถึงช่องทางตลาดรูปแบบใหม่ ตลอดจนมีส่วนร่วมในห่วงโซ่การผลิตและการค้าในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2198 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2563 | นร11 | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๓ ซึ่งที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจและผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ และพิจารณาหลักการของมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ชุดที่ ๑ รวมทั้งข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เกี่ยวกับสายการบินและการเดินทางทางอากาศ ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ชุดที่ ๑ โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงภารกิจ ความพร้อม ศักยภาพและความสามารถ วิธีการดำเนินการที่โปร่งใส ความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ และกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้มีความชัดเจนอย่างครอบคลุมและเป็นธรรม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างเหมาะสม รวมถึงภาระทางการคลังหรือการสูญเสียรายได้ที่จะเกิดขึ้น ตลอดจนจัดให้มีระบบการติดตามและการรายงานผลการดำเนินงานและผลการใช้จ่ายให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ในโอกาสแรก เพื่อให้การดำเนินมาตรการดูแลเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ชุดที่ ๑ บรรลุวัตถุประสงค์และสามารถผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ได้อย่างมีประสิทธิภาพทันต่อสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2199 | มาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) และสถานการณ์ภัยแล้ง | นร07 | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำ ๑.๑.๑ ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณาปรับลดการใช้จ่ายงบประมาณ หรือปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินงานสำหรับงบประมาณในลักษณะรายจ่ายประจำ ที่มิใช่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศให้ได้ประมาณร้อยละสิบของงบประมาณรายจ่ายประจำของหน่วยรับงบประมาณ เพื่อไปดำเนินการที่ก่อให้เกิดการจัดซื้อจัดจ้างจากผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตรายย่อย รวมถึงการจ้างแรงงาน ๑.๑.๒ ให้หน่วยรับงบประมาณปรับแผนการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ที่ตั้งไว้สำหรับศึกษา ดูงาน ประชุม สัมมนา อบรม ณ ต่างประเทศ โดยให้นำมาดำเนินการภายในประเทศ หรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ไปดำเนินการตามแนวทางในข้อ ๑.๑.๑ สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศกรณีอื่น กรณีการเดินทางไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) หากสามารถระงับหรือเลื่อนการเดินทางได้ ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณาดำเนินการด้วย ๑.๒ งบประมาณรายจ่ายลงทุน ๑.๒.๑ งบประมาณรายจ่ายในลักษณะค่าครุภัณฑ์ที่มีวงเงินต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท หรือสิ่งก่อสร้างที่มีวงเงินต่ำกว่าสิบล้านบาท ที่แน่ชัดว่าไม่สามารถจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณาโอนหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรไปดำเนินการจัดหาครุภัณฑ์หรือสิ่งก่อสร้างอย่างอื่น ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) หรือสถานการณ์ภัยแล้ง เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเตรียมความพร้อมของพื้นที่สำหรับกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝนโดยใช้แรงงานจากภาคเกษตร หรือปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินการจากงานจ้างเหมาเป็นงานดำเนินการเอง เพื่อสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ เป็นต้น ทั้งนี้ โดยดำเนินการภายในพื้นที่จังหวัดที่ได้รับจัดสรรงบประมาณในลำดับแรก ๑.๒.๒ ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณาทบทวนการจัดหาครุภัณฑ์จากต่างประเทศมาดำเนินการจัดหาครุภัณฑ์จากผู้ผลิตภายในประเทศ เว้นแต่กรณีที่มีความจำเป็นอย่างแท้จริง ๑.๓ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๑.๓.๑ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่สำนักงบประมาณยังไม่ได้จัดสรรให้หน่วยรับงบประมาณ โดยเห็นสมควรให้หน่วยรับงบประมาณชะลอการดำเนินการไว้ก่อน ประกอบด้วย (๑) รายการที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว และ (๒) รายการที่มีคำขอของหน่วยรับงบประมาณ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา ๑.๓.๒ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรให้แก่หน่วยรับงบประมาณแล้ว กรณีที่หน่วยรับงบประมาณไม่สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันหรือบันทึกใบสั่งซื้อ (PO) ได้ทันภายในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ เห็นสมควรให้ยกเลิกโครงการ/รายการ และให้แจ้งสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๓ เพื่อดำเนินการนำงบประมาณส่งคืนสำหรับนำไปใช้ในโครงการ/รายการสำคัญเร่งด่วนตามมาตรการระยะเร่งด่วนสำหรับการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี โดยยึดถือกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ต่อไป ๑.๓.๓ กรณีที่หน่วยรับงบประมาณมีภารกิจ และอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง และมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้เสนอขอรับการจัดสรรตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ แล้วแต่กรณี ต่อสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๓ ทั้งนี้ การพิจารณาดำเนินการตามมาตรการข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามภารกิจ และอำนาจหน้าที่ที่สามารถดำเนินการได้ โดยยึดถือกฎหมาย ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2200 | มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ชุดที่ 1 | กค | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้นและสามารถสื่อสารกับสาธารณชนได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย จึงเห็นควรปรับเปลี่ยนชื่อมาตรการ จากเดิม “มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ชุดที่ ๑” เป็น “มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ ๑” และตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอขอปรับถ้อยคำของมาตรการบรรเทาภาระจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ภายใต้มาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ จากเดิม “คืนค่าประกันมิเตอร์” เป็น “คืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า” ๒. รับทราบและเห็นชอบมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ ๑ ดังนี้ ๒.๑ มาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ หรือโควิด ๑๙ เห็นชอบในหลักการให้มีการจัดเตรียมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ หรือโควิด ๑๙ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง มาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง] ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๒ มาตรการด้านภาษี ๒.๒.๑ เห็นชอบในหลักการมาตรการด้านภาษี จำนวน ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการคืนสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศ (๒) มาตรการภาษีเพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของผู้ประกอบการ (๓) มาตรการส่งเสริมเสถียรภาพของการจ้างงานในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และ (๔) มาตรการเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการภายในประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.๒.๒ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ จำนวน ๑ ฉบับ (มาตรการคืนสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศ) และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๒ ฉบับ (มาตรการภาษีเพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของผู้ประกอบการ และมาตรการส่งเสริมเสถียรภาพของการจ้างงานในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19) รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.๓ มาตรการด้านการเงิน ๒.๓.๑ เห็นชอบมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ธนาคารออมสินสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำวงเงินรวม ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้แก่สถาบันการเงินและสำนักงานธนานุเคราะห์ โดยคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี และให้สถาบันการเงินให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการในอัตราร้อยละ ๒ ต่อปี ระยะเวลา ๒ ปี วงเงินสินเชื่อสูงสุดต่อรายไม่เกิน ๒๐ ล้านบาท และรัฐบาลชดเชยต้นเงินทุนแก่ธนาคารออมสินในอัตราร้อยละ ๒.๕ ต่อปี ภายในกรอบวงเงินงบประมาณรวม ๗,๕๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ธนาคารออมสินจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และปีต่อ ๆ ไป ตามผลการดำเนินงานจริง โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔) และให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของธนาคารออมสินด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๓.๒ รับทราบมาตรการด้านการเงิน จำนวน ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานของสำนักงานประกันสังคม (๒) มาตรการพักต้นเงินลดดอกเบี้ยและขยายระยะเวลาชำระหนี้แก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ (๓) มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.๒.๓ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางการเงิน อันจะก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาลในอนาคตไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๒.๔ มาตรการบรรเทาค่าครองชีพแก่ประชาชนจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ให้ถอนมาตรการดังกล่าวออกไปก่อน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.๕ มาตรการสร้างความเชื่อมั่นในระบบตลาดทุน ๒.๕.๑ เห็นชอบในหลักการมาตรการสร้างความเชื่อมั่นในระบบตลาดทุน โดยให้ประชาชนทั่วไปสามารถหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Saving Fund หรือ SSF) ที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๖๕ ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value หรือ NAV) ได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยแยกต่างหากจากวงเงินหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนใน SSF กรณีปกติ และไม่อยู่ภายใต้เพดานวงเงินหักลดหย่อนรวมของเงินสะสม เงินสมทบหรือค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนเพื่อการเกษียณอายุทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้ใช้สิทธิหักลดหย่อนตามมาตรการนี้จะต้องซื้อหน่วยลงทุนใน SSF ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี และต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่น ๆ ที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด ๒.๕.๒ ให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร) เร่งรัดการจัดทำร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการสร้างความเชื่อมั่นในระบบตลาดทุน) เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วนต่อไป ๒.๖ มาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ รับทราบมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ ได้แก่ (๑) มาตรการบรรเทาภาระค่าธรรมเนียม ค่าเช่า ค่าตอบแทนในการให้บริการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ (๒) มาตรการบรรเทาภาระการจ่ายค่าน้ำค่าไฟ (๓) มาตรการลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมของนายจ้างและลูกจ้าง และ (๔) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นว่า มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ควรพิจารณาออกกฎกระทรวงการคลังเพื่อกำหนดให้การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุในวงเงินไม่เกินสองล้านบาท ให้กระทำได้โดยวิธีคัดเลือกตามมาตรา ๕๖ (๑) (ซ) หรือวิธีเฉพาะเจาะจง ตามมาตรา ๕๖ (๒) (ซ) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ในห้วงเวลานับถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามมาตรการดังกล่าวที่ระบุให้หน่วยงานเร่งดำเนินการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนปีเดียวที่เป็นการจัดหาพัสดุที่มีวงเงินต่อรายการไม่เกินสองล้านบาท ให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.๗ การจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของกระทรวงการคลัง รับทราบการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของกระทรวงการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ และความเห็นของกระทรวงคมนาคมและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควร (๑) สร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดเวลาดำเนินการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (๒) วางแผนและประเมินผลกระทบภายใต้สถานการณ์จำลองต่าง ๆ (Scenario Planning) โดยเฉพาะกรณีที่มีการระบาดในระยะที่ ๓ เพื่อให้มีมาตรการเชิงรุกและงบประมาณในการรับมืออย่างเพียงพอ และออกมาตรการชุดต่าง ๆ โดยพิจารณาถึงประสิทธิผลและความคุ้มค่าของงบประมาณ รวมถึงมีกระบวนการในการดำเนินงาน และประเมินผลของมาตรการอย่างชัดเจน และ (๓) ให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นต่อแนวทางการรับมือกับ COVID-19 ว่าจะมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องและ
|
.....