ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 1 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 1 จากข้อมูลทั้งหมด 1 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | น้ำมันรั่วไหลจากท่อส่งน้ำมันดิบลงสู่ทะเล จังหวัดระยอง | ทส | 30/07/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากเหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบโอมาน (OMAN) ขนาด ๑๖ นิ้ว รั่วขณะขนถ่ายน้ำมันจากเรือขนส่งน้ำมันไปยังโรงกลั่นน้ำมันบริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบของโรงกลั่นน้ำมัน บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เป็นเหตุให้มีน้ำมันดิบโอมานรั่วไหลลงสู่ทะเลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง ประมาณ ๕๐ ตัน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ ๑๓ (ชลบุรี) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง ได้ประชุมร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดระยองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ซึ่งบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากสาธารณรัฐสิงคโปร์มาให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาและร่วมกันวางแผนการดำเนินการขจัดคราบน้ำมันดังกล่าว ซึ่งต่อมากรมควบคุมมลพิษได้รับแจ้งจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว และไม่พบคราบน้ำมันบนผิวน้ำ ซึ่งจากการดำเนินงานเป็นเวลา ๒ วัน ได้ใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน จำนวนทั้งสิ้น ๓๒,๐๐๐ ลิตร อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้สั่งการให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพื่อยืนยันว่าไม่พบคราบน้ำมันแล้ว และให้ดำเนินการวางทุ่น ๒ ชั้น ตลอดแนวชายฝั่งด้านตะวันตกของเกาะเสม็ดเพื่อป้องกันคราบน้ำมันที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่เข้าสู่ชายฝั่ง ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ ๑๓ (ชลบุรี) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง ได้ออกสำรวจสภาพพื้นที่ปัญหาคราบน้ำมันเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ พบว่า บริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด มีการปนเปื้อนของน้ำมันบริเวณหาดและหินตลอดแนวชายหาด ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และจังหวัดระยอง รวมทั้งกองทัพเรือได้สนับสนุนกำลังคนประมาณ ๓๕๐ คน เพื่อร่วมดำเนินการทำความสะอาดชายฝั่งและตักทรายที่ปนเปื้อนน้ำมันบรรจุลงถุง และติดตั้งเครื่องสูบน้ำมันเพื่อนำไปกำจัด คาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณสองสัปดาห์จึงจะแล้วเสร็จ สำหรับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) จะนำน้ำมันและทรายปนเปื้อนน้ำมันไปกำจัดโดยวิธีที่ถูกต้องตามหลักวิชาการที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และกรมควบคุมมลพิษจะดำเนินการติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ต่อไป ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีข้อสั่งการให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เพิ่มความระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก และจัดทำมาตรการในการแก้ไขปัญหาให้เป็นระบบมากขึ้น และหากพบว่ามีสัตว์น้ำตาย ขอให้ดำเนินการจัดส่งให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งนำไปตรวจพิสูจน์ว่าสาเหตุการตายของสัตว์น้ำมาจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในครั้งนี้หรือไม่ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้ประกาศให้บริเวณอ่าวพร้าวเป็นเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติทางทะเล ห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำบริเวณดังกล่าวแล้ว ๒. ให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลที่จังหวัดระยอง และระยะเวลาในการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร่งด่วน และให้มีการเตรียมแผนการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล แผนการเยียวยาและชดเชยความเสียหาย ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับประชาชน นักท่องเที่ยว ชาวประมง และผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด รวมทั้งให้จัดทำแผนการควบคุมและป้องกันปัญหาน้ำมันรั่วไหลจากการขนส่งน้ำมันในระยะยาว เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ขึ้นอีก ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนดังกล่าวให้กระทรวงพลังงานประสานการดำเนินงานร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธานกรรมการ และให้กระทรวงพลังงานกำกับดูแลให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ดำเนินการแก้ไขปัญหาและรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เป็นไปตามแผนดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle) อย่างเคร่งครัดด้วย
|
.....