ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 137 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 2721 - 2740 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2721 | ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบการจอดยานยนต์ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร | 15/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบการจอดยานยนต์ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... โดยมี สาระสำคัญคือ ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบการจอดยานยนต์ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดย ยกเลิกพระราชบัญญัติจัดระเบียบการจอดยานยนต์ในเขตเทศบาลและสุขาภิบาล พ.ศ. 2503 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นบางประการของ กระทรวงคมนาคมไปพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอ สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป และโดยที่พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติให้ดำเนินการถ่ายโอนภารกิจการให้บริการสาธารณะแก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภายในกำหนดเวลา และกำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์ให้รัฐทำหน้าที่ประสาน ความร่วมมือและช่วยเหลือการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งให้จัดสรร ภาษีและอากร เงินอุดหนุน และรายได้อื่น ๆ ให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ ละประเภทอย่างเหมาะสมซึ่งการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลาย ฉบับ หากจะยกร่างกฎหมายฉบับหนึ่งเป็นกฎหมายกลาง เพื่อให้สอดคล้องกับการกระจายอำนาจ โดยให้ รัฐมนตรีมีอำนาจตั้งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเป็นเจ้าพนักงาน และกำหนดรายได้ ตลอดจนค่าธรรมเนียมได้ แทนการ แก้ไขเพิ่มเติมเป็นรายฉบับน่าจะเหมาะสมกว่า จึงให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับประเด็นดังกล่าวไป พิจารณา หากเห็นว่าสามารถดำเนินการตามแนวทางนี้ได้ก็ให้ยกร่างกฎหมายดังกล่าวขึ้น แล้วนำเสนอคณะ รัฐมนตรี โดยให้ประสานงานกับคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย นอก จากนี้ ร่างพระราชบัญญัติต่าง ๆ ของกระทรวงและหน่วยงานภาครัฐ บางฉบับเป็นร่างกฎหมายที่กำหนดให้ ผู้ฝ่าฝืนมีความผิดทางอาญาและมีบทกำหนดโทษ ในกรณีที่เป็นความผิดเพียงเล็กน้อยและมีโทษปรับ หากจะ ต้องดำเนินคดีในทางอาญาอาจเป็นความยุ่งยากและไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน จึงควร ที่กระทรวงและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะได้พิจารณานำบทบัญญัติ ในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ส่วนที่ 8 การบังคับทางปกครอง ซึ่งบัญญัติเกี่ยว กับการยึดหรืออายัดทรัพย์สินและขายทอดตลาดเพื่อชำระเงิน ตามมาตรา 57, 58 และมาตรา 61 ประกอบ กับกฎกระทรวง ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2542) และฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2542) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติดัง กล่าวมาใช้บังคับหรือปรับปรุงกฎหมายให้สามารถนำมาตรการดังกล่าวมาใช้บังคับให้มากยิ่งขึ้น น่าจะมีความ เหมาะสมมากกว่า |
|||||||||||||||||||||||||||
2722 | รายงานผลการตรวจราชการ | มท | 08/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการตรวจราชการในพื้นที่จังหวัด
มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และขอนแก่น ระหว่างวันที่ 5 และ 6 มิถุนายน 2547 ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย ซึ่งในการตรวจราชการดังกล่าวได้มีการประชุมเน้นย้ำนโยบายสำคัญของรัฐบาล และกระทรวง มหาดไทย ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่ บ้าน และผู้บริหารองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ในเรื่องโครงการหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล การแก้ไขปัญหา สังคมและยากจนเชิงบูรณาการ ระบบบริหารราชการจังหวัดแบบบูรณาการ การแก้ไขปัญหายาเสพติด การ แก้ไขปัญหาผู้มีอิทธิพล และการประหยัดพลังงาน รวมทั้งตรวจเยี่ยมผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญ ของรัฐบาล และรับทราบปัญหาความต้องการของประชาชน อาทิ การเยี่ยมชมผลการดำเนินงานหมู่บ้าน ชุมชนเข้มแข็งเศรษฐกิจพอเพียง เครือข่ายกลุ่มอาชีพเพาะเห็ด ขนมจีน สมุนไพร ปุ๋ยชีวภาพ และการทอผ้า ซึ่งเป็นตัวอย่างของกิจการที่สอดคล้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกันเป็นวงจรกล่าวคือ การผลิตสินค้าประเภทหนึ่ง โดยนำผลของการผลิตผลิตภัณฑ์อีกประเภทหนึ่งมาใช้เป็นวัตถุดิบ และการตรวจสภาพพื้นที่ตำบลหนองกุง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งราษฎรได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากภาวะน้ำท่วมในแต่ละปี โดยถึงฤดู น้ำหลากน้ำจะท่วมเส้นทางคมนาคมเข้าบ้านบึงกลางเป็นระยะเวลาประมาณ 3 - 4 เดือนของทุกปี เป็น ผลให้ราษฎร 120 ครัวเรือนเดือดร้อน แนวทางในการแก้ไขปัญหา ควรจัดทำโครงการก่อสร้างสะพานและ ถนน ใช้งบประมาณ 10 ล้านบาทเศษ ซึ่งโครงการดังกล่าวอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
2723 | ความก้าวหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหา | กษ | 01/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความก้าวหน้าในการดำเนิน
การแก้ไขปัญหาลิ้นจี่ ปี 2547 โดยได้สนับสนุนเงินชดเชยค่าขนส่งแก่สถาบันเกษตรกรในการกระจายลิ้นจี่ ไปยังตลาดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2547 ได้ดำเนินการกระจายลิ้นจี่ไปแล้ว จำนวน 7,722 ตัน และได้ดำเนินการรับซื้อลิ้นจี่คุณภาพดี ชนิดเกรด A ในราคา 15 บาท เพื่อกระจายไปสู่ตลาด ใหม่ โดยอาศัยเครือข่ายของกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งได้เน้นตลาดในระดับอำเภอ และตำบล ในพื้นที่ 59 จังหวัด โดย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2547 ได้ดำเนินการกระจายลิ้นจี่ไปแล้ว จำนวน 3,002.64 ตัน รวมทั้ง รับซื้อลิ้นจี่คุณภาพเกรด A ในราคา 15 บาท ในท้องถิ่น เพื่อให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรนำไปบรรจุ กระป๋อง ทั้งนี้ ผลการดำเนินการดังกล่าวทำให้ราคาลิ้นจี่ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคารับซื้อในท้องถิ่น ชนิดเกรด A อยู่ในระดับ 10-11 บาทต่อกิโลกรัม และราคาค้าส่งที่กรุงเทพ ฯ อยู่ในระดับ 15-16 บาทต่อกิโลกรัม ในส่วนของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจแปรรูปลิ้นจี่เพื่อบรรจุกระป๋องได้เพิ่มปริมาณการรับซื้อลิ้นจี่ ชนิดเกรด A ใน ท้องถิ่น และรับซื้อในระดับ 10-13 บาทต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ ยังทำให้สามารถรักษาเสถียรภาพของ ราคาลิ้นจี่ จากราคาที่ตกต่ำ ในช่วงวันที่ 10-11 พฤษภาคม 2547 ราคาต่ำสุด 11-12 บาทต่อกิโลกรัม ที่ ตลาดค้าส่งกรุงเทพ ฯ ให้คงเสถียรภาพในระดับราคา 14-16 บาทต่อกิโลกรัม และในตลาดท้องถิ่น ซึ่งมี ราคาต่ำสุด 5-6 บาทต่อกิโลกรัม ให้คงเสถียรภาพในระดับราคา 10-12 บาทต่อกิโลกรัม |
|||||||||||||||||||||||||||
2724 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การฝากเงินของกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์การและบริษัทต่าง ๆ ของรัฐบาล | คค | 01/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ อนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือกรมสารบรรณคณะรัฐมนตรีฝ่ายบริหารเกี่ยวกับการฝากเงินของกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์การและบริษัทต่าง ๆ ของรัฐบาล รวม 9 ฉบับ เนื่องจากมีระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่ง คลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2520 ระเบียบว่าด้วยการบัญชีและการเงินของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2520 ข้อบังคับว่า ด้วยวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับการเงินขององค์การ พ.ศ. 2495 และข้อบังคับว่าด้วยการฝากเงินและถอนคืนเงินต่อ กระทรวงการคลัง พ.ศ. 2495 กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ และเห็นชอบหลักเกณฑ์การฝากเงินของรัฐ วิสาหกิจ องค์การ บริษัทต่าง ๆ ของรัฐบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้โรงงานหรือองค์การของรัฐบาลส่งรายได้ทุกประเภทต่อกระทรวงการคลังโดยเคร่งครัด หากมีความ จำเป็นที่จะสงวนไว้เป็นทุนหมุนเวียน และหรือการลงทุนขยายงาน ก็ให้ฝากไว้กับธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ และให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบให้เป็นไปโดยเคร่งครัดด้วย กับให้รัฐวิสาหกิจที่นำเงินกองทุน สงเคราะห์ไปแสวงหาประโยชน์ไม่ว่ารัฐวิสาหกิจจะกำหนดข้อบังคับหรือระเบียบไว้ประการใด ให้กระทำได้แต่ โดยการซื้อพันธบัตรของรัฐบาลหรือฝากธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจเท่านั้น ห้ามมิให้นำเงินกองทุน ฯ ไปให้ นิติบุคคลที่เป็นเอกชนหรือบุคคลภายนอกกู้ยืมโดยเด็ดขาด สำหรับรัฐวิสาหกิจใดที่ได้กระทำไปก่อนแล้ว เมื่อ ถึงกำหนดตามสัญญาให้เรียกเงินคืนให้เป็นการเสร็จสิ้นไป อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องนำเงินกองทุน ฯ ให้พนักงานของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ กู้ยืม ผ่อนผันให้กระทำได้ แต่การให้กู้ยืมจะต้องมีหลักทรัพย์และหรือบุคคล ค้ำประกัน ทั้งนี้ แล้วแต่จะจำกัดวงเงินที่เห็นสมควร และจะต้องคิดดอกเบี้ยไม่น้อยกว่าที่รัฐวิสาหกิจต้องจ่าย ดอกเบี้ยเงินสะสม (หรือเงินทุนประเภท 1) ให้แก่พนักงาน นอกจากนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำเงินมาฝากกับธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ยกเว้นกรณีที่ธนาคารที่เป็นรัฐวิสาห กิจไม่สามารถรับดำเนินการให้บริการได้ หรือไม่มีธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจในพื้นที่ ให้เสนอกระทรวงการ คลังพิจารณาผ่อนผันให้ใช้บริการของธนาคารพาณิชย์อื่นได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2725 | กระทู้ถามนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบคำตอบแล้ว จำนวน 3 เรื่อง 1.1 กระทู้ถามที่ 1105 ร. เรื่อง ส่งเสริมการเลี้ยงอูฐ 1.2 กระทู้ถามที่ 1309 ร. เรื่อง ส่งเสริมการท่องเที่ยวไร่องุ่น จังหวัดชัยภูมิ 1.3 กระทู้ถามที่ 1315 ร. เรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยว "ดอกกระเจียวบาน" จังหวัดชัยภูมิ | นร | 01/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามของนายนิยม
วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี รวม 3 เรื่อง ได้แก่ กระทู้ถามที่ 1105 ร. เรื่อง ส่งเสริมการ เลี้ยงอูฐ กระทู้ถามที่ 1309 ร. เรื่อง ส่งเสริมการท่องเที่ยวไร่องุ่น จังหวัดชัยภูมิ และกระทู้ถามที่ 1315 ร. เรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยว "ดอกกระเจียวบาน" จังหวัดชัยภูมิ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดย สาระสำคัญของคำตอบกระทู้ถามดังกล่าวสรุปได้ดังนี้ คำตอบกระทู้ถามที่ 1105 ร. กรมปศุสัตว์ได้มีการนำอูฐ เข้ามาในประเทศไทยเพื่อการทำวิจัยเมื่อปี พ.ศ. 2538 ซึ่งผลการวิจัยพบว่า การผลิตอูฐภายใต้สภาพแวดล้อม ภูมิอากาศของประเทศไทย สามารถเลี้ยงและขยายพันธุ์ได้เช่นเดียวกับการเลี้ยงในแถบทะเลทราย สำหรับโครง การวิจัยเพื่อการผลิตอูฐในประเทศไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาค้นคว้าเพื่อหาแนวทางและความเป็นไปได้ใน การส่งเสริมการเลี้ยงให้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ คำตอบกระทู้ถามที่ 1309 ร. การพัฒนาไร่องุ่นให้เป็นแหล่งท่อง เที่ยวของจังหวัดชัยภูมิ ให้มีความสะดวกสบายและเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด รัฐบาลโดยการท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทยยินดีที่จะประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวไร่องุ่น จังหวัดชัยภูมิ ให้เป็นที่รู้จักแก่ประชาชนในวงกว้างต่อ ไป อย่างไรก็ตาม การพัฒนาไร่องุ่นให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และการสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด ชัยภูมิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถตั้งงบประมาณเสนอโครงการพร้อมรายละเอียดที่จะขอรับการสนับ สนุนต่อคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัด และเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นชอบ ก็จะเสนอ โครงการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาคัดเลือกตามหลักเกณฑ์ของโครงการงบประมาณเชิงบูรณา การเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยว พ.ศ. 2547-พ.ศ. 2549 ต่อไป ส่วนกระทู้ถามที่ 1315 ร. รัฐบาลมีนโยบาย ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัดชัยภูมิ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จังหวัดได้ส่งแผนงาน/โครงการเพื่อ ขอรับการสนับสนุนเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ส่วนการจัดงานเทศกาลท่องเที่ยว ดอกกระเจียวบาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จังหวัดชัยภูมิ โดยผู้ว่าราชการจังหวัด (CEO) ได้มอบหมาย ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิเป็นเจ้าภาพจัดงานร่วมกับอุทยานแห่งชาติป่าหินงามและกรมป่าไม้ อำเภอ เทพสถิต ตำรวจ เทศบาลตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบลทุกแห่งในพื้นที่อำเภอเทพสถิต หอการค้า จังหวัดชัยภูมิ และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชัยภูมิ โดยมีการแบ่งความรับผิดชอบหลัก ดังนี้ งานประชาสัมพันธ์ แถลงข่าวติดตั้งป้าย มอบหมายให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ เป็นผู้รับผิดชอบ งานพิธีเปิด มอบหมาย ให้หอการค้าจังหวัดชัยภูมิ และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชัยภูมิ เป็นผู้รับผิดชอบ งานการเจรจาและการอำนวย ความสะดวกอื่น ๆ มอบหมายให้ตำรวจ เทศบาลตำบล องค์การบริหารส่วนตำบล และอำเภอเทพสถิตเป็นผู้รับ ผิดชอบ และงานสถานที่มอบหมายให้อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม และกรมป่าไม้ เป็นผู้รับผิดชอบ สำหรับกรณี ที่จะให้กองทัพภาคที่ 2 มาร่วมกันเพื่อสนับสนุนส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวก็จะมีส่วนสำคัญที่จะ ให้มีการประชาสัมพันธ์ แ ละมีกิจกรรมเพิ่มเพื่อเสริมสร้างให้มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้นโดยอาจ มีการเพิ่มกิจกรรมต่าง ๆ ของกองทัพภาคที่ 2 เข้ามาเสริมในงาน เช่น กิจกรรมการโดดร่ม การจัดนิทรรศการ แสดงยุทโธปกรณ์ในงาน เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
2726 | นายประสาน ยุวานนท์ ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ป่าไม้ในลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ซึ่งซ้อนทับพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม เพื่อทำเหมืองแร่ ท้องที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา | อก | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติผ่อนผันให้ใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ (ซ้อนทับพื้นที่ป่า เพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม) เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่ 9/2545 ของนายประสาน ยุวานนท์ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้นายประสาน ฯ ปฏิบัติตามเงื่อนไขมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม แห่งชาติในคราวประชุมครั้งที่ 1/2547 วันที่ 8 มกราคม 2547 อย่างเคร่งครัด ดังนี้ กำหนดให้พื้นที่บริเวณ ด้านทิศเหนือของคำขอประทานบัตรซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้เปิดการทำเหมือง เนื้อที่ 36 ไร่ ให้เป็นพื้นที่เว้นการ ทำเหมือง (Buffer Zone) เพื่อป้องกันผลกระทบทางด้านทัศนียภาพจากแนวทางหลวงหมายเลข 2 (ถนน มิตรภาพ) และให้ผู้ประกอบการเร่งดำเนินการปรับปรุงเส้นทางขนส่งแร่ จากพื้นที่คำขอประทานบัตรไปยัง โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ของ บริษัท สามัคคีซีเมนต์ จำกัด ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องทันทีหลังจากได้รับการ อนุญาตประทานบัตร เพื่อลดผลกระทบจากฝุ่นละออง รวมทั้งให้คณะทำงานเฉพาะกิจ ฯ ซึ่งแต่งตั้งภาย ใต้คณะอนุกรรมการพิจารณารายงานการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อประกอบการขออนุมัติผ่อนผันการใช้ ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อการทำเหมืองแร่ ติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการปฏิบัติตาม มาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่ระบุไว้ในรายงานการประเมินศักยภาพ ฯ และตามข้อคิด เห็นของคณะทำงาน ฯ โดยรายงานผลให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทราบทุก 2 ปี ส่วนมาตรการ ฟื้นฟูพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมืองแร่แล้ว โดยวิธีการปลูกป่าให้ปลูกพันธุ์ไม้ท้องถิ่น และเมื่อสิ้นสุดการทำเหมือง แร่ ให้ผู้ประกอบการพัฒนาพื้นที่เป็นอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาตรความจุมากกว่า หรือเท่ากับปริมาณน้ำชั้นหินกัก เก็บได้ นอกจากนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับข้อสังเกต ตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้ ควรมีแนวปฏิบัติในการพิจารณาผ่อนผันการใช้พื้นที่ป่าไม้ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ให้มีความชัดเจนว่า ต้องมีลักษณะ พิเศษอย่างไรเพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาผ่อนผันพื้นที่แปลงอื่น ๆ ที่มีลักษณะเดียวกันต่อไป และ ให้คำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับทางเศรษฐกิจด้วย ส่วนการปฏิบัติตามเงื่อนไขของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่ง ชาติ ขอให้มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องการป้องกันปัญหาฝุ่นละอองและพื้นที่การทำเหมืองแร่ ถ้าหากพื้นที่ใดสามารถปลูกป่าได้ให้ดำเนินการทันที
|
|||||||||||||||||||||||||||
2727 | ความคืบหน้าในการหาเชื้อเพลิงทางเลือกในภาวะน้ำมันแพง | พน | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานความคืบหน้าการหาเชื้อเพลิงทางเลือกใน
ภาวะน้ำมันแพง ดังนี้ การพัฒนาและส่งเสริมก๊าซโซฮอล์ (Gasohol) กระทรวงพลังงานร่วมกับส่วนราชการและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการผลิต และจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายยุทธศาสตร์ ส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ โครงการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการส่งเสริม การใช้ก๊าซธรรมชาติในยานยนต์ (NGV) โดยมอบหมายให้ ปตท. ดำเนินการปรับปรุงรถเก่าและรถใหม่ โดย เฉพาะรถยนต์สาธารณะและรถยนต์ที่มีการใช้เชื้อเพลิงต่อวันในปริมาณมากให้มาใช้ NGV มากขึ้น รวมถึงการ ขยายสถานีบริการ NGV อย่างทั่วถึง และได้ประสานงานกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเพิ่ม แรงจูงใจให้ผู้ผลิตและประกอบรถยนต์และอุปกรณ์ใช้ก๊าซ NGV ด้านการส่งเสริมการลงทุน และการให้สิทธิ ประโยชน์ทางภาษีนำเข้าอุปกรณ์ ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือเงินทุนในการติดตั้งอุปกรณ์การใช้ก๊าซ NGV และการซื้อรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV การพัฒนาและส่งเสริมไบโอดีเซล (Biodiesel) กระทรวงพลังงานได้จัดตั้ง คณะกรรมการเพื่อกำหนดเป้าหมายการใช้ไบโอดีเซล ร้อยละ 3 ของการใช้น้ำมันดีเซลในปี พ.ศ. 2554 หรือ ประมาณวันละ 2.4 ล้านลิตร และกำหนดแผนการผลิตวัตถุดิบให้เพียงพอกับการนำมาผลิตไบโอดีเซล และ กำหนด Road Map การพัฒนาและส่งเสริมไบโอดีเซล แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 บังคับใช้เฉพาะพื้นที่เป้า หมายภายในปี พ.ศ. 2549-2553 และระยะที่ 2 บังคับใช้ทั่วประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 โดยได้ดำเนินโครง การนำร่อง 2 โครงการ ได้แก่ โครงการสาธิตการผลิตและการใช้ไบโอดีเซลเป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์รับจ้าง สองแถวในจังหวัดเชียงใหม่ ระยะเวลาดำเนินโครงการ 8 เดือน กำหนดเปิดตัวโครงการที่จังหวัดเชียงใหม่และ กรุงเทพมหานครในเดือนมิถุนายน 2547 และแผนขยายการนำระบบการผลิตไบโอดีเซล (Biodiesel plant) ระดับชุมชนสาธิตในพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านวัตถุดิบ และความร่วมมือจากองค์กรท้องถิ่นในภาคใต้ และภาค ตะวันออก และไบโอดีเซลผสมก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นการทำวิจัยเพื่อศึกษาทางเทคนิคเศรษฐกิจและผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อมของการใช้ก๊าซธรรมชาติร่วมกับไบโอดีเซลในเครื่องยนต์ดีเซล |
|||||||||||||||||||||||||||
2728 | ขออนุมัติงบประมาณสนับสนุนสถาบันเกษตรกรเป็นผู้ผลิตลำไยบรรจุกระป๋อง | กษ | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นาย
เนวิน ชิดชอบ) เสนอเพิ่มเติมว่าจากการสำรวจข้อมูลความต้องการของสถาบันเกษตรกร กลุ่มสมาชิก และ กลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ และลำพูน พบว่า มีสถาบัน ฯ และกลุ่มต่าง ๆ แสดงความประสงค์จะ ขอเข้าร่วมโครงการผลิตลำไยบรรจุกระป๋องเพิ่มขึ้น จากเดิมประมาณ 100 แห่ง เป็นประมาณ 200 แห่ง ทำให้งบประมาณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สำหรับเป็นค่าจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ผลิตลำไยบรรจุกระป๋อง และงบ ดำเนินงานจัดฝึกอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตของกรมวิชาการเกษตรที่จะต้องขออนุมัติสำหรับการ ดำเนินการในเรื่องนี้ ปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณหนึ่งเท่าตัว และอนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ใช้เงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืน ของประเทศจำนวน 58,600,000 บาท สำหรับเป็นค่าจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ผลิตลำไยบรรจุกระป๋อง จำนวน 54,000,000 บาท โดยให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และมอบเครื่องมืออุปกรณ์ให้สถาบันเกษตรกร กลุ่มสมาชิก และกลุ่มอาชีพ ต่าง ๆ ประมาณ 200 กลุ่ม และเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดฝึกอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ลำไยบรรจุกระป๋องของกรมวิชาการเกษตรจำนวน 4,600,000 บาท และให้ขอตกลงในรายละเอียดกับ สำนักงบประมาณต่อไป รวมทั้งอนุมัติให้โอนเปลี่ยนแปลงเงินงบประมาณปีพ.ศ. 2547 ของกรมส่งเสริม สหกรณ์ จำนวน 5,000,000 บาท จากแผนงานส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์ งานส่งเสริมสหกรณ์และ กลุ่มเกษตรกร หมวดรายจ่ายอื่น รายการส่งเสริมกิจกรรมกลุ่มอาชีพ เป็นเงินอุดหนุนประเภทเงินอุด หนุนทั่วไป ให้สถาบันเกษตรกร กลุ่มสมาชิก และกลุ่มอาชีพต่าง ๆ เพื่อนำไปก่อสร้าง และ/หรือปรับ ปรุงอาคารโรงเรือน กับมอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับ สนุนเงินกู้เป็นทุนหมุนเวียนเพื่อการผลิตและค่าบริหารจัดการ ของสถาบันเกษตรกร กลุ่มสมาชิก หรือ กลุ่มอาชีพ ในวงเงินประมาณ 200 ล้านบาท และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของคณะ รัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ เพื่อให้การดำเนินการผลิตลำไยบรรจุกระป๋องเป็นไปอย่างสัมฤทธิ์ ผล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องประสานและดูแลเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นต้นทุนในการผลิตให้มี ปริมาณพอเพียงแก่ความต้องการของสถาบันเกษตรกร และมีราคาที่เหมาะสม เพื่อมิให้กระทบต่อต้นทุน การผลิต และควรสนับสนุนและดูแลเทคโนโลยี ตลอดจนกระบวนการผลิตให้เหมาะสมเช่น การคัดคุณ ภาพและเตรียมเนื้อลำไย (grading) เพื่อให้ลำไยกระป๋องที่ผลิตได้มีคุณภาพและราคาที่แข่งขันได้ และ ต้องสนับสนุนการจัดหาตลาด เพื่อสร้างช่องทางจำหน่ายสินค้าด้วย นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ควรพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการสนับสนุนให้สถาบันเกษตรสามารถผลิตอาหาร กระป๋องจากพืชชนิดอื่นในท้องถิ่นนอกเหนือจากลำไยเพื่อให้สามารถดำเนินการผลิตได้ตลอดปี เช่น ข้าว โพดอ่อน เห็ดเผาะ หน่อไม้น้ำ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
2729 | ขอมาตรการในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ราชพัสดุ | กค | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1.2
(ฝ่ายความมั่นคง และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ) ที่มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการใน การแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ราชพัสดุ ประกอบด้วย มาตรการที่กำหนดให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุต้องดำเนินการ มาตร การที่กำหนดให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ต้องดำเนินการ และมาตรการเสริมที่กำหนดให้หน่วย งานอื่นให้การสนับสนุน โดยให้ปรับปรุงจากมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวที่มีอยู่เดิม จำนวน 10 มติ ได้แก่ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2532 วันที่ 21 สิงหาคม 2533 วันที่ 4 พฤษภาคม 2536 วันที่ 27 ธันวาคม 2537 วันที่ 30 พฤษภาคม 2538 วันที่ 22 เมษายน 2539 วันที่ 29 กรกฎาคม 2540 วันที่ 25 มิถุนายน 2545 วันที่ 8 เมษายน 2546 และวันที่ 3 มิถุนายน 2546 มารวมให้เป็น มติเดียว โดยให้รับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นว่า มาตรการเพิ่มเติมที่กรมธนารักษ์ กำหนดให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ครอบครองใช้ ประโยชน์ในที่ราชพัสดุต้องดำเนินการนั้น กรมธนารักษ์ควรมีเกณฑ์ปฏิบัติและกลไกในการกำกับดูแลให้ ชัดเจน เช่น การกำหนดบทบาท อำนาจ และหน้าที่ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุ และตารางเวลาสำหรับให้หน่วยงาน ผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง เป็นต้น รวมทั้งเรื่องความรับผิดชอบกรณี ที่เกิดการบุกรุกที่ราชพัสดุ ควรเป็นความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างกรมธนารักษ์และหน่วยงานผู้ครอบ ครองใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุ ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2730 | รายชื่อกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบคำตอบแล้ว จำนวน 2 เรื่อง 1.1 กระทู้ถามที่ 1142 ร. เรื่อง นโยบายและมาตรการของรัฐบาลในการส่งเสริมการอ่านหนังสือ : ศธ.มท. 1.2 กระทู้ถามที่ 1296 ร. เรื่อง นโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน : กค. | นร | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1142 ร.
เรื่อง นโยบายและมาตรการของรัฐบาลในการส่งเสริมการอ่านหนังสือ ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และกระทู้ถามที่ 1296 ร. เรื่อง นโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ของ นายนริศร ทองธิราช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบกระทู้ถามสรุปได้ดังนี้ คำตอบกระทู้ถามที่ 1142 ร. กระทรวงศึกษาธิการ โดย กรมวิชาการ ได้มีนโยบายและแผนพัฒนาหนังสือของคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ได้แก่ นโยบายใน การพัฒนาหนังสือ นโยบายในการส่งเสริมการอ่าน นโยบายส่งเสริมการผลิต การเผยแพร่ และการจำหน่าย นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมใน ชุมชน สถาบันการศึกษา และองค์กรต่าง ๆ ทั้งในท้องถิ่นและในระดับชาติ เพื่อให้มีการตื่นตัวในการอ่าน หนังสือตลอดมา โดยในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดแนวทางดำเนินการ ได้แก่ (1) การสร้าง เครือข่ายในสถานศึกษากับท้องถิ่น การสร้างเครือข่ายร่วมกับภาคเอกชนและองค์กรอื่น และการพัฒนาห้อง สมุดให้เป็นเครือข่ายการเรียนรู้ (2) การส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาการอ่าน (3) จัดโครงการปีแห่งการ ส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในมงคล วโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ 48 พรรษา ส่วนกระทรวงมหาดไทยมีนโยบายและแนวทางการส่งเสริมให้มีกิจ กรรมเพื่อให้มีการตื่นตัวในการอ่านหนังสือ โดยจัดสรรงบประมาณอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อใช้จ่ายในการจัดซื้อหนังสือ วารสาร และหนังสือประจำห้องสมุด เพื่อส่งเสริมสนับสนุนประชาชนได้มีการ อ่านหนังสือมากขึ้น และกรุงเทพมหานคร โดยสำนักการศึกษาและสำนักสวัสดิการสังคม มีนโยบายส่งเสริม การอ่าน และการเรียนรู้ของเยาวชนและประชาชนทั่วไปเพื่อให้มีการตื่นตัวในการอ่านหนังสือ สำหรับกระทู้ ถามที่ 1296 ร. หลักเกณฑ์ในการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน คือ ใช้สินทรัพย์ที่ครอบครอง หรือได้รับอนุญาต จากหน่วยงานของรัฐตามกฎหมาย เพื่อเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินเพื่อนำไปลงทุน สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างผู้ประกอบการรายใหม่ และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทั้งนี้ นโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2546 และกำหนดให้ดำเนินโครงการเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2547 ซึ่งแผนปฏิบัติการระยะยาว มีเป้าหมาย ดำเนินการ 5 ปี (พ.ศ. 2547-2551) โดยมีสำนักงานบริหารการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (องค์การมหาชน) เป็นองค์กรที่รับผิดชอบดำเนินการตามนโยบาย สำหรับหน่วยงานที่ปฏิบัติการเกี่ยวกับการแปลงสินทรัพย์ เป็นทุน แบ่งเป็นหน่วยงานดำเนินงานสินทรัพย์แต่ละประเภท และสถาบันการเงินที่ร่วมโครงการทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ได้แก่ ประเภทที่ดินและทรัพย์สินติดกับที่ดิน คือ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมที่ดิน ประเภทสัญญาเช่า คือ การเคหะแห่งชาติ กรมธนารักษ์ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประเภทหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่สาธารณะและหนัง สือรับรองอื่น ๆ คือ กรุงเทพมหานคร กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ประเภททรัพย์สินทางปัญญา คือ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ประเภทเครื่องจักร คือ กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสถาบันการเงิน เช่น ธนา คารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น และนอกจากหน่วยงานของรัฐและสถาบันการ เงินดังกล่าวแล้ว ยังมีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับสำนักงานบริหารการแปลงสิน ทรัพย์เป็นทุน (องค์การมหาชน) ดำเนินการออกแบบ จัดระบบและปรับปรุงข้อมูลให้เป็นข้อมูลสารสนเทศ และส่งผ่านระบบได้ โดยในระยะเริ่มต้นให้สำนักงานบริหารการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (องค์การมหาชน) เน้นการติดตามและประเมินผล การเผยแพร่ข้อมูล และการเชื่อมโยงกับศูนย์ปฏิบัติการของนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Center : PMOC)
|
|||||||||||||||||||||||||||
2731 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ พ.ศ. .... | มท | 11/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงาน
การทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ ให้สำนักทะเบียนกลางจัดให้มีระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งเชื่อมโยงการปฏิบัติ งานการทะเบียนราษฎรของทุกสำนักทะเบียนไว้ประจำสำนักทะเบียนอำเภอทุกแห่ง พร้อมทั้งจัดให้มีระบบคอม พิวเตอร์ดังกล่าวประจำสำนักทะเบียนท้องถิ่นตามความเหมาะสม โดยอาจจัดให้มีเครื่องบริการประชาชนอเนก ประสงค์ซึ่งปฏิบัติงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อประโยชน์ในการให้บริการประชาชนตามที่เห็นสมควร และให้ นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ มีอำนาจควบคุม และดูแลการปฏิบัติงานการทะเบียน ราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนิน การต่อไปได้ ดังนี้ ในการกำหนดให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางอาจกำหนดให้สำนักทะเบียน และนายทะเบียน ปฏิบัติงานนอกวันเวลาราชการได้นั้น บทบัญญัติที่อาศัยอำนาจในการออกกฎกระทรวงมิได้กำหนดอำนาจหน้า ที่ดังกล่าวไว้แต่ประการใด และเห็นว่า เป็นเรื่องการบริหารราชการภายในหน่วยงาน ไม่สมควรกำหนดไว้ในร่าง กฎกระทรวงฉบับนี้ และตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 กำหนดให้การแก้ไขเปลี่ยนแปลง รายการในทะเบียนบ้านหรือสำเนาทะเบียนบ้านให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด แต่ ตามร่างกฎกระทรวง ฯ ได้กำหนดให้นายทะเบียนสามารถแก้ไขรายการในทะเบียนบ้านให้ถูกต้องได้เอง ซึ่งอาจ จะเกิดความไม่สอดคล้องกับระเบียบที่ผู้อำนวยการกลางกำหนดไว้ และอาจไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระ ราชบัญญัติ ฯ และให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า การนำระบบคอมพิว เตอร์มาช่วยในการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถบริการประชาชนด้านการทะเบียนราษฎรและบัตรประจำตัวประชา ชนได้ครอบคลุมทั่วประเทศ และเป็นการดำเนินการเพื่อรองรับการบูรณาการและการปฏิรูประบบการทะเบียน แห่งชาติ แต่การนำระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยในการปฏิบัติงานดังกล่าวจะต้องมีการกำหนดมาตรการควบคุมและ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือข้อมูลต่าง ๆ ในฐานข้อมูลให้มีความปลอดภัย เพื่อป้องกันมิให้มีการนำข้อมูลดัง กล่าวไปใช้ในทางที่มิชอบด้วยกฎหมาย และต้องระมัดระวังมิให้มีการนำข้อมูลไปใช้ออกบัตรประจำตัวประชาชน ปลอมด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2732 | การปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น | นร | 11/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอขอรับเรื่องการปรับปรุงกฎ
หมายว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นไปพิจารณา เนื่องจากปัจจุบันรัฐธรรมนูญกำหนดให้องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในการบริหารงานบุคคลซึ่งส่งผลให้การบริหารงานบุคคลในองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่จัดการโดยรัฐ เป็นการบริหารงานบุคคลโดยองค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น และกำหนดให้การบริหารงานบุคคลในเรื่องการโยกย้าย การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนเงินเดือน และ การลงโทษ ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ดังนั้น การเสนอร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงาน บุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... จะต้องมีบทบัญญัติที่สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และโดยที่ร่างพระ ราชบัญญัติที่สำนักนายกรัฐมนตรี ฯ เสนอ ยังมีบทบัญญัติในบางมาตราที่จะส่งผลกระทบต่อระบบราชการ เช่น ร่างมาตรา 22 กำหนดให้ประธานคณะอนุกรรมการพนักงานส่วนท้องถิ่นจังหวัด มาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จะทำให้ขาดการเชื่อมโยงโดยตรงกับผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งไม่สอดคล้องกับนโยบายสำคัญที่ต้องการให้มี ผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ (CEO) เป็นต้น ประกอบกับขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตั้งคณะกรรม การพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงกฎหมายว่าด้วย ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นด้วย เพื่อให้การบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ และมีระบบที่เชื่อมโยงต่อกฎหมายหลาย ๆ ฉบับ ทั้งนี้ ให้นำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณา ภายในระยะเวลา3 เดือน แล้วนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎ หมายฯ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานกรรมการพิจารณา โดยเชิญรองนายก รัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เข้าร่วมพิจารณาทั้งระบบด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2733 | การจ้างนักเรียน/นักศึกษาในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน | นร | 11/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธาน
กรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอโครงการจ้างนักเรียน/นักศึกษาในช่วง ปิดภาคฤดูร้อน โดยมีเป้าหมายการจ้างนักเรียน/นักศึกษาในพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 8,000 คน และมีวัตถุประสงค์เพื่อทราบข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ และการกระจาย อำนาจให้แก่ อปท. รวมทั้งเพื่อทราบถึงบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมบริการสาธารณะ โดยให้รับ ความเห็นเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจ้างงาน นักเรียน/นักศึกษาโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามโครงการ ฯ ควรพิจารณาปรับระยะเวลาการดำเนิน งานโครงการเป็นการทำงานนอกเวลาเรียน หรือหลังจากเลิกเรียน และหากสามารถเน้นกลุ่มเป้าหมายเด็ก ที่จะจ้างทำงานพิเศษนี้ เป็นเด็กที่ครอบครัวมีฐานะยากจน ก็ช่วยตอบสนองต่อการบรรเทาปัญหาความยาก จนในชุมชนได้อีกทางหนึ่งไปพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการ ฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นใช้จ่ายจาก งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือ จำเป็น จำนวน 14,314,000 บาท |
|||||||||||||||||||||||||||
2734 | รายงานผลการจัดสัมมนา "รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 5 | นร | 11/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการจัดสัมมนาโครง
การ "รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 5 เมื่อวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2547 ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมีรอง นายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) เป็นประธานการสัมมนา โดยวัตถุประสงค์ของการจัดสัมมนาใน ครั้งนี้เพื่อเปิดช่องทางการสื่อสารระหว่างรัฐบาลกับสื่อมวลชนให้มากขึ้น รวมทั้งให้สื่อมวลชนในท้องถิ่นได้ รับทราบและเข้าใจแนวทางการบริหารของรัฐบาลที่ชัดเจน อันจะนำไปสู่การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ ประชาชนในภูมิภาคและท้องถิ่น สำหรับประเด็นการสัมมนา ในภาคเช้า เป็นการสัมมนาแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นในเรื่องแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างสื่อมวลชนกับหน่วยงานประชาสัมพันธ์ภาครัฐ ส่วนภาค บ่าย เป็นการพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและตอบข้อซักถามระหว่างรองนายกรัฐมนตรีและสื่อมวลชน ท้องถิ่น เกี่ยวกับนโยบายการบริหารงานของรัฐบาล และตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนท้องถิ่นร่วมกับผู้ ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการ คณะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกกระทรวง ในประเด็น ปัญหาต่าง ๆ และจากการประเมินผลการสัมมนา สื่อมวลชนส่วนใหญ่ระบุว่า ได้รับประโยชน์จากการ สัมมนามากเพราะได้รับทราบการทำงานของรัฐบาลอย่างชัดเจน สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเปิด เผย และนำเสนอปัญหาความต้องการของประชาชนในพื้นที่ให้รัฐบาลได้รับทราบโดยตรง ซึ่งทำให้ปัญหา ต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วและถูกต้อง นอกจากนี้ ยังทำให้การทำงานของสื่อมวลชนท้องถิ่นกับ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและโฆษกกระทรวงมีความใกล้ชิดเข้าใจกันมากขึ้น ส่งผลให้การประสาน การทำงานในด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเป็นไปด้วยดี ทั้งนี้ มอบ หมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับประเด็นปัญหาและข้อเสนอแนะของสื่อมวลชนท้องถิ่นไปดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2735 | คณะเอกอัครราชทูตประเทศมุสลิมทัศนศึกษาและเยี่ยมเยียนจังหวัดชายแดนภาคใต้ | มท | 11/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการไปทัศนศึกษาและเยี่ยมเยียน
ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของคณะเอกอัครราชทูตจากประเทศมุสลิม 12 ประเทศ ประกอบ ด้วย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บรูไนดารุสลาม บังคลาเทศ อินโดนีเซีย อิหร่าน คาซัคสถาน คูเวต โมร็อค โค โอมาน ปากีสถาน การ์ตา และซาอุดิอาระเบีย ระหว่างวันที่ 7-8 พฤษภาคม 2547 โดยกิจกรรมของ คณะเอกอัครราชทูตจากประเทศมุสลิม 12 ประเทศ ประกอบด้วย การเยี่ยมชมมัสยิดกลางปัตตานี และฟัง บรรยายสรุปสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และโครงการจัดตั้ง นิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี จากผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้ง เยี่ยมชมวิทยาลัยอิสลาม พบปะผู้นำศาสนา พบปะกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำธุรกิจ และพบปะผู้ นำสตรีและแวะชมสินค้า OTOP โดยสรุป จากการที่คณะเอกอัครราชทูตจากประเทศมุสลิม 12 ประเทศ เดิน ทางไปทัศนศึกษาและเยี่ยมเยียนประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งนี้ทำให้เข้าใจสถานการณ์ที่ เป็นจริงของพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมทั้งความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติประกอบกับ ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการอยู่อย่างสงบสุข เหตุการณ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ปรากฏตามข่าวสารที่ได้รับทราบ ก่อนที่จะมาลงพื้นที่ และที่สำคัญได้เข้าใจนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีตามครรลอง ของกฎหมายซึ่งเอกอัครราชทูตหลายประเทศได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าพร้อมจะให้ความช่วยเหลือในเรื่องการ ศึกษาและเรื่องอื่น ๆ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มากขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||
2736 | การปรับเพิ่มอัตราเงินตอบแทนตำแหน่ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ | มท | 04/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพ วิธีการ
เข้าสู่ตำแหน่ง และวาระการดำรงตำแหน่ง รวมทั้งการประเมินผลการทำงานของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โดยวิธีการ เข้าสู่ตำแหน่งของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ควรมาจากการเลือกของประชาชน ส่วนวาระการดำรงตำแหน่งควรมีความ ต่อเนื่องในการปฏิบัติงาน ให้ดำรงตำแหน่งคราวละ 10 ปี และให้มีการประเมินผลการทำงานทุก ๆ 5 ปี หาก ผ่านเกณฑ์ประเมิน ให้ดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีกไม่เกิน 5 ปี รวมระยะเวลาอยู่ในตำแหน่งคราวละไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันเข้าสู่ตำแหน่ง หากไม่ผ่านเกณฑ์ประเมิน ให้พ้นจากตำแหน่งและสามารถสมัครเข้ารับเลือกใหม่ได้ โดย ผู้ดำรงตำแหน่งจะต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการ ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยให้พิจารณาด้วยว่า การปรับ ลดจำนวนแพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ภายในระยะเวลา 5 ปี ตามหนังสือกระทรวง มหาดไทย ด่วนมาก ที่ มท 0310.2/1275 ลงวันที่ 30 มกราคม 2547 หากจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระ ราชบัญญัติดังกล่าว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ก็ให้ดำเนินการไปได้ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรอง เรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.1 (ฝ่ายความสงบเรียบร้อยและแรงงาน) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวัน มูหะมัดนอร์ มะทา) เป็นประธานกรรมการพิจารณา โดยเชิญรองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เข้า ร่วมพิจารณาด้วย และให้ปรับเพิ่มอัตราเงินค่าตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สาร วัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ โดยให้ปรับเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2547 เป็นต้นไป ดังนี้ กำนัน 4,000 บาทต่อเดือน ผู้ใหญ่บ้าน 3,000 บาทต่อเดือน แพทย์ประจำ ตำบล สารวัตรกำนัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 2,000 บาทต่อเดือน โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการ พัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ทั้งนี้ ให้ปรับลดจำนวนแพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ภายในระยะเวลา 5 ปี (1 มีนาคม 2547-30 กันยายน 2552) อย่างเข้มงวดและจริงจัง โดยจะต้องไม่กำหนด ตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นมาทดแทนการลดจำนวน ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถลดงบประมาณในด้านนี้ได้อย่างแท้ จริง นอกจากนี้ โดยที่มีการร้องเรียนอยู่เสมอว่า ผู้ปฏิบัติงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ได้รับค่า ตอบแทนในอัตราที่ไม่เหมาะสม เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานในองค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นดังกล่าว จึงมอบให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาแนวทางการเพิ่มค่าตอบแทนในลักษณะอื่นแทนการ ปรับเพิ่มค่าตอบแทนเป็นรายเดือน อาทิเช่น เงินรางวัล (bonus) จากการบริหารจัดการขององค์กรอย่างมี ประสิทธิภาพ และแนวทางการเสนอขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับความดีความชอบที่ได้ ปฏิบัติงานเป็นประโยชน์แก่ราชการว่าจะมีความเหมาะสมหรือไม่ เพียงใด โดยให้หารือรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประกอบด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2737 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) พ.ศ. 2547 | ทก | 04/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการสำรวจ
ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) พ.ศ. 2547 ของสำนักงานสถิติ แห่งชาติ ดังนี้ การใช้หรือบริโภคสินค้าชุมชน/สินค้า OTOP ประชาชนระบุว่า มีการใช้หรือบริโภคสินค้าชุมชน/ สินค้า OTOP ร้อยละ 56.9 ไม่ได้ใช้หรือบริโภค ร้อยละ 43.1 โดยในกลุ่มที่ใช้หรือบริโภค ร้อยละ 35.4 ระบุว่ามี การใช้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 18.1 ระบุว่ามีการใช้เท่าเดิม และร้อยละ 3.4 ใช้น้อยลง อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามเกี่ยว กับการคิดจะใช้สินค้าชุมชน/สินค้า OTOP ประชาชนส่วนใหญ่ระบุว่า คิดจะใช้ถึงร้อยละ 78.0 ร้อยละ 7.6 ระบุว่า ไม่คิดจะใช้ และร้อยละ 14.4 ยังไม่แน่ใจ ความยากง่ายในการหาซื้อ ในทุกภาคโดยรวมระบุว่า หาซื้อได้ง่าย ร้อย ละ 52.8 หาซื้อได้ยาก ร้อยละ 31.1 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 16.1 การทราบว่ามีเว็บไซต์สินค้าชุมชน/สินค้า OTOP และ การสั่งซื้อสินค้าทางไปรษณีย์ ผลการสำรวจ พบว่า มีประชาชนระบุว่าไม่ทราบสูงถึงร้อยละ 81 ส่วนผู้ที่ทราบมี เพียงประมาณ ร้อยละ 19 เท่านั้น คุณภาพมาตรฐานของสินค้า ร้อยละ 70.9 ระบุว่า เป็นสินค้าที่มีคุณภาพได้ มาตรฐาน ร้อยละ 29.1 ระบุว่ายังไม่ได้มาตรฐาน สำหรับการพัฒนาสินค้าชุมชน/สินค้า OTOP ให้เป็นสินค้าที่ มีคุณภาพและได้มาตรฐานเพื่อการส่งออก ร้อยละ 72.0 เห็นว่า สามารถพัฒนาได้ มีเพียงร้อยละ 5.2 ระบุว่า พัฒนาไม่ได้ และร้อยละ 22.8 ไม่แน่ใจ การใช้วัตถุดิบ/ทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่น ร้อยละ 41.4 ระบุว่า มี การนำวัตถุดิบ/ทรัพยากรมาใช้ผลิตสินค้าในระดับปานกลาง ร้อยละ 37.7 ระบุว่ามีการนำมาใช้มาก และร้อย ละ 20.9 ระบุว่า นำมาใช้น้อย และเมื่อสอบถามถึงการนำภูมิปัญญาในท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนาสินค้า ผู้ผลิต ทุกภาคโดยรวม ร้อยละ 50.0 ระบุว่า มีการนำมาใช้ในระดับปานกลาง ร้อยละ 35.6 มีการนำมาใช้มาก และ ร้อยละ 14.4 นำมาใช้น้อย ในส่วนของปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ ส่วนใหญ่ร้อยละ 83.3 ระบุว่า มี ปัญหา/อุปสรรคที่สำคัญ ได้แก่ ไม่มีตลาดจำหน่ายสินค้า ร้อยละ 63.8 แหล่งเงินทุน ร้อยละ 38.0 และขาด บุคลากรของรัฐที่ให้ความรู้ ร้อยละ 31.4 ในเรื่องประโยชน์ของโครงการ OTOP ร้อยละ 89.1 เห็นว่าเป็นโครง การที่มีประโยชน์ในระดับปานกลางถึงมาก ร้อยละ 9.0 เห็นว่า มีประโยชน์น้อย และร้อยละ 1.9 เห็นว่า ไม่มี ประโยชน์ และผลการสำรวจความพึงพอใจการดำเนินงานของรัฐบาลต่อโครงการ OTOP โดยร้อยละ 91.0 มี ความพึงพอใจต่อการดำเนินงานในระดับปานกลางถึงมาก ร้อยละ 7.3 มีความพึงพอใจน้อย และร้อยละ 1.7 ไม่พึงพอใจ ในการนี้ ผู้แสดงความคิดเห็นได้มีข้อเสนอแนะว่า ควรจัดหาตลาดจำหน่ายสินค้าภายใน/ภายนอก ประเทศ ร้อยละ 14.2 จัดหาแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการประกอบอาชีพ ร้อยละ 10.7 และจัดหาวิทยากรของรัฐมา ให้คำแนะนำ/ช่วยพัฒนาฝีมือและทักษะในการผลิต ร้อยละ 10.4
|
|||||||||||||||||||||||||||
2738 | ผลการสำรวจประเมินสถานการณ์ยาเสพติด ครั้งที่ 4 (1 พฤศจิกายน 2546 - 31 มกราคม 2547) | ยธ | 04/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการสำรวจประเมินสถานการณ์
ยาเสพติด ครั้งที่ 4 ซึ่งศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศตส.) และสำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหา นคร ได้ดำเนินการสำรวจประเมินสถานการณ์ยาเสพติด ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2546-31 มกราคม 2547 โดยดัชนีสถานการณ์ยาเสพติดในภาพรวมทั่วประเทศ จากการสำรวจความคิดเห็นของ ประชาชนพบว่า ประชาชนมีความเห็นว่าปัญหายาเสพติดเริ่มรุนแรงขึ้น จากเดิมซึ่งมีความเห็นว่า ปัญหา อยู่ในระดับเบาบาง (31.9) ได้เพิ่มสูงขึ้นจนอยู่ในระดับปานกลาง (34.5) ส่วนดัชนีสถานการณ์ยาเสพ ติดรายด้าน ด้านกลุ่มผู้ผลิต/ผู้ค้ายาเสพติด (Supply) ประชาชนในทุกภาคมีความเห็นว่า การปราบ ปรามยาเสพติดของรัฐบาลได้ผล ทำให้กลุ่มผู้ผลิต/ผู้ค้ายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชนของตนเองลดลงไป มากจนอยู่ในระดับเบาบาง ด้านกลุ่มผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด (Demand) ประชาชนในทุกภาคยังมีความ ห่วงใยปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด โดยได้แสดงความคิดเห็นว่า ในชุมชน/หมู่บ้านของตนเริ่มมีจำนวนผู้ เสพ/ผู้ติดยาเสพติดสูงขึ้นกว่าการสำรวจครั้งที่ผ่านมา ด้านกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปใช้ยาเสพติด (Potential Demand) ประชาชนในทุกภาคมีความเห็นว่า กลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปใช้ยาเสพติดมีแนวโน้มลดลงตามลำดับ แม้ว่ายังคงอยู่ในระดับปานกลาง (38.9) แต่มีแนวโน้มของสถานการณ์ที่ดีขึ้นจากเดิม (40.5) สำหรับ ความพึงพอใจของประชาชนต่อผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล (Satisfac tion) ประชาชนให้คะแนนเท่ากับ 87.6 จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ซึ่งสูงขึ้นกว่าการสำรวจครั้งที่ผ่าน มาเล็กน้อย (87.4) โดยเรียงตามลำดับมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการและประชาชนรู้สึกพอใจ คือ ด้าน การปราบปราม (86.8) ด้านการป้องกัน (83.8) และด้านการบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้เสพ/ผู้ติด ยาเสพติด (80.6) |
|||||||||||||||||||||||||||
2739 | รายงานความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองบริเวณตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี | ทส | 27/04/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าว
หน้าการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองบริเวณตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี โดยมี ผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ โดยกรมควบคุมมลพิษร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและราชการส่วนท้องถิ่น ตรวจสอบความทึบแสงของฝุ่นละอองจากโรงโม่ บดและย่อย หินในพื้นที่หน้าพระลาน 37 โรงงาน พบว่า เกินเกณฑ์มาตรฐาน 11 โรงงาน จึงแจ้งให้กรมอุตสาหกรรม พื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการตามกฎหมาย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ได้สั่งการเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2547 ให้โรงโม่ทั้ง 11 แห่ง หยุดประกอบกิจการ เพื่อปรับปรุงและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ภายใน 60 วัน ในส่วนของการตรวจสอบพื้นที่ตำบลหน้าพระลาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ และปลัดกระทรวง ฯ (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) พร้อมคณะ ได้ทำการตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว พร้อม ทั้งได้สั่งการให้กรมป่าไม้แจ้งความ ดำเนินคดีกับเหมืองแร่ที่กระทำผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ในเรื่องการบุกบุก แผ้วถางป่า และลักลอบขุด ระเบิด ย่อยหิน บริเวณตำบลหน้าพระลาน จำนวน 6 ราย รวมทั้งได้มีคำสั่งย้ายข้าราชการในพื้นที่จังหวัดสระบุรีที่เกี่ยวข้อง และตั้งคณะกรรมการ สอบข้อเท็จจริง สำหรับการติดตามตรวจสอบสถานการณ์ของฝุ่นขนาดเล็กในบรรยากาศ ได้ตรวจสอบที่ บริเวณโรงเรียนหน้าพระลานอย่างต่อเนื่อง พบว่า ความเข้มข้นของฝุ่นขนาดเล็กมีแนวโน้มลดลง ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ได้ประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีและหัวหน้าส่วนราช การที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย โดยได้สั่งการและมอบนโยบายให้จังหวัดสระบุรีเข้มงวดการตรวจสอบการกระทำ ความผิดให้ครบถ้วน รวมทั้งดำเนินคดีตามกฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพระราชบัญญัติการ สาธารณสุข พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียม อาวุธปืน พ.ศ. 2490 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2543 และให้รายงานมาที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ทุก สัปดาห์ |
|||||||||||||||||||||||||||
2740 | การส่งเสริมเผยแพร่พุทธศาสนา | นร | 20/04/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการส่งเสริมเผยแพร่พุทธศาสนา โดยจัด
ตั้งพุทธศาสนสถานที่มีลักษณะทำนองเดียวกับพุทธมณฑลในส่วนภูมิภาคให้แพร่หลายเพิ่มขึ้น โดยในระยะแรก ให้ขอใช้พื้นที่สวนสาธารณะ ที่วัด ที่ศาสนสมบัติกลาง ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือที่เอกชน ซึ่งยินดีให้ใช้ ประโยชน์ และสถานที่ดังกล่าวควรเป็นสวนสาธารณะที่สงบ ร่มรื่น ราษฎรใช้ออกกำลังกายได้ ประกอบพิธีการ ทางพุทธศาสนา ประชุมปรึกษาเรื่องทางศาสนา และใช้เป็นสถานที่แสดงธรรมได้ โดยรัฐจะสนับสนุนทางคณะ สงฆ์หรือท้องถิ่นในส่วนของงบประมาณ และอาจเรียกว่า อนุพุทธมณฑล พุทธอุทยาน หรืออื่นใดก็ได้ นอกจาก นี้ ควรส่งเสริมให้มีผู้ทำหน้าที่เผยแผ่ทางพระพุทธศาสนาที่มีคุณภาพให้มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นในรูปของพระธรรม กถึก องค์ปาฐกแสดงธรรม หรือแม้แต่ฆารวาสที่เคยอุปสมบท อุบาสิกา (แม่ชี) ที่มีความรู้ทางศาสนา สามารถ อธิบายเรื่องทางศาสนาและจริยธรรมแก่ประชาชนและเยาวชนได้ด้วยภาษาง่าย ๆ ทันสมัย ตรงประเด็นที่เป็น ปัญหา โดยอาจสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งซึ่งทำหน้าที่ในส่วนการศึกษาอยู่แล้วเข้ามามีบทบาท ในการฝึกอบรมวิทยากรอาสาสมัครด้วยก็ได้ ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับประเด็น ดังกล่าวไปประสานสั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินำไปรายงานต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคม เพื่อ ทราบและขอคำแนะนำเพิ่มเติม และพิจารณาดำเนินการต่อไป แล้วรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
.....