ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 137 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 2721 - 2740 จากข้อมูลทั้งหมด 3983 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2721 | กรณี นายเจริญ วัดอักษร ถูกมาตกรรม | นร | 22/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จากกรณี นายเจริญ วัดอักษร ประธาน
กลุ่มรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถูกยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ซึ่งสาเหตุของ การฆาตกรรมอาจมีความเป็นไปได้ในหลายประเด็น สมควรที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องเร่งดำเนินการ สืบสวนสอบสวนให้เกิดความกระจ่างชัดโดยเร็ว จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) รับไป เร่งรัดติดตามการดำเนินงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเรื่องดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2722 | การยกฐานะสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานระดับกรมในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี | นร | 22/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการการ
กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอให้ถอนร่างพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการ กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติโอนอำนาจหน้าที่และกิจการบริหารบางส่วนของสำนัก งานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... คืนไปได้ โดยให้นำไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไข ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ภายใน 45 วัน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2723 | รายงานผลการสำรวจความต้องการของประชาชนด้านการประกอบอาชีพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ครั้งที่ 2) | กษ | 22/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเนวิน ชิดชอบ)
ประธานคณะทำงานของนายกรัฐมนตรีในการพัฒนา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (นราธิวาส ยะลา และปัตตานี) รายงานผลการสำรวจความต้องการของประชาชนด้านการประกอบอาชีพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (นรา ธิวาส ยะลา ปัตตานี และในบางอำเภอของจังหวัดสงขลา) ครั้งที่ 2 ซึ่งจากผลการสำรวจครัวเรือนที่สำรวจ แล้ว 230,553 ครัวเรือน แยกเป็น จังหวัดนราธิวาส 80,429 ครัวเรือน จังหวัดปัตตานี 68,087 ครัวเรือน จังหวัดยะลา 48,570 ครัวเรือน และจังหวัดสงขลา 33,467 ครัวเรือน พบว่า ร้อยละ 0.42 ต้องการรถแม็คโคร สำหรับขุดบ่อ/ขยายแหล่งน้ำ สร้างปะการังเทียม และต้องการให้เกิดความสงบและปลอดภัยในพื้นที่ ร้อยละ 7.87 ต้องการให้แก้ปัญหาหนี้สิน เงินทุนประกอบอาชีพ และพักชำระหนี้/ลดดอกเบี้ยธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ร้อยละ 0.51 ต้องการระบบไฟฟ้า ร้อยละ 73.54 ต้องการระบบชลประทาน การพัฒนาอาชีพประมง ปศุสัตว์ การปรับปรุงและบำรุงรักษาดิน การสนับสนุนพันธุ์พืช การฝึกอบรมและสนับ สนุนปัจจัยการผลิตพืช การตั้งสหกรณ์ในหมู่บ้าน ที่ทำกิน/ที่อยู่ การประกันราคายางและปาล์มน้ำมัน ร้อยละ 0.003 ต้องการให้สร้างท่าเทียบเรือ ร้อยละ 0.40 ต้องการระบบโทรศัพท์ ร้อยละ 0.15 ต้องการให้ปรับปรุง และสร้างสนามกีฬา สนับสนุนการกีฬา ตลอดจนจัดแข่งขันกีฬา ร้อยละ 0.08 ต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ท ร้อยละ 0.14 ต้องการน้ำมันดีเซลราคาถูก ร้อยละ 1.37 ต้องการเงินทุนซ่อมแซมและต่อเติม บ้านที่อยู่อาศัย เงินช่วยเหลือคนชรา และคนพิการ ร้อยละ 1.39 ต้องการเครื่องอุปโภคบริโภค โรงสีข้าว การ จัดหาตลาดรองรับผลผลิต การประกันราคาผลผลิต และลดค่าครองชีพ ร้อยละ 0.83 ต้องการตั้งกลุ่มแม่ บ้านศูนย์พัฒนาเด็กและเยาวชน สร้างถนนสำหรับขนส่งผลผลิต OTOP สร้างหอกระจายข่าวและศาลาอเนก ประสงค์ ร้อยละ 5.65 ต้องการให้เพิ่มค่าจ้างรายวันขั้นต่ำ สร้างงานในท้องที่ จักรเย็บผ้าและอุปกรณ์เย็บผ้า การฝึกอบรมวิชาชีพต่าง ๆ ร้อยละ 0.04 ต้องการให้สร้างมัสยิดและเมรุ ตลอดจนฝึกอบรมด้านวัฒนธรรมและ สังคม ร้อยละ 6.27 ต้องการรถจักรยาน ทุนการศึกษา รถรับส่งนักเรียน วัสดุอุปกรณ์การเรียน การสร้าง โรงเรียน การอบรมภาษาอังกฤษ และห้องสมุด ร้อยละ 0.08 ต้องการให้เพิ่มค่าตอบแทนอาสาสมัคร และ สวัสดิการการรักษาโรค ร้อยละ 0.02 ต้องการเข้าร่วมโครงการพระราชดำริ ร้อยละ 0.91 ต้องการท่อระบาย น้ำระบบน้ำประปา การปรับปรุงและบำรุงน้ำ แก้ปัญหาน้ำเสีย ยกร่องและขยายแหล่งน้ำ และสร้างสะพานข้าม แม่น้ำลำคลอง และร้อยละ 0.32 ต้องการให้ตั้งโรงงานในท้องที่เพื่อสร้างงานในท้องถิ่น และประกันราคาอ้อย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2724 | การขออนุมัติโครงการพัฒนาระบบบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของกรุงเทพมหานคร | มท | 22/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอโครงการพัฒนาระบบบริหารและ เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของกรุงเทพมหานคร และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดย ให้รับความเห็นของส่วนราชการและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง และความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการ ด้วย โดยในส่วนของคณะรัฐมนตรีมีความเห็นว่า การจัดตั้งสถาบันหรือศูนย์ฝึกอบรมการดับเพลิงและบรร เทาสาธารณภัย หรือโรงเรียนดับเพลิงที่จะจัดตั้งขึ้น ให้เป็นหน่วยงานในสังกัดของกรมป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ให้กรุงเทพมหานครมีส่วนร่วมในการพิจารณาดำเนินการตั้งแต่ต้น เพื่อ ให้การจัดตั้งหน่วยงานดังกล่าวสามารถรองรับภารกิจของกรุงเทพมหานครในฐานะที่จะเป็นผู้ใช้บริการจาก หน่วยงานดังกล่าวเป็นส่วนใหญ่ได้ ทั้งนี้ การขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลออสเตรีย โดยการจัดทำการ ค้าต่างตอบแทน (Counter Trade) ให้ขอรับความช่วยเหลือเท่าที่จำเป็นเท่านั้น โดยในส่วนของอาคาร หาก จำเป็นต้องดำเนินการก่อสร้างเพิ่มเติมจากที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีอยู่แล้ว ให้แยกออกจาก การขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลออสเตรีย และให้ดำเนินการโดยใช้งบจากเงินงบประมาณของฝ่ายไทย เอง สำหรับวัสดุ อุปกรณ์ ครุภัณฑ์ ยานพาหนะต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ และที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ภายใต้การดำเนินการโครงการนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร และกรมป้องกันและบรร เทาสาธารณภัย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมกันสำรวจตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ โดยเฉพาะในเรื่อง ความจำเป็นและจำนวนที่จะต้องจัดหาให้ชัดเจน และถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง ทั้งในส่วนที่ฝ่ายไทยมีอยู่แล้ว และ ส่วนที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยให้นำเข้าเฉพาะส่วนที่จำเป็นและที่ไม่มีหรือที่ไม่สามารถผลิตได้เองใน ประเทศเท่านั้น และให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ คณะ กรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสัดส่วน และจำนวนเงินอุดหนุนของรัฐบาลต่อกรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการดังกล่าว ซึ่งจะต้องผูกพันงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549-พ.ศ. 2553 ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการการทำการค้าต่างตอบแทน (Counter Trade) กับรัฐบาลออสเตรีย สำหรับโครงการ ฯ โดยประสานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2546 เรื่อง การดำเนินการถ่ายโอนภารกิจของกองบังคับการตำรวจ ดับเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปอยู่ในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครให้แล้วเสร็จครบถ้วน โดย เร็ว โดยในส่วนของวัสดุ อุปกรณ์ และยานพาหนะบางส่วนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังคงเก็บไว้ใช้ในภาร กิจการป้องกันและระงับอัคคีภัย ให้โอนไปให้กรุงเทพมหานครทั้งหมด และให้กรุงเทพมหานครเป็นหน่วย งานรับผิดชอบภารกิจการป้องกันและระงับอัคคีภัยในกรุงเทพมหานครเพียงหน่วยงานเดียว และมอบให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประสานและติดตามการดำเนินการให้เรียบร้อยและแล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2725 | รายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง บริเวณหน้าพระลาน จังหวัดสระบุรี | มท | 15/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่น
ละอองบริเวณหน้าพระลาน จังหวัดสระบุรี โดยในส่วนของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ดำเนิน การเฝ้าระวังมิให้มีการทำเหมืองผิดกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 และจัดทำโครงการแก้ไข ปัญหาฝุ่นละอองบริเวณหน้าพระลานบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษของกระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่วนผลการปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองของจังหวัดสระบุรี ได้ดำเนิน การตรวจสอบดำเนินคดีเกี่ยวกับการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสั่งการโรงงานโม่ บด และย่อย หินระงับการเดินเครื่องจักรในส่วนที่ก่อให้เกิดฝุ่นละออง และทำการปรับปรุงระบบป้องกันกำจัดฝุ่นละออง ในกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพเป็นเวลา 60 วัน จนถึงวันที่ 17 พฤษภาคม 2547 ได้สั่งให้โรงงาน ระงับการเดินเครื่องจักรแล้ว จำนวน 31 แห่ง และได้สั่งการให้โรงงานโม่ บด และย่อยหิน แก้ไขปรับปรุง ระบบ โดยเสนอแผนการจัดการฝุ่นละออง การจัดทำลานล้างล้อรถยนต์ การทำความสะอาดเครื่องจักร การทำแนวคันดินปลูกต้นไม้ ติดตั้งมาตรวัดปริมาณการใช้น้ำ ระงับปรับปรุงการใช้ถนนภายในโรงงาน ซึ่ง นับแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2547 ถึงวันที่ 17 พฤษภาคม 2547 ได้สั่งให้โรงงานแก้ไขปรับปรุงแล้ว รวม 27 แห่ง นอกจากนี้ ยังได้จัดทำแผนฟื้นฟูเหมืองหินรกร้างบริเวณหน้าพระลาน เพื่อนำไปประกอบการจัดทำ แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ จะดำเนินการให้แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2547 และดำเนินการ ตรวจสอบ ควบคุมการใช้วัตถุระเบิดในกิจการโม่ บด และย่อยหิน ของสถานประกอบการ โดยได้มีการแต่ง ตั้งคณะกรรมการควบคุมดูแลการใช้วัตถุระเบิด และให้นายทะเบียนท้องที่ตรวจสอบ ควบคุมปริมาณการ ใช้ การขนย้าย การเก็บรักษา ให้เป็นไปตามที่ทางราชการอนุญาตโดยเคร่งครัดทั้งต้นทางและปลายทาง (กรณีขนย้าย) ให้ถูกต้องตรงกัน และกำชับให้อำเภอท้องที่ ตรวจสอบ ควบคุมให้มีการระเบิดหินของ เหมืองหินต่าง ๆ ให้ตรงตามเวลาที่กำหนด (ในแต่ละวัน) เพื่อไม่ให้ราษฎรเดือดร้อน พร้อมกับได้กำหนด ให้อำเภอท้องที่จัดทำแผนการตรวจสอบการใช้วัตถุระเบิดสำหรับกิจการโรงโม่ บด และย่อยหิน ให้เป็นที่ ชัดเจน และสามารถตรวจสอบได้ และมีการตั้งด่านตรวจสภาพยานพาหนะและการขนส่งมิให้มีการทำ วัสดุร่วงหล่นและเกิดฝุ่นละอองบนพื้นถนน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2726 | 1.1 กระทู้ถามที่ 874 ร. เรื่อง การปรับปรุงโครงสร้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทย 1.2 กระทู้ถามที่ 1017 ร. เรื่อง การส่งเสริมและพัฒนาการเมืองการปกครองท้องถิ่น 1.3 กระทู้ถามที่ 1334 ร. เรื่อง ลานกีฬาหมู่บ้าน 1.4 กระทู้ถามที่ 1339 ร. เรื่อง การแยกเก็บและกำจัดขยะเปียก ขยะแห้งเพื่อแก้ปัญหาโรคระบาดและกลิ่นเหม็นรบกวนประชาชน | สผ | 15/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอคำตอบกระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎร รวม 4 เรื่อง ได้แก่ คำตอบกระทู้ถามที่ 874 ร. เรื่อง การปรับปรุงโครงสร้างองค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นของประเทศไทย คำตอบกระทู้ถามที่ 1017 ร. เรื่อง การส่งเสริมและพัฒนาการเมืองการปกครองท้องถิ่น คำตอบกระทู้ถามที่ 1334 ร. เรื่อง ลานกีฬาหมู่บ้าน และคำตอบกระทู้ถามที่ 1339 ร. เรื่อง การแยกเก็บและ กำจัดขยะเปียก ขยะแห้งเพื่อแก้ปัญหาโรคระบาดและกลิ่นเหม็นรบกวนประชาชน และให้ประกาศในราชกิจจา นุเบกษาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2727 | ร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....(ถูกยกเลิกโดย 10125/2549 เฉพาะเรื่องการนำบทบัญญัติในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางการปกครองฯ) | นร | 15/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้อง
ถิ่นเสนอร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ แก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่า ด้วยจราจรทางบก เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดย ให้รับความเห็นบางประการของกระทรวงคมนาคม รวมทั้งความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ปัจจุบันองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งมีพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบทับซ้อนกันอยู่ อาจมีปัญหาในการปฏิบัติตามอำนาจ หน้าที่ที่ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้กำหนดไว้ จึงควรพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ชัดเจนและควร นำหลักการเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบกทั้งหมด รวมตรวจพิจารณาเป็นร่างพระราช บัญญัติเพียงฉบับเดียว ไปพิจารณาด้วย และโดยที่พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติให้ดำเนินการถ่ายโอนภารกิจการให้บริการสาธารณะแก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภายในกำหนดเวลา และกำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์ให้รัฐทำหน้าที่ประสานความ ร่วมมือและช่วยเหลือการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งให้จัดสรรภาษี และอากร เงินอุดหนุน และรายได้อื่น ๆ ให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละ ประเภทอย่างเหมาะสมซึ่งการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ หากจะยกร่างกฎหมายฉบับหนึ่งเป็นกฎหมายกลาง เพื่อให้สอดคล้องกับการกระจายอำนาจ โดยให้รัฐมนตรีมี อำนาจตั้งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเป็นเจ้าพนักงาน และกำหนดรายได้ ตลอดจนค่าธรรมเนียมได้ แทนการแก้ไขเพิ่ม เติมเป็นรายฉบับน่าจะเหมาะสมกว่า จึงให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับประเด็นดังกล่าวไปพิจารณา หากเห็นว่าสามารถดำเนินการตามแนวทางนี้ได้ก็ให้ยกร่างกฎหมายดังกล่าวขึ้น แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรี โดย ให้ประสานงานกับคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย นอกจากนี้ ร่างพระ ราชบัญญัติต่าง ๆ ของกระทรวงและหน่วยงานภาครัฐ บางฉบับเป็นร่างกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ฝ่าฝืนมีความผิด ทางอาญาและมีบทกำหนดโทษ ในกรณีที่เป็นความผิดเพียงเล็กน้อยและมีโทษปรับ หากจะต้องดำเนินคดีในทาง อาญาอาจเป็นความยุ่งยากและไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันจึงควรที่กระทรวงและหน่วยงาน ภาครัฐที่เกี่ยวข้องและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะได้พิจารณานำบทบัญญัติในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ส่วนที่ 8 การบังคับทางปกครองซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับการยึดหรืออายัดทรัพย์ สินและขายทอดตลาดเพื่อชำระเงิน ตามมาตรา 57, 58 และมาตรา 61 ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2542) และฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2542) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติดังกล่าว มาใช้บังคับหรือปรับ ปรุงกฎหมายให้สามารถนำมาตรการดังกล่าวมาใช้บังคับให้มากยิ่งขึ้น น่าจะมีความเหมาะสมมากกว่า |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2728 | ร่างพระราชบัญญัติหอพัก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 15/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติหอพัก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่ประธานกรรมการการ
กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ เพื่อแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ 2507 เพื่อ กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ในการจัดการหอพักในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น โดยที่พระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2507 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน บทบัญญัติหลายส่วนล้าสมัยและไม่สอด คล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น เมื่อจะแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติในประเด็นตามที่ เสนอมานี้ สมควรจะได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติทั้งฉบับเสียในคราวเดียวกัน จึงมอบให้กระทรวงการพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับร่างพระราชบัญญัติหอพัก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปพิจารณาดำเนินการ โดย รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วย ดังนี้ คำนิยาม "หอพัก" ตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันไม่ ชัดเจนและมีปัญหาในทางปฏิบัติมาก สมควรพิจารณาปรับปรุงให้เกิดความชัดเจนและสอดคล้องกับสภาพสังคม ในปัจจุบันด้วย ทั้งนี้ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้น ตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่ แถลงไว้ต่อรัฐสภา จึงสมควรต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2729 | ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบการจอดยานยนต์ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร | 15/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบการจอดยานยนต์ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... โดยมี สาระสำคัญคือ ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบการจอดยานยนต์ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดย ยกเลิกพระราชบัญญัติจัดระเบียบการจอดยานยนต์ในเขตเทศบาลและสุขาภิบาล พ.ศ. 2503 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นบางประการของ กระทรวงคมนาคมไปพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอ สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป และโดยที่พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติให้ดำเนินการถ่ายโอนภารกิจการให้บริการสาธารณะแก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภายในกำหนดเวลา และกำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์ให้รัฐทำหน้าที่ประสาน ความร่วมมือและช่วยเหลือการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งให้จัดสรร ภาษีและอากร เงินอุดหนุน และรายได้อื่น ๆ ให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ ละประเภทอย่างเหมาะสมซึ่งการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลาย ฉบับ หากจะยกร่างกฎหมายฉบับหนึ่งเป็นกฎหมายกลาง เพื่อให้สอดคล้องกับการกระจายอำนาจ โดยให้ รัฐมนตรีมีอำนาจตั้งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเป็นเจ้าพนักงาน และกำหนดรายได้ ตลอดจนค่าธรรมเนียมได้ แทนการ แก้ไขเพิ่มเติมเป็นรายฉบับน่าจะเหมาะสมกว่า จึงให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับประเด็นดังกล่าวไป พิจารณา หากเห็นว่าสามารถดำเนินการตามแนวทางนี้ได้ก็ให้ยกร่างกฎหมายดังกล่าวขึ้น แล้วนำเสนอคณะ รัฐมนตรี โดยให้ประสานงานกับคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย นอก จากนี้ ร่างพระราชบัญญัติต่าง ๆ ของกระทรวงและหน่วยงานภาครัฐ บางฉบับเป็นร่างกฎหมายที่กำหนดให้ ผู้ฝ่าฝืนมีความผิดทางอาญาและมีบทกำหนดโทษ ในกรณีที่เป็นความผิดเพียงเล็กน้อยและมีโทษปรับ หากจะ ต้องดำเนินคดีในทางอาญาอาจเป็นความยุ่งยากและไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน จึงควร ที่กระทรวงและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะได้พิจารณานำบทบัญญัติ ในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ส่วนที่ 8 การบังคับทางปกครอง ซึ่งบัญญัติเกี่ยว กับการยึดหรืออายัดทรัพย์สินและขายทอดตลาดเพื่อชำระเงิน ตามมาตรา 57, 58 และมาตรา 61 ประกอบ กับกฎกระทรวง ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2542) และฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2542) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติดัง กล่าวมาใช้บังคับหรือปรับปรุงกฎหมายให้สามารถนำมาตรการดังกล่าวมาใช้บังคับให้มากยิ่งขึ้น น่าจะมีความ เหมาะสมมากกว่า |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2730 | รายงานผลการตรวจราชการ | มท | 08/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการตรวจราชการในพื้นที่จังหวัด
มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และขอนแก่น ระหว่างวันที่ 5 และ 6 มิถุนายน 2547 ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย ซึ่งในการตรวจราชการดังกล่าวได้มีการประชุมเน้นย้ำนโยบายสำคัญของรัฐบาล และกระทรวง มหาดไทย ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่ บ้าน และผู้บริหารองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ในเรื่องโครงการหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล การแก้ไขปัญหา สังคมและยากจนเชิงบูรณาการ ระบบบริหารราชการจังหวัดแบบบูรณาการ การแก้ไขปัญหายาเสพติด การ แก้ไขปัญหาผู้มีอิทธิพล และการประหยัดพลังงาน รวมทั้งตรวจเยี่ยมผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญ ของรัฐบาล และรับทราบปัญหาความต้องการของประชาชน อาทิ การเยี่ยมชมผลการดำเนินงานหมู่บ้าน ชุมชนเข้มแข็งเศรษฐกิจพอเพียง เครือข่ายกลุ่มอาชีพเพาะเห็ด ขนมจีน สมุนไพร ปุ๋ยชีวภาพ และการทอผ้า ซึ่งเป็นตัวอย่างของกิจการที่สอดคล้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกันเป็นวงจรกล่าวคือ การผลิตสินค้าประเภทหนึ่ง โดยนำผลของการผลิตผลิตภัณฑ์อีกประเภทหนึ่งมาใช้เป็นวัตถุดิบ และการตรวจสภาพพื้นที่ตำบลหนองกุง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งราษฎรได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากภาวะน้ำท่วมในแต่ละปี โดยถึงฤดู น้ำหลากน้ำจะท่วมเส้นทางคมนาคมเข้าบ้านบึงกลางเป็นระยะเวลาประมาณ 3 - 4 เดือนของทุกปี เป็น ผลให้ราษฎร 120 ครัวเรือนเดือดร้อน แนวทางในการแก้ไขปัญหา ควรจัดทำโครงการก่อสร้างสะพานและ ถนน ใช้งบประมาณ 10 ล้านบาทเศษ ซึ่งโครงการดังกล่าวอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2731 | ความก้าวหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหา | กษ | 01/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความก้าวหน้าในการดำเนิน
การแก้ไขปัญหาลิ้นจี่ ปี 2547 โดยได้สนับสนุนเงินชดเชยค่าขนส่งแก่สถาบันเกษตรกรในการกระจายลิ้นจี่ ไปยังตลาดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2547 ได้ดำเนินการกระจายลิ้นจี่ไปแล้ว จำนวน 7,722 ตัน และได้ดำเนินการรับซื้อลิ้นจี่คุณภาพดี ชนิดเกรด A ในราคา 15 บาท เพื่อกระจายไปสู่ตลาด ใหม่ โดยอาศัยเครือข่ายของกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งได้เน้นตลาดในระดับอำเภอ และตำบล ในพื้นที่ 59 จังหวัด โดย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2547 ได้ดำเนินการกระจายลิ้นจี่ไปแล้ว จำนวน 3,002.64 ตัน รวมทั้ง รับซื้อลิ้นจี่คุณภาพเกรด A ในราคา 15 บาท ในท้องถิ่น เพื่อให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรนำไปบรรจุ กระป๋อง ทั้งนี้ ผลการดำเนินการดังกล่าวทำให้ราคาลิ้นจี่ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคารับซื้อในท้องถิ่น ชนิดเกรด A อยู่ในระดับ 10-11 บาทต่อกิโลกรัม และราคาค้าส่งที่กรุงเทพ ฯ อยู่ในระดับ 15-16 บาทต่อกิโลกรัม ในส่วนของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจแปรรูปลิ้นจี่เพื่อบรรจุกระป๋องได้เพิ่มปริมาณการรับซื้อลิ้นจี่ ชนิดเกรด A ใน ท้องถิ่น และรับซื้อในระดับ 10-13 บาทต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ ยังทำให้สามารถรักษาเสถียรภาพของ ราคาลิ้นจี่ จากราคาที่ตกต่ำ ในช่วงวันที่ 10-11 พฤษภาคม 2547 ราคาต่ำสุด 11-12 บาทต่อกิโลกรัม ที่ ตลาดค้าส่งกรุงเทพ ฯ ให้คงเสถียรภาพในระดับราคา 14-16 บาทต่อกิโลกรัม และในตลาดท้องถิ่น ซึ่งมี ราคาต่ำสุด 5-6 บาทต่อกิโลกรัม ให้คงเสถียรภาพในระดับราคา 10-12 บาทต่อกิโลกรัม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2732 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การฝากเงินของกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์การและบริษัทต่าง ๆ ของรัฐบาล | คค | 01/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ อนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือกรมสารบรรณคณะรัฐมนตรีฝ่ายบริหารเกี่ยวกับการฝากเงินของกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์การและบริษัทต่าง ๆ ของรัฐบาล รวม 9 ฉบับ เนื่องจากมีระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่ง คลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2520 ระเบียบว่าด้วยการบัญชีและการเงินของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2520 ข้อบังคับว่า ด้วยวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับการเงินขององค์การ พ.ศ. 2495 และข้อบังคับว่าด้วยการฝากเงินและถอนคืนเงินต่อ กระทรวงการคลัง พ.ศ. 2495 กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ และเห็นชอบหลักเกณฑ์การฝากเงินของรัฐ วิสาหกิจ องค์การ บริษัทต่าง ๆ ของรัฐบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้โรงงานหรือองค์การของรัฐบาลส่งรายได้ทุกประเภทต่อกระทรวงการคลังโดยเคร่งครัด หากมีความ จำเป็นที่จะสงวนไว้เป็นทุนหมุนเวียน และหรือการลงทุนขยายงาน ก็ให้ฝากไว้กับธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ และให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบให้เป็นไปโดยเคร่งครัดด้วย กับให้รัฐวิสาหกิจที่นำเงินกองทุน สงเคราะห์ไปแสวงหาประโยชน์ไม่ว่ารัฐวิสาหกิจจะกำหนดข้อบังคับหรือระเบียบไว้ประการใด ให้กระทำได้แต่ โดยการซื้อพันธบัตรของรัฐบาลหรือฝากธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจเท่านั้น ห้ามมิให้นำเงินกองทุน ฯ ไปให้ นิติบุคคลที่เป็นเอกชนหรือบุคคลภายนอกกู้ยืมโดยเด็ดขาด สำหรับรัฐวิสาหกิจใดที่ได้กระทำไปก่อนแล้ว เมื่อ ถึงกำหนดตามสัญญาให้เรียกเงินคืนให้เป็นการเสร็จสิ้นไป อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องนำเงินกองทุน ฯ ให้พนักงานของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ กู้ยืม ผ่อนผันให้กระทำได้ แต่การให้กู้ยืมจะต้องมีหลักทรัพย์และหรือบุคคล ค้ำประกัน ทั้งนี้ แล้วแต่จะจำกัดวงเงินที่เห็นสมควร และจะต้องคิดดอกเบี้ยไม่น้อยกว่าที่รัฐวิสาหกิจต้องจ่าย ดอกเบี้ยเงินสะสม (หรือเงินทุนประเภท 1) ให้แก่พนักงาน นอกจากนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำเงินมาฝากกับธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ยกเว้นกรณีที่ธนาคารที่เป็นรัฐวิสาห กิจไม่สามารถรับดำเนินการให้บริการได้ หรือไม่มีธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจในพื้นที่ ให้เสนอกระทรวงการ คลังพิจารณาผ่อนผันให้ใช้บริการของธนาคารพาณิชย์อื่นได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2733 | กระทู้ถามนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบคำตอบแล้ว จำนวน 3 เรื่อง 1.1 กระทู้ถามที่ 1105 ร. เรื่อง ส่งเสริมการเลี้ยงอูฐ 1.2 กระทู้ถามที่ 1309 ร. เรื่อง ส่งเสริมการท่องเที่ยวไร่องุ่น จังหวัดชัยภูมิ 1.3 กระทู้ถามที่ 1315 ร. เรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยว "ดอกกระเจียวบาน" จังหวัดชัยภูมิ | นร | 01/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามของนายนิยม
วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี รวม 3 เรื่อง ได้แก่ กระทู้ถามที่ 1105 ร. เรื่อง ส่งเสริมการ เลี้ยงอูฐ กระทู้ถามที่ 1309 ร. เรื่อง ส่งเสริมการท่องเที่ยวไร่องุ่น จังหวัดชัยภูมิ และกระทู้ถามที่ 1315 ร. เรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยว "ดอกกระเจียวบาน" จังหวัดชัยภูมิ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดย สาระสำคัญของคำตอบกระทู้ถามดังกล่าวสรุปได้ดังนี้ คำตอบกระทู้ถามที่ 1105 ร. กรมปศุสัตว์ได้มีการนำอูฐ เข้ามาในประเทศไทยเพื่อการทำวิจัยเมื่อปี พ.ศ. 2538 ซึ่งผลการวิจัยพบว่า การผลิตอูฐภายใต้สภาพแวดล้อม ภูมิอากาศของประเทศไทย สามารถเลี้ยงและขยายพันธุ์ได้เช่นเดียวกับการเลี้ยงในแถบทะเลทราย สำหรับโครง การวิจัยเพื่อการผลิตอูฐในประเทศไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาค้นคว้าเพื่อหาแนวทางและความเป็นไปได้ใน การส่งเสริมการเลี้ยงให้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ คำตอบกระทู้ถามที่ 1309 ร. การพัฒนาไร่องุ่นให้เป็นแหล่งท่อง เที่ยวของจังหวัดชัยภูมิ ให้มีความสะดวกสบายและเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด รัฐบาลโดยการท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทยยินดีที่จะประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวไร่องุ่น จังหวัดชัยภูมิ ให้เป็นที่รู้จักแก่ประชาชนในวงกว้างต่อ ไป อย่างไรก็ตาม การพัฒนาไร่องุ่นให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และการสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด ชัยภูมิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถตั้งงบประมาณเสนอโครงการพร้อมรายละเอียดที่จะขอรับการสนับ สนุนต่อคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัด และเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นชอบ ก็จะเสนอ โครงการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาคัดเลือกตามหลักเกณฑ์ของโครงการงบประมาณเชิงบูรณา การเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยว พ.ศ. 2547-พ.ศ. 2549 ต่อไป ส่วนกระทู้ถามที่ 1315 ร. รัฐบาลมีนโยบาย ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัดชัยภูมิ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จังหวัดได้ส่งแผนงาน/โครงการเพื่อ ขอรับการสนับสนุนเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ส่วนการจัดงานเทศกาลท่องเที่ยว ดอกกระเจียวบาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จังหวัดชัยภูมิ โดยผู้ว่าราชการจังหวัด (CEO) ได้มอบหมาย ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิเป็นเจ้าภาพจัดงานร่วมกับอุทยานแห่งชาติป่าหินงามและกรมป่าไม้ อำเภอ เทพสถิต ตำรวจ เทศบาลตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบลทุกแห่งในพื้นที่อำเภอเทพสถิต หอการค้า จังหวัดชัยภูมิ และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชัยภูมิ โดยมีการแบ่งความรับผิดชอบหลัก ดังนี้ งานประชาสัมพันธ์ แถลงข่าวติดตั้งป้าย มอบหมายให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ เป็นผู้รับผิดชอบ งานพิธีเปิด มอบหมาย ให้หอการค้าจังหวัดชัยภูมิ และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชัยภูมิ เป็นผู้รับผิดชอบ งานการเจรจาและการอำนวย ความสะดวกอื่น ๆ มอบหมายให้ตำรวจ เทศบาลตำบล องค์การบริหารส่วนตำบล และอำเภอเทพสถิตเป็นผู้รับ ผิดชอบ และงานสถานที่มอบหมายให้อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม และกรมป่าไม้ เป็นผู้รับผิดชอบ สำหรับกรณี ที่จะให้กองทัพภาคที่ 2 มาร่วมกันเพื่อสนับสนุนส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวก็จะมีส่วนสำคัญที่จะ ให้มีการประชาสัมพันธ์ แ ละมีกิจกรรมเพิ่มเพื่อเสริมสร้างให้มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้นโดยอาจ มีการเพิ่มกิจกรรมต่าง ๆ ของกองทัพภาคที่ 2 เข้ามาเสริมในงาน เช่น กิจกรรมการโดดร่ม การจัดนิทรรศการ แสดงยุทโธปกรณ์ในงาน เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2734 | นายประสาน ยุวานนท์ ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ป่าไม้ในลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ซึ่งซ้อนทับพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม เพื่อทำเหมืองแร่ ท้องที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา | อก | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติผ่อนผันให้ใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ (ซ้อนทับพื้นที่ป่า เพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม) เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่ 9/2545 ของนายประสาน ยุวานนท์ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้นายประสาน ฯ ปฏิบัติตามเงื่อนไขมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม แห่งชาติในคราวประชุมครั้งที่ 1/2547 วันที่ 8 มกราคม 2547 อย่างเคร่งครัด ดังนี้ กำหนดให้พื้นที่บริเวณ ด้านทิศเหนือของคำขอประทานบัตรซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้เปิดการทำเหมือง เนื้อที่ 36 ไร่ ให้เป็นพื้นที่เว้นการ ทำเหมือง (Buffer Zone) เพื่อป้องกันผลกระทบทางด้านทัศนียภาพจากแนวทางหลวงหมายเลข 2 (ถนน มิตรภาพ) และให้ผู้ประกอบการเร่งดำเนินการปรับปรุงเส้นทางขนส่งแร่ จากพื้นที่คำขอประทานบัตรไปยัง โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ของ บริษัท สามัคคีซีเมนต์ จำกัด ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องทันทีหลังจากได้รับการ อนุญาตประทานบัตร เพื่อลดผลกระทบจากฝุ่นละออง รวมทั้งให้คณะทำงานเฉพาะกิจ ฯ ซึ่งแต่งตั้งภาย ใต้คณะอนุกรรมการพิจารณารายงานการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อประกอบการขออนุมัติผ่อนผันการใช้ ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อการทำเหมืองแร่ ติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการปฏิบัติตาม มาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่ระบุไว้ในรายงานการประเมินศักยภาพ ฯ และตามข้อคิด เห็นของคณะทำงาน ฯ โดยรายงานผลให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทราบทุก 2 ปี ส่วนมาตรการ ฟื้นฟูพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมืองแร่แล้ว โดยวิธีการปลูกป่าให้ปลูกพันธุ์ไม้ท้องถิ่น และเมื่อสิ้นสุดการทำเหมือง แร่ ให้ผู้ประกอบการพัฒนาพื้นที่เป็นอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาตรความจุมากกว่า หรือเท่ากับปริมาณน้ำชั้นหินกัก เก็บได้ นอกจากนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับข้อสังเกต ตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้ ควรมีแนวปฏิบัติในการพิจารณาผ่อนผันการใช้พื้นที่ป่าไม้ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ให้มีความชัดเจนว่า ต้องมีลักษณะ พิเศษอย่างไรเพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาผ่อนผันพื้นที่แปลงอื่น ๆ ที่มีลักษณะเดียวกันต่อไป และ ให้คำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับทางเศรษฐกิจด้วย ส่วนการปฏิบัติตามเงื่อนไขของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่ง ชาติ ขอให้มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องการป้องกันปัญหาฝุ่นละอองและพื้นที่การทำเหมืองแร่ ถ้าหากพื้นที่ใดสามารถปลูกป่าได้ให้ดำเนินการทันที
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2735 | ความคืบหน้าในการหาเชื้อเพลิงทางเลือกในภาวะน้ำมันแพง | พน | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานความคืบหน้าการหาเชื้อเพลิงทางเลือกใน
ภาวะน้ำมันแพง ดังนี้ การพัฒนาและส่งเสริมก๊าซโซฮอล์ (Gasohol) กระทรวงพลังงานร่วมกับส่วนราชการและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการผลิต และจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายยุทธศาสตร์ ส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ โครงการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการส่งเสริม การใช้ก๊าซธรรมชาติในยานยนต์ (NGV) โดยมอบหมายให้ ปตท. ดำเนินการปรับปรุงรถเก่าและรถใหม่ โดย เฉพาะรถยนต์สาธารณะและรถยนต์ที่มีการใช้เชื้อเพลิงต่อวันในปริมาณมากให้มาใช้ NGV มากขึ้น รวมถึงการ ขยายสถานีบริการ NGV อย่างทั่วถึง และได้ประสานงานกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเพิ่ม แรงจูงใจให้ผู้ผลิตและประกอบรถยนต์และอุปกรณ์ใช้ก๊าซ NGV ด้านการส่งเสริมการลงทุน และการให้สิทธิ ประโยชน์ทางภาษีนำเข้าอุปกรณ์ ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือเงินทุนในการติดตั้งอุปกรณ์การใช้ก๊าซ NGV และการซื้อรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV การพัฒนาและส่งเสริมไบโอดีเซล (Biodiesel) กระทรวงพลังงานได้จัดตั้ง คณะกรรมการเพื่อกำหนดเป้าหมายการใช้ไบโอดีเซล ร้อยละ 3 ของการใช้น้ำมันดีเซลในปี พ.ศ. 2554 หรือ ประมาณวันละ 2.4 ล้านลิตร และกำหนดแผนการผลิตวัตถุดิบให้เพียงพอกับการนำมาผลิตไบโอดีเซล และ กำหนด Road Map การพัฒนาและส่งเสริมไบโอดีเซล แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 บังคับใช้เฉพาะพื้นที่เป้า หมายภายในปี พ.ศ. 2549-2553 และระยะที่ 2 บังคับใช้ทั่วประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 โดยได้ดำเนินโครง การนำร่อง 2 โครงการ ได้แก่ โครงการสาธิตการผลิตและการใช้ไบโอดีเซลเป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์รับจ้าง สองแถวในจังหวัดเชียงใหม่ ระยะเวลาดำเนินโครงการ 8 เดือน กำหนดเปิดตัวโครงการที่จังหวัดเชียงใหม่และ กรุงเทพมหานครในเดือนมิถุนายน 2547 และแผนขยายการนำระบบการผลิตไบโอดีเซล (Biodiesel plant) ระดับชุมชนสาธิตในพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านวัตถุดิบ และความร่วมมือจากองค์กรท้องถิ่นในภาคใต้ และภาค ตะวันออก และไบโอดีเซลผสมก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นการทำวิจัยเพื่อศึกษาทางเทคนิคเศรษฐกิจและผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อมของการใช้ก๊าซธรรมชาติร่วมกับไบโอดีเซลในเครื่องยนต์ดีเซล |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2736 | ขออนุมัติงบประมาณสนับสนุนสถาบันเกษตรกรเป็นผู้ผลิตลำไยบรรจุกระป๋อง | กษ | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นาย
เนวิน ชิดชอบ) เสนอเพิ่มเติมว่าจากการสำรวจข้อมูลความต้องการของสถาบันเกษตรกร กลุ่มสมาชิก และ กลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ และลำพูน พบว่า มีสถาบัน ฯ และกลุ่มต่าง ๆ แสดงความประสงค์จะ ขอเข้าร่วมโครงการผลิตลำไยบรรจุกระป๋องเพิ่มขึ้น จากเดิมประมาณ 100 แห่ง เป็นประมาณ 200 แห่ง ทำให้งบประมาณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สำหรับเป็นค่าจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ผลิตลำไยบรรจุกระป๋อง และงบ ดำเนินงานจัดฝึกอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตของกรมวิชาการเกษตรที่จะต้องขออนุมัติสำหรับการ ดำเนินการในเรื่องนี้ ปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณหนึ่งเท่าตัว และอนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ใช้เงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืน ของประเทศจำนวน 58,600,000 บาท สำหรับเป็นค่าจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ผลิตลำไยบรรจุกระป๋อง จำนวน 54,000,000 บาท โดยให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และมอบเครื่องมืออุปกรณ์ให้สถาบันเกษตรกร กลุ่มสมาชิก และกลุ่มอาชีพ ต่าง ๆ ประมาณ 200 กลุ่ม และเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดฝึกอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ลำไยบรรจุกระป๋องของกรมวิชาการเกษตรจำนวน 4,600,000 บาท และให้ขอตกลงในรายละเอียดกับ สำนักงบประมาณต่อไป รวมทั้งอนุมัติให้โอนเปลี่ยนแปลงเงินงบประมาณปีพ.ศ. 2547 ของกรมส่งเสริม สหกรณ์ จำนวน 5,000,000 บาท จากแผนงานส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์ งานส่งเสริมสหกรณ์และ กลุ่มเกษตรกร หมวดรายจ่ายอื่น รายการส่งเสริมกิจกรรมกลุ่มอาชีพ เป็นเงินอุดหนุนประเภทเงินอุด หนุนทั่วไป ให้สถาบันเกษตรกร กลุ่มสมาชิก และกลุ่มอาชีพต่าง ๆ เพื่อนำไปก่อสร้าง และ/หรือปรับ ปรุงอาคารโรงเรือน กับมอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับ สนุนเงินกู้เป็นทุนหมุนเวียนเพื่อการผลิตและค่าบริหารจัดการ ของสถาบันเกษตรกร กลุ่มสมาชิก หรือ กลุ่มอาชีพ ในวงเงินประมาณ 200 ล้านบาท และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของคณะ รัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ เพื่อให้การดำเนินการผลิตลำไยบรรจุกระป๋องเป็นไปอย่างสัมฤทธิ์ ผล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องประสานและดูแลเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นต้นทุนในการผลิตให้มี ปริมาณพอเพียงแก่ความต้องการของสถาบันเกษตรกร และมีราคาที่เหมาะสม เพื่อมิให้กระทบต่อต้นทุน การผลิต และควรสนับสนุนและดูแลเทคโนโลยี ตลอดจนกระบวนการผลิตให้เหมาะสมเช่น การคัดคุณ ภาพและเตรียมเนื้อลำไย (grading) เพื่อให้ลำไยกระป๋องที่ผลิตได้มีคุณภาพและราคาที่แข่งขันได้ และ ต้องสนับสนุนการจัดหาตลาด เพื่อสร้างช่องทางจำหน่ายสินค้าด้วย นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ควรพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการสนับสนุนให้สถาบันเกษตรสามารถผลิตอาหาร กระป๋องจากพืชชนิดอื่นในท้องถิ่นนอกเหนือจากลำไยเพื่อให้สามารถดำเนินการผลิตได้ตลอดปี เช่น ข้าว โพดอ่อน เห็ดเผาะ หน่อไม้น้ำ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2737 | ขอมาตรการในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ราชพัสดุ | กค | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1.2
(ฝ่ายความมั่นคง และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ) ที่มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการใน การแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ราชพัสดุ ประกอบด้วย มาตรการที่กำหนดให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุต้องดำเนินการ มาตร การที่กำหนดให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ต้องดำเนินการ และมาตรการเสริมที่กำหนดให้หน่วย งานอื่นให้การสนับสนุน โดยให้ปรับปรุงจากมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวที่มีอยู่เดิม จำนวน 10 มติ ได้แก่ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2532 วันที่ 21 สิงหาคม 2533 วันที่ 4 พฤษภาคม 2536 วันที่ 27 ธันวาคม 2537 วันที่ 30 พฤษภาคม 2538 วันที่ 22 เมษายน 2539 วันที่ 29 กรกฎาคม 2540 วันที่ 25 มิถุนายน 2545 วันที่ 8 เมษายน 2546 และวันที่ 3 มิถุนายน 2546 มารวมให้เป็น มติเดียว โดยให้รับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นว่า มาตรการเพิ่มเติมที่กรมธนารักษ์ กำหนดให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ครอบครองใช้ ประโยชน์ในที่ราชพัสดุต้องดำเนินการนั้น กรมธนารักษ์ควรมีเกณฑ์ปฏิบัติและกลไกในการกำกับดูแลให้ ชัดเจน เช่น การกำหนดบทบาท อำนาจ และหน้าที่ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุ และตารางเวลาสำหรับให้หน่วยงาน ผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง เป็นต้น รวมทั้งเรื่องความรับผิดชอบกรณี ที่เกิดการบุกรุกที่ราชพัสดุ ควรเป็นความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างกรมธนารักษ์และหน่วยงานผู้ครอบ ครองใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุ ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2738 | รายชื่อกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบคำตอบแล้ว จำนวน 2 เรื่อง 1.1 กระทู้ถามที่ 1142 ร. เรื่อง นโยบายและมาตรการของรัฐบาลในการส่งเสริมการอ่านหนังสือ : ศธ.มท. 1.2 กระทู้ถามที่ 1296 ร. เรื่อง นโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน : กค. | นร | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1142 ร.
เรื่อง นโยบายและมาตรการของรัฐบาลในการส่งเสริมการอ่านหนังสือ ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และกระทู้ถามที่ 1296 ร. เรื่อง นโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ของ นายนริศร ทองธิราช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบกระทู้ถามสรุปได้ดังนี้ คำตอบกระทู้ถามที่ 1142 ร. กระทรวงศึกษาธิการ โดย กรมวิชาการ ได้มีนโยบายและแผนพัฒนาหนังสือของคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ได้แก่ นโยบายใน การพัฒนาหนังสือ นโยบายในการส่งเสริมการอ่าน นโยบายส่งเสริมการผลิต การเผยแพร่ และการจำหน่าย นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมใน ชุมชน สถาบันการศึกษา และองค์กรต่าง ๆ ทั้งในท้องถิ่นและในระดับชาติ เพื่อให้มีการตื่นตัวในการอ่าน หนังสือตลอดมา โดยในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดแนวทางดำเนินการ ได้แก่ (1) การสร้าง เครือข่ายในสถานศึกษากับท้องถิ่น การสร้างเครือข่ายร่วมกับภาคเอกชนและองค์กรอื่น และการพัฒนาห้อง สมุดให้เป็นเครือข่ายการเรียนรู้ (2) การส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาการอ่าน (3) จัดโครงการปีแห่งการ ส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในมงคล วโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ 48 พรรษา ส่วนกระทรวงมหาดไทยมีนโยบายและแนวทางการส่งเสริมให้มีกิจ กรรมเพื่อให้มีการตื่นตัวในการอ่านหนังสือ โดยจัดสรรงบประมาณอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อใช้จ่ายในการจัดซื้อหนังสือ วารสาร และหนังสือประจำห้องสมุด เพื่อส่งเสริมสนับสนุนประชาชนได้มีการ อ่านหนังสือมากขึ้น และกรุงเทพมหานคร โดยสำนักการศึกษาและสำนักสวัสดิการสังคม มีนโยบายส่งเสริม การอ่าน และการเรียนรู้ของเยาวชนและประชาชนทั่วไปเพื่อให้มีการตื่นตัวในการอ่านหนังสือ สำหรับกระทู้ ถามที่ 1296 ร. หลักเกณฑ์ในการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน คือ ใช้สินทรัพย์ที่ครอบครอง หรือได้รับอนุญาต จากหน่วยงานของรัฐตามกฎหมาย เพื่อเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินเพื่อนำไปลงทุน สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างผู้ประกอบการรายใหม่ และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทั้งนี้ นโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2546 และกำหนดให้ดำเนินโครงการเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2547 ซึ่งแผนปฏิบัติการระยะยาว มีเป้าหมาย ดำเนินการ 5 ปี (พ.ศ. 2547-2551) โดยมีสำนักงานบริหารการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (องค์การมหาชน) เป็นองค์กรที่รับผิดชอบดำเนินการตามนโยบาย สำหรับหน่วยงานที่ปฏิบัติการเกี่ยวกับการแปลงสินทรัพย์ เป็นทุน แบ่งเป็นหน่วยงานดำเนินงานสินทรัพย์แต่ละประเภท และสถาบันการเงินที่ร่วมโครงการทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ได้แก่ ประเภทที่ดินและทรัพย์สินติดกับที่ดิน คือ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมที่ดิน ประเภทสัญญาเช่า คือ การเคหะแห่งชาติ กรมธนารักษ์ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประเภทหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่สาธารณะและหนัง สือรับรองอื่น ๆ คือ กรุงเทพมหานคร กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ประเภททรัพย์สินทางปัญญา คือ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ประเภทเครื่องจักร คือ กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสถาบันการเงิน เช่น ธนา คารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น และนอกจากหน่วยงานของรัฐและสถาบันการ เงินดังกล่าวแล้ว ยังมีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับสำนักงานบริหารการแปลงสิน ทรัพย์เป็นทุน (องค์การมหาชน) ดำเนินการออกแบบ จัดระบบและปรับปรุงข้อมูลให้เป็นข้อมูลสารสนเทศ และส่งผ่านระบบได้ โดยในระยะเริ่มต้นให้สำนักงานบริหารการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (องค์การมหาชน) เน้นการติดตามและประเมินผล การเผยแพร่ข้อมูล และการเชื่อมโยงกับศูนย์ปฏิบัติการของนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Center : PMOC)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2739 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ พ.ศ. .... | มท | 11/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงาน
การทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ ให้สำนักทะเบียนกลางจัดให้มีระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งเชื่อมโยงการปฏิบัติ งานการทะเบียนราษฎรของทุกสำนักทะเบียนไว้ประจำสำนักทะเบียนอำเภอทุกแห่ง พร้อมทั้งจัดให้มีระบบคอม พิวเตอร์ดังกล่าวประจำสำนักทะเบียนท้องถิ่นตามความเหมาะสม โดยอาจจัดให้มีเครื่องบริการประชาชนอเนก ประสงค์ซึ่งปฏิบัติงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อประโยชน์ในการให้บริการประชาชนตามที่เห็นสมควร และให้ นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ มีอำนาจควบคุม และดูแลการปฏิบัติงานการทะเบียน ราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนิน การต่อไปได้ ดังนี้ ในการกำหนดให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางอาจกำหนดให้สำนักทะเบียน และนายทะเบียน ปฏิบัติงานนอกวันเวลาราชการได้นั้น บทบัญญัติที่อาศัยอำนาจในการออกกฎกระทรวงมิได้กำหนดอำนาจหน้า ที่ดังกล่าวไว้แต่ประการใด และเห็นว่า เป็นเรื่องการบริหารราชการภายในหน่วยงาน ไม่สมควรกำหนดไว้ในร่าง กฎกระทรวงฉบับนี้ และตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 กำหนดให้การแก้ไขเปลี่ยนแปลง รายการในทะเบียนบ้านหรือสำเนาทะเบียนบ้านให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด แต่ ตามร่างกฎกระทรวง ฯ ได้กำหนดให้นายทะเบียนสามารถแก้ไขรายการในทะเบียนบ้านให้ถูกต้องได้เอง ซึ่งอาจ จะเกิดความไม่สอดคล้องกับระเบียบที่ผู้อำนวยการกลางกำหนดไว้ และอาจไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระ ราชบัญญัติ ฯ และให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า การนำระบบคอมพิว เตอร์มาช่วยในการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถบริการประชาชนด้านการทะเบียนราษฎรและบัตรประจำตัวประชา ชนได้ครอบคลุมทั่วประเทศ และเป็นการดำเนินการเพื่อรองรับการบูรณาการและการปฏิรูประบบการทะเบียน แห่งชาติ แต่การนำระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยในการปฏิบัติงานดังกล่าวจะต้องมีการกำหนดมาตรการควบคุมและ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือข้อมูลต่าง ๆ ในฐานข้อมูลให้มีความปลอดภัย เพื่อป้องกันมิให้มีการนำข้อมูลดัง กล่าวไปใช้ในทางที่มิชอบด้วยกฎหมาย และต้องระมัดระวังมิให้มีการนำข้อมูลไปใช้ออกบัตรประจำตัวประชาชน ปลอมด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2740 | การปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น | นร | 11/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอขอรับเรื่องการปรับปรุงกฎ
หมายว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นไปพิจารณา เนื่องจากปัจจุบันรัฐธรรมนูญกำหนดให้องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในการบริหารงานบุคคลซึ่งส่งผลให้การบริหารงานบุคคลในองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่จัดการโดยรัฐ เป็นการบริหารงานบุคคลโดยองค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น และกำหนดให้การบริหารงานบุคคลในเรื่องการโยกย้าย การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนเงินเดือน และ การลงโทษ ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ดังนั้น การเสนอร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงาน บุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... จะต้องมีบทบัญญัติที่สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และโดยที่ร่างพระ ราชบัญญัติที่สำนักนายกรัฐมนตรี ฯ เสนอ ยังมีบทบัญญัติในบางมาตราที่จะส่งผลกระทบต่อระบบราชการ เช่น ร่างมาตรา 22 กำหนดให้ประธานคณะอนุกรรมการพนักงานส่วนท้องถิ่นจังหวัด มาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จะทำให้ขาดการเชื่อมโยงโดยตรงกับผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งไม่สอดคล้องกับนโยบายสำคัญที่ต้องการให้มี ผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ (CEO) เป็นต้น ประกอบกับขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตั้งคณะกรรม การพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงกฎหมายว่าด้วย ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นด้วย เพื่อให้การบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ และมีระบบที่เชื่อมโยงต่อกฎหมายหลาย ๆ ฉบับ ทั้งนี้ ให้นำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณา ภายในระยะเวลา3 เดือน แล้วนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎ หมายฯ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานกรรมการพิจารณา โดยเชิญรองนายก รัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เข้าร่วมพิจารณาทั้งระบบด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
