ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 138 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 2741 - 2760 จากข้อมูลทั้งหมด 3983 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2741 | การจ้างนักเรียน/นักศึกษาในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน | นร | 11/05/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธาน
กรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอโครงการจ้างนักเรียน/นักศึกษาในช่วง ปิดภาคฤดูร้อน โดยมีเป้าหมายการจ้างนักเรียน/นักศึกษาในพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 8,000 คน และมีวัตถุประสงค์เพื่อทราบข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ และการกระจาย อำนาจให้แก่ อปท. รวมทั้งเพื่อทราบถึงบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมบริการสาธารณะ โดยให้รับ ความเห็นเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจ้างงาน นักเรียน/นักศึกษาโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามโครงการ ฯ ควรพิจารณาปรับระยะเวลาการดำเนิน งานโครงการเป็นการทำงานนอกเวลาเรียน หรือหลังจากเลิกเรียน และหากสามารถเน้นกลุ่มเป้าหมายเด็ก ที่จะจ้างทำงานพิเศษนี้ เป็นเด็กที่ครอบครัวมีฐานะยากจน ก็ช่วยตอบสนองต่อการบรรเทาปัญหาความยาก จนในชุมชนได้อีกทางหนึ่งไปพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการ ฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นใช้จ่ายจาก งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือ จำเป็น จำนวน 14,314,000 บาท |
|||||||||||||||
| 2742 | รายงานผลการจัดสัมมนา "รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 5 | นร | 11/05/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการจัดสัมมนาโครง
การ "รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 5 เมื่อวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2547 ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมีรอง นายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) เป็นประธานการสัมมนา โดยวัตถุประสงค์ของการจัดสัมมนาใน ครั้งนี้เพื่อเปิดช่องทางการสื่อสารระหว่างรัฐบาลกับสื่อมวลชนให้มากขึ้น รวมทั้งให้สื่อมวลชนในท้องถิ่นได้ รับทราบและเข้าใจแนวทางการบริหารของรัฐบาลที่ชัดเจน อันจะนำไปสู่การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ ประชาชนในภูมิภาคและท้องถิ่น สำหรับประเด็นการสัมมนา ในภาคเช้า เป็นการสัมมนาแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นในเรื่องแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างสื่อมวลชนกับหน่วยงานประชาสัมพันธ์ภาครัฐ ส่วนภาค บ่าย เป็นการพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและตอบข้อซักถามระหว่างรองนายกรัฐมนตรีและสื่อมวลชน ท้องถิ่น เกี่ยวกับนโยบายการบริหารงานของรัฐบาล และตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนท้องถิ่นร่วมกับผู้ ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการ คณะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกกระทรวง ในประเด็น ปัญหาต่าง ๆ และจากการประเมินผลการสัมมนา สื่อมวลชนส่วนใหญ่ระบุว่า ได้รับประโยชน์จากการ สัมมนามากเพราะได้รับทราบการทำงานของรัฐบาลอย่างชัดเจน สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเปิด เผย และนำเสนอปัญหาความต้องการของประชาชนในพื้นที่ให้รัฐบาลได้รับทราบโดยตรง ซึ่งทำให้ปัญหา ต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วและถูกต้อง นอกจากนี้ ยังทำให้การทำงานของสื่อมวลชนท้องถิ่นกับ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและโฆษกกระทรวงมีความใกล้ชิดเข้าใจกันมากขึ้น ส่งผลให้การประสาน การทำงานในด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเป็นไปด้วยดี ทั้งนี้ มอบ หมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับประเด็นปัญหาและข้อเสนอแนะของสื่อมวลชนท้องถิ่นไปดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||
| 2743 | คณะเอกอัครราชทูตประเทศมุสลิมทัศนศึกษาและเยี่ยมเยียนจังหวัดชายแดนภาคใต้ | มท | 11/05/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการไปทัศนศึกษาและเยี่ยมเยียน
ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของคณะเอกอัครราชทูตจากประเทศมุสลิม 12 ประเทศ ประกอบ ด้วย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บรูไนดารุสลาม บังคลาเทศ อินโดนีเซีย อิหร่าน คาซัคสถาน คูเวต โมร็อค โค โอมาน ปากีสถาน การ์ตา และซาอุดิอาระเบีย ระหว่างวันที่ 7-8 พฤษภาคม 2547 โดยกิจกรรมของ คณะเอกอัครราชทูตจากประเทศมุสลิม 12 ประเทศ ประกอบด้วย การเยี่ยมชมมัสยิดกลางปัตตานี และฟัง บรรยายสรุปสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และโครงการจัดตั้ง นิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี จากผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้ง เยี่ยมชมวิทยาลัยอิสลาม พบปะผู้นำศาสนา พบปะกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำธุรกิจ และพบปะผู้ นำสตรีและแวะชมสินค้า OTOP โดยสรุป จากการที่คณะเอกอัครราชทูตจากประเทศมุสลิม 12 ประเทศ เดิน ทางไปทัศนศึกษาและเยี่ยมเยียนประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งนี้ทำให้เข้าใจสถานการณ์ที่ เป็นจริงของพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมทั้งความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติประกอบกับ ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการอยู่อย่างสงบสุข เหตุการณ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ปรากฏตามข่าวสารที่ได้รับทราบ ก่อนที่จะมาลงพื้นที่ และที่สำคัญได้เข้าใจนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีตามครรลอง ของกฎหมายซึ่งเอกอัครราชทูตหลายประเทศได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าพร้อมจะให้ความช่วยเหลือในเรื่องการ ศึกษาและเรื่องอื่น ๆ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มากขึ้น |
|||||||||||||||
| 2744 | การปรับเพิ่มอัตราเงินตอบแทนตำแหน่ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ | มท | 04/05/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพ วิธีการ
เข้าสู่ตำแหน่ง และวาระการดำรงตำแหน่ง รวมทั้งการประเมินผลการทำงานของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โดยวิธีการ เข้าสู่ตำแหน่งของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ควรมาจากการเลือกของประชาชน ส่วนวาระการดำรงตำแหน่งควรมีความ ต่อเนื่องในการปฏิบัติงาน ให้ดำรงตำแหน่งคราวละ 10 ปี และให้มีการประเมินผลการทำงานทุก ๆ 5 ปี หาก ผ่านเกณฑ์ประเมิน ให้ดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีกไม่เกิน 5 ปี รวมระยะเวลาอยู่ในตำแหน่งคราวละไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันเข้าสู่ตำแหน่ง หากไม่ผ่านเกณฑ์ประเมิน ให้พ้นจากตำแหน่งและสามารถสมัครเข้ารับเลือกใหม่ได้ โดย ผู้ดำรงตำแหน่งจะต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการ ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยให้พิจารณาด้วยว่า การปรับ ลดจำนวนแพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ภายในระยะเวลา 5 ปี ตามหนังสือกระทรวง มหาดไทย ด่วนมาก ที่ มท 0310.2/1275 ลงวันที่ 30 มกราคม 2547 หากจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระ ราชบัญญัติดังกล่าว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ก็ให้ดำเนินการไปได้ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรอง เรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.1 (ฝ่ายความสงบเรียบร้อยและแรงงาน) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวัน มูหะมัดนอร์ มะทา) เป็นประธานกรรมการพิจารณา โดยเชิญรองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เข้า ร่วมพิจารณาด้วย และให้ปรับเพิ่มอัตราเงินค่าตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สาร วัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ โดยให้ปรับเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2547 เป็นต้นไป ดังนี้ กำนัน 4,000 บาทต่อเดือน ผู้ใหญ่บ้าน 3,000 บาทต่อเดือน แพทย์ประจำ ตำบล สารวัตรกำนัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 2,000 บาทต่อเดือน โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการ พัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ทั้งนี้ ให้ปรับลดจำนวนแพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ภายในระยะเวลา 5 ปี (1 มีนาคม 2547-30 กันยายน 2552) อย่างเข้มงวดและจริงจัง โดยจะต้องไม่กำหนด ตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นมาทดแทนการลดจำนวน ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถลดงบประมาณในด้านนี้ได้อย่างแท้ จริง นอกจากนี้ โดยที่มีการร้องเรียนอยู่เสมอว่า ผู้ปฏิบัติงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ได้รับค่า ตอบแทนในอัตราที่ไม่เหมาะสม เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานในองค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นดังกล่าว จึงมอบให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาแนวทางการเพิ่มค่าตอบแทนในลักษณะอื่นแทนการ ปรับเพิ่มค่าตอบแทนเป็นรายเดือน อาทิเช่น เงินรางวัล (bonus) จากการบริหารจัดการขององค์กรอย่างมี ประสิทธิภาพ และแนวทางการเสนอขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับความดีความชอบที่ได้ ปฏิบัติงานเป็นประโยชน์แก่ราชการว่าจะมีความเหมาะสมหรือไม่ เพียงใด โดยให้หารือรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประกอบด้วย |
|||||||||||||||
| 2745 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) พ.ศ. 2547 | ทก | 04/05/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการสำรวจ
ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) พ.ศ. 2547 ของสำนักงานสถิติ แห่งชาติ ดังนี้ การใช้หรือบริโภคสินค้าชุมชน/สินค้า OTOP ประชาชนระบุว่า มีการใช้หรือบริโภคสินค้าชุมชน/ สินค้า OTOP ร้อยละ 56.9 ไม่ได้ใช้หรือบริโภค ร้อยละ 43.1 โดยในกลุ่มที่ใช้หรือบริโภค ร้อยละ 35.4 ระบุว่ามี การใช้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 18.1 ระบุว่ามีการใช้เท่าเดิม และร้อยละ 3.4 ใช้น้อยลง อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามเกี่ยว กับการคิดจะใช้สินค้าชุมชน/สินค้า OTOP ประชาชนส่วนใหญ่ระบุว่า คิดจะใช้ถึงร้อยละ 78.0 ร้อยละ 7.6 ระบุว่า ไม่คิดจะใช้ และร้อยละ 14.4 ยังไม่แน่ใจ ความยากง่ายในการหาซื้อ ในทุกภาคโดยรวมระบุว่า หาซื้อได้ง่าย ร้อย ละ 52.8 หาซื้อได้ยาก ร้อยละ 31.1 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 16.1 การทราบว่ามีเว็บไซต์สินค้าชุมชน/สินค้า OTOP และ การสั่งซื้อสินค้าทางไปรษณีย์ ผลการสำรวจ พบว่า มีประชาชนระบุว่าไม่ทราบสูงถึงร้อยละ 81 ส่วนผู้ที่ทราบมี เพียงประมาณ ร้อยละ 19 เท่านั้น คุณภาพมาตรฐานของสินค้า ร้อยละ 70.9 ระบุว่า เป็นสินค้าที่มีคุณภาพได้ มาตรฐาน ร้อยละ 29.1 ระบุว่ายังไม่ได้มาตรฐาน สำหรับการพัฒนาสินค้าชุมชน/สินค้า OTOP ให้เป็นสินค้าที่ มีคุณภาพและได้มาตรฐานเพื่อการส่งออก ร้อยละ 72.0 เห็นว่า สามารถพัฒนาได้ มีเพียงร้อยละ 5.2 ระบุว่า พัฒนาไม่ได้ และร้อยละ 22.8 ไม่แน่ใจ การใช้วัตถุดิบ/ทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่น ร้อยละ 41.4 ระบุว่า มี การนำวัตถุดิบ/ทรัพยากรมาใช้ผลิตสินค้าในระดับปานกลาง ร้อยละ 37.7 ระบุว่ามีการนำมาใช้มาก และร้อย ละ 20.9 ระบุว่า นำมาใช้น้อย และเมื่อสอบถามถึงการนำภูมิปัญญาในท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนาสินค้า ผู้ผลิต ทุกภาคโดยรวม ร้อยละ 50.0 ระบุว่า มีการนำมาใช้ในระดับปานกลาง ร้อยละ 35.6 มีการนำมาใช้มาก และ ร้อยละ 14.4 นำมาใช้น้อย ในส่วนของปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ ส่วนใหญ่ร้อยละ 83.3 ระบุว่า มี ปัญหา/อุปสรรคที่สำคัญ ได้แก่ ไม่มีตลาดจำหน่ายสินค้า ร้อยละ 63.8 แหล่งเงินทุน ร้อยละ 38.0 และขาด บุคลากรของรัฐที่ให้ความรู้ ร้อยละ 31.4 ในเรื่องประโยชน์ของโครงการ OTOP ร้อยละ 89.1 เห็นว่าเป็นโครง การที่มีประโยชน์ในระดับปานกลางถึงมาก ร้อยละ 9.0 เห็นว่า มีประโยชน์น้อย และร้อยละ 1.9 เห็นว่า ไม่มี ประโยชน์ และผลการสำรวจความพึงพอใจการดำเนินงานของรัฐบาลต่อโครงการ OTOP โดยร้อยละ 91.0 มี ความพึงพอใจต่อการดำเนินงานในระดับปานกลางถึงมาก ร้อยละ 7.3 มีความพึงพอใจน้อย และร้อยละ 1.7 ไม่พึงพอใจ ในการนี้ ผู้แสดงความคิดเห็นได้มีข้อเสนอแนะว่า ควรจัดหาตลาดจำหน่ายสินค้าภายใน/ภายนอก ประเทศ ร้อยละ 14.2 จัดหาแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการประกอบอาชีพ ร้อยละ 10.7 และจัดหาวิทยากรของรัฐมา ให้คำแนะนำ/ช่วยพัฒนาฝีมือและทักษะในการผลิต ร้อยละ 10.4
|
|||||||||||||||
| 2746 | ผลการสำรวจประเมินสถานการณ์ยาเสพติด ครั้งที่ 4 (1 พฤศจิกายน 2546 - 31 มกราคม 2547) | ยธ | 04/05/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการสำรวจประเมินสถานการณ์
ยาเสพติด ครั้งที่ 4 ซึ่งศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศตส.) และสำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหา นคร ได้ดำเนินการสำรวจประเมินสถานการณ์ยาเสพติด ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2546-31 มกราคม 2547 โดยดัชนีสถานการณ์ยาเสพติดในภาพรวมทั่วประเทศ จากการสำรวจความคิดเห็นของ ประชาชนพบว่า ประชาชนมีความเห็นว่าปัญหายาเสพติดเริ่มรุนแรงขึ้น จากเดิมซึ่งมีความเห็นว่า ปัญหา อยู่ในระดับเบาบาง (31.9) ได้เพิ่มสูงขึ้นจนอยู่ในระดับปานกลาง (34.5) ส่วนดัชนีสถานการณ์ยาเสพ ติดรายด้าน ด้านกลุ่มผู้ผลิต/ผู้ค้ายาเสพติด (Supply) ประชาชนในทุกภาคมีความเห็นว่า การปราบ ปรามยาเสพติดของรัฐบาลได้ผล ทำให้กลุ่มผู้ผลิต/ผู้ค้ายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชนของตนเองลดลงไป มากจนอยู่ในระดับเบาบาง ด้านกลุ่มผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด (Demand) ประชาชนในทุกภาคยังมีความ ห่วงใยปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด โดยได้แสดงความคิดเห็นว่า ในชุมชน/หมู่บ้านของตนเริ่มมีจำนวนผู้ เสพ/ผู้ติดยาเสพติดสูงขึ้นกว่าการสำรวจครั้งที่ผ่านมา ด้านกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปใช้ยาเสพติด (Potential Demand) ประชาชนในทุกภาคมีความเห็นว่า กลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปใช้ยาเสพติดมีแนวโน้มลดลงตามลำดับ แม้ว่ายังคงอยู่ในระดับปานกลาง (38.9) แต่มีแนวโน้มของสถานการณ์ที่ดีขึ้นจากเดิม (40.5) สำหรับ ความพึงพอใจของประชาชนต่อผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล (Satisfac tion) ประชาชนให้คะแนนเท่ากับ 87.6 จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ซึ่งสูงขึ้นกว่าการสำรวจครั้งที่ผ่าน มาเล็กน้อย (87.4) โดยเรียงตามลำดับมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการและประชาชนรู้สึกพอใจ คือ ด้าน การปราบปราม (86.8) ด้านการป้องกัน (83.8) และด้านการบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้เสพ/ผู้ติด ยาเสพติด (80.6) |
|||||||||||||||
| 2747 | รายงานความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองบริเวณตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี | ทส | 27/04/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าว
หน้าการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองบริเวณตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี โดยมี ผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ โดยกรมควบคุมมลพิษร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและราชการส่วนท้องถิ่น ตรวจสอบความทึบแสงของฝุ่นละอองจากโรงโม่ บดและย่อย หินในพื้นที่หน้าพระลาน 37 โรงงาน พบว่า เกินเกณฑ์มาตรฐาน 11 โรงงาน จึงแจ้งให้กรมอุตสาหกรรม พื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการตามกฎหมาย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ได้สั่งการเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2547 ให้โรงโม่ทั้ง 11 แห่ง หยุดประกอบกิจการ เพื่อปรับปรุงและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ภายใน 60 วัน ในส่วนของการตรวจสอบพื้นที่ตำบลหน้าพระลาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ และปลัดกระทรวง ฯ (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) พร้อมคณะ ได้ทำการตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว พร้อม ทั้งได้สั่งการให้กรมป่าไม้แจ้งความ ดำเนินคดีกับเหมืองแร่ที่กระทำผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ในเรื่องการบุกบุก แผ้วถางป่า และลักลอบขุด ระเบิด ย่อยหิน บริเวณตำบลหน้าพระลาน จำนวน 6 ราย รวมทั้งได้มีคำสั่งย้ายข้าราชการในพื้นที่จังหวัดสระบุรีที่เกี่ยวข้อง และตั้งคณะกรรมการ สอบข้อเท็จจริง สำหรับการติดตามตรวจสอบสถานการณ์ของฝุ่นขนาดเล็กในบรรยากาศ ได้ตรวจสอบที่ บริเวณโรงเรียนหน้าพระลานอย่างต่อเนื่อง พบว่า ความเข้มข้นของฝุ่นขนาดเล็กมีแนวโน้มลดลง ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ได้ประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีและหัวหน้าส่วนราช การที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย โดยได้สั่งการและมอบนโยบายให้จังหวัดสระบุรีเข้มงวดการตรวจสอบการกระทำ ความผิดให้ครบถ้วน รวมทั้งดำเนินคดีตามกฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพระราชบัญญัติการ สาธารณสุข พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียม อาวุธปืน พ.ศ. 2490 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2543 และให้รายงานมาที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ทุก สัปดาห์ |
|||||||||||||||
| 2748 | การส่งเสริมเผยแพร่พุทธศาสนา | นร | 20/04/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการส่งเสริมเผยแพร่พุทธศาสนา โดยจัด
ตั้งพุทธศาสนสถานที่มีลักษณะทำนองเดียวกับพุทธมณฑลในส่วนภูมิภาคให้แพร่หลายเพิ่มขึ้น โดยในระยะแรก ให้ขอใช้พื้นที่สวนสาธารณะ ที่วัด ที่ศาสนสมบัติกลาง ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือที่เอกชน ซึ่งยินดีให้ใช้ ประโยชน์ และสถานที่ดังกล่าวควรเป็นสวนสาธารณะที่สงบ ร่มรื่น ราษฎรใช้ออกกำลังกายได้ ประกอบพิธีการ ทางพุทธศาสนา ประชุมปรึกษาเรื่องทางศาสนา และใช้เป็นสถานที่แสดงธรรมได้ โดยรัฐจะสนับสนุนทางคณะ สงฆ์หรือท้องถิ่นในส่วนของงบประมาณ และอาจเรียกว่า อนุพุทธมณฑล พุทธอุทยาน หรืออื่นใดก็ได้ นอกจาก นี้ ควรส่งเสริมให้มีผู้ทำหน้าที่เผยแผ่ทางพระพุทธศาสนาที่มีคุณภาพให้มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นในรูปของพระธรรม กถึก องค์ปาฐกแสดงธรรม หรือแม้แต่ฆารวาสที่เคยอุปสมบท อุบาสิกา (แม่ชี) ที่มีความรู้ทางศาสนา สามารถ อธิบายเรื่องทางศาสนาและจริยธรรมแก่ประชาชนและเยาวชนได้ด้วยภาษาง่าย ๆ ทันสมัย ตรงประเด็นที่เป็น ปัญหา โดยอาจสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งซึ่งทำหน้าที่ในส่วนการศึกษาอยู่แล้วเข้ามามีบทบาท ในการฝึกอบรมวิทยากรอาสาสมัครด้วยก็ได้ ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับประเด็น ดังกล่าวไปประสานสั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินำไปรายงานต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคม เพื่อ ทราบและขอคำแนะนำเพิ่มเติม และพิจารณาดำเนินการต่อไป แล้วรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||
| 2749 | การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | นร | 20/04/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ซึ่งควรมีการสำรวจ
แหล่งน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ แล้วพัฒนาให้เกิดความสมบูรณ์อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ บางพื้นที่อาจใช้ระบบประปาผิวดิน บางแห่งอาจจะต้องขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลแทน และโดยที่งานเจาะบ่อน้ำบาดาลเป็นงานที่ต้องถ่ายโอนงาน ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปัจจุบันส่วน ใหญ่ยังขาดความพร้อมที่จะดำเนินการ จึงให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับเรื่องนี้ไปดำเนินการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมชลประทาน และ กรมทรัพยากรธรณี เป็นต้น ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ เพื่อเร่งสำรวจพื้นที่เพื่อการ พัฒนาแหล่งน้ำผิวดิน และขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลเพิ่มเติมตามความจำเป็น ความเร่งด่วน และเหมาะสมของแต่ ละพื้นที่
|
|||||||||||||||
| 2750 | การสร้างงานและสร้างอาชีพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 20/04/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ปัญหาความยากจนของ 3 จังหวัดชายแดน
ภาคใต้ส่วนหนึ่งเกิดจากประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีงานทำ จึงต้องไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน สภาพเศรษฐกิจ ในท้องถิ่นจึงอ่อนแอ และทำให้เกิดปัญหาด้านอื่น ๆ ตามมา โดยเฉพาะกรณีที่เป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผล ประโยชน์ในท้องถิ่นและได้ปลุกระดมคนในท้องถิ่นให้ต่อต้านภาครัฐและก่อความไม่สงบขึ้น โดยใช้กลุ่มวัยรุ่นที่ ครอบครัวยากจนและติดยาเสพติดเป็นเครื่องมือ ภาครัฐจึงควรเน้นให้มีการสร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อให้มีการ จ้างแรงงาน และให้ประชาชนกลับมาประกอบอาชีพในท้องถิ่นของตนเอง ซึ่งในการสร้างงานและสร้างอาชีพ ดังกล่าวจะต้องให้เกิดประโยชน์ในระยะยาวต่อท้องถิ่น รวมทั้งสามารถทำให้เกิดรายได้อย่างยั่งยืนแก่ประชาชน ด้วย เช่น การส่งเสริมการประกอบอาชีพเพาะเห็ดชนิดต่าง ๆ การทำถนนปูนซิเมนต์ในหมู่บ้าน เป็นต้น จึง ขอให้รัฐมนตรีทุกท่านรับไปพิจารณาภายในกรอบอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานในการกำกับดูแล เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ และให้เกิดการจ้างแรงงานและรายได้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นให้มากที่สุด แล้วให้รายงานผลการ ดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๆ 2 สัปดาห์ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณจัดเตรียมงบประมาณเพื่อรองรับ การดำเนินการดังกล่าวได้ด้วย |
|||||||||||||||
| 2751 | การส่งเสริมเผยแพร่พุทธศาสนา | นร | 20/04/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการส่งเสริมเผยแพร่พุทธศาสนา โดยจัด
ตั้งพุทธศาสนสถานที่มีลักษณะทำนองเดียวกับพุทธมณฑลในส่วนภูมิภาคให้แพร่หลายเพิ่มขึ้น โดยในระยะแรก ให้ขอใช้พื้นที่สวนสาธารณะ ที่วัด ที่ศาสนสมบัติกลาง ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือที่เอกชน ซึ่งยินดีให้ใช้ ประโยชน์ และสถานที่ดังกล่าวควรเป็นสวนสาธารณะที่สงบ ร่มรื่น ราษฎรใช้ออกกำลังกายได้ ประกอบพิธีการ ทางพุทธศาสนา ประชุมปรึกษาเรื่องทางศาสนา และใช้เป็นสถานที่แสดงธรรมได้ โดยรัฐจะสนับสนุนทางคณะ สงฆ์หรือท้องถิ่นในส่วนของงบประมาณ และอาจเรียกว่า อนุพุทธมณฑล พุทธอุทยาน หรืออื่นใดก็ได้ นอกจาก นี้ ควรส่งเสริมให้มีผู้ทำหน้าที่เผยแผ่ทางพระพุทธศาสนาที่มีคุณภาพให้มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นในรูปของพระธรรม กถึก องค์ปาฐกแสดงธรรม หรือแม้แต่ฆารวาสที่เคยอุปสมบท อุบาสิกา (แม่ชี) ที่มีความรู้ทางศาสนา สามารถ อธิบายเรื่องทางศาสนาและจริยธรรมแก่ประชาชนและเยาวชนได้ด้วยภาษาง่าย ๆ ทันสมัย ตรงประเด็นที่เป็น ปัญหา โดยอาจสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งซึ่งทำหน้าที่ในส่วนการศึกษาอยู่แล้วเข้ามามีบทบาท ในการฝึกอบรมวิทยากรอาสาสมัครด้วยก็ได้ ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับประเด็น ดังกล่าวไปประสานสั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินำไปรายงานต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคม เพื่อ ทราบและขอคำแนะนำเพิ่มเติม และพิจารณาดำเนินการต่อไป แล้วรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย |
|||||||||||||||
| 2752 | (ร่าง) กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัวแบบบูรณาการ | นร | 20/04/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 (คกก.6) ที่
มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ (ร่าง) กรอบ ยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัวแบบบูรณาการ และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ใช้เป็นกรอบในการจัดทำ (ร่าง) นโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2547-2556 และแผนปฏิบัติการต่อไป โดยให้มีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน และให้สำนักงบ ประมาณสนับสนุนงบประมาณการพัฒนาสถาบันครอบครัวแบบบูรณาการ เพื่อให้การแปลงยุทธศาสตร์เป็นไป อย่างครบวงจร โดยให้รับข้อสังเกตของ คกก.6 ไปพิจารณาดำเนินการด้วยดังนี้ ขณะนี้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง มีงบประมาณประจำปีอยู่บ้างแล้ว อาจเป็นการไม่บูรณาการ แต่ขอให้ใช้งบประจำปีไปก่อน สำนักงบประมาณได้ กำหนดแนวทางในการจัดสรรงบประมาณจากวาระแห่งชาติ ซึ่งในปี พ.ศ. 2548 ได้เน้นเรื่องการเพิ่มการพัฒนา ทุนทางสังคมหากจะให้ชัดเจนควรเตรียมการวางแผนแบบบูรณาการในปี พ.ศ. 2549 โดยให้กระทรวงการพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นเจ้าภาพกำหนดเป้าหมายร่วมกันหาวิธีการจัดทำแนวทางให้บรรลุเป้าหมาย และกำหนดผลตอบแทนของแผน กำหนดหน่วยงานสนับสนุน และแต่ละกระทรวงไปกำหนดงบประมาณ ทั้งนี้ ควรมีแผนหลักของรัฐบาลเป็นแผนเดียว เมื่อพิจารณารายละเอียดของยุทธศาสตร์การพัฒนาแล้วเห็นว่าเกี่ยวข้อง กับหลายกระทรวง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ ควรจะบูรณาการในส่วน นี้ได้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับผิดชอบในเรื่องนี้อยู่แล้วก็ควรเพิ่มบทบาทบูรณาการ กับหน่วยงานอื่น ก็จะสามารถเตรียมดำเนินการปี พ.ศ. 2549 ได้ หากจะขยายไปอีก 10 ปี ก็ค่อยทำแผนต่อไป และหากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะดำเนินการกิจกรรมควรเชิญผู้แทนท้องถิ่นเข้ามา ร่วมคิดและร่วมดำเนินการด้วย เนื่องจากส่วนท้องถิ่นมีงบประมาณอยู่แล้ว จึงควรเข้ามามีส่วนร่วมในการแปลง แผนไปสู่การปฏิบัติจะทำให้ภาครัฐดำเนินการได้สำเร็จ และหากแผนนโยบายดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว และ ไม่ขัดแย้งกับกรอบยุทธศาสตร์ ฯ ของ สศช. ก็ควรที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ส่วน การบูรณาการแผนอาจเริ่มในปี พ.ศ. 2548-2549 เมื่อทำแผนบูรณาการก็ควรเตรียมในเรื่องงบประมาณด้วย ดังนั้น สำนักงบประมาณควรสนับสนุนในเรื่องงบประมาณดำเนินการ อย่างไรก็ตาม กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ควรเอางานเป็นตัวตั้งไม่ควรเอางบประมาณเป็นตัวตั้ง โดยที่งานทางสังคมมีความอ่อน ในทางวิชาการ หากใช้งานวิจัยนำร่องก็จะเป็นประโยชน์ เพราะสามารถประชาสัมพันธ์ผลการวิจัยเพื่อรณรงค์ให้ มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่ดีและไม่เหมาะสมในสังคมได้ นอกจากนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ควรรณรงค์ให้ท้องถิ่นเห็นความสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องของความสมัครใจไม่ใช่การบังคับ และเมื่อจัด ทำโครงการ/กิจกรรมในเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม ให้คำนึงถึงเรื่องการสร้างระเบียบวินัยและค่านิยมที่ถูกต้อง ให้กับสมาชิกในครอบครัว ตามข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของคณะกรรมการ สศช. |
|||||||||||||||
| 2753 | การรายงานผลความก้าวหน้าโครงการประสานพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด | มท | 20/04/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกองอำนวยการประสานพลังแผ่นดินเอาชนะ
ยาเสพติด (กอ.ปพส.) รายงานสรุปผลความก้าวหน้าโครงการประสานพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ดังนี้ (1) เรื่อง การกำหนดเป้าหมายและวิสัยทัศน์พลังแผ่นดิน สำนักงาน กอ.ปพส. (กรมการปกครอง) ได้ จัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อกำหนดวิสัยทัศน์พลังแผ่นดิน เพื่อให้ผู้ประสานพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด มีเป้าหมายทิศทางและกรอบแนวทางที่ชัดเจนในภารกิจตาม Roadmap การต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด ระยะที่ 3 และภารกิจสำคัญอื่น ๆ ของชาติ (2) เรื่อง ความก้าวหน้าการจัดตั้งชมรมพลังแผ่นดินท้องถิ่นท้องที่สามัคคี กระทรวงมหาดไทยได้มีการซัก ซ้อมความเข้าใจให้จังหวัดและกรุงเทพมหานคร ส่งเสริมสนับสนุนและอำนวยการให้มีการจัดตั้งชมรมพลังแผ่นดิน ท้องถิ่นท้องที่สามัคคี ให้ครบทุกพื้นที่ภายในสิ้นเดือนเมษายน 2547 โดยขณะนี้ได้รับรายงานการจัดตั้งชมรม ฯ แล้ว 217 แห่ง จำนวนสมาชิก 173,522 คน และอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดตั้งอีก 659 แห่ง (3) เรื่อง การจัดโครงการหรือกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 12 สิงหาคม 2547 ของชมรมพลังแผ่นดิน ท้องถิ่นท้องที่สามัคคี ได้มีการจัดประชุมระหว่างผู้อำนวยการเขต นายอำเภอ ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่ง อำเภอ กับชมรมพลังแผ่นดินท้องถิ่นท้องที่สามัคคี จัดให้มีโครงการ/กิจกรรมสาธารณประโยชน์อย่างน้อยชมรม ละ 1 โครงการ/กิจกรรม โดยให้เป็นไปตามมติร่วมกันของสมาชิกชมรมให้ถือเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นสิริมงคล อย่างสูงยิ่งของสมาชิกชมรม โดยรวบรวมโครงการ/กิจกรรม ส่งให้กระทรวงมหาดไทยภายในสิ้นเดือนเมษายน 2547 เพื่อจะได้ประชาสัมพันธ์และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง (4) เรื่อง โครงการมอบทุนการศึกษาแก่บุตรผู้ประสานพลังแผ่นดิน กรมการปกครอง ได้จัดทำโครง การมอบทุนการศึกษาแก่บุตรผู้ประสานพลังแผ่นดิน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาของบุตร ผู้ประสานพลังแผ่นดิน และสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ประสานพลังแผ่นดิน โดยจัดสรรให้ในระดับตำบลและเทศ บาล แยกเป็น ระดับตำบล จำนวน 7,255 ตำบล ระดับเทศบาล จำนวน 1,134 เทศบาล รวม 8,389 ตำบล/ เทศบาล รวมทั้งสิ้น 25,167 ทุน เป็นจำนวนเงิน 167,780,000 บาท สำหรับทุนการศึกษา เป็นการให้ทุน การศึกษาในแต่ละปี แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับประถมศึกษา จำนวน 8,389 ทุน ๆ ละ 4,000 บาท ระดับ มัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า จำนวน 8,389 ทุน ๆ ละ 6,000 บาท และระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่า จำนวน 8,389 ทุน ๆ ละ 10,000 บาท |
|||||||||||||||
| 2754 | การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองบริเวณหน้าพระลาน จังหวัดสระบุรี | ทส | 20/04/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม) ที่เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อมเสนอ ให้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองบริเวณหน้าพระลาน จังหวัดสระบุรี ดังนี้ ให้กระทรวง อุตสาหกรรม โดยกรมควบคุมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ควบคุม สถานประกอบการที่ดำเนินกิจการโรงโม่ บด และย่อยหิน และการทำเหมืองหิน ให้มีการปฏิบัติเพื่อมิให้เกิด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ให้หน่วยงานราชการส่วนภูมิภาค และหน่วยงานราชการส่วนท้อง ถิ่นตรวจสอบและเฝ้าระวังมิให้มีการทำเหมืองผิดกฎหมายและจับกุมผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 อย่างเคร่งครัด ให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัยและกรมควบคุมโรค เฝ้าระวังและศึกษา ผลกระทบของฝุ่นละอองต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อมนำเรื่องการกำหนดโรงโม่ บด และย่อยหิน เป็นสถานประกอบการที่ต้องมีการจัดทำรายงานการ วิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และเรื่องการประกาศให้พื้นที่บริเวณหน้าพระลาน เป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวด ล้อมและเขตควบคุมมลพิษ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 เสนอคณะ กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป กับให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอขอตั้งงบประมาณเพื่อให้ท้องถิ่นดำเนินการในการควบคุมและ แก้ไขปัญหาฝุ่นละอองบริเวณหน้าพระลาน จังหวัดสระบุรี ต่อไป ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า การประกาศให้ พื้นที่บริเวณดังกล่าว ให้เป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมและเขตควบคุมมลพิษ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและ รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 นั้น เมื่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเห็นชอบแล้ว ให้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการออกประกาศโดยด่วน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรี ทราบ นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณ สุข กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการ กลั่นกรอง ฯ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ จนกว่าจะมีมติเปลี่ยนแปลง
|
|||||||||||||||
| 2755 | ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับสหภาพไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก ว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงานสหภาพไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิกในประเทศไทย | ทก | 20/04/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)
(ฝ่านกฎหมาย)ที่มีมติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ เห็นชอบร่างความตกลง ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับสหภาพไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก ว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงาน สหภาพไปรษณีย์ แห่งเอเชียและแปซิฟิกในประเทศไทย ซึ่งวัตถุประสงค์ของความตกลงดังกล่าวในการจัดตั้ง สำนักงานสหภาพไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก (Asian-Pacific Postal Union หรือ APPU) เพื่ออำนวย ความสะดวกในการดำเนินการตามหน้าที่ขององค์กรใหม่ ซึ่งทำหน้าที่ในฐานะสื่อกลางการประสานงานการ สารสนเทศ การสอบถาม และการฝึกอบรมสำหรับประเทศสมาชิกของสหภาพ และเป็นสื่อกลางระหว่าง สหภาพกับประเทศสมาชิกในการให้ความร่วมมือและทำงานร่วมกันอย่างเต็มรูปแบบในกิจกรรมไปรษณีย์ และ ทำหน้าที่กำหนดหลักสูตรฝึกอบรมและแผนงานวิจัยด้านกิจการไปรษณีย์ มีอำนาจในการออกประกาศนียบัตร และอนุปริญญาบัตร และกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้เข้ารับการอบรม หลักสูตรฝึกอบรมต่าง ๆ โดยให้ กระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบความถูกต้องของร่างความตกลง ฯ ก่อนให้ปลัดกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณา และให้ส่งร่างความตกลง ฯ ฉบับภาษาไทยให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาให้ความเห็นชอบ และ ส่งฉบับภาษาอังกฤษเป็นเอกสารประกอบการพิจารณา และอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการ ดำเนินงานของสำนักงานสหภาพไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ ให้ยอมรับนับ ถือสำนักงาน ฯ เป็นนิติบุคคลและให้ถือว่ามีภูมิลำเนาในประเทศไทย และได้รับยกเว้นจากการปฏิบัติตาม กฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน รวมทั้งให้สำนักงาน ฯ และเจ้าหน้าที่ได้รับการคุ้มครองการดำเนินงาน โดยได้ รับยกเว้นภาษีสำหรับทรัพย์สินอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรอากรตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษี บำรุงท้องที่หรือการได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และการปฏิบัติตามพระราช บัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ทั้งนี้ ให้รับความเห็น ของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับการยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายโรงเรียนเอกชนตามร่างพระราชบัญญัติดัง กล่าวควรพิจารณาถึงข้อยกเว้นในพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 ประกอบด้วย และประเด็น อภิปรายของ คกก.7 กรณีที่กำหนดให้ทรัพย์สินของสำนักงานได้รับการยกเว้นภาษีภายในประเทศ และ ภาษีท้องถิ่นสอดคล้องกับกฎหมายท้องถิ่นหรือไม่ และการยกเว้นให้เจ้าหน้าที่ของสหภาพ ฯ ไม่ต้องปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติคนเข้าเมืองพ.ศ. 2522 ควรปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา15 ที่บัญญัติ ให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเท่าที่อยู่ในฐานะตามที่กำหนด ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติการตาม หน้าที่ ของคนต่างด้าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณา ก่อนนำเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบ เมื่อรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบร่างความตกลง ฯ แล้ว นอก จากนี้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรวบรวมข้อเท็จจริง รายละเอียด ความเป็นมา และ เรื่องเดิมทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งมีข้อกังวลเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีให้แก่เจ้าหน้าที่ของ องค์การระหว่างประเทศ และพิจารณาด้วยว่า หากจะเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในสมัยหน้าจะเหมาะ สมหรือไม่ เว้นแต่จะมีความจำเป็นเร่งด่วน ตามประเด็นอภิปรายไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||
| 2756 | การดำเนินโครงการหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้าน/ชุมชน | มท | 20/04/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายประชา มาลีนนท์) เสนอ
ขอถอนเรื่องการดำเนินโครงการหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้าน/ชุมชน คืนไปได้ โดยให้นำไปทบทวนแนวทางการ ดำเนินการโครงการอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการ ด้วยว่า เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการจัดสรรงบประมาณ เพื่อการดำเนินการโครงการนี้ ที่ได้จัดให้เป็นเงินอุดหนุนทั่วไปแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้แล้ว จึงควรเร่งรัด การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 เรื่อง การขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติให้องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นตั้งงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานหอกระจายข่าวที่ให้จัดทำระเบียบหลักเกณฑ์เกี่ยวกับหอ กระจายข่าวให้ครอบคลุมถึงค่าบริการใช้หอกระจายข่าว การครอบครองดูแลรักษาและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้ รวมถึงการจัดทำแนวทางการดำเนินการ รูปแบบ การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะ (specification) และรายละเอียด อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อประโยชน์ในการพัฒนา บำรุงรักษาและรองรับการเพิ่มเติมเทค โนโลยีในอนาคตด้วย เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการและถือปฏิบัติ ร่วมกันต่อไป |
|||||||||||||||
| 2757 | การจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 | นร | 20/04/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการการ
กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอหลักเกณฑ์และแนวทางการจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวน 105,610.70 ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการการ กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ครั้งที่ 4/2547 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2547 โดยจัด สรรให้กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาตามสัดส่วนที่ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ในกรอบสัดส่วนร้อยละ 22.50 และภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนในปี พ.ศ. 2548 โดยกรุงเทพมหานคร ได้รับ จัดสรร 11,360.03 ล้านบาท เมืองพัทยา ได้รับจัดสรร 1,352.32 ล้านบาท จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นเพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด โดยตั้งงบประมาณไว้ ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 2,392.84 ล้านบาท และจัดสรรให้องค์การบริหารส่วน จังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และเทศบาล โดยตั้งงบประมาณไว้ที่กรมส่งเสริมการปก ครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จำนวน 90,505.51 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายในบางรายการให้สำนักงบ ประมาณพิจารณาปรับปรุงให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงด้วย ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า การกระจายอำนาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะเป็นประโยชน์และตอบสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นได้อย่าง แท้จริง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพแต่การกระจายอำนาจจากส่วนกลาง ไปสู่ส่วนท้องถิ่นจะต้องดำเนินไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงของสังคมไทย ดังนั้น กกถ. จึงควรจัดให้มีการสำรวจ ศึกษา และวิจัยในเรื่องที่เกี่ยวข้องเป็นระยะ ๆ สำหรับในระยะเร่งด่วนควรจัดทำคู่มือ การปฏิบัติงานในเรื่องต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการปฏิบัติงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็ง และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||
| 2758 | สรุปผลการประชุมสัมมนาเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและความยากจนของประชาชนและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | ยธ | 07/04/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่ศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ (ศตจ.) ราย
งานสรุปผลการประชุมสัมมนาเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและความยากจนของประชาชนจัด ขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 มีนาคม 2547 ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งวัตถุประสงค์ของการ จัดประชุมสัมมนาครั้งนี้เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนเพื่อให้ ศตจ. ในระดับพื้นที่ จังหวัด/อำเภอ /กิ่งอำเภอ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน นำไปใช้ปฏิบัติให้บรรลุ ผลสำเร็จโดยเร็ว ภายใต้กรอบ Roadmap การต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจน ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบ นโยบาย/ข้อสั่งการเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทสำคัญของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและความยาก จน และการกำหนดให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบภาครัฐในระดับพื้นที่ สำหรับปัญหาความเดือดร้อนและความยาก จน โดยในส่วนของปัญหาหนี้สิน ให้มีการเจรจาลดหนี้ แล้วนำยอดรวมมาลดให้ผู้จดทะเบียนอย่างเท่าเทียมกัน โอนหนี้มาเป็นของสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อนำเงินไปชำระหนี้นอกระบบ และสามารถผ่อนชำระกับสถาบัน การเงินของรัฐได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง พร้อมทั้งระยะเวลาการผ่อนนานขึ้น เรื่องที่ดินทำกิน หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องต้องเร่งทำให้ที่ดินเกิดประโยชน์สามารถนำไปแปลงสินทรัพย์เป็นทุนได้ โดยดำเนินการทุกอย่างตาม กฎหมาย หากกฎหมายมีปัญหา หรือสร้างความเดือดร้อน ให้ยกเลิกหรือแก้ไข ทั้งนี้ กฎหมายต้องไม่สร้าง ความเดือดร้อนแก่ประชาชน ไม่รังแกคนที่เล็กกว่า แต่ต้องให้โอกาสประชาชนในการงานหากินอย่างถูกต้อง เรื่องที่อยู่อาศัย มอบให้การเคหะแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทยร่วมกันดำเนินการกำหนดความต้องการที่อยู่ อาศัย โดยการเคหะ ฯ ต้องสร้างบ้านเอื้ออาทรให้ตรงตามความต้องการของประชาชนที่แท้จริงให้เสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2547 โดยอาจต้องให้ภาคเอกชนมาช่วยดำเนินการด้วย เรื่องการมีงานทำ มอบให้กระทรวงศึกษาธิการ พิจารณาแก้ไขหลักสูตรให้เด็กสามารถใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เปิดโอกาสสร้างอาชีพเสริม โดยดำเนินการ ไปพร้อม ๆ กันทุกมิติ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้แรงงาน ปัญญา และความชำนาญสร้างรายได้อย่างไม่จำกัด เรื่องคนเร่ร่อน ต้องมีการพิจารณาวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม เช่น การตั้งแคมป์ให้อยู่อาศัย ฯลฯ โดยใช้งบ ประมาณแบบคุ้มค่าและเป็นประโยชน์ โดยมี bottom line คือ การแก้ไขปัญหาให้ได้ภายใน 5 ปี และมีความ ยั่งยืน เรื่องผู้ที่ถูกหลอกลวงเรื่องที่อยู่อาศัย มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายโภคิน พลกุล) รับไปดำเนินการ โดยหากพบว่าเป็นการหลอกลวงจริงให้ดำเนินการดังนี้ ดำเนินคดีกับผู้หลอกลวงตามกฎหมาย แก้ไขปัญหา ในภาพรวม และบรรเทาความเดือดร้อน โดยให้โอกาสฟื้นตัวใหม่ เรื่องผู้มีอิทธิพล ในเบื้องต้นหากไม่สามารถ ตั้งข้อหาหลัก 7 ข้อหาตามกฎหมาย ป.ป.ง. ได้ ให้นำกฎหมายสรรพากรมาบังคับใช้ และเรื่องงบประมาณ ภาครัฐสามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและความยากจนได้โดยใช้งบประมาณท้องถิ่น งบกลาง จังหวัด แต่หากโครงการใดที่เป็นประโยชน์ก็สามารถทำเรื่องของบกลางต่างหากได้อีก |
|||||||||||||||
| 2759 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2547 | ทส | 07/04/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติการประชุมคณะ
กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2547 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2547 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้การรับ รองเรียบร้อยแล้ว ดังนี้ (1) เรื่องที่ประธาน ฯ แจ้งต่อที่ประชุม ได้แก่ มติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่ง ชาติ ครั้งที่ 7/2546 และครั้งที่ 1/2547 คำสั่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งอนุ กรรมการเพื่อพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างของกรมควบคุมมลพิษ และความก้าวหน้าในการดำเนิน งานการจัดการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยชุมชนจังหวัดขอนแก่น (2) เรื่องรายงานการประชุม ฯ ครั้งที่ 1/2547 ได้แก่ การรับรองรายงานการประชุม ฯ ครั้งที่ 1/2547 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2547 โดยให้ปรับแก้ไขข้อความในวาระที่ 3.1 หน้า 7 8 และ 10 เป็น "ให้ใช้ พันธุ์ไม้ท้องถิ่นดั้งเดิม" และตัดคำว่า "ร่วมด้วย" ออก รวมทั้งเพิ่มข้อความหน้า 14 วาระที่ 4.3 บรร ทัดที่ 2 เป็น "กรรมการและเลขานุการ ฯ มอบหมายให้อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ..." ตามความเห็น ของคณะกรรมการ ฯ (3) เรื่องสืบเนื่องเพื่อพิจารณา ได้แก่ การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการผู้ ชำนาญการ/คณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพิ่มเติม และการขอผ่อน ผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อกิจการเหมืองแร่ กรณี บริษัท ปูนซีเมนต์ นครหลวง จำกัด (มหาชน) อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี (4) เรื่องเพื่อพิจารณา ได้แก่ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการขยายท่าเรือน้ำลึก ภูเก็ต การขอเปลี่ยนแปลงการใช้เชื้อเพลิงและรายละเอียดโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนกระบี่ การปรับปรุงมาตรฐานฝุ่นละอองและก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ในเรื่องค่าเฉลี่ย 1 ปี การกำหนด มาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากสถานประกอบการหลอมและต้มทองคำ การมอบ อำนาจให้สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้ดำเนินการแทนคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในคดี หมายเลขดำที่ 2006/2545 ศาลปกครองกลาง และ (ร่าง) ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง การกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณจังหวัด กระบี่ และจังหวัดพังงา (5) เรื่องเพื่อทราบ ได้แก่ มติคณะรัฐมนตรี เรื่อง บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ขอต่ออายุ หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าพระพุทธบาทและป่าพุแค เพื่อทำ เหมืองแร่หินปูน เพื่ออุตสาหกรรมปูนซิเมนต์ ตามประทานบัตรที่ 27314/14518 และ 27315/ 14517 ท้องที่จังหวัดสระบุรี และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่ง แวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการบ้านเอื้ออาทรประชา นิเวศน์
|
|||||||||||||||
| 2760 | กระทู้ถามที่ 994 ร. เรื่อง ยุทธศาสตร์การยกระดับรายได้เกษตรกรไทย | สผ | 07/04/2547 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 994 ร.
เรื่อง ยุทธศาสตร์การยกระดับรายได้เกษตรกรไทย ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาล โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีเป้าหมายดำเนินการยกระดับรายได้และฐานะของเกษตรกรไทย ได้แก่ การพัฒนาและกระจายแหล่งน้ำให้แล้วเสร็จตามเป้าหมาย การจัดที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรและจัดสร้าง โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นทางการเกษตรให้แก่สถาบันเกษตรกร การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตผลทาง การเกษตร การจัดให้มีศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล รวมไปถึงการจัดทำ คลินิกเกษตรเคลื่อนที่ และการฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรหลังการพักชำระหนี้ รวมทั้งได้มีการจัดทำแผนบูรณา การของส่วนราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการที่จะนำไปปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การยกระดับราย ได้และฐานะของเกษตรกร โดยให้หน่วยงานในสังกัด เกษตรกร และองค์กรเกษตร ร่วมกันพิจารณา กำหนดแนวทางและจัดทำแผนพัฒนาการเกษตรแบบบูรณาการเพื่อนำไปปฏิบัติ สำหรับการจัดทำแผน บูรณาการร่วมกับกระทรวงอื่น ๆ ในการนำไปปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การยกระดับรายได้และฐานะของเกษตร กร โดยประสานความร่วมมือระหว่างกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนงานโครงการแบบ บูรณาการเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ครัวเรือนเกษตร อาทิ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตผลการเกษตร โดย การเชื่อมโยงการแปรรูปผลผลิตการเกษตรกับโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ส่วนปีต่อไปมีแผน บูรณาการที่จะดำเนินการ 12 แผน ได้แก่ การฟื้นฟูหลังน้ำท่วม การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา การแก้ไขปัญหาความยากจน การวิจัยของประเทศ การพัฒนาระบบฐานข้อมูล การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ การส่งเสริมการ ท่องเที่ยว การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมและพัฒนา อาหารฮาลาลให้เป็นสินค้าออก และการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ |
|||||||||||||||
.....
