ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 140 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 2781 - 2800 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2781 | มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น | นร | 09/03/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (กนภ.) ครั้ง ที่ 1/2547 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2547 เรื่องการปรับบทบาทและภารกิจของ กนภ. และเกณฑ์พื้นฐาน 10 ประการ ในการดำรงชีวิตของคนไทย โดยในส่วนของการปรับบทบาทและภารกิจของคณะกรรมการ กนภ. ที่ ประชุมเห็นชอบให้มีการปรับบทบาท และภารกิจของคณะกรรมการ กนภ. โดยเน้นการกำหนดนโยบายหรือ ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความยากจนระยะยาว และให้คณะกรรมการ กนภ. มีบทบาทและภารกิจในการ กำหนดนโยบายขั้นพื้นฐานในการแก้ปัญหาความยากจน กำหนดนโยบายหรือยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหา ความยากจนในระยะยาว และการสร้างองค์ความรู้และการติดตามประเมินผล กับเห็นชอบการปรับปรุงกลไก การบริหารจัดการของ กนภ. โดยให้ยุบองค์กรหรือกลไกปฏิบัติในระดับพื้นที่และคงไว้ของกลไกการบริหารจัด การในส่วนกลาง คือ คณะอนุกรรมการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค (กจภ.) คณะอนุกรรมการประสาน การวางแผนพัฒนาจังหวัด (อผจ.) และคณะอนุกรรมการบูรณาการแผนชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของชุมชนและ เอาชนะความยากจน พร้อมทั้งให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ ดำเนินการปรับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีให้สอดคล้อง กับบทบาทใหม่และการปรับปรุงกลไกการบริหารจัดการของคณะกรรมการ กนภ. ต่อไป สำหรับเกณฑ์พื้น ฐาน 10 ประการ ในการดำรงชีวิตของคนไทย ที่ประชุมมีมติเห็นชอบขอบเขต/นิยาม และตัวชี้วัดของเกณฑ์พื้น ฐาน 10 ประการ ในการดำรงชีวิตของคนไทย ประกอบด้วย หลักคิด 1 ความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ได้แก่ เกณฑ์พื้นฐาน 3 เกณฑ์ คือ (1) ทุกคนได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียนไม่น้อยกว่า 12 ปี และมีโอกาสเรียน รู้ตลอดชีวิตเพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะฝีมือ และวิชาชีพที่จำเป็นในการดำรงชีวิต (2) ทุกคนได้รับการประกันสุข ภาพที่ได้มาตรฐาน (3) ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี และไม่มีรายได้เพียงพอในการยังชีพ ได้รับหลักประกันความมั่น คงในการดำรงชีวิต หลักคิด 2 ความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ประกอบด้วย เกณฑ์พื้นฐาน 5 เกณฑ์ คือ (4) ทุกคนได้รับอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (5) ทุกคนมีความมั่นคงในที่พักพิง (6) ทุกคนมีน้ำสะอาดเพื่อดื่มอย่างน้อย 5 ลิตร/คน/วัน และมีน้ำใช้อย่างน้อย 45 ลิตร/คน/วัน (7) ทุกครัว เรือนมีไฟฟ้าใช้ (8) ทุกคนมีโอกาสรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ และหลักคิด 3 ความมั่น คงในชีวิต ประกอบด้วย เกณฑ์พื้นฐาน 2 เกณฑ์ คือ (9) ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและแหล่งทุนในการ ประกอบอาชีพ (10) ทุกครัวเรือนมีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและปลอดจากยาเสพติด ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีทุก ท่านนำเอาหลักเกณฑ์พื้นฐาน 10 ประการ ดังกล่าว ไปเป็นกรอบและแนวทางในการพิจารณาดำเนินการ ตามภารกิจที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 2782 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณค่าก่อสร้างโครงการแก้ไขปัญหาระบบระบายน้ำบริเวณสี่แยกถนนมิตรภาพตัดกับถนนศรีจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น | ทส | 09/03/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 ที่มีมติเห็นชอบ
ในหลักการตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอโครงการแก้ไขปัญหาระบบระบายน้ำบริเวณสี่แยกถนน มิตรภาพตัดกับถนนศรีจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น สำหรับงบประมาณดำเนินการให้ขอรับการสนับสนุน งบประมาณที่กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตรง โดยขอให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นปรับแผน การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 แผนงานส่งเสริมและพัฒนาองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น งานส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รายการเงินอุดหนุนสำหรับพัฒนา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในกรณีเร่งด่วน ซึ่งตั้งงบประมาณปี พ.ศ. 2547 ไว้จำนวน 2,000 ล้านบาท หรือปรับ แผนการใช้จ่ายของแผนงาน/งานอื่นใดที่กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นเห็นสมควรแล้ว หากยังไม่เพียงพอ ก็ ให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
| 2783 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | นร | 09/03/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอแนวทางการจัดสรรและ
หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 12,300 ล้านบาท ตาม มติคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ครั้งที่ 2/2547 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2547 ซึ่งเห็นชอบแนวทางการจัดสรรและหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนดังกล่าว ตามที่ คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อลดช่องว่างทางการคลัง และเพิ่มขีดความสามารถใน การดำเนินการขยายท้องถิ่นในการจัดการภารกิจที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการถ่ายโอนและภารกิจ การถ่ายโอนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เสนอ ยกเว้น แนวทางการจัดสรรที่ให้ อปท. ต้องจัดทำโครงการ ตามอำนาจหน้าที่ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด โดยผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ บริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (กบจ.) และสภาท้องถิ่น สำหรับกรุงเทพมหานครให้จัดทำโครงการสอด คล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนากรุงเทพมหานคร ให้แก้ไขเป็น "ให้ อปท. จัดทำโครงการตามอำนาจหน้าที่ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดตามแนวทางที่ กบจ. กำหนด โดยให้แจ้ง อปท. ทราบ สำหรับ กรุงเทพมหานครให้จัดทำโครงการสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนากรุงเทพมหานคร" ทั้งนี้ เพื่อให้ อปท. มีอิสระในการดำเนินงานและมีกรอบในการจัดทำโครงการที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ กกถ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดกรอบการใช้ จ่ายเงินอุดหนุน ฯ ที่ชัดเจนและมีมาตรฐานกลาง รวมทั้งเร่งรัดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการใช้ จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 โดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
| 2784 | กระทู้ถามที่ 1154 ร. เรื่อง การรณรงค์ให้ประชาชนในกรุงเทพมหานครอนุรักษ์และพัฒนาดูแลรักษาลำคลองสายต่าง ๆ เพื่อเป็นเส้นทางเดินทางและท่องเที่ยว | สผ | 02/03/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1154
ร. เรื่อง การรณรงค์ให้ประชาชนในกรุงเทพมหานครอนุรักษ์และพัฒนาดูแลรักษาลำคลองสายต่าง ๆ เพื่อ เป็นเส้นทางเดินทางและท่องเที่ยว ของนายศิริ หวังบุญเกิด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร และ ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลมีนโยบายและแนวทาง ในการอนุรักษ์และพัฒนาแม่น้ำ คู คลอง โดยมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2544 เห็นชอบ กำหนดให้วันที่ 20 กันยายนของทุกปี เป็นวันอนุรักษ์และพัฒนาแม่น้ำ คู คลอง แห่งชาติ รวมทั้งได้กำหนด ให้ปี พ.ศ. 2544-พ.ศ. 2546 เป็น "ปีแห่งการอนุรักษ์และพัฒนาแม่น้ำ คู คลอง" รวมทั้งให้มีการตั้งคณะ กรรมการระดับชาติ เพื่อเป็นองค์กรหลักในการอนุรักษ์และพัฒนาสภาพแวดล้อม แม่น้ำ คู คลอง และ ให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดำเนินการตามนโยบายและแผนงานและโครงการนำร่องที่ กำหนด นอกจากนี้ ได้มีการพัฒนาและดำรงรักษาแม่น้ำ คู คลอง ไม่ให้เสื่อมโทรมไปกว่าที่เป็นอยู่ โดยเร่ง ฟื้นฟูแม่น้ำ คู คลอง ที่เสื่อมโทรม เพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านการคมนาคมขนส่ง การเกษตร การอุปโภคและบริโภค และวิถีชีวิตของประชาชน ให้มีกลไกในการกำกับดูแลการอนุรักษ์และพัฒนาแม่น้ำ คู คลอง ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภาค และระดับประเทศ โดยมีกฎหมายรองรับ และให้มีการขึ้นทะเบียนแม่ น้ำ คูคลองที่ควรอนุรักษ์ เพื่อให้มีการดูแลรักษาและใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม และมีแผนการอนุรักษ์และ พัฒนาสภาพแวดล้อมแม่น้ำ คู คลอง ได้แก่ แผนปฏิบัติงานระยะเร่งด่วน (พ.ศ. 2544-พ.ศ. 2546) และ แผนปฏิบัติงานระยะยาว (พ.ศ. 2544-พ.ศ. 2549) สำหรับมาตรการที่ให้ประชาชนหันมาใช้การคมนาคม ทางน้ำด้วยความปลอดภัย กรุงเทพมหานคร โดยสำนักการจราจรและขนส่ง ได้ประสานกรมการขนส่งทาง น้ำและพาณิชยนาวี ในการขอรับโอนสถานีขนส่งทางน้ำ (ท่าเทียบเรือสาธารณะ ท่าข้าม) จากกระทรวง คมนาคม ตามแผนการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนการพัฒนาปรับปรุงลำคลอง สายต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานครให้เป็นเส้นทางเดินทางและท่องเที่ยวทางน้ำ ได้มีการกำหนดไว้ในแผนงาน ระยะเร่งด่วน (พ.ศ. 2544-พ.ศ. 2546) และแผนปฏิบัติงานระยะยาว (พ.ศ. 2544-พ.ศ. 2549) ประกอบ ด้วย แผนงานการฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อม แผนงานการฟื้นฟูธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ท้องถิ่น และแผนงานส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ |
||||||||||||||||||
| 2785 | กระทู้ถามที่ 1281 ร. เรื่อง มาตรการและนโยบายในการแก้ปัญหากระบวนการยุติธรรมและการสอบสวนคดี | สผ | 02/03/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1281 ร.
เรื่อง มาตรการและนโยบายในการแก้ปัญหากระบวนการยุติธรรมและการสอบสวนคดี ของนายเปรมศักดิ์ เพีย ยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของ คำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลมีนโยบายเร่งรัดผลักดันให้มีการศึกษา วิเคราะห์ วิจัยในเรื่อง การสร้างกระบวนการ ตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจขององค์กรบังคับใช้กฎหมายในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาอย่างเป็นระบบมิ ให้การบังคับใช้กฎหมายอยู่ในอำนาจขององค์กรใดเพียงองค์กรเดียว เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและความสงบสุข ของประชาชนอันอาจเกิดจากการใช้อำนาจและหน้าที่โดยไม่ชอบจากพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเริ่มตั้งแต่ ในชั้นตำรวจ พนักงานอัยการ และชั้นศาล และปัจจุบัน รัฐบาลโดยกระทรวงยุติธรรมอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนาระบบการชันสูตรพลิกศพในประเทศไทย เพื่อให้การวินิจฉัยถึงสาเหตุการตายมีความโปร่งใสและเป็น ที่เชื่อมั่นอันจะเป็นการพัฒนาระบบการสอบสวนให้มีมาตรฐานในระดับสากลยิ่งขึ้น และในชั้นการพิจารณาของ ศาล รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้มีการนั่งพิจารณาคดีของศาลต้องมีผู้พิพากษาหรือตุลาการครบองค์คณะ ดังนั้น การใช้ดุลพินิจของศาลในการพิจารณาพิพากษาจึงมีการตรวจสอบถ่วงดุลกันโดยบทบัญญัติของกฎหมาย ส่วน วิธีการดำเนินคดีที่สำคัญ ๆ นั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18 บัญญัติให้พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ปลัดอำเภอ และข้าราชการตำรวจซึ่งมียศตั้งแต่นายร้อยตำรวจตรีหรือเทียบ เท่านายร้อยตำรวจตรีขึ้นไปในจังหวัดอื่น นอกจากจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี และให้ข้าราชการตำรวจ ซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นนายร้อยตำรวจตรีหรือเทียบเท่านายร้อยตำรวจตรีขึ้นไปในจังหวัดพระนครและธนบุรี มีอำนาจ สอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิด หรืออ้าง หรือเชื่อว่าได้เกิดภายในเขตอำนาจของตน หรือผู้ต้องหามีที่อยู่ หรือจับภายในเขตอำนาจของตนได้ และในวรรคสุดท้ายบัญญัติให้ ในเขตท้องถิ่นที่ใดมีพนักงานสอบสวนหลาย คน การดำเนินการสอบสวนให้อยู่ในความรับผิดชอบของพนักงานสอบสวนผู้เป็นหัวหน้าในท้องที่นั้น หรือผู้ รักษาการแทน สำหรับกรณีคดีนางสาวเชอรี่แอน ดันแคน สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินคดีอาญากับ พัน ตำรวจเอก มงคล ศรีโพธิ์ ในข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และได้ส่งสำนวนการสอบสวนไปให้พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการเป็นที่ เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 นอกจากนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แสดงความรับผิดชอบโดยได้ชดใช้ ค่าเสียหาย ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งที่ให้ชดใช้ค่าเสียหาย ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง โดยไม่ได้อุทธรณ์ คำพิพากษาดังกล่าวแต่อย่างใด |
||||||||||||||||||
| 2786 | ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจทางการเงิน การคลัง และงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และร่างแผนปฏิบัติการถ่ายโอนบุคลากรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 02/03/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอร่างแผนปฏิบัติการเพื่อกำหนดขั้นตอนการ
กระจายอำนาจทางการเงิน การคลัง และงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และร่างแผนปฏิบัติการ ถ่ายโอนบุคลากรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ได้ปรับปรุงแล้ว และให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับต่อไป โดยร่างแผนปฏิบัติการเพื่อกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจทางการเงิน การ คลัง และงบประมาณ ฯ ได้แก้ไขหน้า 25-29 ภารกิจการจัดสรรเงินอุดหนุน กิจกรรม/ขั้นตอน ข้อ 4.1.3, 4.2.3, 4.3.3 และ 4.4.3 เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดทำงบประมาณระยะปานกลางของสำนักงบประมาณ โดยแก้ไขข้อ ความจากเดิม "ของสำนักงบประมาณ" เป็น "และนโยบายของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.)" และแก้ไขหน้า 25 ภารกิจการจัดสรรเงินอุดหนุน กิจกรรมข้อ 4.1-4.4 โดยแก้ไขข้อ ในช่องหมายเหตุ เป็น "ให้สำนักงบประมาณ กระทรวงมหาดไทย และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติเกี่ยวกับ การจัดสรรเงินอุดหนุน โดยขอความเห็นจาก กกถ. และดำเนินการให้สอดคล้องกับมติ กกถ. ที่ได้รับความเห็น ชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ก่อนที่จะนำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง" ส่วนร่างแผนปฏิบัติการถ่ายโอนบุคลากรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้เพิ่ม มาตรการในขั้นตอนและวีธีการถ่ายโอนบุคลากรเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับการถ่ายโอนบุคลากรระยะที่ 2 ปี 2547 ซึ่งเน้นการสร้างระบบจูงใจเป็นตัวนำ ทั้งในเรื่องการปรับปรุงทางก้าวหน้า สิทธิประโยชน์เมื่อเป็น พนักงานส่วนท้องถิ่น รวมทั้งเพิ่มให้มีการศึกษาและปรับกำลังคนภาครัฐให้มีความหลากหลาย ปรับโครงสร้าง การบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีขนาดใหญ่ ตลอดจนปรับปรุงระบบบริหารงานบุคคลสำหรับท้องถิ่น ให้ยืดหยุ่นตามสภาพปัญหาและฐานะทางการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และให้มีระบบรองรับ เมื่อไม่สามารถจัดบุคลากรลงท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ได้ปรับปรุงในส่วนของตารางสรุปรายละเอียด ของแผน โดยให้แสดงภารกิจกิจกรรมและขั้นตอน ระยะเวลา และหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละกิจกรรม ให้ สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการ กำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจ ฯ และแผนปฏิบัติการเพื่อกำหนดขั้นตอนการ กระจายอำนาจทางการเงิน ฯ ตลอดจนข้อเท็จจริงในปัจจุบัน |
||||||||||||||||||
| 2787 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่อง การปรับโครงสร้างกิจการพลังงานภายใต้ (ร่าง) พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน | สสป | 02/03/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกรณีการปรับโครงสร้างกิจการพลังงานภายใต้ (ร่าง) พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการ ดำเนินการต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ของกระทรวงพลังงาน ดังนี้ จากการประชุมเชิง ปฏิบัติการยุทธศาสตร์พลังงานเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2546 ได้มีการกำหนดเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการพัฒนา พลังงานทดแทน จากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 8 ใน 10 ปี ข้างหน้า และการดำเนินมาตรการสนับสนุนและส่ง เสริมการพัฒนาพลังงานทดแทนทุกรูปแบบ และตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ให้จัด ตั้งองค์กรกำกับดูแลกิจการพลังงานขึ้นภายใต้กระทรวงพลังงานโดยมีการแยกอำนาจหน้าที่ของการกำกับดูแล ผู้ประกอบกิจการและผู้กำหนดนโยบายออกจากกันอย่างชัดเจน แต่อยู่ภายใต้นโยบายของรัฐ เพื่อให้การจัดตั้ง องค์กรดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์จะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายและรวบรวมความเห็นทุกฝ่าย รวมไปถึงความ เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เพื่อประกอบการพิจารณาเพื่อให้กฎหมายมีความสมบูรณ์ครอบคลุม ประเด็นต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้กิจการไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติในเรื่องรูปแบบ โครงสร้างกิจการไฟฟ้า Enhanced Single Buyer (ESB) โดยกำหนดให้แยกบัญชีการเงินระหว่างธุรกิจผลิตกับ ธุรกิจระบบส่งไฟฟ้า เพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนสามารถแข่งขันในการผลิตไฟฟ้าได้อย่างเป็นธรรม ตลอดจนส่ง เสริมให้กิจการไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และระบบไฟฟ้ามีความมั่นคง สำหรับการส่งเสริมให้ชุมชนท้อง ถิ่นและรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มีส่วนร่วมในการจัดการพลังงานและผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุน เวียน ขยะ วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและอุตสาหกรรม นั้น ปัจจุบันได้มีการสนับสนุนให้ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจาก พลังงานหมุนเวียน ขยะ และวัสดุเหลือใช้ทางเกษตรและอุตสาหกรรม ร้อยละ 3.5 ของกำลังการผลิตใหม่ทั้ง หมด ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 เห็นชอบร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า จากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก ซึ่งเป็นการกระจายโอกาสไปยังพื้นที่ห่างไกลให้เข้ามามีส่วน ร่วมในการผลิตไฟฟ้า โดยเฉพาะส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้ามามีส่วน ร่วมในการผลิตไฟฟ้าอันเป็นการใช้ทรัพยากรจากท้องถิ่นในการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองหรือขายให้กับการไฟฟ้า |
||||||||||||||||||
| 2788 | ความร่วมมือพัฒนาการท่องเที่ยวในกรอบสามเหลี่ยมมรกต ระหว่าง ไทย ลาว และ กัมพูชา | กก | 02/03/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานผลการดำเนินงานความร่วมมือ
ในพัฒนาการท่องเที่ยวในกรอบสามเหลี่ยมมรกตระหว่างไทย ลาว และกัมพูชา ตามปฏิญญาความร่วมมือพัฒนา การท่องเที่ยว (Pakse Declaration on Tourism Cooperation in the Emerald Triangle) โดยได้จัดตั้งคณะทำงาน (Working Group) ระดับชาติ และระดับท้องถิ่นขึ้นเพื่อประสานงาน ติดตามผลการดำเนินงาน รวมทั้งจัดทำแผน ปฏิบัติการที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาการท่องเที่ยวในกรอบสามเหลี่ยมมรกต และจัดให้มีการประชุมคณะทำงาน ระดับท้องถิ่น 3 ฝ่าย ไทย ลาว กัมพูชา เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวในกรอบสามเหลี่ยมมรกต ครั้งที่ 1 ณ จังหวัดอุบล ราชธานี ระหว่างวันที่ 15 - 16 ธันวาคม 2546 โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (นาย เกริกไกร จีระแพทย์) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม ในการนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและ กีฬา ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของปฏิญญาปากเซที่มุ่งส่งเสริมมิตรภาพ สันติภาพ ความเข้าใจ และความรุ่งเรืองของ ทั้ง 3 ประเทศ โดยใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของอนุภูมิภาคนี้ที่หลากหลายไปด้วย วัฒนธรรม และยังมีเจตจำนงในการขยายกรอบความร่วมมือไปยังสาขาอื่น ๆ เช่น เกษตรกรรม การพิทักษ์สิ่งแวด ล้อม การพัฒนาชนบทและโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ได้กล่าวถึงกรอบความร่วม มืออื่น ๆ เช่น กรอบอาเซียน กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง กรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐ กิจ 4 ประเทศ (กัมพูชา ลาว พม่า ไทย) ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำประเทศต่าง ๆ อย่าง ไรก็ตาม ความร่วมมือระหว่างประเทศจะสำเร็จได้ต้องมีการปฏิบัติร่วมกันเพื่อแปรเจตนารมณ์ทางการเมืองให้เป็น แผนปฏิบัติการ การท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยขอให้นำทรัพยากรและผลิตภัณฑ์ ทางการท่องเที่ยวมาใช้ร่วมกัน และปรับปรุงความเชื่อมโยงให้เข้าถึงอนุภูมิภาคนี้ได้ง่ายขึ้น โดยให้ภาคเอกชนและ ชุมชนท้องถิ่นบริเวณชายแดนเข้ามามีส่วนร่วมซึ่งจะเป็นการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ความสำเร็จต้อง เริ่มจากทัศนคติและความคิด ต้องไว้วางใจและเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน
|
||||||||||||||||||
| 2789 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดหรือประเภทของอาคารที่เจ้าของอาคารหรือผู้ครอบครองอาคารหรือผู้ดำเนินการต้องทำประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอกตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. .... | มท | 02/03/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 (คกก.6) ที่
มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดหรือประเภทของอาคารที่เจ้าของ อาคารหรือผู้ครอบครองอาคารหรือผู้ดำเนินการต้องทำประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และ ทรัพย์สินของบุคคลภายนอกตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนด นิยามคำว่า "บุคคลภายนอก" หมายความว่า บุคคลที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากสภาพหรือการใช้อาคาร ซึ่งไม่เป็นคู่สัญญากับผู้เอาประกันภัย และกำหนดชนิดหรือประเภทของอาคารของเอกชนที่ต้องจัดให้มีการประกัน ภัย รวมทั้งอัตราการชดเชยค่าเสียหายที่ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของ คกก.6 เกี่ยวกับการกำหนดให้อาคารทั้ง 8 ประเภท ซึ่งได้แก่ 1. อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ 2. อาคารชุมนุมคน 3. โรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม 4. สถานบริการตามกฎหมาย ว่าด้วยสถานบริการ 5. อาคารชุดและอาคารอยู่อาศัยรวมที่มีพื้นที่อาคารตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป 6. โรง งานที่สูงมากกว่าหนึ่งชั้น และมีพื้นที่ตั้งแต่ 5,000 ตารางเมตรขึ้นไป 7. ป้ายที่มีความสูงจากพื้นที่ตั้งป้ายถึงส่วน ที่สูงที่สุดของป้ายตั้งแต่ 15 เมตรขึ้นไป และ 8. โรงมหรสพ เมื่อได้รับอนุญาตหรือใบรับแจ้งให้ก่อสร้าง ดัดแปลง เคลื่อนย้าย หรือรื้อถอนอาคารแล้ว ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตหรือใบรับแจ้งยื่นเอกสารหลักฐานการทำประกันภัยต่อ เจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อนเริ่มดำเนินการไม่น้อยกว่าหกสิบวัน นั้น หากเจ้าพนักงานท้องถิ่นอนุญาต และเจ้าของ อาคารหาบริษัทประกันภัยได้ก่อนหกสิบวัน ก็น่าจะดำเนินการได้ทันที ไม่ต้องรอให้ครบหกสิบวันควรกำหนดว่า ถ้าทั้ง 2 ฝ่าย พร้อมทำประกันภัย ก็สามารถลงมือก่อสร้างได้ ไม่ควรกำหนดจำนวนวันตายตัว ส่วนกรณีที่เป็น อาคารชุด (คอนโดมิเนียม) ที่ผู้ครอบครองห้องชุดแต่ละห้องเป็นเจ้าของ แต่ทรัพย์สินส่วนกลางเป็นของนิติบุคคล หรือเจ้าของอาคารชุดนั้น ควรกำหนดผู้รับผิดชอบให้ชัดเจน โดยดูกฎหมายอาคารชุดประกอบด้วย หากอาคาร ทรุดจะได้หาผู้รับผิดชอบได้ และในกรณีที่บุคคลใดหรือบุคคลภายนอกเข้ามาใช้สอยแล้วเกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน ก็จะต้องได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายนี้ และกำหนดให้การประกันภัยความรับผิดต่อ บุคคลภายนอกต้องให้ความคุ้มครอง กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาทต่อคน ค่ารักษา พยาบาลไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาทต่อคนนั้น จะเพิ่มวงเงินคุ้มครองทั้ง 2 กรณีเป็นสามแสนบาทได้หรือไม่ หากเสนอ เข้าคณะรัฐมนตรีต้องมีเหตุผลชี้แจงประกอบว่า หากกำหนดวงเงินสูงขึ้นจะกระทบต่อเบี้ยประกันอย่างไร และเป็น ผลให้กระทบต่อบุคคลภายนอกอย่างไร และข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการกำหนดให้ เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งให้ระงับ หรือห้ามมิให้ใช้หรือเข้าไปในอาคาร หรือบริเวณที่มีการกระทำดังกล่าว อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีการกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการฝ่าฝืนกรณีการประกันภัยตามร่างกฎกระทรวงข้อ 2 วรรคสาม และข้อ 5 วรรคสอง อีก เพราะซ้ำซ้อนกับพระราชบัญญัติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนิน การต่อไปได้ |
||||||||||||||||||
| 2790 | กระทู้ถามที่ 440 เรื่อง การท่องเที่ยวในจังหวัดบุรีรัมย์ | สผ | 02/03/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 440
เรื่อง การท่องเที่ยวในจังหวัดบุรีรัมย์ ของนายโสภณ เพชรสว่าง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ และมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาตอบในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดย สาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ตามที่จังหวัดบุรีรัมย์แจ้งว่า ภายในจังหวัดบุรีรัมย์มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่า สนใจและขาดการส่งเสริม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้มอบหมายให้หน่วยงานในท้องถิ่นที่มีส่วน เกี่ยวข้องเสนอโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อขอรับงบประมาณสนับสนุนตามโครงการงบประมาณเชิง บูรณาการเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวต่อไป และรัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวสำหรับภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยในส่วนของจังหวัด บุรีรัมย์ เป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม และเป็นหนึ่งในพื้นที่เป้า หมายของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีแผนงานด้านการ ส่งเสริมการท่องเที่ยวในปี พ.ศ. 2547 และในปี พ.ศ. 2547 รัฐบาลมีโครงการพัฒนาเส้นทางฝั่งทะเล ตะวันออก-สระแก้ว-บุรีรัมย์-ยโสธร-มุกดาหาร เพื่อสร้างโอกาสให้บุรีรัมย์มีศักยภาพในการเชื่อมโยง กับพื้นที่อื่น ๆ ได้สะดวกขึ้น ตลอดจนสนับสนุนแนวทางการพัฒนาเพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวของภาค อีสานตอนล่างกับประเทศเพื่อนบ้านในอินโดจีน สำหรับกรณีที่เคยมีการจัดสรรงบประมาณให้กับจังหวัด บุรีรัมย์แล้วบางส่วน แต่มิได้นำมาพัฒนาในส่วนของการท่องเที่ยว นั้น ในการจัดสรรงบประมาณดังกล่าว เพื่อการพัฒนาด้านท่องเที่ยว จะมีการโอนไปที่จังหวัด โดยทางจังหวัดจะเป็นผู้บริหารการใช้จ่ายเงินงบ ประมาณในส่วนนี้ ซึ่งจะมีบางจังหวัดอาจขอปรับเปลี่ยนงบเพื่อการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว ประกอบ กับในปี พ.ศ. 2545 รัฐบาลได้ปรับบทบาทการบริหารจัดการการท่องเที่ยว และจัดตั้งกระทรวงการท่อง เที่ยวและกีฬา และในปี พ.ศ. 2546 รัฐบาลได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการแบบบูรณาการ (CEO) มีอำนาจ บริบูรณ์ในการบริหารราชการต่าง ๆ ในท้องถิ่นของตน การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวจังหวัด จึงเป็นภาร กิจโดยตรงของผู้ว่าราชการจังหวัด |
||||||||||||||||||
| 2791 | ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจทางการเงิน การคลัง และงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และร่างแผนปฏิบัติการถ่ายโอนบุคลากรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 02/03/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอร่างแผนปฏิบัติการเพื่อกำหนดขั้นตอนการ
กระจายอำนาจทางการเงิน การคลัง และงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และร่างแผนปฏิบัติการ ถ่ายโอนบุคลากรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ได้ปรับปรุงแล้ว และให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับต่อไป โดยร่างแผนปฏิบัติการเพื่อกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจทางการเงิน การ คลัง และงบประมาณ ฯ ได้แก้ไขหน้า 25-29 ภารกิจการจัดสรรเงินอุดหนุน กิจกรรม/ขั้นตอน ข้อ 4.1.3, 4.2.3, 4.3.3 และ 4.4.3 เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดทำงบประมาณระยะปานกลางของสำนักงบประมาณ โดยแก้ไขข้อ ความจากเดิม "ของสำนักงบประมาณ" เป็น "และนโยบายของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.)" และแก้ไขหน้า 25 ภารกิจการจัดสรรเงินอุดหนุน กิจกรรมข้อ 4.1-4.4 โดยแก้ไขข้อ ในช่องหมายเหตุ เป็น "ให้สำนักงบประมาณ กระทรวงมหาดไทย และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติเกี่ยวกับ การจัดสรรเงินอุดหนุน โดยขอความเห็นจาก กกถ. และดำเนินการให้สอดคล้องกับมติ กกถ. ที่ได้รับความเห็น ชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ก่อนที่จะนำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง" ส่วนร่างแผนปฏิบัติการถ่ายโอนบุคลากรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้เพิ่ม มาตรการในขั้นตอนและวีธีการถ่ายโอนบุคลากรเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับการถ่ายโอนบุคลากรระยะที่ 2 ปี 2547 ซึ่งเน้นการสร้างระบบจูงใจเป็นตัวนำ ทั้งในเรื่องการปรับปรุงทางก้าวหน้า สิทธิประโยชน์เมื่อเป็น พนักงานส่วนท้องถิ่น รวมทั้งเพิ่มให้มีการศึกษาและปรับกำลังคนภาครัฐให้มีความหลากหลาย ปรับโครงสร้าง การบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีขนาดใหญ่ ตลอดจนปรับปรุงระบบบริหารงานบุคคลสำหรับท้องถิ่น ให้ยืดหยุ่นตามสภาพปัญหาและฐานะทางการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และให้มีระบบรองรับ เมื่อไม่สามารถจัดบุคลากรลงท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ได้ปรับปรุงในส่วนของตารางสรุปรายละเอียด ของแผน โดยให้แสดงภารกิจกิจกรรมและขั้นตอน ระยะเวลา และหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละกิจกรรม ให้ สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการ กำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจ ฯ และแผนปฏิบัติการเพื่อกำหนดขั้นตอนการ กระจายอำนาจทางการเงิน ฯ ตลอดจนข้อเท็จจริงในปัจจุบัน
|
||||||||||||||||||
| 2792 | แผนยุทธศาสตร์การจัดการพื้นที่ป่าไม้ของชาติแบบบูรณาการ | ทส | 22/02/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่มี
มติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแผนยุทธศาสตร์การจัดการพื้นที่ ป่าไม้ของชาติแบบบูรณาการ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รับไปแปลงแผนยุทธศาสตร์การจัดการพื้นที่ป่าไม้ของชาติแบบ บูรณาการไปสู่การปฏิบัติให้มีความชัดเจน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน 30 วัน และให้กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามประเมินผลการดำเนินการตามแผน พร้อมทั้งรับ ความเห็นเพิ่มเติมกับข้อสังเกตของ คกก.3 ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ แผนยุทธศาสตร์ที่เสนอ ยังมี ความไม่ชัดเจนในประเด็นของแนวทางการดำเนินการ เป้าหมาย กลไกการจัดการพื้นที่ป่าไม้ และการแปลงแผน ไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งทำให้ไม่สามารถจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายให้ครอบคลุมการดำเนินการตามแผนได้ทั้งหมด จึงเห็นควรให้สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดำเนินการ ปรับปรุงรายละเอียดของแผนดังกล่าวให้มีความชัดเจน เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายมีความสอดคล้อง กับแผนต่อไป สำหรับคณะกรรมการที่ทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งแต่งตั้งโดยส่วนราชการต่าง ๆ หลายคณะ ทำให้การบริหารจัดการไม่มีความเป็นเอกภาพ จึงควรปรับปรุงองค์ประกอบหน้าที่ของคณะกรรม การดังกล่าวให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการระดับชาติเพียงคณะเดียวโดยให้มีผู้แทนจากหน่วยงาน ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรต่าง ๆ ร่วมเป็นองค์ประกอบของ คณะกรรมการระดับชาติด้วย เพื่อนำแผนไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนความหมายของคำศัพท์ภาษา อังกฤษ คำว่า "Geographic Information System" หรือ " GIS" ที่นำมาแปลเป็นภาษาไทยยังมีความแตกต่างกัน อาจทำให้เกิดความสับสน จึงเห็นควรกำหนดให้คำศัพท์ภาษาอังกฤษดังกล่าวมีความหมายในภาษาไทยว่า "ภูมิ สารสนเทศ" นอกจากนี้ ในการแปลงแผนยุทธศาสตร์ ฯ ไปสู่การปฏิบัติ ควรทำเป็นแผนปฏิบัติการ 2 ระยะ คือ ระยะแรกเป็นแผนเร่งด่วนดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี และระยะต่อไปเป็นแผนระยะยาว ซึ่งควรจัดทำใน เชิงบูรณาการและควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามประเมินผลการดำเนินการตามแผนด้วย |
||||||||||||||||||
| 2793 | การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติภัยจากก๊าซหุงต้ม | มท | 22/02/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติภัย
จากก๊าซหุงต้มในระยะยาว และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป ดังนี้ ให้กระทรวงพลังงาน เป็นศูนย์กลาง ในการบูรณาการการอนุญาต การควบคุม การตรวจสอบ การบรรจุ การสะสม การจำหน่าย และการตั้งสถานี จำหน่ายก๊าซหุงต้ม รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดพื้นที่จำหน่าย (zoning) การปรับปรุงแก้ไข ระเบียบกฎหมาย การห้ามมิให้มีการสะสม เก็บรักษาและจำหน่ายก๊าซหุงต้มรวมกับก๊าซ สารเคมีหรือวัตถุไวไฟ ชนิดอื่น ๆ ในสถานที่เดียวกัน ฯลฯ และให้จังหวัด อำเภอ กิ่งอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้มงวดกวด ขันในการตรวจตราและกำกับดูแลการประกอบกิจการเกี่ยวกับก๊าซหุงต้มอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยพิจารณา ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและอุบัติภัยที่อาจจะเกิดจากก๊าซหุงต้ม เช่น กฎ หมายว่าด้วยการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและระงับอัคคีภัย ฯลฯ
|
||||||||||||||||||
| 2794 | ขอหารือข้อกฎหมายเกี่ยวกับการรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายในการให้มีการเลือกตั้งใหม่ | นร | 17/02/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอผลการพิจารณาในปัญหาข้อกฎ
หมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 1) เกี่ยวกับการรับผิดชดใช้ค่าเสีย หายในการให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยกรณีที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ตามมาตรา 99 แห่ง พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 ซึ่งต้องไม่เกินค่าใช้จ่ายในการ ให้มีการเลือกตั้งใหม่ กรณีที่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งต้องรับผิดชอบในการเลือกตั้งใหม่ครั้งเดียวหลายคน มาตรา 99 ดังกล่าว มิได้กำหนดให้ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จึงไม่อาจกำหนดให้บุคคลดังกล่าวต้องรับผิดชอบชดใช้ค่า เสียหายอย่างลูกหนี้ร่วมได้ และเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะพิจารณากำหนดให้บุคคลดังกล่าว แต่ละคนต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะได้พิจารณาจากข้อเท็จจริงแต่ ละรายไป สำหรับกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้มีอำนาจดำเนินการแจ้งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนิน การสอบสวนและมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลไม่ว่าจะเป็นเรื่องในทางแพ่ง ท างอาญา หรือทางปกครอง ในกรณีที่มี ผู้ใดกระทำความทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น โดยถือว่าคณะ กรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้เสียหายและอาจมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการแทนได้ ทั้งนี้ มาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือก พ.ศ. 2541 อย่างไรก็ตามในการที่คณะ กรรมการการเลือกตั้งจะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการแทนดัง กล่าวก็เป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะพิจารณาตามความเหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2795 | ยุทธศาสตร์การจัดสรรและวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 | นร | 17/02/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงบประมาณเสนอยุทธศาสตร์การจัดสรรและวงเงิน
งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ผู้เกี่ยวข้องรับข้อสังเกต ของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการด้วยดังนี้ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ของส่วนราชการและหน่วยงาน ให้สำนักงบประมาณจัดทำเอกสาร (format) หรือรายการสำหรับ ตรวจสอบ (check list) ให้แก่รองนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ประโยชน์ในการพิจารณางบประมาณ ของส่วนราชการและหน่วยงานในความรับผิดชอบ ให้มีความเหมาะสม และเกิดการบูรณาการในมิติต่าง ๆ ด้วย สำหรับการจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้น ประกอบด้วย ผู้แทนของกระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) สำนักงบประมาณและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาปรับปรุงแนวทางและกระบวนการถ่ายโอนภารกิจ การจัดสรรงบประมาณ รวมทั้งการโอนบุคลากร ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์และความพร้อมขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลทางการบริหารราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการเปลี่ยน ผ่าน และควรจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องที่มีรายละเอียดชัดเจนสำหรับให้บุคลากรขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ โดยที่มูลค่าการส่งออกสินค้าของประเทศมีแนว โน้มการขยายตัวในลักษณะที่ลดลงตามลำดับ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการประมาณการทางเศรษฐกิจและการจัด ทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ในอนาคต จึงให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันพิจารณากำหนดยุทธ ศาสตร์และแนวทางการดำเนินการ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการประกอบการที่เป็นการผลิตเพื่อการส่งออกและเพื่อ ทดแทนการนำเข้าให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อคงสภาพการได้เปรียบดุลการค้าของประเทศในภาพรวมเอาไว้ แล้วดำเนิน การให้สัมฤทธิผลต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 2796 | การจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | นร | 17/02/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (กรม
ส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) เสนอ หลักเกณฑ์การพิจารณาปรับลด ปรับเพิ่ม งบประมาณเงินอุดหนุนเฉพาะ กิจตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 และวงเงินงบประมาณที่จังหวัดต่าง ๆ ได้รับ กับให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติเงินประจำงวดในรายการเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ เพื่อพัฒนาองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่ได้ปรับปรุงแล้ว จำนวน 762 รายการ วงเงินงบประมาณ 2,516.343 ล้านบาท รวมทั้งมอบให้ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้แทนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย พิจารณาโครงการและวงเงินที่จัดสรรเพิ่มให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดต่าง ๆ 31 จังหวัด ประมาณ 710.200 ล้านบาท และให้สำนักงบประ มาณพิจารณาอนุมัติเงินประจำงวดในโครงการที่ได้มีการพิจารณาแล้ว |
||||||||||||||||||
| 2797 | แผนการจัดการขยะมูลฝอยแห่งชาติ | ทส | 10/02/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแผนการจัดการขยะมูลฝอยแห่งชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมเสนอ โดยมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอ คณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 รับเรื่องนี้ และความเห็นเพิ่มเติมของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาทบทวน แล้วนำ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วยว่า การจัดทำแผนการจัดการขยะมูลฝอย ควรจะต้องพิจารณาให้ครอบคลุมครบถ้วนในทุกมิติทั้งในระดับย่อยและใน ภาพรวมของประเทศ โดยการจัดการขยะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ประเภทขยะ แนวทาง วิธีการ กำจัด/ลดปริมาณ หรือการนำขยะไปใช้ประโยชน์ หน่วยงาน/องค์การ ที่จะรับผิดชอบดำเนินการ สถานที่/ที่ตั้ง ของโรงงานกำจัดขยะ ตลอดจนการประสานและร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น และการถ่าย โอนงานด้านนี้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็จะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับศักยภาพขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งและสอดคล้องกับปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||
| 2798 | การจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 10/02/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี
เสนอ โดยเห็นชอบในหลักการให้กำหนดสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อรายได้สุทธิของรัฐบาล ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 เป็นร้อยละ 23.5 ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน ปีงบประมาณดังกล่าวมีสัดส่วนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการจัดทำงบประมาณประจำปีแบบสมดุล ซึ่งอาจทำ ให้สถานะงบประมาณโดยรวมของประเทศมีความตึงตัวมากกว่าในปัจจุบัน และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) รับไปประสานในราย ละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปประสานกับองค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรต้องเร่งรัดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะ การจัดเก็บรายได้ของท้องถิ่น เพื่อให้สามารถบริหารจัดการงบประมาณนอกเหนือจากเงินรายได้ที่ได้รับการจัด สรรจากรัฐบาลด้วย เช่น การเร่งรัดการดำเนินการเก็บภาษีประเภทต่าง ๆ ในท้องถิ่นตามที่กฎหมายกำหนดให้ เป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น กับให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาปรับปรุงโครง สร้างภาษีประเภทต่าง ๆ ของประเทศทั้งระบบให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยให้พิจารณาความ เหมาะสมและเป็นไปได้ในการปรับปรุงหรือขยายฐานภาษีเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดเก็บภาษี ในท้องถิ่นเพื่อเพิ่มรายได้ของตนเองมากขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนี้ ให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในราชการส่วน กลางและส่วนภูมิภาค ซึ่งมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามภารกิจที่จะถ่ายโอนให้องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ที่กำหนดว่าเมื่อมีการถ่ายโอนภารกิจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว หน่วยงานราชการ ยังจะต้องดูแลให้คำปรึกษา แนะนำ และความช่วยเหลือแก่ท้องถิ่น ไประยะหนึ่งก่อน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอน โ ดยให้คำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนพึงจะ ได้รับเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภารกิจสำคัญ ๆ ที่มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ของประชา ชนโดยตรง |
||||||||||||||||||
| 2799 | การบูรณาการแผนปฏิบัติการและงบประมาณปี 2547-2549 ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 | มท | 10/02/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการ
ป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติเสนอ ยุทธศาสตร์/มาตรการ ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุ แห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2545-2549 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การจัดการสารเคมีเป็นระบบมีความปลอดภัย และสอดคล้องกับแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนิน การต่อไปได้ โดยให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เป็นหน่วยงานหลักในการ กำกับ ดูแล และติดตามการดำเนินการด้านยุทธศาสตร์/มาตรการ ภายใต้แผนแม่บท ฯ ให้เกิดผลในเชิง บูรณาการ และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ไปประกอบการดำเนินการด้วยว่า การพิจารณาอนุญาตให้ใช้สถานที่ใดเป็นสถานที่จัดเก็บสารเคมีอันตราย จะต้องสอดคล้องกับข้อกฎหมายเกี่ยวกับผังเมืองด้วย รวมทั้งการกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็น หน่วยดำเนินการตามกฎหมายนั้น หน่วยงานส่วนกลางที่เกี่ยวข้องจะต้องกำกับดูแล ตรวจสอบติดตาม และ ประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||
| 2800 | รายงานผลการจัดกิจกรรมวันรณรงค์สร้างความมั่นใจในการบริโภคไก่และไข่ | มท | 10/02/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการจัดกิจกรรมวันรณรงค์สร้างความ
มั่นใจในการบริโภคไก่และไข่ หรือมหกรรมกินไก่ปลอดภัย 100% เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2547 จาก 75 จังหวัด ซึ่งจังหวัดได้ประสานความร่วมมือทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งผู้ประกอบการเลี้ยงไก่ ค้าไก่ ร้านอาหารที่ใช้ ผลิตภัณฑ์จากไก่ร่วมกันจัดกิจกรรมส่งเสริม โดยได้ออกซุ้มร้านอาหารที่ปรับปรุงจากไก่และไข่เพื่อแจกให้ประชา ชนรับประทานฟรี เช่น ไก่ทอด ไก่ย่าง แกงไก่ เป็ดพะโล้ ข้าวมันไก่ ข้าวหน้าเป็ด ข้าวไข่เจียว เป็นต้น รวมจำนวน ไก่ 381,665 ตัว เป็ด 27,000 ตัว นกกระทา 12,500 ตัว เนื้อไก่ 126,590 กิโลกรัม นกกระทา 1,000 กิโล กรัม ไข่ 2,931,800 ฟอง ไข่นกกระทา 124,000 ฟอง ในส่วนของการจัดกิจกรรมบนเวทีประกอบด้วย มหกรรม ดนตรี คอนเสิร์ต และการแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นต่าง ๆ การแข่งขันกินไก่ ไข่และการแข่งขันการปรุงอาหาร จากไก่และไข่ นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการให้ความรู้ การป้องกันโรคไข้หวัดนกและการกินอาหารปลอดภัย แก่ประชาชน การเดินรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนมั่นใจในการบริโภคไก่และไข่ การจำหน่ายสินค้าราคาถูก การ แข่งขันกีฬาต่าง ๆ และการเชิญสื่อมวลชนทุกแขนงร่วมรณรงค์ในงานดังกล่าว เพื่อขยายผลในการประชาสัมพันธ์ สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคไก่และไข่ สำหรับผู้เข้าร่วมงานในส่วนของผู้ร่วมงานชาวไทย จำนวน 713,410 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ 19,224 คน |
||||||||||||||||||
.....
