ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 132 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 2621 - 2640 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2621 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 09/11/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักประสานงานการเมืองเสนอสรุปผลการประชุมคณะกรรมการ
ประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 59/2547 วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2547 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาร่าง พระราชบัญญัติของคณะรัฐมนตรี รวม 8 ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พ.ศ. .... ร่าง พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. .... โดยให้ส่งสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระ และ ร่างพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบ รวมและดำเนินการเพื่อนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรชุดต่อไป รวมทั้งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทน ราษฎร ชุดที่ 21 ปีที่ 4 ครั้งที่ 28 และครั้งที่ 29 (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน 2547 และ วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2547 และมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) ตอบชี้แจง กระทู้ถามที่ 490 เรื่อง การป้องกันและปราบปรามยาบ้า แทนรองนายกรัฐมนตรี (ศาสตราจารย์ปุระชัย เปี่ยม สมบูรณ์) ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการตอบกระทู้ถามดังนี้ ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับงาน ของกระทรวงโดยตรง ให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบเป็นผู้ตอบ เว้นแต่รัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจไปตอบได้ หรือเป็น เรื่องสำคัญจึงให้รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานด้านนั้นเป็นผู้ตอบ และในกรณีที่เกี่ยวข้องกับงานของหลาย กระทรวง แต่เป็นเรื่องที่สามารถตอบชี้แจงรวมกันได้ อาจมอบหมายให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับงานด้านนั้นเป็น หลัก เป็นผู้ตอบกระทู้ถามเพียงผู้เดี่ยวได้ โดยให้คำนึงถึงความเหมาะสมและความสมบูรณ์ของคำตอบ โดยไม่ จำเป็นจะต้องให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทั้งหมดร่วมกันตอบเสมอไป และให้คณะกรรมการ ฯ พิจารณาดำเนินการ เพื่อเร่งรัดร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้ได้รับความเห็น ชอบของรัฐสภา และประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายได้โดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2622 | ขอรับงบประมาณอุดหนุนโครงการเปลี่ยนอาชีพของพนักงานส่วนท้องถิ่น | มท | 02/11/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 8 (ฝ่ายกฎ
หมาย ระบบราชการและการประชาสัมพันธ์) ที่มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอความเห็นของคณะ กรรมการมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ในการประชุมครั้งที่ 2/2547 วัน ที่ 23 สิงหาคม 2547 ที่มีมติเกี่ยวกับการขอรับงบประมาณอุดหนุนโครงการเปลี่ยนอาชีพของพนักงานส่วน ท้องถิ่น ดังนี้ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำงบประมาณซึ่งปรับปรุงรายการใช้จ่ายจากเงินอุดหนุนที่ตั้งงบ ประมาณไว้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 เพื่อสนับสนุนการถ่ายโอนบุคลากรและเงินอุดหนุนด้านการศึกษา มาใช้สำหรับการจ่ายเงินก้อนผู้ที่ออกจากราชการตามโครงการ ฯ และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนด แนวทางเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้เหมาะสมสอดคล้องกับแต่ละท้องถิ่น โดยให้สำนักงบประมาณ กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น) และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนัก งานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ปรับปรุงรายการใช้จ่ายจากเงินอุด หนุนที่ตั้งงบประมาณไว้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 เพื่อสนับสนุนการถ่ายโอนบุคลากรและเงินอุดหนุนด้าน การศึกษามาใช้สำหรับโครงการ ฯ และให้กระทรวงมหาดไทยรับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่น กรองฯ ที่มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาดำเนินการปรับอัตรากำลังและตำแหน่งข้าราชการ ส่วนท้องถิ่นให้เหมาะสมสอดคล้องกับภารกิจ หากภารกิจในตำแหน่งใดไม่มีความจำเป็นหรือไม่อาจปรับภาร กิจได้ก็ให้ยุบอัตราตำแหน่งนั้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2623 | แนวทางการบูรณาการการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง (ระหว่างวันที่ 1 - 31 ตุลาคม 2547) | มท | 02/11/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแนวทางการบูรณาการให้ความช่วยเหลือ
ผู้ประสบภัยแล้ง ตามมติที่ประชุมศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาความแห้งแล้ง เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 เช่น ให้มีการบรูณาการข้อมูลการแก้ไขปัญหาและการให้ความช่วยเหลือของทุกหน่วย โดย ให้อยู่ภายใต้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจ ฯ ทั้งในส่วนกลางและจังหวัด โดยให้ข้อมูลมีรายละเอียดที่ครอบคลุม ชัดเจน แม่นยำ รวดเร็ว และถูกต้องตรงกัน และเชื่อมโยงเครือข่ายสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เพื่อให้การ แก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้อง รวดเร็วและถูกต้อง รวม ทั้งให้มีการบูรณาการแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาด ไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้ง ภาครัฐและเอกชนเพื่อรองรับการประสานการปฏิบัติร่วมกัน และให้ทุกหน่วยงานพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ ประสบภัยแล้งตามแนวทางและหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วย เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 ในด้านต่างๆ ดังนี้ ด้านการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ได้แก่ การจัดหากระสอบทรายเพื่อทำทำนบกักเก็บน้ำ จัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับ รถยนต์บรรทุกน้ำ ซ่อมแซมภาชนะรองรับน้ำ ค่าตอบแทน ค่าจ้างเหมาแจกจ่ายน้ำ และค่าซ่อมยานพาหนะ ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ได้แก่ การเป่าล้างบ่อบาดาล ซ่อมแซมระบบประปาหมู่บ้าน ด้านพืชและ การเกษตร ได้แก่ การจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงหรือกระแสไฟฟ้าสำหรับเครื่องสูบน้ำ การชดเชยพันธุ์พืช และสาร อินทรีย์วัตถุ ด้านปศุสัตว์ ได้แก่ การจัดหาสัตว์ วัคซีน และเวชภัณฑ์รักษาสัตว์ และด้านสังคมสงเคราะห์และฟื้น ฟูผู้ประสบภัย ได้แก่ การส่งเสริมอาชีพระยะสั้น ฯลฯ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
2624 | การจัดคาราวานแก้จน | ยธ | 26/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) ผู้อำนวยการศูนย์
อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ เสนอให้ศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจน แห่งชาติเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการแผนงาน งบประมาณ โครงการ กิจกรรม และการปฏิบัติเกี่ยว กับงานคาราวานแก้จนของทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอก ชน และองค์กรภาคประชาชนต่าง ๆ |
|||||||||||||||||||||||||||
2625 | การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 24 พ.ศ. 2550 | กก | 26/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (ฝ่าย
การต่างประเทศ วัฒนธรรม ท่องเที่ยวและกีฬา) ที่มีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬาเสนอการให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 24 พ.ศ. 2550 โดยมีกรุง เทพมหานครเป็นเมืองหลัก โดยให้ตั้งคณะกรรมการอำนวยการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 24 พ.ศ. 2550 โดยมีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ และคณะ กรรมการจัดการแข่งขัน ฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานกรรมการ ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ควรเร่งกำหนดเป้าหมายพื้นที่ที่จะใช้ดำเนินการแข่งขันให้ชัดเจนเพื่อ จัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณเสนอตามขั้นตอนไป รวมทั้งพิจารณาจัดการแข่งขันกีฬาประเภทต่าง ๆ ให้กระจายไปยังจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ และมีความพร้อมของสนามแข่งขันเพื่อให้ได้ทั้งการส่ง เสริมการท่องเที่ยวและส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น ตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ นอกจาก นี้ คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องจัดทำรายละเอียด และงบประมาณค่าใช้จ่ายเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในหลักการรัฐบาลจะให้ การสนับสนุนงบประมาณเท่าที่จำเป็น เฉพาะส่วนที่เกินจากเงินรายรับทั้งหมดที่พึงได้จากการเป็นเจ้าภาพ จัดการแข่งขันเท่านั้น โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย ควรประสานกับคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศ ไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อเจรจาตกลงรายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของไทยในฐานะเจ้า ภาพจัดการแข่งขันให้เกิดความชัดเจน รอบคอบ และเป็นธรรม รวมถึงเรื่องการเตรียมการป้องกันปัญหา การปลอมแปลงสินค้าและของที่ระลึกในการจัดการแข่งขัน และให้เร่งจัดทำแผนพัฒนาการกีฬา/นักกีฬา ของไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับการเป็นเจ้าภาพ และเพื่อความ เป็นเลิศในการเข้าร่วมแข่งขันด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2626 | รายชื่อกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบคำตอบแล้ว (จำนวน 3 เรื่อง) 1.1 กระทู้ถามที่ 1314 ร. เรื่อง นโยบายให้ทุกครัวเรือนมีไฟฟ้าใช้ 1.2 กระทู้ถามที่ 1342 ร. เรื่อง สวัสดิการผู้สูงอายุและคนพิการ 1.3 กระทู้ถามที่ 1414 ร. เรื่อง ขอให้บูรณะเมืองเก่าศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ | นร | 26/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1415
ร. เรื่อง ขอให้บูรณะเมืองเก่าศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้ แทนราษฎร คำตอบกระทู้ถามที่ 1314 ร. เรื่อง นโยบายให้ทุกครัวเรือนมีไฟฟ้าใช้ ของพลตรี ศรีชัย มนตริ วัต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และคำตอบกระทู้ถามที่ 1342 ร. เรื่อง สวัสดิการผู้สูงอายุและคนพิการ ของ นายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยคำตอบกระทู้ ถามที่ 1415 ร. สรุปได้ว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ร่วมกับจังหวัดเพชรบูรณ์และองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ได้ดำเนินปรับปรุงแผนแม่บทอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัด เพชรบูรณ์ ขึ้นใหม่ให้มีความสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้เป็นแนวทางในการอนุรักษ์และพัฒนา อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ส่วนคำตอบกระทู้ถามที่ 1314 ร. สรุปได้ว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ราษฎรได้มี ไฟฟ้าใช้ทุกครัวเรือนในปี พ.ศ. 2548 ได้แก่ โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้ราษฎรในชนบท ระยะที่ 3 (คพช.3) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และโครงการเร่งรัดการขยายการบริการไฟฟ้าโดยระบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้วย พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Home System) ของกระทรวงมหาดไทย ในส่วนของการอนุญาตให้มีการนำ สาธารณูปโภคต่าง ๆ เข้าไปในเขตพื้นที่ป่าไม้ได้หรือไม่ นั้น จะต้องพิจารณาเป็นราย ๆ โดยยึดถือมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 ซึ่งคณะรัฐมนตรีให้ข้อสังเกตว่า ในพื้นที่เขตอนุรักษ์ที่มีราษฎรครอบ ครองอยู่ราษฎรมักจะร้องขอให้ทางราชการจัดสาธารณูปโภคพื้นฐานหรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้ กรมป่าไม้พิจารณาด้วยความรอบคอบว่า การจัดสาธารณูปโภคพื้นฐานหรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในพื้นที่นั้น ๆ สมควรหรือไม่ และจะเป็นการยั่วยุให้เกิดการบุกรุกหรือตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มขึ้นหรือไม่ และ คำตอบกระทู้ถามที่ 1342 ร. สรุปได้ว่า รัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือคนชราอายุเกิน 60 ปี เพื่อให้สามารถ ดำรงชีวิตอยู่ในครอบครองและชุมชนอย่างมีความสุข และให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาความ เดือดร้อนและไม่มีผู้อุปการะ โดยให้การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุรายละ 300 บาทต่อเดือน ตลอดจน ให้การสนับสนุนรถเข็น รถโยก แก่คนพิการ โดยในส่วนของจังหวัดลพบุรีได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อ การนี้เป็นเงิน 104,000 บาท นอกจากนี้ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ได้ให้การสนับสนุน เครื่องมือเพื่อประกอบอาชีพได้เฉพาะกรณีผู้ป่วย หรือคนพิการที่สามารถรวมกลุ่ม และขอเข้าโครงการกอง ทุนเพื่อรับงานไปทำที่บ้าน
|
|||||||||||||||||||||||||||
2627 | รายงานผลการจัดสัมมนาโครงการ "รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 7 | นร | 26/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ รับทราบรายงานผลการจัดสัมมนา
"รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 7 ซึ่งสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์ และ โฆษกกระทรวง จัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม 2547 ณ จังหวัดเชียงราย ในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 1 ประกอบ ด้วย จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง และลำพูน โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นาย วิษณุ เครืองาม) เป็นประธานการสัมมนา รวมทั้งตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนท้องถิ่นที่เข้าร่วมการสัมมนาร่วม กับผู้ว่าราชการจังหวัดผู้ตรวจราชการกระทรวง คณะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกกระทรวง ใน ประเด็นปัญหาต่าง ๆ อาทิเช่น การปราบปรามผู้มีอิทธิพลในวงการสื่อวิทยุ และการเช่าช่วงเวลารายการวิทยุ ความคืบหน้าของยุทธศาสตร์สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ทิศทางการพัฒนาเมืองเชียงใหม่ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาใน กลุ่มล้านนา นโยบายการเสนอข่าวสารในเขตรับผิดชอบที่ 1 ที่เห็นควรให้สื่อท้องถิ่นส่งตรงถึงคณะทำงานโดย ตรง โดยไม่ต้องจ่ายค่าไปรษณีย์ และเปิดเว็บไซต์เฉพาะในเรื่องนี้ รวมทั้งปัญหาแหล่งน้ำ ภัยแล้ง น้ำท่วม และ ปัญหาความยากจน เป็นต้น พร้อมกันนี้สื่อมวลชนท้องถิ่นได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ควรจัดโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนท้องถิ่นและหน่วยงานภาครัฐ โดยจัดโครงการในแต่ละพื้นที่อย่างน้อย ปีละ 2 ครั้ง ให้เวลาในการถามและตอบคำถามมากขึ้น และขอให้รัฐบาลนำปัญหาและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ไป ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมและขอให้แจ้งผลการดำเนินงานให้สื่อมวลชนทราบ และอนุมัติให้หน่วยงานที่เกี่ยว ข้องในประเด็นปัญหาที่สื่อมวลชนท้องถิ่นได้นำเสนอ ไปพิจารณาดำเนินการแก้ไขให้เกิดประโยชน์ตรงกับความ ต้องการของประชาชนในท้องถิ่น และให้แจ้งผลการดำเนินการให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทราบ เพื่อชี้ แจงให้สื่อมวลชนและประชาชนได้รับทราบต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2628 | รายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | กค | 26/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำ
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ในภาพรวมทั้งปี โดยผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2547 ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลังทั้งสิ้น 956,573 ล้าน บาท หรือร้อยละ 94.57 ของวงเงินงบประมาณ 1,011,500 ล้านบาท ส่วนผลการเบิกจ่ายจำแนกตามลักษณะ เศรษฐกิจ โดยในส่วนของรายจ่ายประจำ มีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 830,160.77 ล้านบาท หรือร้อยละ 99.89 ของ งบประมาณรายจ่ายประจำ 831,037.27 ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน มีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 137,563.48 ล้าน บาท หรือร้อยละ 69.84 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน 196,962.73 ล้านบาท และผลการเบิกจ่ายจำแนก ตามกระทรวง ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2547 กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงแรงงาน มีอัตราการเบิกจ่ายต่อวงเงินงบประมาณเท่ากับ 99.32 98.00 และ 96.98 ตามลำดับ สำหรับผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เพิ่มเติม จำนวน 135,500 ล้านบาท ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน 85,085 ล้านบาท หรือร้อยละ 62.79 ของวงเงินงบประมาณ 135,500 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายตามมาตรการพัฒนา และบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง จำนวน 13,733 ล้านบาท รายการค่าใช้จ่ายการปรับเงินค่า ตอบแทนบุคลากรภาครัฐ จำนวน 11,910 ล้านบาท รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ (รายการเงิน บำเหน็จดำรงชีพ) จำนวน 43,307 ล้านบาท รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการ พัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ จำนวน 5,146 ล้านบาท และเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฯ จำนวน 10,989 ล้านบาท และผลการเบิกจ่ายซึ่งรวมงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ณ สิ้นเดือนกันยายน 2547 ในภาพ รวมจำนวน 1,163,500 ล้านบาท ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลังทั้งสิ้น 1,052,809.36 ล้าน บาท หรือร้อยละ 90.49 ของวงเงินงบประมาณดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||
2629 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการมีงานทำของนักเรียน นักศีกษา ให้มีรายได้ระหว่างเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่เมษายน - กันยายน 2547 | ศธ | 26/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครง
การส่งเสริมและสนับสนุนการมีงานทำของนักเรียน นักศึกษาให้มีรายได้ระหว่างเรียนของกระทรวงศึกษาธิ การ ตั้งแต่เดือนเมษายน-กันยายน 2547 มีการจ้างงานนักเรียน นักศึกษาทั้งที่ลงทะเบียนตามแบบ สย.4 และที่ไม่ได้ลงทะเบียนในหน่วยงานต่าง ๆ และสถานศึกษา รวมทั้งสิ้น 322,418 คน จำแนกเป็น ภาครัฐ ทั้ง 19 กระทรวง รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 36,174 คน ภาคเอกชน 120,417 คน และ สถานศึกษา 165,626 คน สำหรับแนวทางการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 กระทรวงศึกษาธิ การได้ขอรับการสนับสนุนงบกลางปี พ.ศ. 2547 (ระยะที่ 2) จำนวน 400 ล้านบาท จากศูนย์ต่อสู้เพื่อเอา ชนะความยากจนแห่งชาติ เพื่อให้สถานศึกษาจ้างงานนักเรียน นักศึกษา ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 และ จะมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน ความพึงพอใจของผู้รับบริการทั้งนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และผู้ประกอบการ ตลอดจนปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไข เพื่อนำเสนอคณะอนุ กรรมการส่งเสริมอาชีพและการมีงานทำ รวมทั้งจัดพิมพ์คู่มือการดำเนินงานของนักเรียน นักศึกษา คู่มือ สถานประกอบการ และคู่มือการบริหารโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการมีงานทำของนักเรียน นักศึกษา ให้มีรายได้ระหว่างเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ |
|||||||||||||||||||||||||||
2630 | ขออนุมัติเพิ่มเติมสถานที่ติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่ ศาสนสถาน และสถานที่ราชการต่าง ๆ ในพื้นที่ห่างไกล | มท | 26/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดำเนินการติดตั้ง
ระบบไฟฟ้าให้แก่ครัวเรือนของประชาชน ภายใต้โครงการเร่งรัดขยายบริการไฟฟ้าโดยระบบผลิตกระแสไฟฟ้า ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ (solar Home System) ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ให้ครบถ้วน และทั่วถึงมากที่สุดก่อน สำหรับการติดตั้งให้แก่สถานที่ราชการ นั้น ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องขอตั้งงบประมาณประจำปี เพื่อดำเนิน การ ส่วนกรณีศาสนสถานที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากชุมชนมากและตรวจสอบดูแลได้ยาก ให้พิจารณาความจำเป็น เหมาะสมเป็นกรณี ๆ ไป ทั้งนี้ ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาครับความเห็นของกระทรวงพลังงาน สำนักนายก รัฐมนตรี (สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการพิจารณาติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับสถานที่ดังกล่าว ไปประกอบการ พิจารณาต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2631 | นโยบายการจัดการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส | ศธ | 26/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4.1 (ฝ่าย
การศึกษา) (เดิม) ที่มีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอนโยบายการจัดการศึกษา สำหรับเด็กด้อยโอกาส โดยมีนโยบายและยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส รวม 5 ด้าน ได้แก่ (1) การให้บริการการศึกษาอย่างเสมอภาคและทั่วถึงเพื่อให้เด็กด้อยโอกาสทุกคนมีโอกาสได้รับการ ศึกษาอย่างเหมาะสมและหลากหลายรูปแบบ โดยคำนึงถึงหลักการสิทธิเด็กและสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ ศรีความเป็นมนุษย์ (2) จัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ เน้นการเรียนรู้เพื่อชีวิตที่เหมาะสมกับเด็กด้อยโอกาส (3) ส่งเสริมสนับสนุนให้มีระบบการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการศึกษาและปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ ที่สอดคล้อง กับสภาพของเด็กด้อยโอกาสในแต่ละประเภท (4) จัดระบบการบริหารจัดการให้เอื้อต่อการจัดการศึกษา สำหรับเด็กด้อยโอกาสอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ และ (5) สร้างและพัฒนาเครือข่ายการจัดการ ศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาสให้มีความพร้อมในการจัดการศึกษา และสามารถให้ความช่วยเหลือเด็กด้อย โอกาสได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันการณ์ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการปรับปรุงเอกสารนโยบายดังกล่าว ให้เป็นปัจจุบันตามข้อมูลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และให้กระทรวงการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการตามนโยบายดังกล่าว เพื่อบูรณาการกับการพัฒนาสังคม ในภาพรวมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ เกี่ยวกับการ จัดทำแผนปฏิบัติการต้องคำนึงถึงการกำหนดระดับความสำเร็จของการดำเนินภารกิจตามยุทธศาสตร์ตาม นโยบายทั้ง 5 ด้าน ให้เป็นรูปธรรม กำหนดตัวชี้วัดผลความก้าวหน้าของการดำเนินการ และกำหนดให้มี กระบวนการติดตามประเมินผลและรายงานเป็นระยะ ๆ นอกจากนี้ ควรจัดแบ่งภารกิจตามแผนปฏิบัติการ ให้ชัดเจนว่าแต่ละกิจกรรมควรเป็นภารกิจของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็นการเฉพาะ หรือเป็นกิจกรรม ที่หน่วยงานมากกว่า 1 หน่วยงานต้องร่วมมือกันดำเนินงาน โดยมีหน่วยงานใดเป็นหน่วยงานหลัก เพื่อให้มี ผู้รับผิดชอบต่อผลการดำเนินงานอย่างแท้จริง และควรมีมาตรการสนับสนุนการมีส่วนร่วมขององค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นและเอกชน และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานร่วมดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นเจ้าภาพหลัก และเร่งดำเนินการต่าง ๆ ในเชิงรุก เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์แก่เด็กด้อยโอกาสโดยเร็ว ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2632 | การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดน จังหวัดตาก (Agenda based) | นร | 19/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนจังหวัดตาก ตามที่
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ไปศึกษาความเหมาะสมเพิ่มเติม โดยให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดน ควรต้องพิจารณา ดำเนินการในลักษณะชุมชนที่ไร้พรมแดนระหว่างกัน (cross border community) เพื่อให้ประชาชนไทยและ ประเทศเพื่อนบ้านบริเวณชายแดนเดินทางไปมาหาสู่และติดต่อค้าขายกันได้อย่างสะดวกและคล่องตัว อันจะ ทำให้เกิดผลดีแก่ทั้งสองฝ่ายทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการดำเนินชีวิตของประชาชน รวมทั้งจะมีส่วนช่วยให้ สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ เช่น ปัญหาแรงงาน การลักลอบเข้าเมือง ปัญหาการจัดการศึกษา และปัญหา สัญชาติ เป็นต้น และให้รับความเห็นของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการดำเนินการ ด้วย ทั้งนี้ โครงการที่ต้องขอรับจัดสรรงบกลาง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ให้จัดลำดับความสำคัญโครงการ ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณ สำหรับโครงการด้านแรงงานต่างด้าว มอบให้กระทรวงแรงงาน โดยคณะ กรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง (กบร.) เป็นผู้พิจารณาต่อไป โดยในชั้นนี้ให้หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องดำเนินการเฉพาะโครงการที่จำเป็นเร่งด่วนไปก่อน คือ โครงการศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้น โครง การพัฒนาท่าอากาศยานแม่สอด โดยกรมขนส่งทางอากาศ โครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมเทศบาล เมืองแม่สอด และอำเภอแม่ระมาด โดยกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น โครงการวางผังเมืองรวม และผัง เฉพาะชุมชนชายแดน โดยสำนักงานโยธาธิการและผังเมือง และกรมโยธาธิการและผังเมือง โครงการศึกษา ความเหมาะสมการจัดตั้งสถานีขนส่งสินค้าอำเภอแม่สอด โดยกรมการขนส่งทางบก โดยให้ปรับวงเงินค่าใช้ จ่ายให้เหมาะสมเท่าที่จำเป็น ในส่วนของโครงการขยายถนน 4 ช่องจราจร สายตาก-อำเภอแม่สอด ตอน ตาก-ลานสาง โดยกรมทางหลวง ให้ดำเนินการเฉพาะการศึกษาความจำเป็นเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวด ล้อมให้ชัดเจนเฉพาะในช่วงที่มีความสำคัญและจะดำเนินการในลำดับต้นก่อนเท่านั้น และให้หน่วยงานที่เกี่ยว ข้องขอตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการกับสำนักงบประมาณ แล้วดำเนิน การต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
2633 | รายงานผลการสร้างงานและสร้างอาชีพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส | 19/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการสร้าง
งานและสร้างอาชีพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดปัตตานี นราธิวาส และยะลา) สรุปได้ดังนี้ ปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2547 ได้มีการจ้างงานท้องถิ่นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดำเนินงานภายใต้แผนงาน/ โครงการที่ได้รับอนุมัติ จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการจัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเลและทำความสะอาด บ้านปลา มีการจ้างแรงงาน 2,033 คน วงเงินการจ้าง 3,858,000 บาท โครงการส่งเสริมและพัฒนาการใช้ ประโยชน์ไม้เสม็ดและพันธุ์ไม้ป่าพรุแบบครบวงจร มีการจ้างแรงงาน 62 คน วงเงินการจ้าง 3,789,000 บาท โครงการส่งเสริมการพัฒนาวัดและมัสยิดเป็นศูนย์ตัวอย่างสิ่งแวดล้อมชุมชน มีการจ้างแรงงาน 30 คน วงเงิน การจ้าง 504,000 บาท โครงการนำร่องพัฒนาการมีส่วนร่วมเพื่อการจัดการอุทยานแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการจ้างแรงงาน 1,671 คน วงเงินการจ้าง 7,326,400 บาท และโครงการ จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำภาคใต้ตอนล่าง 5 ลุ่มน้ำ (ลุ่มน้ำสายบุรี/โกลก/ปัตตานี/ บางพระ/เทพา) มีการจ้างแรงงาน 1 คน วงเงินการจ้าง 35,520 บาท รวมการจ้างงานทั้งสิ้น 3,797 คน วงเงินการจ้าง 15,512,920 บาท แยกเป็น จังหวัดปัตตานี 1,971 คน วงเงินการจ้าง 7,317,098 บาท จังหวัดนราธิวาส 1,544 คน วงเงินการจ้าง 7,024,742 บาท และจังหวัดยะลา 282 คน วงเงินการจ้าง 1,171,080 บาท สำหรับแผนงาน/โครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวน 6 โครงการ ได้แก่ โครง การส่งเสริมและพัฒนาการใช้ประโยชน์ไม้เสม็ดและพันธุ์ไม้ป่าพรุ โครงการส่งเสริมการพัฒนาวัดและมัสยิด เป็นศูนย์ตัวอย่างสิ่งแวดล้อมชุมชน (ต่อเนื่อง) โครงการจัดทำระบบการจัดการน้ำเสียและขยะมูลฝอยในวัด และมัสยิด โครงการสร้างความพร้อมในการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียชุมชน โครงการจัดการทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำภายใต้ตอนล่าง 5 ลุ่มน้ำ (ลุ่มน้ำสายบุรี/โกลก/ปัตตานี/บางพระ/เทพา) และโครงการศึกษาผลกระทบจากการบริหารจัดการลุ่มน้ำปัตตานี อยู่ระหว่างการเตรียมการในการดำเนิน การขออนุมัติงบประมาณ และกำหนดแผนปฏิบัติงานตลอดจนการจ้างแรงงานท้องถิ่นต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2634 | การปฏิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดนครพนมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายโภคิน พลกุล) | มท | 19/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการเดินทางไปปฏิบัติราชการ
ในพื้นที่จังหวัดนครพนมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและคณะ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2547 เพื่อ ตรวจเยี่ยมผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและนโยบายของกระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้ง รับทราบปัญหาและอุปสรรคจากการดำเนินงานตามนโยบาย ซึ่งภาพรวมการปฏิบัติราชการครั้งนี้ ได้มี การประชุมเพื่อมอบนโยบายให้แก่หัวส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชี้แจงให้ผู้เข้าร่วมประชุมเห็นถึงผลงานของรัฐบาลตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาในด้านต่าง ๆ รวมทั้ง ได้ตรวจเยี่ยมจุดที่ขอเปิดเป็นจุดผ่านแดนถาวรไทย-ลาว ซึ่งเป็นจุดข้ามแม่น้ำโขงไปเชื่อมกับถนนหมายเลข 8 ที่สามแยกบ้านท่าสะอาด แขวงบริคำไซ ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจะสามารถเดิน ทางต่อไปถึงเมืองฮาติง และเมืองวินท์ของประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้ และตรวจสภาพความ เสียหายของตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งเกิดจากแม่น้ำโขงกัดเซาะ โดยจะนำข้อมูลดังกล่าวมาพิจารณาร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2635 | รายงานสถานการณ์ดินถล่ม ที่จังหวัดกระบี่ | มท | 19/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานสถานการณ์ดินถล่มในพื้นที่บ้านอ่าวนาง
ม.2 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2547 และในพื้นที่บ้านห้วยส้มไฟ ม.1 ตำบลเขาคราม อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2547 เป็นเหตุให้มีราษฎรเสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บ 1 คน บ้านเรือนราษฎรได้รับความเสียหาย 18 หลัง ซึ่งสาเหตุของดินถล่มเกิดจากฝนที่ตกหนัก ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความช่วยเหลือแก่ราษฎรที่ประสบภัยในเบื้องต้น และได้มีการวางมาตรการเร่งด่วน เพื่อป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นอีก โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ประสานไปยังจังหวัดกระบี่ประกาศ ให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เสี่ยงภัย และแจ้งให้ประชาชนออกจากบริเวณดังกล่าว รวมทั้งประสานกับสำนักงาน ทรัพยากรธรณีเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานีเพื่อตรวจสอบทางด้านธรณีวิทยาเพื่อประเมินความเสี่ยงและเตรียมการ ป้องกัน นอกจากนี้ ได้จัดชุดเฝ้าระวัง โดยมอบให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกับ อปพร. สำรวจสภาพพื้นที่ที่อาจจะเกิดการเลื่อนไหลของดินและถล่มลง และให้จังหวัดประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจ ให้ราษฎรในพื้นที่ได้ทราบ และมีความตระหนักถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยมิให้เกิดความตื่นตระหนักจนเกิด ความเสียหายต่อการประกอบอาชีพหรือกระทบต่อการท่องเที่ยวของจังหวัด
|
|||||||||||||||||||||||||||
2636 | แผนปฏิบัติการจัดการมลพิษอากาศจังหวัดเชียงใหม่-ลำพูน | ทส | 12/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการจัดการมลพิษอากาศจังหวัด เชียงใหม่-ลำพูน ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเห็นชอบในหลักการของ (ร่าง) แผน ปฏิบัติการจัดการมลพิษอากาศเชียงใหม่-ลำพูน โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไป ปรับ (ร่าง) แผนปฏิบัติการดังกล่าวให้มีความชัดเจนและเหมาะสมยิ่งขึ้น ดังนี้ ให้ตรวจสอบสภาพการดำเนิน งานที่มีผลต่อการจัดการมลพิษอากาศในจังหวัดเชียงใหม่-ลำพูนของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งด้านงบประมาณที่ ได้รับ เป้าหมายและผลการดำเนินการที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยพิจารณาปรับ (ร่าง) แผนปฏิบัติการดังกล่าว ตามข้อมูลที่ได้รับโดยกำหนดขอบเขต วัตถุประสงค์ เป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ กำหนดตัวชี้วัดและแนวทางบูรณา การภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน และกำหนดโครงการและกิจกรรมตาม (ร่าง) แผนปฏิบัติ การ ฯ เท่าที่จำเป็น ไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการหรือกิจกรรมที่ดำเนินการอยู่และต้องก่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม สามารถตรวจวัดได้ มีมาตรการตรวจสอบ ติดตาม ประเมิน และรายงานผลการดำเนินการตามแผนปฏิบัติ การ และสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมดำเนินการตาม (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ฯ และ ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ และตระหนักในการมีส่วนร่วมลดมลพิษอากาศในพื้นที่ เพื่อเกิดผลสำเร็จต่อ เนื่องในระยะยาว ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการ กลั่นกรอง ฯ ไปประกอบการปรับปรุง (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ฯ ด้วย และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาด้วยว่า การดำเนิน การเกี่ยวกับปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อม ควรดำเนินการในเชิงรุกดูแลป้องกันมิให้เกิดปัญหามากกว่าที่จะ ดำเนินการแบบตั้งรับเพื่อแก้ไขฟื้นฟูหลังจากเกิดปัญหาแล้วเพราะการแก้ไขปัญหาจะทำให้เกิดภาระและสิ้น เปลืองงบประมาณค่าใช้จ่ายมากกว่า และยากที่จะแก้ไขให้สภาพธรรมชาติกลับคืนดังเดิมได้ นอกจากนี้ ควรพิจารณาด้วยว่าควรนำเอาหลักการที่ว่า "ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา" (Polluter Pay Principle-PPP) มาใช้ในการดำเนินการได้มากน้อยเพียงใดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2637 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาใช้น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง เพื่อการผลิตน้ำประปา | มท | 12/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติรับทราบสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้น้ำในแม่ น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง เพื่อการผลิตน้ำประปา โดยมีแนวทางในการ แก้ไขปัญหา รวม 4 มาตรการ ได้แก่ มาตรการด้านการบริหารจัดการ โดยจัดทำแผนแม่บทแบบบูรณาการ ทรัพยากรน้ำทั้งในและนอกลุ่มน้ำทั้งหมด และมองการจัดการแบบภาพรวม และผลักดันให้มีการจัดหาน้ำ ต้นทุนเพิ่มขึ้นให้เต็มศักยภาพ ให้มีความเหมาะสมกับระบบนิเวศวิทยา และการจัดการสิ่งแวดล้อมทั้งในด้าน การจัดหาแหล่งน้ำดิบ และการผันน้ำเพื่อผลิตน้ำ เป็นต้น มาตรการด้านการลงทุน โดยจัดให้มีระบบประปา อย่างทั่วถึง โดยให้เป็นการบริการขั้นพื้นฐานไม่ใช้เพื่อแสวงหากำไร และสนับสนุนการลงทุนของราชการส่วน ท้องถิ่น รัฐิวสาหกิจและเอกชนในการจัดหาแหล่งน้ำดิบและการก่อสร้างระบบประปา เป็นต้น มาตรการด้าน กฎหมาย โดยปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับการประปาให้มีความชัดเจนและไม่ทับซ้อนกันในทางปฏิบัติ ตลอด จนกระจายความรับผิดชอบการจัดการเรื่องน้ำประปาสู่ราชการส่วนท้องถิ่น เป็นต้น และมาตรการด้านการ ส่งเสริม โดยร่วมมือกับเอกชนและองค์กรต่าง ๆ รณรงค์ ประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ และมีส่วนรับผิดชอบในการจัดการระบบประปา และสนับสนุนการวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับระบบประปาเพื่อ ส่งเสริมพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นต้น รวมทั้งผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามที่กระทรวง มหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันพิจารณาข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ และให้กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รับไปดำเนินการพิจารณากำหนดแนวทาง ปรับปรุง และแก้ไขปัญหาในเชิงบูรณาการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ โดยละเอียด อีกครั้งหนึ่ง แล้วส่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบดำเนิน การนำเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พิจารณาแนวทางในการแก้ไขปัญหาในลักษณะที่เป็นยุทธ ศาสตร์ภาพรวมของชาติโดยเร็วต่อไป และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมพิจารณาดำเนินการในฐานะ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบการใช้น้ำขนาดใหญ่ โดยให้พิจารณาดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวตามประเด็น อภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2638 | ร่างพระราชบัญญัติการศึกษานอกโรงเรียน พ.ศ. .... | ศธ | 12/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่งร่างพระราชบัญญัติการศึกษานอกโรงเรียน พ.ศ. .... ไปเพื่อสำนักงานคณะ
กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนัก งาน ก.พ.ร. สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาด้วย ดังนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. มีความเห็นว่า เนื้อหาสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ ฯ อาจก่อให้เกิดปัญหาและผลกระทบต่อการบริหารจัดการศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการได้หลายประการ เช่น การจัดระเบียบบริหารราชการตามร่างพระราชบัญญัติ ฯ ซึ่ง กำหนดให้จัดระบบที่แตกต่างกับพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 จึง อาจทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง และไม่เป็นเอกภาพในการจัดการศึกษาของประเทศได้ รวมทั้งการกำหนด อำนาจหน้าที่ บทบาท และภารกิจที่มีลักษณะซ้ำซ้อน ทำให้ในพื้นที่หนึ่งมีหลายหน่วยงานต่างดำเนินการใน พื้นที่โดยไม่มีการประสานหรือพิจารณาดำเนินการร่วมกันในภาพรวมของกระทรวง เป็นต้น ส่วนสำนักงาน ก.พ. มีความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของสำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียนซึ่งเป็นหน่วยงานในส่วน กลาง ควรมีขนาดที่เล็กลงและมุ่งเน้นเฉพาะภารกิจงานวิเคราะห์ในเชิงยุทธศาสตร์การวางนโยบายและมาตร ฐานการปฏิบัติงาน การติดตามและประเมินผล การวิจัยและพัฒนา ตลอดจนให้การสนับสนุนในเชิงวิชาการ และควรมีการกระจายอำนาจไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ สอดคล้องกับการจัดระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษา สำหรับสำนักงบประมาณมีความเห็น เกี่ยวกับสถานภาพของหน่วยงาน ควรระบุให้ชัดเจน นอกจากนี้ การกำหนดให้การบริหารงานศึกษานอก โรงเรียนใช้แบบของคณะกรรมการ 3 ระดับ ควรคำนึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงานที่ สอดคล้องกับหลักการของการปฏิรูปการศึกษาและการปฏิรูประบบราชการควบคู่กันไปด้วย เนื่องจากจะมี ผลให้เกิดภาระงบประมาณของประเทศอย่างต่อเนื่องในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||
2639 | รายงานผลการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การศึกษา กฎหมาย ระเบียบ และวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความยากจน | นร | 12/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการายงานผลการประชุมคณะอนุ
กรรมการพิจารณาโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การศึกษา กฎหมาย ระเบียบ และวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวกับการแก้ไข ปัญหาความยากจน โดยมีผลการประชุมดังนี้ การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับเอกสารสิทธิในที่ดิน คณะอนุ กรรมการ ฯ ได้พิจารณาร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดมาตรฐานในการออกเอกสาร สิทธิ์ในที่ดินของรัฐ พ.ศ. .... ที่กรมที่ดินได้ยกร่างขึ้นแล้วเห็นว่า ระเบียบดังกล่าวเป็นการใช้มาตรการในทาง บริหารซึ่งสามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาในระยะสั้นได้ เนื่องจากจะทำให้การออกเอกสารสิทธิของหน่วยงาน ของรัฐเป็นไปอย่างมีระบบ และมีมาตรฐานเดียวกัน และเพื่อให้การดำเนินการเกิดผลตามวัตถุประสงค์ตาม ระเบียบดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนการแก้ไขปัญหาการออกเอกสารสิทธิในที่ดินในระยะยาว คณะ อนุกรรมการ ฯ ได้มีมติให้กรมที่ดินเสนอร่างพระราชบัญญัติกำหนดมาตรฐานในการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ ดินของรัฐ พ.ศ. .... ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ พิจารณา สำหรับการดำเนินโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการจัดให้ ประชาชนเข้าไปจำหน่ายสินค้าในทางเท้าของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เห็นว่า การดำเนินโครงการ ดังกล่าวเป็นการอำนวยความสะดวกในการหาแหล่งเงินทุนให้กับผู้ค้า แต่ควรมีหลักเกณฑ์ในการควบคุมดูแล การเข้าใช้ประโยชน์ที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้ประชาชนใช้ช่องทางของโครงการดังกล่าวเข้าไปบุกรุกที่เพื่อให้ได้สิทธิ ครอบครอง โดยเห็นควรเก็บค่าเช่าจากผู้ที่เช่าไปจำหน่ายสินค้าในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อเป็นรายได้แก่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น และเพื่อนำไปปรับปรุงและดูแลพื้นที่ให้มีความสวยงามและเป็นระเบียบ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2640 | การกำหนดโครงสร้างในราชการบริหารส่วนภูมิภาคของกระทรวงมหาดไทย | มท | 12/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการพิจารณาเกี่ยวกับจำนวน
และจังหวัดที่สมควรจัดตั้งราชการบริหารส่วนภูมิภาค ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จำนวน 19 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ ปทุมธานี สระบุรี นครปฐม เพชร บุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี อุดรธานี กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี นคร ศรีธรรมราช ภูเก็ต นราธิวาส และสงขลา และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จำนวน 19 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก พิจิตร พระนครศรีอยุธยา สระบุรี กาญจนบุรี ประจวบคีรี ขันธ์ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี อุดรธานี กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครราชสีมา ศรีสะเกษ ชุมพร นครศรีธรรมราช ภูเก็ต ปัตตานี และสงขลา |
.....