ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 132 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2621 - 2640 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2621 | แนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม | กษ | 16/11/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ดังนี้ ๑.๑ กรณีช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพารา ๑.๑.๑ ให้การช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพาราที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๕๓ ถึงสิ้นสุดฤดูฝนปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๑.๒ ให้การช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพาราทุกรายได้ที่รับความเสียหาย (เสียสภาพสวน) เป็นกรณีพิเศษร้อยละ ๕๕ ของต้นทุนการผลิตยางพารา ๗ - ๒๒ ปี ในอัตราไร่ละ ๖,๐๐๗ บาท โดยเร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือให้ถึงมือเกษตรกรชาวสวนยางโดยเร็ว โดยให้ใช้แนวทางเดียวกับกรณีการจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัยครอบครัวละ ๕,๐๐๐ บาท โดยดำเนินการจ่ายเงินผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ๑.๑.๓ กรณีสวนยางพาราที่เป็นพื้นที่ป่าสงวนหรือหวงห้ามอื่น ๆ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รับไปพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือและการแก้ไขปัญหาการใช้พื้นที่ดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ กรณีเสบียงสัตว์ เห็นชอบในหลักการให้ผลิตหญ้าแห้งเพิ่มเติมจากเป้าหมายเดิมอีกจำนวน ๒,๐๐๐ ตัน ๑.๓ กรณีช่วยเหลือเรือและเครื่องมืออุปกรณ์การจับปลา ๑.๓.๑ ให้การช่วยเหลือเรือประมงและเครื่องทำการประมงที่ประสบภัยพายุดีเปรสชั่นในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ๑.๓.๒ กรณีเรือประมง ให้การช่วยเหลือเป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามระเบียบกรมประมงว่าด้วยการจ่ายเงินช่วยเหลือและฟื้นฟูอาชีพประมงที่ประสบภัยธรณีพิบัติใน ๖ จังหวัดภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยการช่วยเหลือเป็นการปรับฐานจากความช่วยเหลือปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ให้เป็นปีปัจจุบัน โดยใช้ดัชนีราคาผู้ผลิตของกระทรวงพาณิชย์ในหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๑.๕ และให้กรมประมงดำเนินการออกระเบียบเพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพประมงที่ประสบภัยพิบัติในครั้งนี้ต่อไป ๑.๓.๓ กรณีเครื่องมืออุปกรณ์ทำการประมง ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๕.๑.๑๕ ค่าเครื่องมือประกอบอาชีพ และหรือเงินทุนประกอบอาชีพสำหรับผู้ประสบภัยพิบัติ เท่าที่จ่ายจริง ครอบครัวละไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ๑.๓.๔ กรณีเครื่องมือจับปลาแบบโพงพางและไซนั่งในพื้นที่โดยรอบทะเลสาบสงขลา ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือกรณีดังกล่าวร้อยละ ๗๐ เช่นเดียวกับการช่วยเหลือกรณีสึนามิในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ๒. ในส่วนของงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามข้อ ๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลความเสียหายต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ครบถ้วน รวมทั้งแหล่งเงินงบประมาณที่จะใช้ และประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อขอตกลงในรายละเอียดให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ก่อนดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายรายการใดไม่สามารถจะใช้เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีของปีงบประมาณที่ผ่านมาหรือปรับแผนการใช้จ่ายของปีงบประมาณปัจจุบันได้ อนุมัติให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยจัดงบให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. เพื่อจ่ายให้เกษตรกรได้โดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2622 | รายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (ระหว่างวันที่ 1 - 31 กรกฎาคม 2553) | พณ | 16/11/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทาง
ปัญญา ตามที่ได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างวันที่ ๑-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ สามารถจับกุม ได้ ๒๙๖ คดี ยึดของกลางได้ ๔๗๑,๔๐๙ ชิ้น
|
|||||||||||||||||||||
2623 | การชดเชยรายได้เกษตรกรโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 | พณ | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๓ ที่ เห็นชอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จ่ายเงินชดเชยรายได้เกษตรกรโครงการประกัน รายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๒/๕๓ ให้แก่เกษตรกรเพิ่มเติม ตั้งแต่ช่วงวันที่ ๑๕ มีนาคม-๒๕ เมษายน ๒๕๕๓ (เฉพาะข้าวเปลือกปทุมธานีชดเชยช่วงวันที่ ๒๒ มีนาคม-๑๑ เมษายน ๒๕๕๓) ซึ่งจะต้องจ่ายเงินชดเชยเพิ่มเติมให้ เกษตรกรที่ใช้สิทธิปริมาณข้าวเปลือก ๑,๘๐๗,๗๑๖ ตัน เป็นเงิน ๖๕๑.๗๓ ล้านบาท จำแนกเป็น ข้าวเปลือกเจ้า ๕% ประมาณ ๑,๗๒๕,๓๒๔ ตัน เป็นเงิน ๖๓๓.๕๖ ล้านบาท และข้าวเปลือกปทุมธานี ปริมาณ ๘๒,๓๙๒ ตัน เป็นเงิน ๑๘.๑๗ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร ให้ ธ.ก.ส. จ่ายค่าชดเชยรายได้จำนวนดังกล่าวนี้ให้แก่เกษตรกรโดยเร็ว ซึ่งจะเป็นการช่วยบรรเทาปัญหาความเดือด ร้อนจากปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรในพื้นที่ได้ด้วย และเร่งตรวจสอบ ทำสัญญา รวมทั้งชี้แจงให้เกษตรกร เข้าใจเกี่ยวกับการใช้สิทธิในรอบใหม่ให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาร้องเรียนในภายหลัง ไปดำเนินการโดยด่วน |
|||||||||||||||||||||
2624 | การขอยุติโครงการศูนย์รวบรวมผักและผลไม้เพื่อการส่งออก (POSSEC) | พณ | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบการยุติโครงการศูนย์รวบรวมผักและผลไม้เพื่อการส่งออก (POSSEC) เนื่องจากปัจจัยแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้สถานที่ตั้งของศูนย์ POSSEC ณ ตลาดไท ไม่สอดคล้องกับการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ ในการจัดตั้ง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่าไม่มีประเด็นที่ จะต้องพิจารณาในเรื่องความเสียหายที่คู่สัญญาควรได้รับการชดเชย และให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จัดทำทะเบียนวัสดุครุภัณฑ์ที่ได้ดำเนินการจัดหามาใช้บริการภายในศูนย์ฯ เพื่อดำเนินการจัดสรร และ/หรือจำหน่าย ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป รวมทั้งความเห็นของกระทรวง สาธารณสุ ขและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากมีการยุติโครงการแล้ว จะต้องกำชับผู้ผลิตผักและผลไม้เพื่อการส่งออกให้ผลิตผักและผลไม้ที่มีคุณภาพเพื่อรักษาชื่อเสียงของประเทศ และให้มี การชำระบัญชีจัดการแบ่งแยกทรัพย์สินของทางราชการตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตามข้อเสนอของสำนักงานการตรวจ เงินแผ่นดิน นอกจากนี้ ควรเร่งพิจารณากำหนดกรอบระยะเวลาการยุติการให้บริการให้ชัดเจนและเตรียมมาตรการ ป้องกันผลกระทบสำหรับผู้ประกอบการที่ใช้บริการของศูนย์ POSSEC อยู่ในปัจจุบัน และพิจารณาทบทวนการดำเนิน งานในโครงการอื่น ๆ ที่มีการดำเนินงานอยู่ในปัจจุบันทั้งในด้านประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และผลกระทบจากการ ดำเนินงาน เพื่อพิจารณาถึงความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการต่อไป สำหรับกรณีที่จะมีการจัดเตรียมโครงการใน ลักษณะเดียวกัน เห็นควรให้ความสำคัญกับการศึกษาความเป็นไปได้และความอ่อนไหวของโครงการให้ครอบคลุมถึง การเปลี่ยนแปลงจากบริบทภายในและภายนอกที่จะส่งผลต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวของโครงการให้มากขึ้น ไป พิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2625 | รายงานผลการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาไก่ไข่ | กษ | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. รับทราบผลการศึกษาปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ และคณะ กรรมการที่ปรึกษาของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การได้มาซึ่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ รวมทั้ง วิธีการได้มาของรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิให้ประกาศเผยแพร่ให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบและเพิ่มเติมคุณสมบัติผู้ทรงคุณวุฒิ ในประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยเน้นความเป็นกลางและไม่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียการดำเนินธุรกิจไก่ไข่ และผลิตภัณฑ์ สำหรับการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ ควรคำนึงถึงกรอบและดำเนินการให้ครบตามอำนาจ หน้าที่ที่กำหนดไว้ในระเบียบ ๑.๒ องค์ประกอบของคณะกรรมการที่ปรึกษาของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ ให้มีเฉพาะเกษตรกรและภาคเอกชนเท่านั้น ไม่มีหน่วยราชการ ยกเว้นอธิบดีกรมปศุสัตว์เป็นประธาน และในการ ทำหน้าที่ให้คำนึงถึงบทบาทหน้าที่ตามระเบียบระบุไว้ ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะ แต่ไม่ได้มีหน้าที่กลั่นกรอง เรื่องต่างๆ ๒. มอบหมายให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการปฏิรูปประเทศ ไทย ด้านการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและเป็นธรรมรับผลการศึกษาของคณะกรรมการฯ ไปพิจารณาใน คณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาไข่ไก่ทั้งระบบให้เกิดความเป็นธรรม และให้นำเสนอ คณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโน โลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรส่งเสริมการพัฒนาคลัสเตอร์ ไก่ไข่ให้เป็นรูปธรรม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรรายย่อยและผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งจะช่วย ในการพัฒนาตลอดห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่การผลิต การตลาด การวิจัยและพัฒนาและองค์ความรู้ต่าง ๆ รวมถึง การเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง สำหรับมาตรการด้านการส่งเสริมการ บริโภค การดำเนินงานต้องไม่เป็นการเข้าไปแทรกแซงตลาดโดยภาครัฐ ซึ่งอาจทำให้เป็นภาระด้านงบประมาณ ได้ในอนาคต ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานงานผู้ประกอบการค้าไข่ไก่เพื่อขอความร่วมมือให้คงราคาจำหน่ายไข่ไก่ ในท้องตลาดไว้เช่นเดิม ซึ่งจะมีส่วนช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภคได้ทางหนึ่งด้วย |
|||||||||||||||||||||
2626 | แก้ไขข้อตกลงความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างสำนักเลขาธิการอาเซียนและสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา (USPTO) | พณ | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างหนังสือแก้ไขข้อตกลงความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างสำนักเลขาธิการ อาเซียนและสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Patent and Trade mark Office : USPTO) โดยไม่ต้องขอรับความเห็นชอบจากรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย โดยสาระสำคัญของเอกสารที่ปรับแก้ไข สรุปได้ดังนี้ ๑.๑ เอกสารสัญญาโครงการเป็นการลงนามระหว่างสำนักเลขาธิการอาเซียนและ USPTO ๑.๒ ข้อตกลงมีระยะเวลา ๕ ปี ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ ๑.๓ ให้ทุนสนับสนุนสำหรับการจัดสัมมนาตลอดระยะเวลาของข้อตกลงจำนวน ๘๕๐,๐๐๐ ดอล ลาร์สหรัฐ และทุนสำหรับบริหารการจัดการและการสนับสนุนโครงการตลอดระยะเวลาของข้อตกลงไม่น้อยกว่า ๑๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ๑.๔ ให้ทุนสนับสนุนสำหรับโครงการศึกษาทรัพย์สินทางปัญญาตลอดระยะเวลาของข้อตกลงจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ๒. มอบหมายให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามร่างหนังสือแก้ไขข้อตกลงความร่วมมือฯ ระหว่าง อาเซียนและ USPTO โดยให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)
|
|||||||||||||||||||||
2627 | การแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปประเทศไทย (รวม 4 คณะ) | นร | 02/11/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. รับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนจากทั่วประเทศและเห็นชอบการกำหนดผู้รับผิดชอบ หลักในการดำเนินการปฏิรูปประเทศไทย รวม ๔ ด้าน ได้แก่ ๑.๑ การสร้างระบบเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและเป็นธรรม มีเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน และนายสาวิตต์ โพธิวิหค) เป็น ที่ปรึกษา ๑.๒ การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและขยายระบบสวัสดิการสังคม มีรัฐมนตรีประจำสำนัก นายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์) เป็นที่ปรึกษา ๑.๓ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การเมือง และความไม่เท่าเทียมในสังคม มีรัฐมนตรีประจำสำนัก นายกรัฐมนตรี (นายองอาจ คล้ามไพบูลย์) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (นายบัณฑิต ศิริ พันธุ์) เป็นที่ปรึกษา ๑.๔ การสร้างอนาคตของชาติด้วยการพัฒนาคน เด็กและเยาวชน มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบ หลัก และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (นายกนก วงษ์ตระหง่าน) เป็นที่ปรึกษา ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนิน การต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตามที่ผู้รับผิดชอบหลักและที่ปรึกษาในแต่ละด้านร้องขอ ทั้งนี้ ในส่วนของการเสนอชื่อผู้ แทนของหน่วยงาน เพื่อเข้าร่วมดำเนินการปฏิรูปประเทศไทยในแต่ละด้าน นั้น ให้หน่วยงานพิจารณากำหนดผู้ แทนที่มีอำนาจตัดสินใจและสามารถเข้าร่วมพิจารณาได้อย่างต่อเนื่องด้วย ๓. สำหรับการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและเป็นธรรม มีเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ ๒ เรื่องคือ ปัญหาในเชิงโครงสร้างของระบบราคาและต้นทุนการผลิต และปัญหาของประชาชนในภาคเศรษฐกิจนอก ระบบซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง จึงขอให้กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดผู้แทน รวมทั้งบุคลากรที่มีอำนาจตัดสินใจ และสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง โดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||
2628 | การรับรองร่างเอกสารสำคัญในการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 22 และ การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 18 | กต | 02/11/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๒ (Joint Statement) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้การรับรอง ๒. เห็นชอบร่างปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๑๘ (Leaders’ Declaration) และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีให้การรับรอง ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการรับรอง ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||
2629 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 3 ราย 1. นายธวัชชัย โสภาเสถียรพงศ์ ฯลฯ) | พณ | 02/11/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายธวัชชัย โสภาเสถียรพงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ ๒. นายกฤษฎา เปี่ยมพงศ์สานต์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก ๓. นายบุณนริศร์ สุวรรณพูล ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงพาณิชย์
|
|||||||||||||||||||||
2630 | รายงานผลการประชุม Lima Dasar Summit ครั้งที่ 1 | พณ | 26/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุม Lima Dasar Summit ครั้งที่
๑ และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องประกอบด้วย ๓ กิจกรรมหลัก ได้แก่ งานแสดงสินค้า Lima Dasar Expo การจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) และการประชุม Lima Dasar Summit โดยการประชุม Lima Dasar Summit ครั้งที่ ๑ ประกอบด้วย การประชุมของภาคเอกชน การประชุมภาครัฐ และการหารือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนกับ รัฐมนตรีฯ สรุปผลการประชุมฯ ได้ดังนี้ ๑. การประชุมฯ ประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง นับเป็นแนวทางการดำเนินความร่วมมือทวิภาคีกับประเทศ ที่มีพรมแดนติดต่อกับไทยในรูปแบบใหม่ที่เน้นกลไกภาคเอกชน และในระดับท้องถิ่นเป็นแกนหลักในการดำเนิน การเพื่อให้ส่งผลที่เป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์โดยตรงกับท้องถิ่น ซึ่งสามารถที่จะใช้เป็นรูปแบบในการดำเนิน การกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ได้แก่ พม่า ลาว และกัมพูชาอีกด้วย ๒. ฝ่ายมาเลเซียชื่นชมและเห็นด้วยอย่างยิ่งกับแนวคิดริเริ่มของไทยสำหรับโครงการ Lima Dasar โดย ให้ความร่วมมือในการส่งผู้แทนจาก ๕ รัฐ ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมการประชุม และกิจกรรมงานแสดงสินค้า รวมทั้งการจับคู่ธุรกิจ ๓. การเชื่อมโยงกับประเทศที่สาม โดยการประชุมฯ ครั้งนี้ ไทยได้เชิญรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรง งานของกัมพูชาเข้าร่วมงานในพิธีเปิดและการหารือสามฝ่ายระหว่างไทย มาเลเซีย และกัมพูชา ซึ่งกัมพูชาเป็น ประเทศที่มีประชากรเชื้อสายมุสลิมอาศัยอยู่ถึง ๖๐๐,๐๐๐ คน โดยเป็นทั้งตลาดและแหล่งลงทุนที่มีศักยภาพ สำหรับไทยและมาเลเซียสำหรับสินค้าฮาลาล ๔. การดำเนินงานขั้นต่อไป ภาคเอกชนจะเริ่มนำสิ่งที่ได้จากการหารือไปสู่ภาคปฏิบัติ โดยการประชุม คณะทำงานรายสาขาเพื่อวางแผนปฏิบัติการร่วมกัน โดยมีภาครัฐทำหน้าที่สนับสนุน
|
|||||||||||||||||||||
2631 | ความคืบหน้าการดำเนินการโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ครั้งที่ 2 | พณ | 26/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานความคืบหน้าการดำเนินการโครงการช่วย
เหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ครั้งที่ ๒ โดยการอนุมัติสินเชื่อ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาด กลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ได้อนุมัติสินเชื่อระหว่างวันที่ ๒๐ มกราคม ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ วงเงินสินเชื่อทั้งสิ้น ๑,๑๘๓.๙๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๔๗ ของวงเงินสินเชื่อทั้งหมดในโครงการฯ โดยในช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๕๓ สรุปได้ดังนี้ ๑. ผู้ยื่นขอกู้ จำนวน ๓๘๒ ราย วงเงิน ๑,๑๙๖.๐๖ ล้านบาท ๒. ได้รับอนุมัติสินเชื่อ จำนวน ๓๗๑ ราย วงเงิน ๑,๐๖๙.๔๘ ล้านบาท ๓. การเบิกจ่ายเงินกู้ จำนวน ๒๗๔ ราย วงเงิน ๘๕๖.๓๓ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
2632 | มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | นร | 26/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอในหลักการควรมีการพักชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรที่ประสบอุทกภัย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยให้คณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจพิจารณาในวันจันทร์ที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ในเรื่องดังต่อไปนี้
๑. การพักชำระหนี้ให้แก่เกษตรกร การให้ความช่วยเหลือด้านหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร และสมาชิกองทุนหมู่บ้าน ๒. การชดเชยความเสียหายด้านพืชผลทางการเกษตร ๓. มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ๔. มาตรการช่วยเหลือด้านภาษีให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยและผู้ที่บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์ทบทวนการระบายสต็อกข้าวเพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนอันเนื่องมาจากข้าวนาปีที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
2633 | การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนไทย - พม่า อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก | พณ | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการแนวทางการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด โดยการก่อสร้างสะพานมิตร ภาพไทย-พม่า แห่งที่สอง จุดก่อสร้างที่บริเวณบ้านวังตะเคียน ฝั่งไทย และบ้านเยปู ฝั่งพม่า ระยะทางประมาณ ๒๒ กิโลเมตร อยู่ในฝั่งไทย ๑๖ กิโลเมตร และอยู่ในฝั่งพม่า ๖ กิโลเมตร ความยาวสะพานที่ข้ามแม่น้ำเมย ๔๐๐ เมตร และการดำเนินโครงการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ระหว่างตำบลแม่ปะ -ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก พื้นที่จำนวน ๕,๖๐๓ ไร่ ๕๖ งาน อยู่ติดริมแม่น้ำเมย ทั้งนี้ เพื่อ เป็นการส่งเสริมการขยายตัวของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมชายแดนและเพื่อเป็นการรองรับการเชื่อมโยง ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) ในอนาคต ตามความเห็นชอบของ คณะกรรมการพัฒนาธุรกิจการค้าชายแดนไทย-พม่า ๑.๒ เห็นชอบการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด โดยมีหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย เพื่อขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดให้เป็นไปอย่างบูรณาการ และมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนัก งบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควร กำหนดเป้าหมาย แนวทางการพัฒนาพื้นที่และรูปแบบการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจพิเศษให้ชัดเจนเป็นรูป ธรรม การกำหนดกิจรรมให้สอดคล้องกับเขตเศรษฐกิจเมียวดีในฝั่งพม่า การกำหนดมาตรการในการอำนวย ความสะดวกและบริหารจัดการแรงงานพม่า และให้ความสำคัญกับการกำหนดแผนแม่บทการใช้ที่ดินและแผน พัฒนาเมืองที่มีประสิทธิภาพและมีการบังคับใช้อย่างจริงจังบนพื้นฐานแนวคิด Green-city/Eco-city เพื่อสร้าง ความสมดุลในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคมและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น นอกจากนี้ ควร จัดระบบการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในลักษณะเป็นทีมบูรณาการของประเทศไทย และให้ หน่วยงานในระดับท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลและช่วยแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น จากการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ในส่วนของการให้เร่งรัดคณะกรรมการพัฒนาที่ดินดำเนินการในเรื่องการใช้พื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับ ป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี สำหรับเป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่ง ที่ ๒ และจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด นั้น ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วย งานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการใช้พื้นที่ รวมทั้งจำนวนพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้ให้ชัดเจน เหมาะสม โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งไม่เห็นด้วยกับการเพิกถอนพื้นที่ป่าไม้ ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี และให้กระทรวงพาณิชย์ยื่นเรื่องคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้ ให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรีและนโยบายที่เกี่ยวข้องต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่ง ประเทศไทยหารือในรายละเอียดในเรื่องนี้กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคู่ขนานกันไปด้วย เพื่อเสนอประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกันต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2634 | กรอบการเจรจาการจัดทำระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน และการเข้าร่วมโครงการนำร่อง | พณ | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาการจัดทำระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียนและการเข้าร่วมโครงการนำร่องโดยการเข้าเป็นภาคีบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของภาคีสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของภูมิภาค (Memorandum of Understanding between the Governments of the Participating Member States of the Association of South-East Asian Nations (ASEAN) on the Pilot Project for the Implementation of a Regional Self-Certification System) ๒. นำเสนอกรอบการเจรจาการจัดทำระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียนเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบก่อนเริ่มการเจรจา ๓. นำเสนอบันทึกความเข้าใจฯ โดยมีเอกสารภาคผนวกระเบียบปฏิบัติในการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Operational Certification Procedures) แนบบันทึกความเข้าใจฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบเพื่อไทยจะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันสำหรับการภาคยานุวัตรเป็นภาคีสมาชิกของบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||
2635 | การเปลี่ยนแปลงวันมีผลใช้บังคับของพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน ฉบับที่ 2 | พณ | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้มีการลงนามพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน ฉบับที่ ๒ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงวันมีผลใช้บังคับของพิธีสารฯ จากเดิมวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เป็นวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ และมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนาม ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขวันที่มีผลใช้บังคับและถ้อยคำอื่นที่มิใช่สาระสำคัญในพิธีสารฯ ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนาม หลังการดำเนินการตามข้อ ๑ เสร็จสิ้นแล้ว และแจ้งผลการรับรองผูกพันพิธีสารฯ ของประเทศไทยต่อประเทศสมาชิกอาเซียนและจีนอย่างเป็นทางการ
|
|||||||||||||||||||||
2636 | การลงนามพิธีสารเพิ่มเติมฉบับที่ 3 ภายใต้พิธีสารระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเปรู เพื่อเร่งเปิดเสรีทางการค้าและอำนวยความสะดวกทางการค้า ปี พ.ศ. 2548 | พณ | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารเพิ่มเติมฉบับที่ ๓ ภายใต้พิธีสารระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเปรู เพื่อเร่งเปิดเสรีทางการค้าและอำนวยความสะดวกทางการค้า ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ และอนุมัติการลงนาม และนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้เอกสารดังกล่าวมีผลบังคับใช้ต่อไป ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการหรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนาม และให้รัฐมนตรีว่าการ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์สามารถพิจารณาแก้ไขข้อความที่ไม่มีนัยสำคัญได้ตามความเหมาะสม โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Power) ให้รัฐมนตรีว่าการ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทยลงนามในพิธีสารเพิ่มเติมฉบับที่ ๓ ระหว่างการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปค ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ ประเทศญี่ปุ่น ๔. ให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามกำกับพิธีสารเพิ่มเติมฉบับที่ ๓ ๕. เมื่อรัฐสภาเห็นชอบตามร่างพิธีสารเพิ่มเติมฉบับที่ ๓ แล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามสัญญา และมอบกระทรวงการต่างประเทศแจ้งภาคีคู่สัญญาทราบเพื่อให้หนังสือสัญญามีผลใช้บังคับต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2637 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ | กค | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ลดอัตราภาษีเงินได้ให้แก่ศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๑๕.๐ ของกำไรสุทธิ สำหรับรายได้จากการจัดซื้อและขายสินค้านอกประเทศไทยให้แก่วิสาหกิจในเครือ โดยสินค้าดังกล่าวมิได้ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย หรือรายได้จากการขายวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนให้แก่วิสาหกิจในเครือเพื่อความมุ่งประสงค์ในการผลิตนอกประเทศไทยที่ได้กระทำโดยวิสาหกิจในเครือ และลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายให้แก่คนต่างด้าวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ชำนาญการที่ปฏิบัติงานในศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศและคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๑๕.๐ สำหรับเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานโดยศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ รวมทั้งยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่คนต่างด้าวซึ่งทำงานประจำศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาความเห็นในเรื่องนี้ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2638 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำมันฝรั่ง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ลำไยแห้ง พริกไทย และเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำพริกไทย น้ำตาลทราย และน้ำมันถั่วเหลือง เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | นร | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ ที่ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำเข้ามันฝรั่ง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ลำไยแห้ง พริก ไทย และเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... มีสาระ สำคัญคือ ๑.๑.๑ ให้มันฝรั่ง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ลำไยแห้ง พริกไทย และเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ซึ่งมีถิ่น กำเนิดและส่งตรงมาจากประเทศสมาชิก สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามความตกลงเขตการค้า เสรีอาเซียนเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองแสดงต่อกรมศุลกากรในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อประกอบ การใช้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร ๑.๑.๒ การขอและการออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีทั้งหมดหรือบาง ส่วน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกำหนด ๑.๑.๓ ให้สินค้าที่นำเข้าตามประกาศนี้ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรการอื่นที่มิใช่มาตรการ ทางภาษีที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำพริกไทย น้ำตาลทราย และน้ำมันถั่วเหลือง เข้ามา ในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ยกเลิกความในข้อ ๓ ของประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำพริกไทย น้ำตาลทราย และน้ำมันถั่วเหลือง เข้ามาในราชอาณาจักร ตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. ๒๕๕๒ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่าร่างประกาศในเรื่องนี้เกี่ยวพัน กับการใช้มาตรการที่เป็นอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers : NTBs) ซึ่งประเทศไทยควรดำเนิน การตามความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) เช่น การแจ้งต่อที่ ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจ (SEOM) และสำนักงานเลขาธิการอาเซียน การพิมพ์โฆษณาร่างประกาศ กระทรวงพาณิชย์ในเรื่องนี้ทางอินเทอร์เน็ตก่อนที่ประกาศฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับเพื่อลดความเสี่ยงในการที่ฝ่ายไทย จะถูกฟ้องร้อง ไปดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2639 | รายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (ระหว่างวันที่ 1 - 30 มิถุนายน 2553) | พณ | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทาง
ปัญญา ตามที่ได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างวันที่ ๑-๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ สามารถจับกุมได้ ๓๕๗ คดี ยึดของกลางได้ ๑๒๘,๗๕๓ ชิ้น
|
|||||||||||||||||||||
2640 | การแข็งค่าของเงินบาท | นร | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงพาณิชย์สำรวจและรวบรวมรายการราคาสินค้าที่ได้รับประโยชน์จากการแข็งค่าของเงิน บาทว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ประการใด แล้วรายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า ๒. ให้สำนักงบประมาณตรวจสอบและรวบรวมรายการงบประมาณค่าใช้จ่ายของหน่วยงานภาครัฐทั้ง ระบบว่ามีรายการใดที่ได้รับประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาทและสามารถปรับลดงบประมาณของภาครัฐลง ได้หรือไม่ อย่างไร แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
.....