ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 131 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2601 - 2620 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2601 | ผลกระทบจากการปรับค่าแรงงานขั้นต่ำและราคาปัจจัยการผลิตต่อราคาสินค้า | พณ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอรายงานผลกระทบจากการปรับค่าแรงงานขั้นต่ำและราคาปัจจัยการผลิตต่อราคาสินค้า ดังนี้
๑. ผลกระทบต่อต้นทุนและราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ๑.๑ การปรับค่าแรงงานขั้นต่ำทั่วประเทศ เป็นวันละ ๑๕๙.๐๐ - ๒๒๑.๐๐ บาท ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๒๓ - ๑.๗๙๔ โดยสินค้าเครื่องแบบนักเรียนได้รับผลกระทบสูงสุดร้อยละ ๑.๗๙๔ ๑.๒ การปรับสูงขึ้นของน้ำมันดีเซล โดยปรับราคาสูงขึ้นเป็นลิตรละ ๒๙.๙๙ บาท ทำให้ต้นทุนสินค้าอุปโภคบริโภคในส่วนของค่าใช้จ่ายผลิตและค่าขนส่งสูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๐๓๘ - ๐.๗๔๗๕ โดยสินค้าปูนซีเมนต์ได้รับผลกระทบสูงสุดร้อยละ ๐.๗๔๗๕ หรือถุงละ (๕๐ กิโลกรัม) ๐.๘๑ บาท ๑.๓ การปรับสูงขึ้นของราคาวัตถุดิบในช่วงตรึงราคาสินค้า ราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งส่วนที่นำเข้าและผลิตในประเทศมีราคาสูงขึ้น โดยในส่วนที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาสูงขึ้น ได้แก่ เหล็กแท่งยาว เหล็กกล้าแผ่นไม่เป็นสนิมรีดร้อน ทองแดง และแม่ปุ๋ยยูเรีย สำหรับวัตถุดิบที่ผลิตได้ในประเทศมีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ยางแผ่นดิบ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำนมดิบ มะพร้าวผลแก่ ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตสินค้ามีราคาสูงขึ้นร้อยละ ๑.๓๓ - ๔๙.๘๐ ๒. ผลกระทบจากการปรับสูงขึ้นของค่าแรงงานขั้นต่ำและราคาน้ำมันดีเซลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรในส่วนของค่าไถพรวน ค่าวิดน้ำเข้านา ค่ารถเกี่ยว ค่าอบลดความชื้น และค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น ทั้งสินค้าพืชไร่ (ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง) พืชผักและผลไม้ ตลอดจนปศุสัตว์ โดยต้นทุนข้าวเปลือกสูงขึ้นร้อยละ ๓.๐๗ หรือสูงขึ้นตันละ ๒๓๔.๐๐ บาท ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้นทุนสูงขึ้นร้อยละ ๒.๙๓ หรือสูงขึ้นตันละ ๑๖๐.๐๐ บาท มันสำปะหลัง ต้นทุนสูงขึ้นร้อยละ ๓.๔๒ หรือสูงขึ้นตันละ ๔๐.๐๐ บาท ต้นทุนการเลี้ยงหมูสูงขึ้นตัวละ ๙.๔๐ บาท สูงขึ้นกิโลกรัมละ ๐.๐๘ บาท รือสูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๔
|
||||||||||||||||||||||||
2602 | รายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (ระหว่างวันที่ 1 - 31 สิงหาคม 2553) | พณ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอรายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์
สินทางปัญญา ตามที่ได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างวันที่ ๑-๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ สามารถ จับกุมได้ ๓๙๘ คดี ยึดของกลางได้ ๓๗๘,๖๗๖ ชิ้น |
||||||||||||||||||||||||
2603 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 22 | พณ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๒ (The
22nd APEC Ministerial Meeting) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๐ – ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ เมืองโยโกฮามา ประเทศ ญี่ปุ่น โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้ ๑. ที่ประชุมเห็นชอบรายงานการประเมินผลการบรรลุเป้าหมายการเปิดเสรีการค้าการลงทุนตามเป้า หมายโบกอร์ในปี ๒๐๑๐ (ปี ๒๐๒๐ สำหรับเขตเศรษฐกิจกำลังพัฒนา) ของสมาชิกพัฒนาแล้ ว ๕ เขตเศรษฐกิจ (แคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา) และสมาชิกกำลังพัฒนาที่อาสาเข้าร่วมประเมินผล ในปีนี้อีก ๘ เขตเศรษฐกิจ (ชิลี เปรู เม็กซิโก ฮ่องกง จีนไทเป เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย) โดยเห็นว่า การ เปิดเสรีในประเทศเหล่านี้มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ (significant progress) แต่มีหลายเรื่องที่ยังมีปัญหาอยู่ เช่น อัตราภาษีสูงในสินค้าเกษตร สิ่งทอ เสื้อผ้า มีการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษีอย่างแพร่หลาย การเปิดเสรีการค้า บริการยังไม่มากพอ เป็นต้น โดยเอเปคจะกำหนดกลไกทบทวนเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ในอนาคต ๒. ที่ประชุมเห็นพ้องว่าการจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย - แปซิฟิค (Free Trade Area of the Asia-Paci fic : FTAAP) ควรใช้วิธีสร้าง building block จาก RTAs/FTAs Partnership Agreement) โดยเอเปคจะมีบทบาทเป็น ที่บ่มเพาะทางความคิด (intellectual incubator) สำคัญของการเจรจาเหล่านี้และการเจรจา FTAAP (หากมีขึ้นใน อนาคต) ทั้งนี้ FTAAP ควรเป็นความตกลงที่ครอบคลุมประเด็นอย่างกว้างขวาง (comprehensive) มีมาตรฐานและ คุณภาพสูง (high quality) และรวมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าการลงทุนในอนาคต (next generation trade and investment issues) เช่น โลจิสติกส์ การปฏิรูปโครงสร้าง โดยมอบหมายให้เอเปคไปดำเนินการอย่างเป็น รูปธรรมเพื่อให้ประสบผลในการทำ FTAAP ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2604 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 17 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอผลการประชุมคณะมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
(AEC Council) ครั้งที่ ๕ และการประชุมทวิภาคีกับประเทศสมาชิกอาเซียน ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๗ ระหว่างวันที่ ๒๖ – ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๓ ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม สรุปได้ ดังนี้ ๑. ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๕ ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ ดำเนินการตาม AEC Scorecard ซึ่งเป็นกลไกในการประเมินผลการดำเนินงานของอาเซียนเพื่อให้เป็นไปตาม แผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC Blueprint และได้มีการหารือแลกเปลี่ยนความคิด เห็นเกี่ยวกับการปรับปรุง Scorecard เพื่อให้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการวัดผลการดำเนินงานของ อาเซียน สำหรับการที่อาเซียนมอบหมายให้ ERIA (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia) ทำการศึกษาเพื่อปรับปรุง AEC Scorecard รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยได้แสดงข้อคิดเห็น ว่าอาจมีข้อจำกัดเนื่องจากมีเรื่องต้องศึกษามาก จึงเสนอให้อาเซียนจัดตั้งสถาบันเพิ่มเติมในแต่ละประเทศโดย อาจจัดตั้ง ASEAN University Network เพื่อช่วยศึกษาด้วย ซึ่งที่ประชุมมีมติให้อาเซียนพิจารณาการจัดสรรเงิน ทุนให้ ERIA เพื่อให้สามารถดำเนินงานเพื่อรองรับความต้องการของอาเซียนได้มากขึ้น นอกจากนี้ รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยเสนอ เกี่ยวกับความล่าช้าของการดำเนินการสำหรับการเปิดเสรีการค้าภาค บริการ เนื่องจากเป็นสาขาที่มีความอ่อนไหวสำหรับอาเซียนทุกประเทศ จึงจำเป็นต้องทำให้ทุกภาคส่วนที่ เกี่ยวข้องเข้าใจโดยประชาสัมพันธ์ทั้งในระดับชาติและระดับภูมิภาค เช่น การจัดทำ Workshop เพื่อให้ผู้มีส่วน ได้เสีย (stakeholder) เห็นประโยชน์ของการเปิดเสรีการค้าภาคบริการในอาเซียน สำหรับประเด็นอื่น ๆ ของการประชุม ได้แก่ การให้ประธานการประชุมอธิบดีศุลกากรรายงานต่อที่ประชุม AEC Council เกี่ยวกับ ความคืบหน้าการดำเนินงานด้านศุลกากรอย่างต่อเนื่องทุกปี และรับทราบตาราง Matrix เกี่ยวกับปัญหาที่ เอกชน (เช่นจาก ASEAN Business Advisory Council, US Business Council) ร้องเรียนมา ทั้งนี้ ในช่วงการ ประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ ๑๗ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทย ได้ลงนามในเอกสารด้านเศรษฐกิจ ๓ ฉบับ ได้แก่ พิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๘ ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการค้าบริการ (The 8th ASEAN Framework Agreement on Services Protocol) พิธีสารแก้ไขพิธีสารเรื่องข้าวและน้ำตาล (Protocol to Amend the Protocol to Provide Special Consideration for Rice and Sugar) และพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าภายใต้กรอบความ ตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีน ฉบับที่ ๒ (Protocol to Amend the 2nd Package of Specific Commitments under the Agreement on Trade in Goods of the Framework Agreement on Comprehensive Economic Co-operation between ASEAN and China) ๒. การหารือทวิภาคีกับประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยได้พบหา รือทวิภาคีกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจของประเทศอาเซียน ๔ ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา พม่า ลาว และเวียดนาม ใน ระหว่างการประชุมฯ โดยมีประเด็นข้อหารือเกี่ยวกับการเปิดเสรีการค้าภาคบริการ ผลการดำเนินงานตาม AEC Scorecard และความสัมพันธ์ทวิภาคีกับประเทศสมาชิกอาเซียน
|
||||||||||||||||||||||||
2605 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุน ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (นายบุญนริศร์ สุวรรณพูล และนายนันทวัฒน์ สังข์หล่อ) | อก | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายบุญนริศร์ สุวรรณพูล ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทน
กระทรวงพาณิชย์ และนายนันทวัฒน์ สังข์หล่อ ผู้บริหารส่วน ส่วนวิเคราะห์เศรษฐกิจด้านอุปทาน ฝ่ายเศรษฐกิจ ฃในประเทศ ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติ อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ แทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๓) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
2606 | ขอความเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ชาติด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย | ปง | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบยุทธศาสตร์ชาติด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางสำหรับแผนปฏิบัติการปรับปรุงพัฒนาระบบการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายของประเทศไทยในระยะ ๕ ปีข้างหน้า ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย โดยมีแนวทางการวัดประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติอย่างชัดเจน ซึ่งประกอบด้วยวัตถุประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ ๘ ด้าน เพื่อยกระดับการดำเนินการด้าน AML/CFT ของประเทศไทย และให้หน่วยงานและส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ รับผิดชอบดำเนินกิจกรรมตามอำนาจหน้าที่และภารกิจตามกฎหมายของแต่ละหน่วยต่อไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับวัตถุประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ข้อที่ ๔ ที่กำหนดให้ “นายหน้าซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า” เป็นสถาบันการเงินประเภทหนึ่งซึ่งต้องปฏิบัติตามร่างยุทธศาสตร์ชาติฯ นั้น เห็นควรพิจารณาปรับถ้อยคำเป็น “ผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า” เพื่อให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเห็นควรให้สำนักงาน ปปง. เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการเพิ่มขีดความสามารถทางเทคนิคด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแก่หน่วยงานกำกับดูแลอื่น ๆ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีองค์ความรู้และชำนาญการในเรื่องนี้มากที่สุด นอกจากนี้ เห็นควรมีการบูรณาการหน่วยงานภาครัฐ และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ระหว่างกั้น รวมทั้งจัดทำเป็นข้อมูลเผยแพร่ให้แก่ประชาชนได้รับทราบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2607 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (จำนวน 12 ราย 1. นางพฤฒิพร เนติโพธิ์ ฯลฯ) | พณ | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า จำนวน ๑๒ คน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ ประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ นางพฤฒิพร เนติโพธิ์ นายศักดา ธนิตกุล กระทรวงการคลัง ได้แก่ นายสมชัย อภิวัฒนพร นายสาธิต รังคสิริ นายกฤษฎา อุทยานิน ๒. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ นายอนุรุทธิ์ โค้วคาสัย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้แก่ นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล นายสมเกียรติ อนุราษฎร์ นายไพรัช บูรพชัยศรี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้แก่ นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล นายสมมาต ขุนเศษฐ นายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา
|
||||||||||||||||||||||||
2608 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2553 | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการ
และเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กศส,) ครั้งที่ ๑ /๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๓ ๒. เห็นชอบผลการพิจารณาและมติของ กศส. รวม ๕ เรื่อง ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของ กศส. เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจสร้าง สรรค์ของประเทศ การจัดทำกรอบแนวทางและหลักเกณฑ์ในการพิจารณากลั่นกรองโครงการ รวมทั้งการ กำหนดแนวทางและกระบวนการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการของหน่วยงาน ตามที่สำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ และให้มีการหารือในรายละเอียดด้านการ จัดสรรเงินตามข้อสังเกตของกระทรวงการคลั งไปประกอบการจัดทำนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ของประเทศ ๒.๒ ให้นายสัญญา สถิรบุตร เป็นที่ปรึกษาในคณะกรรมการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้าง สรรค์แห่งชาติ (กบศส.) แทนการเป็นรองประธานฯ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมอบหมาย ทำหน้าที่เป็น รองประธานฯ และให้ สศช. ในฐานะเลขานุการ กศส. หารือกับภาคเอกชนเพื่อสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิอีกหนึ่ง ท่าน ๒.๓ ให้ฝ่ายเลขานุการหารือกับประธาน กศส. พิจารณาปรับปรุงร่างระเบียบสำนักนายก รัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. .... ให้รอบคอบอีกครั้งก่อนนำส่งคณะกรรมการตรวจสอบ ร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา และดำเนินการต่อไป ๒.๔ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเตรียมการจัดมหกรรมระดับระหว่างประเทศ เรื่อง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และคณะอนุกรรมการโครงการสร้างองค์ความรู้เพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Academy) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกับภาคเอกชน เพื่อหาแหล่งเงินทุนในการสร้างภาพยนตร์ สั้น “สวัสดีประเทศไทย” เพื่อดำเนินการด้วยตนเอง และส่งเสริมให้ภาคเอกชนประสานกับรัฐวิสาหกิจที่ อาจมีความประสงค์จะให้ความสนับสนุนเงินทุนสร้างภาพยนตร์ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2609 | ปัญหาค่าครองชีพของประชาชน (ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและน้ำมัน) | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพของประชาชน
อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการใน เรื่องเร่งด่วน ดังนี้ ๑. เรื่อง ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามตรวจสอบราคาสินค้าอุปโภค บริโภคที่สำคัญชนิดต่าง ๆ รวมทั้งพิจารณาเหตุผลและความจำเป็นเหมาะสมในการขอปรับราคาสินค้าดังกล่าวของ ผู้ประกอบการ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วภายใน ๒ สัปดาห์ ๒. เรื่อง ราคาน้ำมัน มอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพลังงานตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยว กับโครงสร้างราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม แล้วให้นำเสนอ คณะรัฐมนตรีโดยเร็วภายใน ๒ สัปดาห์
|
||||||||||||||||||||||||
2610 | การจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเส้นในสต๊อกของรัฐบาลในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) | พณ | 30/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้นำมันสำปะหลังเส้นในสต๊อกของรัฐบาลตามที่ให้จำหน่ายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า แห่งประเทศไทย (AFET) มาจำหน่ายเป็นการทั่วไป เนื่องจากสถานการณ์ตลาดและราคาผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เปลี่ยนแปลงจากปี ๒๕๕๑/๕๒ ประกอบกับผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมีการเก็บรักษามานานคุณภาพอาจเปลี่ยน แปลงไป รวมทั้งต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการประมาณ ๒-๓ เดือน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาและค่าใช้จ่ายใน การดำเนินการอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ตามมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๓ (ครั้งที่ ๒๑) เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการ นโยบายมันสำปะหลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรดำเนินการให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม และสอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดและราคาผลิตภัณฑ์มัน สำปะหลังที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งเป็นประโยชน์และลดภาระของภาครัฐมากที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2611 | ขอความเห็นชอบชดเชยการขาดทุนจากการจำหน่ายปุ๋ยเคมี โครงการจัดหาปุ๋ยเคมีนำเข้าจากต่างประเทศ | กษ | 30/11/2553 | |||||||||||||||||||||
๑. รับทราบการตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินโครงการจัดหาปุ๋ยเคมีนำเข้าจากต่าง
ประเทศ และการกำหนดระดับราคาปุ๋ยเคมีของโครงการฯ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการโครงการฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ การนำเข้าปุ๋ยยูเรีย ครั้งที่ ๑ (ลงนามสัญญาเมื่อ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑) คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาปุ๋ยราคาแพงได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๑ เมื่อ วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๑ เห็นชอบให้โครงการฯ นำเข้าปุ๋ยยูเรีย ครั้งที่ ๑ ราคา ๑๔,๐๐๐ บาท/ตัน (CIF 400 USD/ตัน) และการนำเข้าปุ๋ยยูเรีย ครั้งที่ ๒ (ลงนามสัญญาเมื่อ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๑) คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ เห็นชอบให้โครงการฯ นำเข้าปุ๋ยยูเรีย ครั้งที่ ๒ ในราคา ๑๒,๖๐๐ บาท/ตัน (CIF 360 USD/ตัน) ๑.๒. การกำหนดระดับราคา หลักเกณฑ์และวิธีการจำหน่ายปุ๋ยคงเหลือของโครงการฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งมีจำนวนปุ๋ยคงเหลือ ๑๑,๑๘๕.๗๕ ตัน ระยะเวลาจำหน่ายตั้งแต่พฤศจิกายน-ธันวาคม ๒๕๕๓ โดย จำหน่ายปุ๋ยให้เกษตรกร ผ่านสถาบันเกษตรกร เช่น สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร ฯลฯ ราคาจำหน่ายต่ำ กว่าราคาท้องตลาด ตันละ ๑,๐๐๐ บาท โดยกระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดราคาจำหน่ายปุ๋ย ณ ราคาหน้าโรงงาน เท่ากับ ๑๑,๐๐๐ บาท/ตัน ตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไป มีผลให้รัฐบาลจะต้องชดเชยการขาดทุนประมาณ ๕๕,๒๘๒,๙๙๖.๖๖ บาท เมื่อโครงการจำหน่ายปุ๋ยในราคา ๑๐,๐๐๐ บาท/ตัน ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ เพิ่มเติมให้ชัดเจนว่า ราคาจำหน่ายปุ๋ยแก่เกษตรกรในแต่ละครั้งแตกต่างจากราคานำเข้าเท่าใดรวมทั้งจำนวนเงินที่ขาดทุนทั้งหมดแล้ว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
2612 | การจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง | นร | 30/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการกำหนด ราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้าง ซึ่งจะใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดราคากลาง โดยสำนักงบประมาณได้ทบทวน รายการตามบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างที่ได้กำหนดไว้และใช้อ้างอิงในปัจจุบัน ฉบับเดือนมีนาคม ๒๕๕๓ เพื่อ ยกเลิก หรือเพิ่มเติม ปรับปรุงแก้ไข รวมทั้งกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างของ สำนักงบประมาณให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะเศรษฐกิจ มีวิธีการคำนวณที่โปร่งใสและเป็นธรรม และ เป็นราคามาตรฐานที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ตลอดจนกำหนดแนวทางในการปรับปรุงราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้าง ให้เชื่อมโยงกับราคาวัสดุของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้สามารถปรับราคาได้โดยอัตโนมัติตามราคาปัจจุบัน ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าวสำนักงบประมาณได้กำหนดแผนการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.๑ จัดทำฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย รายการวัสดุมาตรฐาน รายการวัสดุมวลรวม รายการ งานมาตรฐาน หน่วยนับที่ใช้ในบัญชีแสดงปริมาณงานและราคา (BOQ) รวมทั้งกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของแต่ละ รายการให้ชัดเจน และกำหนดรหัสรายการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ๑.๒ สร้างระบบงานการคำนวณเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสำหรับพัฒนาบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างเป็น โปรแกรมอัตโนมัติ ๑.๓ พัฒนาระบบการเผยแพร่ข้อมูลบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างในเครือข่าย Internet ๒. ให้สำนักงบประมาณประสานงานกับกระทรวงการคลังเพื่อทบทวนระยะเวลาในการจัดทำราคากลาง ตามที่ได้รับมอบหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง วาระแห่งชาติการส่งเสริมคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตและต่อต้านการทุจริตของคนไทย และโครงการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในกระบวนการ จัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ) ให้แล้วเสร็จเร็วกว่าที่กำหนดไว้เดิมในเดือนเมษายน ๒๕๕๔ โดยให้เชิญผู้แทนจาก สภาหอการค้าและภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
2613 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | พณ | 30/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจำกัดและบริษัทจำกัด พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมการถ่ายข้อมูลที่ได้จัดทำจากระบบคอมพิวเตอร์และกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการถ่ายโอนข้อมูลทางทะเบียนนิติบุคคลจากเครื่องคอมพิวเตอร์กรมพัฒนาธุรกิจการค้าไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ขอ ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการถ่ายข้อมูลที่ได้จัดทำจากระบบคอมพิวเตอร์และการถ่ายโอนข้อมูลทางทะเบียนนิติบุคคลจากเครื่องคอมพิวเตอร์กรมพัฒนาธุรกิจการค้าไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ขอ
|
||||||||||||||||||||||||
2614 | การยกเลิกการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับการคว่ำบาตรเซียร์ราลีโอน | กต | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการยกเลิกการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
ที่ ๑๙๔๐ (ค.ศ. ๒๐๑๐) เกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรเซียร์ราลีโอน และให้แจ้งส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนิน การตามมาตรการคว่ำบาตรเซียร์ราลีโอน ตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงฯ ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวง คมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาความ มั่นคงแห่งชาติ สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอก เงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ |
||||||||||||||||||||||||
2615 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 6/2553 | นร | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทาง
เศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยที่ประชุมได้มีมติในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามมติของคณะทำงานร่วม ภาครัฐและเอกชนเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๕๔๘ และส่งเสริมอุตสาห กรรมแปรรูปไม้ยางพารา ในการปรับปรุงแก้ไขข้อกำหนด ระเบียบ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และเห็นชอบ มาตรการระยะยาวที่ให้มีการจัดตั้งคณะทำงานย่อยศึกษาความเหมาะสมในการแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารา ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมของคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพิจารณาแนวทางการยกเลิก อัตราการนำเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาล ที่กำหนดให้กองทุนฯ ชำระหนี้เงินกู้เพื่อเพิ่มราคาอ้อยฤดูกาลผลิตปี ๒๕๔๑/๒๕๔๒-๒๕๕๑/๒๕๕๒ ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้เสร็จสิ้นภาย ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาอัตราการนำเงินเข้ากองทุนฯ ที่เหมาะสมใหม่สำหรับช่วงหลังเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยให้ได้ข้อสรุปผลการศึกษาเสร็จสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ๓. มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) รับไปพิจารณาเพิ่มเติมและปรับปรุงข้อมูลเพื่อสนับสนุนแนวทางการพัฒนา อุตสาหกรรมการขนส่งระบบรางและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ๔. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคงอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลที่ ๘.๕๐ บาท/ลบ.ม. และเร่งรัดการออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการจ่ายเงินสำหรับโครงการที่จะได้รับการช่วยเหลือ และอุดหนุนจากกองทุนพัฒนาน้ำบาดาล พ.ศ. .... โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๖๐ วัน ๕. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการประกาศนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลือง) ปี ๒๕๕๔ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และพิจารณาความเหมาะสมในการปรับ ลดอัตราภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง จากร้อยละ ๒ เหลือร้อยละ ๐ และการกำหนดระยะเวลาการประกาศนโยบาย และมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลือง) ที่มีอายุมากกว่า ๑ ปี แล้วเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาในคราวประชุมวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ๖. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการแต่งตั้งผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการเพิ่มเติมในคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แห่งชาติ และให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาประกอบการจัดตั้งสำนักงานเฉพาะกิจด้าน การเจรจาภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในเรื่องโครงสร้างและรูปแบบ การทำงานของสำนักงานฯ รวมทั้งให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งทำความ เข้าใจกับภาคส่วนต่าง ๆ ในเรื่องการดำเนินนโยบายที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป ๗. มอบหมายให้ประธานผู้แทนการค้าไทยประสานกรมสอบสวนคดีพิเศษในเรื่องของแนวทางการ ปฏิบัติตามประกาศ ฉบับที่ ๖ ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับภาคเอกชน ส่วนการจัดตั้งคณะ ทำงานร่วมระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐเพื่อดำเนินการทบทวนบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย ให้ใช้ช่องทางของคณะ อนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการวัตถุอันตราย ทั้งนี้ ในการดำเนินการให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวง สาธารณสุขและกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรวิเคราะห์ประเด็นปัญหาอย่างรอบคอบ ชัดเจน เพื่อให้สามารถ กำหนดแนวทางแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๘. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) ประชาสัมพันธ์ชี้แจงแผนการดำเนินโครงการให้ ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ผู้ประกอบกิจการและธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วม โครงการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2616 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบวงเงินเหลือจ่ายภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๔,๑๔๘.๖๘ ล้านบาท ๒. อนุมัติให้ดำเนินโครงการจัดมหกรรมเศรษฐกิจนานาชาติ (Thailand International Creative Economy Forum : TICEF) ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้แก่โครงการดังกล่าว วงเงิน ๑๒.๑๘ ล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย สำหรับวงเงินส่วนที่เหลือให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาปรับแผนการใช้จ่ายเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ งบรายจ่ายอื่น โครงการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณในวงเงิน ๗๗.๒๙ ล้านบาท โดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดค่าใช้จ่าย ตลอดจนเรื่องเป้าหมายตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓. อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญาตามที่หน่วยงานเสนอ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน เห็นควรให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป ๔. อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และจัดสรรวงเงินเพิ่มเติม จำนวน ๒๗๑,๙๘๕.๐๖ บาท สำหรับโครงการจัดหาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
|
||||||||||||||||||||||||
2617 | ผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ครั้งที่ 8/2553) | นร | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รายงานผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ครั้งที่ ๘/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบเรื่องต่าง ๆ อาทิ รายงานสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัย ผลการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูความเสียหายจากเหตุอุทกภัย “ฟื้นไทยด้วยใจ ไทยทั้งชาติ” จังหวัดสระบุรี และลพบุรี แผนปฏิบัติการฟื้นฟูผู้ประสบภัยหลังน้ำลดของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แนวทางการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระยะเร่งด่วน และโครงการบูรณาการการเรียนการสอนทักษะอาชีพและเสริมสร้างจิตอาสาร่วมแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผ่านกิจกรรมอาชีวะร่วมด้วยช่วยประชาชนและศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน เป็นต้น และได้มีมติดังนี้
๑. ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดแนวทางเพื่อป้องกันความเสียหายจากการทุจริตกับมาตรการที่รัฐบาลจัดไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยมีโจทย์ว่า จากมาตรการช่วยเหลือของรัฐในรูปแบบต่าง ๆ มีช่องทางหรือรูปแบบในการทุจริตอย่างไรบ้าง ควรจะมีแนวทางป้องกันอย่างไร หากมีเหตุร้องเรียนจะมอบหมายให้หน่วยงานใดรับผิดชอบเป็นการเฉพาะหรือไม่ โดยให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไป เพื่อทุกส่วนราชการถือปฏิบัติ ๒. ให้คณะอนุกรรมการช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัยและวาตภัยที่จะมีการพิจารณาแต่งตั้งขึ้น แบ่งพื้นที่รับผิดชอบดำเนินการประสานข้อมูลระหว่างอำเภอ/จังหวัด กับผู้บริจาค เพื่อที่จะได้จัดส่งวัสดุอุปกรณ์ลงไปในพื้นที่โดยตรง ๓. ให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัยและวาตภัย จำนวน ๓ คณะ ประกอบด้วย คณะที่ ๑ นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ เป็นประธานอนุกรรมการ รับผิดชอบพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะที่ ๒ นายปราโมช รัฐวินิจ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ เป็นประธานอนุกรรมการ รับผิดชอบพื้นที่ภาคกลาง และคณะที่ ๓ พลตำรวจโท อุดม ชัยมงคลรัตน์ ผู้บัญชาการประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานอนุกรรมการ รับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ ยกเว้นจังหวัดสงขลา และ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ได้รับไปดำเนินการ ๔. เห็นชอบให้หน่วยงานต่าง ๆ รับความเห็นของประธาน คชอ. เกี่ยวกับการเร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและวาตภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๔.๑ ให้ธนาคารออมสินเร่งระดมเจ้าหน้าที่เพื่อให้การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓ ๔.๒ ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลในเว็บไซต์เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ ๔.๓ ให้กรมประชาสัมพันธ์สั่งการให้สำนักประชาสัมพันธ์เขตพื้นที่และประชาสัมพันธ์จังหวัดดำเนินการประชาสัมพันธ์และขอความร่วมมือจากสื่อท้องถิ่นช่วยประชาสัมพันธ์กำหนดการจ่ายเงินให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบข้อมูลด้วย ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์ปรับเป้าหมายดำเนินการจัดทำข้าวสารบรรจุถุงเพื่อแจกจ่ายประชาชนผู้ประสบภัยให้สอดคล้องกับข้อมูลจำนวนผู้ประสบภัยที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้สำรวจจริง รวมทั้งข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการบรรจุและขนส่ง แล้วจึงเสนอให้ คชอ. พิจารณาอีกครั้ง ๖. รับทราบข้อเสนอของกองทัพบกเกี่ยวกับงบประมาณเพื่อจัดหาเครื่องมือช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เพื่อนำไปประกอบพิจารณาในการจัดทำข้อเสนอแผนระยะยาวเพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคต เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ หากหน่วยงานอื่น ๆ เห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องจัดซื้ออุปกรณ์ใด ๆ เพิ่มเติม ขอให้เสนอเรื่องให้ คชอ. พิจารณาเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำข้อเสนอแผนระยะยาวเพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคตต่อไป ๗. การกำหนดนโยบายและแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยหนาว คชอ. พิจารณาเห็นว่า ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวมีประเด็นหลักอยู่ที่การบูรณาการการแจกจ่ายความช่วยเหลือให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และไม่เกิดความซ้ำซ้อน ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานคล่องตัว จึงควรจะเป็นการประชุมหารือกลุ่มเล็กเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจรวมถึงภาคเอกชนด้วย และจะได้นัดหมายการประชุมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2618 | รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน | พณ | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ณ
สาธารณรัฐประชาชนจีน ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เพื่อประชุมเจรจา แนวทางการบริหารจัดการระบบธุรกิจค้าส่ง - ค้าปลีก และศึกษาช่องทางการขยายการค้า ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ สรุปได้ดังนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และคณะได้เข้าพบและหารือกับรองนายกเทศ มนตรีเมืองอี้อู่ รวมทั้งอธิบดี และรองอธิบดีสำนักการค้าระหว่างประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือเรื่องการขยาย ตลาดสินค้าเกษตรไทยในเมืองอี้อู่ซึ่งการนำสินค้าเกษตรของไทยเข้าร่วมแสดงและวางจำหน่ายในตลาดอี้อู่จะเป็น ช่องทางการกระจายสินค้าที่ดีโดยผู้บริหารตลาดอี้อู่ได้จัดสรรพื้นที่สำหรับการทดลองจำหน่ายเป็นเวลา ๖ เดือน โดยไม่คิดค่าเช่าพื้นที่ ในการนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการค้า ระหว่างประเทศ ณ เมืองเซียเหมิน จัดทำแผนการขยายตลาดสินค้าการเกษตรแปรรูปในตลาดอี้อู่เพื่อสร้างความ ร่วมมือและจัดกิจกรรมส่งเสริมการจำหน่ายให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักในวงกว้างต่อไป นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ข้อ หารือเรื่อง การอำนวยความสะดวกแก่นักธุรกิจจีนที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย นั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงพาณิชย์ได้ให้ความเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ไทย - จีน และความร่วมมือระหว่างนักธุรกิจจีนกับไทยจะต้อง ได้รับการแก้ไขปัญหาเพื่อสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศให้เจริญเติบโตต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2619 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 16/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่ม เติมกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืช เพื่อให้สอดคล้องกับระบบสากล แก้ไขแนวทางการเก็บ จัดหาพันธุ์พืช พื้นเมืองทั่วไปและพันธุ์พืชป่า เพื่อการศึกษาวิจัย ซึ่งจะทำให้การคุ้มครองพันธุ์พืชมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้ง แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนชุมชน เพื่อให้สามารถมีสิทธิใช้เงินกองทุนคุ้มครองพันธุ์พืช เพื่อ การอนุรักษ์วิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชได้ และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย ตามที่กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรเพิ่มความในร่างมาตรา ๑๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รักษาการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระ ราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2620 | นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปี 2554 | พณ | 16/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปี ๒๕๕๔ ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ครั้งที่ ๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการนโยบายอาหารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กากถั่วเหลือง ๑.๑.๑ การนำเข้าภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) อากรนำเข้าในโควตาร้อยละ ๒ อากรนำเข้านอกโควตาร้อยละ ๑๑๙ ๑.๑.๒ การนำเข้าภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) อากรนำเข้าร้อยละ ๐ ๑.๑.๓ การนำเข้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี ไทย-นิวซีแลนด์ ไทย - ออสเตรเลีย (FTA) ตามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย - ญี่ปุ่น (JTEPA) อากรนำเข้าในโควตาร้อยละ ๐ ๑.๑.๔ การนำเข้าภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี (AKFTA) อากรนำเข้าในโควตาร้อยละ ๕.๕๖ ๑.๑.๕ การนำเข้าทั่วไป อากรนำเข้าร้อยละ ๖ และค่าธรรมเนียมพิเศษ ตันละ ๒,๕๑๙ บาท ๑.๒ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ๑.๒.๑ การนำเข้าภายใต้ WTO อากรนำเข้าในโควตาร้อยละ ๒๐ ปริมาณโควตา ๕๔,๗๐๐ ตัน และอากรนำเข้านอกโควตาร้อยละ ๗๓ และค่าธรรมเนียมพิเศษตันละ ๑๘๐ บาท ๑.๒.๒ การนำเข้าภายใต้ AFTA อากรนำเข้าร้อยละ ๐ กำหนดช่วงเวลานำเข้าระหว่าง ๑ มีนาคม - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๑.๒.๓ การนำเข้าตามความตกลง FTA อากรนำเข้าในโควตาร้อยละ ๐ ๑.๒.๔ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรี ไทย-ออสเตรเลีย อากรนำเข้าในโควตาร้อยละ ๑๒ ปริมาณโควตา ๗,๓๓๐.๓๒ ตัน อากรนำเข้านอกโควตาร้อยละ ๖๕.๗๐ ๑.๒.๕ การนำเข้าตามความตกลง JTEPA อากรนำเข้าในโควตาร้อยละ ๐ ๑.๒.๖ การนำเข้าตามความตกลง AJCEP อากรนำเข้าในโควตาช่วง ๑ มกราคม - ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ร้อยละ ๑๔.๕๐ และช่วง ๑ เมษายน - ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ร้อยละ ๑๒.๗๐ ๑.๒.๗ การนำเข้าภายใต้ AKFTA อากรนำเข้าในโควตาร้อยละ ๑๑.๑๑ ๑.๒.๘ การนำเข้าทั่วไป อากรนำเข้า กก.ละ ๒.๗๕ และค่าธรรมเนียมพิเศษ ตันละ ๑,๐๐๐ บาท ๑.๓ ปลาป่น การนำเข้าปลาป่นทุกชนิดโปรตีน ๑.๓.๑ ภายใต้ AFTA การนำเข้าภายใต้ความตกลง FTA อาเซียน - จีน อาเซียน - ออสเตรเลีย - นิวซีแลนด์ อากรนำเข้า ร้อยละ ๐ ๑.๓.๒ การนำเข้าตามความตกลง JTEPA ช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม ๒๕๕๔ อากรนำเข้าร้อยละ ๓.๓๓ และช่วงเดือนเมษายน - ธันวาคม ๒๕๕๔ ร้อยละ ๑.๖๗ ๑.๓.๓ การนำเข้าภายใต้ AKFTA อากรนำเข้าร้อยละ ๑๐ ๑.๓.๔ การนำเข้าทั่วไป ปลาป่นโปรตีน ๖๐% ขึ้นไป อากรร้อยละ ๑๕ โปรตีนต่ำกว่า ๖๐% อากรร้อยละ ๖ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรศึกษาผลกระทบจากการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ภายใต้กรอบการค้าระหว่างประเทศ (WTO) หากมีการปรับลดจากร้อยละ ๒ เหลือร้อยละ ๐ ทั้งผลกระทบต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม และประชาชนผู้บริโภคในด้านราคาสินค้าหมวดอาหารที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการในการพิจารณาแนวทางการกำหนดนโยบายนำเข้าในปีต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |