ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 134 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2661 - 2680 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2661 | สรุปผลการประชุม เรื่อง การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในสินค้ายา | พณ | 31/08/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปผลการประชุม เรื่อง การ
คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในสินค้ายา ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) รอง ประธานกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ สรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมเห็นชอบให้จัดทำบันทึกความตกลงว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามยาละเมิดเครื่องหมาย การค้า เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมในการป้องกัน และปราบปราม แลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโทษของการใช้ยาละเมิดเครื่องหมายการค้า ซึ่งจะมีการลงนามในบันทึกความตกลงฯ ภายในเดือนสิงหาคม 2553 2. ที่ประชุมรับทราบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทรัพย์สินทางปัญญาด้านยาและเวชภัณฑ์ ตามมติคณะ อนุกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน และ จะนำเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดังกล่าวต่อไป 3. ที่ประชุมรับทราบการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาใน สินค้ายา การปรับปรุงฐานข้อมูลสิทธิบัตรของกรมทรัพย์สินทางปัญญา การศึกษาเรื่อง evergreening patent และนโยบายของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่สนับสนุนการตั้งโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย 5 ภูมิภาค ในฐานะที่เป็นหนึ่งใน 15 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ รวมทั้งโครงการสร้างความตระหนักของประชาชนเกี่ยวกับยา คุณภาพ (Partnership for Safe Medicine) ที่สมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์เคยดำเนินการได้ผลสำเร็จในต่าง ประเทศ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
2662 | รายงานผลการหารือเพื่อแสวงหาลู่ทางการค้า การลงทุนระหว่างประเทศไทยและตะวันออกกลาง | พณ | 31/08/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอรายงานผลการหารือเพื่อแสวงหาลู่ทางการค้า
การลงทุนระหว่างประเทศไทยและตะวันออกกลาง โดยเชิญคณะทูตประเทศตะวันออกกลางในประเทศไทย ได้แก่ อิหร่าน ตุรกี และโอมาน เดินทางไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (สงขลา ปัตตานี และยะลา) เมื่อวันที่ 10 กรกฎา คม 2553 เพื่อประชุมหารือร่วมกับภาคธุรกิจและศึกษาลู่ทางการค้าการลงทุนระหว่างประเทศไทยและประเทศ ตะวันออกกลาง มีผลการหารือดังนี้ 1. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้มอบนโยบายโครงการ Lima Dasar เพื่อผลักดันความร่วมมือ ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (สงขลา สตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส) กับ 5 รัฐภาคเหนือของมาเลเซีย (กลัน ตัน เคดะห์ เปรัค ปะลิส และปีนัง) ใน 5 สาขา คือ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ธุรกิจโลจิสติกส์ และอุตสาห กรรมฮาลาล 2. มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา วิทยาเขตปัตตานีจะมีส่วนสนับสนุนด้านวิชาการ และการรับรองคุณภาพ ผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาล โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์จะมีนโยบายที่จะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ โดยใช้ ความร่วมมือของ 3 เสาหลัก คือ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ ภายใต้ 2 กลยุทธ์หลัก คือ กลยุทธ์ Food Science Development และกลยุทธ์ Corporation University 3. สมาชิกกลุ่มนักธุรกิจ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เสนอประเด็นในด้านการพัฒนาศักยภาพ คุณภาพ และมาตรฐานสินค้าผลิตภัณฑ์ การผลักดันพระราชบัญญัติอาหารฮาลาม รวมทั้งการสนับสนุนทุนเพื่อพัฒนาและ ส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาล การส่งเสริมการท่องเที่ยว การเอื้ออำนวยความสะดวกด้านกฎระเบียบในการผ่าน แดนและการค้าชายแดน และการแก้ไขปัญหาด้านแรงงาน
|
|||||||||||||||||||||
2663 | แต่งตั้งข้าราชการ (นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ และนางนันทวัลย์ ศกุนตนาค) | พณ | 31/08/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ 2. นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์
|
|||||||||||||||||||||
2664 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขออนุญาตจัดตั้งสมาคมการค้า พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขออนุญาตจัดตั้งหอการค้า พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | พณ | 24/08/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง จำนวน 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้
ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ 1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขออนุญาตจัดตั้งสมาคมการค้า พ.ศ. .... มี สาระสำคัญ ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการในการขออนุญาตจัดตั้งสมาคมการค้า โดย 1.1 ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าสามคนซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาและเป็นผู้ประกอบวิสา หกิจยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งสมาคมการค้าต่อนายทะเบียน ตามแบบที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าประกาศ กำหนด พร้อมเอกสารและหลักฐานตามที่กำหนดในกฎกระทรวงนี้ 1.2 การยื่นคำขออนุญาตให้ยื่น ณ ท้องที่ที่สมาคมการค้าตั้งอยู่ โดยในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ ยื่น ณ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในเขตจังหวัดอื่น ให้ยื่น ณ สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัด 1.3 กำหนดวิธีการยื่นคำขอ การพิจารณาคำขอ และการออกใบอนุญาต 2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขออนุญาตจัดตั้งหอการค้า พ.ศ. .... มีสาระ สำคัญคือ ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการในการขออนุญาตจัดตั้งหอการค้า โดย 2.1 ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าคนซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาและเป็นผู้ประกอบวิสาห กิจยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งหอการค้าต่อนายทะเบียนตามแบบที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าประกาศกำหนด พร้อมเอกสารและหลักฐานตามที่กำหนดในกฎกระทรวงนี้ 2.2 การยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งหอการค้าให้ยื่น ณ ท้องที่ที่หอการค้าตั้งอยู่ โดยในเขตกรุงเทพ มหานคร ให้ยื่น ณ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในเขตจังหวัดอื่น ให้ยื่น ณ สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัด 2.3 กำหนดวิธีการยื่นคำขอ การพิจารณาคำขอ และการออกใบอนุญาต
|
|||||||||||||||||||||
2665 | รายงานผลการประชุมหารือกับผู้แทนประเทศสาธารณรัฐอินเดียเพื่อแก้ไขปัญหาการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย - อินเดีย | กค | 16/08/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประชุมหารือกับผู้แทนประเทศสาธารณรัฐอินเดีย เพื่อแก้ไขปัญหาการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-อินเดีย ซึ่งผล การหารือ ทั้งสองฝ่ายเห็นพร้อมร่วมกันที่จะให้สินค้าภายใต้กรอบความตกลง FTA ไทย-อินเดีย ฉบับที่ใช้อยู่ใน ปัจจุบัน (Early Harvest Scheme) สามารถซื้อขายผ่านประเทศที่สามได้ (Third Party Invoicing) โดยจะได้มีการ แก้ไขเพิ่มเติมข้อบทดังกล่าวไว้ในความตกลงฯ ฉบับปัจจุบัน และจะไม่มีผลย้อนหลังแต่อย่างใด นอกจากนี้ ทั้งสอง ฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการขอทบทวนเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมข้อบทที่ว่าด้วยการให้สิทธิประโยชน์แก่สินค้าประเภทตู้เย็น รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียโดยการเชื่อมโยงช่องทางคมนาคมทั้งทางบกและทาง อากาศผ่านทางประเทศพม่าเพื่อนำไปสู่การพัฒนาทางด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการสร้างความ สัมพันธ์ที่ดีในระหว่างประชาชนในกลุ่มภูมิภาคเอเชียใต้กับกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป 2. ให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำกรอบการเจรจาแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อขอความเห็นชอบ จากรัฐสภา ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2666 | การลงนามพิธีสารเพื่อแก้ไขพิธีสารว่าด้วยการพิจารณาเป็นพิเศษสำหรับสินค้าข้าวและน้ำตาล (Protocol to Amend The Protocol to Provide Special Consideration for Rice and Sugar) (ระหว่างวันที่ 24 - 27 สิงหาคม 2553) | พณ | 16/08/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. ให้ความเห็นชอบพิธีสารเพื่อแก้ไขพิธีสารว่าด้วยการพิจารณาเป็นพิเศษสำหรับสินค้าข้าวและน้ำตาล (Protocol to Amend The Protocol to Provide Special Consideration for Rice and Sugar) 2. อนุมัติการลงนามในพิธีสารเพื่อแก้ไขพิธีสารฯ หรืออนุมัติการลงนาม และให้พิธีสารฯ มีผลใช้บังคับ หลังจากที่ไทยได้ดำเนินกระบวนการภายในเสร็จสิ้น 3. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายอื่นเป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในพิธีสารฯ ขอให้ผู้ลงนามใช้ดุลยพินิจในเรื่อง นั้น ๆ ได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง 4. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่า การกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายอื่นเป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ
|
|||||||||||||||||||||
2667 | การทบทวนระยะเวลาการใช้สิทธิชดเชยส่วนต่างราคาข้าวโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 | พณ | 10/08/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 9/2553 เมื่อ
วันที่ 10 มิถุนายน 2553 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยคณะกรรมการฯ มีมติ ดังนี้ 1. ให้ขยายระยะเวลาการใช้สิทธิของเกษตรกรโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 ในพื้นที่ทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ที่ขึ้นทะเบียนภายในวันที่ 15 เมษายน 2553 จากสิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎา คม 2553 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 สิงหาคม 2553 และในพื้นที่ภาคใต้ที่ขึ้นทะเบียนภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2553 จากสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2553 เป็นสิ้นสุดวันที่ 15 ธันวาคม 2553 2. ให้ผ่อนผันการขยายระยะเวลาการขึ้นทะเบียนของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 ในพื้น ที่ทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ จากภายในวันที่ 15 เมษายน 2553 เป็นภายในวันที่ 30 เมษายน 2553 พร้อมทั้งขยาย ระยะเวลาการใช้สิทธิของเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนตั้งแต่วันที่ 16-30 เมษายน 2553 จากสิ้นสุดวันที่ 31 สิงหาคม 2553 เป็นสิ้นสุดวันที่ 15 กันยายน 2553 3. ให้ขยายระยะเวลาการทำสัญญาของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โครงการประกัน รายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 จากสิ้นสุดวันที่ 30 พฤษภาคม 2553 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนา ยน 2553 ภาคใต้จากสิ้นสุดวันที่ 30 สิงหาคม 2553 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2553 |
|||||||||||||||||||||
2668 | รายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (ระหว่างวันที่ 1 - 30 เมษายน 2553) | พณ | 10/08/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทาง
ปัญญา ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 1-30 เมษายน 2553 โดยสามารถจับกุมได้ 330 คดี ยึดของ กลางได้ 279,353 ชิ้น
|
|||||||||||||||||||||
2669 | รายงานผลการเดินทางไปราชการเพื่อติดตามและแก้ไขปัญหาการปิดด่านชายแดนของสหภาพพม่า ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก | พณ | 10/08/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอรายงานผลการเดินทางไปราชการของรัฐมนตรี
ช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) และคณะข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2553 เพื่อติดตามและแก้ไขปัญหาการปิดด่านชายแดนของสหภาพพม่า ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เนื่องจาก กรณีการก่อสรางเขื่อนริมตลิ่ง แม่น้ำเมยของไทย โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) และคณะได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ รวมทั้งผู้ประกอบการค้าชายแดน และบริษัทคู่ สัญญาที่ได้รับการว่าจ้างให้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อน สรุปได้ดังนี้ 1. กรมโยธาธิการและผังเมืองได้สั่งให้ยุติการก่อสร้างเขื่อนดังกล่าวแล้ว แต่เนื่องจากยังมีโครงการก่อ สร้างเขื่อนในลักษณะดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 อีกรวม 4 แห่ง ซึ่งได้มีการทำสัญญาว่าจ้างผู้ดำเนินการ แล้ว เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและพื้นที่ได้มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด รวมทั้งการ ดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวกับเส้นเขตแดนระหว่างประเทศจะต้องดำเนินการแจ้งประเทศเพื่อนบ้านทราบรายละเอียด ในเรื่องดังกล่าวด้วย 2. กระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่และพิจารณาให้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจ พิเศษชายแดน อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ในพื้นที่ป่าของทางราชการจำนวน 5,603 ไร่ ที่ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยกำหนดรูปแบบให้มีองค์กรบริหารพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษโดยเฉพาะ โดยจัดตั้งเป็น บริษัทมหาชนเพื่อดำเนินการทั้งด้านธุรกิจโดยตรงและให้เอกชนเข้าไปทำโครงการต่าง ๆ เช่น นิคมอุตสาหกรรม เพื่อการส่งออก ศูนย์กระจายสินค้า เขตพาณิชยกรรม 3. การก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่สอง จุดก่อสร้างสะพานที่เหมาะสมอยู่บริเวณบ้านวัง ตะเคียน ฝั่งไทย และบ้านเยปู ฝั่งพม่า ระยะทางประมาณ 22 กิโลเมตร อยู่ในฝั่งไทย 16 กิโลเมตร และอยู่ในฝั่ง พม่า 6 กิโลเมตร ความยาวสะพานที่ข้ามแม่น้ำเมย ประมาณ 400 กิโลเมตร โดยกรมทางหลวงได้สำรวจพื้นที่เพื่อ กำหนดตำแหน่งสะพานพร้อมแนวทางหลวงเรียบร้อยแล้ว และได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในการสร้างสะพานและ ถนน ประมาณ 600 ล้านบาท ทั้งนี้ ภายหลังหารือในรายละเอียดของโครงการร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายพม่า (กรม ทางหลวง) เมื่อวันที่ 29-30 มิถุนายน 2553 ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอให้สร้าง ณ จุด C2 หรือ C3 ซึ่งอยู่บริเวณริมแม่น้ำเมย แต่ฝ่ายพม่ายังไม่ตัดสินใจและขอหารือหน่วยงานกลางอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||
2670 | การปรับเพิ่มเป้าหมายการส่งออกเป็นร้อยละ 20 และกลยุทธ์ผลักดันการส่งออก | พณ | 10/08/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอเรื่อง การปรับเพิ่มเป้าหมายการส่งออกปี 2553
และกลยุทธ์ผลักดันการส่งออก โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายการส่งออกปี 2553 จากเดิมที่เคยตั้งเป้า หมายไว้ร้อยละ 14 มูลค่าประมาณ 173,766 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นร้อยละ 20 มูลค่าประมาณ 182,911 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยทิศทางยุทธศาสตร์การส่งออกของไทยให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นกับภูมิภาคเอเชีย (อาเซียน จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย) รองลงมาคือประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยยังคงรักษาตลาด หลัก ๆ คือ สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ไปพร้อมกัน รวมทั้งขับเคลื่อนการส่งออกควบคู่ไปกับการพัฒนาตลาดภาย ในประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาภาคส่งออกในระยะยาว (ปัจจุบันมีสัดส่วนสูงประมาณถึง ร้อยละ 70 ของ GDP) สำหรับการพัฒนาตลาดภายใน จะปรับทัศนะของผู้ประกอบการให้ขยายมิติเป็นตลาดอา เซียน (Single market) โดยกระทรวงพาณิชย์จะสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชนทั้งในด้านการตลาด และด้านที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศยุคใหม่ อาทิ สนับสนุนภาคเอกชนไทยใน การเจาะตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพและช่วยแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด พัฒนาตลาดเพื่อให้สามารถทำ การค้า/การส่งออกได้อย่างยั่งยืน หาช่องทางธุรกิจในต่างประเทศในด้านใหม่ ๆ รวมทั้งด้านธุรกิจบริการ (Services) การหาแหล่งวัตถุดิบ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ (Sourcing) เพื่อลดต้นทุนการผลิต และใช้เทคโนโลยีในการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ หรือต่อยอดในการผลิตสินค้าและบริการ ตลอดจนเสาะหาและแนะนำพันธมิตรทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือ และ สนับสนุนการสร้างเครือข่าย (Network) พันธมิตรทางธุรกิจ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
2671 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 10/08/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบวงเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรรเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 1.2 เห็นชอบแนวทางการพิจารณาโครงการที่จะใช้วงเงินเหลือจ่ายจากพระราชกำหนดฯ 1.3 อนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรรเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ให้แก่โครงการที่ คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 และอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ สาขา เศรษฐกิจ และกรอบวงเงินตามกรอบการใช้จ่ายเงินกู้เสนอต่อรัฐสภาตามพระราชกำหนดฯ วงเงิน 4,907.49 ล้าน บาท 1.4 เห็นชอบแนวทางดำเนินการสำหรับการขอยกเลิกโครงการที่ได้รับอนุมัติการจัดสรรเงินกู้ตาม พระราชกำหนดฯ ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงศึกษาธิการ โดยให้นำวงเงินโครงการที่ยกเลิก มารวมเป็นวงเงินเหลือจ่าย และให้หน่วยงานดังกล่าวเสนอโครงการใหม่ตามขั้นตอนการพิจารณาวงเงินเหลือจ่าย ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2553 1.5 เห็นชอบการกำหนดกรอบระยะเวลาการเสนอโครงการเพิ่มเติม เพื่อขอใช้วงเงินเหลือจ่ายตาม ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2553 โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเสนอโครง การพร้อมวงเงินต่อคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ภาย ในวันที่ 31 สิงหาคม 2553 และสำหรับหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับการอนุมัติวงเงินกู้จากคณะรัฐมนตรี หรือได้รับการจัดสรรเงินกู้จากสำนักงบประมาณแล้ว แต่ไม่สามารถดำเนินโครงการได้หรือประสงค์ที่จะขอยกเลิก โครงการ กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการแจ้งคณะกรรมการฯ เพื่อขอยกเลิกโครงการและคืนวง เงินรวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2553 ด้วย 1.6 อนุมัติขยายเวลาขอรับการจัดสรรเงินกู้ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวง ศึกษาธิการ ที่ยังไม่อาจขอรับการจัดสรรเงินภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จากสำนักงบประมาณ วง เงิน 1,543,324,500 ล้านบาท เป็นภายใน 30 กันยายน 2553 และเนื่องจากเป็นการจัดซื้อครุภัณฑ์จึงเห็นควร เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายใน 30 กันยายน 2554 หากสำนักงานฯ ไม่สามารถขอรับจัดสรรได้ ภายใน 30 กันยายน 2553 เห็นควรให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป 1.7 อนุมัติขยายเวลาการลงนามในสัญญาของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ โครง การในสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ได้รับการจัดสรรวงเงินจากสำนักงบประมาณ วงเงิน 705 ล้านบาท เป็นภาย ในวันที่ 30 กันยายน 2553 และขยายเวลาดำเนินโครงการเป็นภายใน 1 ปี นับจากวันลงนามในสัญญา หาก หน่วยงานไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ภายใน 30 กันยายน 2553 เห็นควรยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการ และนำมารวมเป็นวงเงินสำรองจ่ายต่อไป 1.8 อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 โดย ให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน รวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้ จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครง การ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน 15 วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้ว หน่วยงานจะ ต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ 1.9 อนุมัติในหลักการให้กระทรวงสาธารณสุขใช้เงินบำรุงสมทบสำหรับรายการจัดซื้อจัดจ้างที่สูง กว่าวงเงินที่กระทรวงสาธารณสุขได้รับอนุมัติ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณา รายละเอียดและความเหมาะสมของวงเงินประกอบการขอรับจัดสรรเงินภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 2. เห็นชอบให้แก้ไขชื่อหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการก่อสร้างอาคารปฏิบัติการพร้อมอุปกรณ์ที่ทัน สมัย ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาชายฝั่ง จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ในหนังสือกระทรวงการคลังด่วนที่สุด ที่ กค 0907/ 15088 ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2553 หน้า 5) ให้ถูกต้อง จากเดิม"กรมชลประทาน" เป็น "กรมประมง" ตามที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||
2672 | การปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ | พณ | 28/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ
โดยเพิ่มประธานผู้แทนการค้าไทยเป็นกรรมการ ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) รองประธานกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2673 | รายงานผลการหารือร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหภาพพม่าเพื่อติดตามและแก้ไขปัญหาการปิดด่านชายแดนของสหภาพพม่า | พณ | 28/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีช่วยว่าการ
กระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหภาพพม่า เกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาจากการที่ประเทศสหภาพพม่าได้ปิดด่านเมียวดี เนื่องจากกรณีการก่อสร้างเขื่อน ริมตลิ่ง แม่น้ำเมยของไทย เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2553 ผลการหารือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่าง ประเทศสหภาพพม่าได้กล่าวว่า นับตั้งแต่การเริ่มก่อสร้างเขื่อนริมตลิ่งแม่น้ำเมยที่ท่าอาดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2552 พม่าได้ทำหนังสือประท้วงผ่านสถานเอกอัครราชทูตไทยผ่านคณะกรรมการชายแดนร่วม (Town Border Committee : TBC) และได้เชิญเอกอัครราชทูตไทยเข้าร่วมหารือในเรื่องดังกล่าว รวมถึงได้มีความพยายาม ประสานงานเพื่อให้มีการจัดประชุม TBC ซึ่งเป็นกลไกในการดำเนินการแก้ไขปัญหาบริเวณชายแดนไทยกับพม่า ขึ้น แต่ยังคงไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลไทย และจากการที่เขื่อนใกล้สร้างเสร็จได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อ ตลิ่งฝั่งพม่าจำนวน 8 จุด ทำให้พม่าต้องดำเนินมาตรการโดยเริ่มตั้งแต่การปิดด่านเป็นการชั่วคราวมาระยะหนึ่ง จนกระทั่งมีการปิดด่านเป็นการถาวร เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2553 พร้อมกันนี้ได้รับทราบถึงหนังสือจาก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่มีถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของพม่า เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2553 เพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ในการเปิดด่าน โดยพม่าได้แสดงท่าทีว่าการเปิดด่านจะมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้ง สองฝ่ายสามารถตกลงถึงวิธีการร่วมกันที่จะทำให้เกิดความปกติของแม่น้ำเมยอีกครั้งหนึ่ง โดยในส่วนของ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เห็นว่า ควรแยกเรื่องการปิดด่านออกมาจาก ปัญหาอื่นที่มีกลไก Joint Boundary Commission (JBC) ในการแก้ไขอยู่แล้ว ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 30 กรกฎาคม 2553 พร้อมกันนี้จะได้มีการประสานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ ระงับการก่อสร้าง และจะเดินทางมาตรวจจุดก่อสร้างด้วยตนเองในทันที ร วมทั้งได้ขอความร่วมมือพม่าในการ เร่งรัดและดำเนินการสนับสนุนในเรื่อง โครงการเมกะโปรเจ็คทวาย การพิสูจน์สัญชาติ การดำเนินการตามผล การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้าระหว่างไทยกับพม่า ครั้งที่ 5 และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง ภาคเอกชนของสภาธุรกิจไทยพม่าและสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมสหภาพพม่า (UMFCCI) ทั้งนี้ ให้นำ เรื่องนี้เสนอสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2674 | การป้องกันและแก้ไขปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น | นร | 28/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการป้องกันและแก้ไขปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น โดยให้
กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการจัดทำแผนการเตรียมการล่วงหน้าเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาราคาสินค้าอุป โภคบริโภคที่สำคัญมีราคาสูงเกินควร และให้นำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจโดยเร็วต่อไป ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2675 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 ที่มีข้อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นการเฉพาะ (มติ 9 เรื่อง การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน) | สช | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2552 มติ 9 การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ซึ่ง คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ในการประชุมครั้งที่ 2/2553 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2553 เห็นชอบแล้ว และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติในส่วนเกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงาน คสช. เสนอ 2. ให้สำนักงาน คสช. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงศึกษาธิการ โดยในส่วนของกระทรวงการคลังมีความเห็นเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถจักรยานยนต์ โดยกำหนดอัตรา ภาษีตามลักษณะเครื่องยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หากต้องการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตรถจักรยานยนต์ตาม ขนาดเครื่องยนต์เพื่อลดปริมาณรถจักรยานยนต์ในถนนในการลดอุบัติเหตุตามที่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติเสนอ ควร พิจารณาถึงเหตุผลการกำหนดอัตราภาษีตามขนาดเครื่องยนต์ว่ามีความสัมพันธ์กับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในถนนอย่าง ไร รวมทั้งพิจารณาถึงผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตรถจักรยานยนต์ของประเทศ จากการปรับเพิ่มอัตราภาษี สรรพสามิตรถจักรยานยนต์ดังกล่าว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||
2676 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... | พณ | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศ จำนวน 2 ฉบับ ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและ
ร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ดำเนิน การต่อไปได้ ดังนี้ 1. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณา จักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญดังนี้ 1.1 ให้ข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ซึ่งมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากประเทศสมาชิกสมาคม ประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง แสดงต่อกรมศุลกากรในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อประกอบการใช้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร 1.2 การขอและการออกหนังสือรับรองให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรม การค้าต่างประเทศประกาศกำหนด 2. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำกากถั่วเหลืองเข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลง เขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญดังนี้ 2.1 ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์และกาก ถั่วเหลืองเข้ามาในราชอาณาจักร ภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) พ.ศ. 2546 2.2 ให้กากถั่วเหลือง ซึ่งมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากประเทศภาคีความตกลงว่าด้วยการใช้มาตร การกำหนดอัตราอากรร่วมเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนและพิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยการใช้มาตรการ กำหนดอัตราอากรร่วมเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดเพื่อแสดงต่อ กรมศุลกากรประกอบพิธีการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
|
|||||||||||||||||||||
2677 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำมันฝรั่ง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ลำไยแห้ง พริกไทย และเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... | พณ | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำมันฝรั่ง หอมหัวใหญ่
กระเทียม ลำไยแห้ง พริกไทย และเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรี อาเซียน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติ ที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. ให้มันฝรั่ง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ลำไยแห้ง พริกไทย และเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดและ ส่งตรงมาจากประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองไปแสดงต่อกรมศุลกากรในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อประกอบการใช้สิทธิ พิเศษทางด้านภาษีศุลกากร 2. การนำเข้าสินค้าตามข้อ 1 ที่จะได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากรตามประกาศนี้ จะต้องปฏิบัติ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขเกี่ยวกับด่านศุลกากรในการนำเข้าและช่วงเวลาในการนำเข้าสำหรับสินค้าแต่ละรายการ 3. การขอและการออกหนังสือรับรองตามข้อ 2 ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดี กรมการค้าต่างประเทศกำหนด 4. ให้สินค้าที่นำเข้าตามประกาศนี้ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรการอื่นที่มิใช่มาตรการทางภาษี ที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า
|
|||||||||||||||||||||
2678 | รายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่ (วันที่ 14 และ 29 มิถุนายน 2553) | พณ | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่ โดยการประชุมหารือระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับหน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาไข่ไก่และแนวทางบรรเทาผลกระทบด้านประชาชนผู้บริโภาค ซึ่งมีผลการประชุมหารือสรุปได้ดังนี้ 1.1 ด้านการผลิต สมาคม สหกรณ์ และบริษัทผู้เลี้ยงไก่ไข่ ให้ความร่วมมือตรึงราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มไว้ที่ฟองละ 2.80 บาท เพื่อมิให้ราคาขายส่งขายปลีกสูงขึ้น 1.2 ด้านการตลาด ได้ขอความร่วมมือสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้า และส่งออกไข่ไก่ และบริษัทผู้เลี้ยงไก่ไข่รายใหญ่ ผู้เลี้ยงไก่ไข่ และผู้ประกอบการค้าไข่ไก่จัดหาไข่ไก่จำหน่ายตรงให้แก่ผู้บริโภคผ่านช่องทางการจำหน่าย เช่น ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ เป็นต้น รวมทั้งขอความร่วมมือตลาดสดกำกับดูแลผู้ค้าไข่ไก่ในตลาดให้กำหนดราคาขายปลีกไข่ไก่ตามเกณฑ์การค้าที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค 1.3 การนำกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกำหนดราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มาดำเนินการแก้ไขปัญหา 2. คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ราคาไข่ไก่ในปัจจุบันมีราคาแพง ขณะที่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับไข่ไก่เรียกร้องขอเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดความหลากหลายและมีการแข่งขันอย่างเสรี เพื่อให้มีไข่ไก่และผลิตภัณฑ์จากไก่ไข่ที่มีคุณภาพในปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคและในระดับราคาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ดังนั้น บทบาทและแนวทางในการดำเนินการของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ พ.ศ. 2549 จึงต้องปรับเปลี่ยนไปจากเดิมให้ตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน ในขณะเดียวกันหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมปศุสัตว์ก็ต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย และระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาในทิศทางเดียวกัน จึงมอบหมาย ดังนี้ 2.1 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์รับแนวทางดังกล่าวไปชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่ฯ เพื่อจะได้พิจารณาบทบาทของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่ฯ ให้เหมาะสมและขอความร่วมมือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ที่เป็นธรรมทั้งฝ่ายผู้ประกอบการและผู้บริโภค 2.2 ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
2679 | การชดเชยรายได้เกษตรกรเพิ่มเติมช่วงเกษตรกรจำหน่ายข้าวเปลือกได้ในราคาต่ำในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2553 | พณ | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติการจ่ายเงินชดเชยรายได้เกษตรกรเพิ่มเติมตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 9/ 2553 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2553 ที่เห็นชอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจ่ายเงินชดเชยราย ได้เกษตรกรโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2552/2553 ช่วงวันที่ 8-28 กุมภาพันธ์ 2553 เพิ่มเติม ปริมาณรวมประมาณ 44,735 ตัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 12.336 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้เบิกจ่าย เงินจากโครงการประกันรายได้ให้เกษตรกรตามโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ตามความเห็นของ สำนักงบประมาณ 2. ให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้คณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติระดับจังหวัดตรวจสอบ ให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปอย่างรัดกุมถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ของการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและหลัก เกณฑ์โครงการประกันรายได้เกษตรกร ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2680 | การรวมเงินกองทุนพิเศษเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่ปอไว้ในกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร | กษ | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้รวมเงินกองทุนพิเศษเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่ปอ จำนวน 34,705,389.97 บาท เข้าไว้ ในกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร เพื่อให้การบริหารจัดการกองทุนสงเคราะห์เกิดความคล่องตัวและเกิดประโยชน์สูงสุด ในการช่วยเหลือเกษตรกร ตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร ครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อนการดำเนินการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นว่าหากมีการรวมกองทุนแล้วจะ ต้องไม่กระทบต่อเกษตรกรชาวไร่ปอที่จะขอสนับสนุนเงินช่วยเหลือจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรในอนาคต รวมทั้ง ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการชี้แจงทำความเข้าใจกับ เกษตรกรชาวไร่ปอถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการรวมกองทุน และมีการดูแลให้เกษตรกรชาวไร่ปอมีโอกาสเข้าถึงความ ช่วยเหลือของกองทุนเกษตรกรอย่างเท่าเทียมกับเกษตรกรโดยทั่วไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....