ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 135 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2681 - 2700 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2681 | กรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย - ออสเตรเลีย (TAFTA) และกรอบการเจรจาความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย - นิวซีแลนด์ (TNZCEP) | พณ | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจากรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (Thai
land-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) และกรอบการเจรจาความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่ง ขึ้นไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership : TNZCEP) โดยให้เสนอกรอบการ เจรจาดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา 190 วรรคสามของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตาม ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นว่า กรอบการเจรจาทั้ง 2 ฉบับ มีประเด็นการเจรจาในเรื่อง การจัดซื้อโดยรัฐ โดยให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการจัดซื้อโดยรัฐ เกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารจัดการภาครัฐ การงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งส่งเสริมให้มีความโปร่งใสในกระบวนการ และขั้นตอนการจัดซื้อโดยรัฐ ซึ่งกรอบการเจรจาฯ อาจมีผลต่อการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศไทย กับประเทศอื่น ดังนั้น หากมีการเจรจาในเรื่องนี้ ประเทศไทยควรกำหนดท่าทีการเจรจาให้สอดคล้องกับความตกลง ว่าด้วยการจัดซื้อโดยรัฐ (Government Procurement Agreement) ในองค์การการค้าโลกเป็นหลักและครอบคลุม เฉพาะหลักการกว้าง ๆ ไปดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2682 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ 16 | พณ | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่
16 (APEC Ministers Responsible for Trade Meeting : APEC MRT) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-6 มิถุนายน 2553 ณ เมืองซับโปโร ประเทศญี่ปุ่น สรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการเจรจารอบโดฮาและประเด็นเจรจาที่เป็นปัญหา และเห็นว่าในการ เจรจาควรมีความสมดุลและสนับสนุนกระบวนการหารือแบบเจรจาหลายเรื่องพร้อมกัน (horizontal process) และ ได้ออกแถลงการณ์ของรัฐมนตรีการค้าเอเปคเรื่องการเจรจารอบโดฮา และตกลงที่จะสนับสนุนข้อเรียกร้องไม่ให้ใช้ มาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุนหรือมาตรการกระตุ้นการส่งออกที่ไม่สอดคล้องกับ WTO ต่อไปจนถึง ปี ค.ศ. 2011 2. ที่ประชุมพิจารณาความคืบหน้าในการเปิดเสรีการค้าการลงทุนตามเป้าหมายโบกอร์ในปี ค.ศ. 2010 ของสมาชิกพัฒนาแล้ว 5 เขตเศรษฐกิจ (แคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสหรัฐฯ) รวมทั้งสมาชิกกำลัง พัฒนาที่อาสาเข้าร่วมประเมินผลในปีนี้อีก 8 เขตเศรษฐกิจ (ชิลี เปรู เม็กซิโก ฮ่องกง จีนไทเป เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย) โดยในส่วนของไทยเห็นว่าในการเปิดเสรีบางเรื่องยังมีปัญหาโดยเฉพาะเรื่องภาษีศุลกากรของสินค้า เกษตรที่ยังอยู่ในอัตราสูง และมาตรการที่มิใช่ภาษีที่มีการใช้เพิ่มมากขึ้นในหลายประเทศ 3. ที่ประชุมมีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการเจรจาเขตการค้าเสรีในเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia-Pacific : FTAAP) สรุปได้ว่า ปัจจุบันภูมิภาคนี้มีการรวมตัวใกล้ชิดกันมากขึ้น ผ่านการเจรจา FTA ของหลายประเทศ และการดำเนินการในเอเปคภายใต้เวทีสำคัญก็มีงานที่เกี่ยวกับ FTAAP อยู่แล้ว จึงน่าจะยังคง FTAAP ไว้เป็นเป้าหมายในระยะยาว (long-term goal) ของเอเปคต่อไป ซึ่งประเด็นดังกล่าวไทยไม่ขัดข้องต่อการคง FTAAP ไว้เป็นเป้าหมายในระยะยาว และเห็นว่าการเปิดเสรีการค้าการลงทุนต้องดำเนินการเรื่องการอำนวยความ สะดวกทางการค้า และการปฏิรูปกฎหมายควบคู่กันไป เพื่อให้การค้าการลงทุนระหว่างประเทศมีอุปสรรคน้อยลง โดยไทยได้ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่อง Supply Chain Connectivity ในเอเปค การพัฒนาด้านมาตรฐานและการ ตรวจสอบคุณภาพและการปฏิรูปกฎระเบียบภายในซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประเทศกำลังพัฒนาในระยะยาว 4. ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอเรื่องกลยุทธ์การเจริญเติบโตใหม่ของญี่ปุ่น ซึ่งมีหลักการคือ ความเจริญ เติบโตทางเศรษฐกิจต้องมีความสมดุล (balanced growth) ทั้งระหว่างและภายในเขตเศรษฐกิจสมาชิก มีความเท่า เทียมกัน (inclusive growth) ระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ต้องเอื้อต่อสิ่งแวดล้อม (green growth) การเจริญเติบโต อย่างมีนวัตกรรม (innovative growth) โดยใช้วิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี และมีความมั่นคง (secure growth) ที่จะปก ป้องประชากร สังคมและเศรษฐกิจจากภัยพิบัติทั้งที่เกิดจากมนุษย์และธรรมชาติ โดยแผนปฏิบัติงานจะเน้นเรื่องที่ เอเปคสามารถเพิ่มคุณค่า (add value) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถ (capacity building) โดยในส่วนของไทยได้สนับสนุนในหลักการดังกล่าวแต่อยากให้มีรายละเอียดที่ชัดเจนในแต่ละ หัวข้อโดยให้ความสำคัญกับภาคเกษตรมากกว่านี้ สำหรับเรื่องการเติบโตโดยมีนวัตกรรมควรมีความสมดุลระหว่าง การคุ้มครองสิทธิและการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการพัฒนาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2683 | รายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ สหพันธรัฐรัสเซีย (ระหว่างวันที่ 19 - 23 พฤษภาคม 2553) | นร | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ
ณ สหพันธรัฐรัสเซีย ระหว่างวันที่ 19-23 พฤษภาคม 2553 ของผู้แทนการค้าไทย (นายวัชระ พรรณเชษฐ์) พร้อม คณะ ประกอบด้วย ผู้แทนจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) ผู้แทนภาคเอกชน ได้แก่ สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ มีวัตถุ ประสงค์เพื่อเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการชาวรัสเซีย และหาโอกาสทางการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับรัสเซีย ซึ่ง ผลจากการหารือได้ข้อสรุปดังนี้ 1. ไทยยังมีโอกาสทางการค้าการลงทุนในรัสเซียได้อีกมาก โดยเฉพาะสาขาก่อสร้าง อาหาร ยานยนต์ สปา สมุนไพร อาหารเสริม และอัญมณี ประกอบกับรัสเซียกำลังส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของภาคตะวันออก ไกลของรัสเซีย และจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC 2010 ณ เมืองวลาดิวอสต็อก จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับ ภาคเอกชนไทยในการขยายตลาดไปยังรัสเซีย 2. ตลาดรถยนต์ของรัสเซียมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และค่านิยม การใช้รถเพื่อแสดงฐานะของชาวรัสเซีย ดังนั้น สินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยจึงยังมีโอกาสสูงที่จะส่งออกไปยังรัส เซีย และจากการหารือกับภาคเอกชนของรัสเซียเห็นว่า สินค้าประเภทชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยมีคุณภาพดี และ ราคาเหมาะสม 3. ผู้ประกอบการรัสเซียสนใจผลิตภัณฑ์สมุนไพรของไทยอย่างมาก โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่รัสเซียสนใจเป็น พิเศษ ได้แก่ กลุ่มอาหารสมุนไพร เช่น ชาสมุนไพร กาแฟลดน้ำหลัก กลุ่มเครื่องสำอาง กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับสปา เช่น ลูกประคบสมุนไพร สมุนไพรแช่ตัว เกลือแช่ตัว เกลือแช่เท้า เกลือขัดผิว มาสก์หน้า มาสก์ตัว ครีมบำรุงผิว ครีม นวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ครีมนวดกระชับสัดส่วน และกลุ่มยาสมุนไพร เช่น ยาหม่องสมุนไพร พิมเสนน้ำสมุนไพร และในส่วนของการเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยได้พบกับกลุ่มบริษัทผู้ผลิตยารัสเซีย ซึ่ง สนใจผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร กลุ่มยาสมุนไพร และอาหารเสริมจากสมุนไพร 4. สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) จำนวน 2 ฉบับ ร่วมกับ สมาคมผู้ค้าเพชรพลอย “Golden Fing of Russia” และบริษัท RESTEC โดยบันทึกความเข้าใจทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว จะเป็นกรอบความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนผู้ประกอบการด้านอัญมณีฯ ในการเดินทางไปร่วมงานแสดงสินค้า ระหว่างไทยกับรัสเซีย การแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูลเทคโนโลยีการผลิต นวัตกรรมใหม่ ๆ การบริหารจัดการ และ ประสบการณ์เกี่ยวกับรูปแบบการจัดงานแสดงสินค้า รวมทั้งสิทธิประโยชน์ด้านราคาและสถานที่จัดตั้งบูธแสดง สินค้าในแต่ละประเทศ 5. เพื่อให้ผลการหารือในประเด็นสำคัญต่าง ๆ มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม จึงเห็นควรให้หน่วย งานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรมศุลกากร สสปน. สภาธุรกิจไทย-รัสเซีย และ สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ดำเนินการติดตามผลในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2684 | ผลการดำเนินงานสำคัญ ภายใต้นโยบายเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของรัฐบาล | พณ | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานสำคัญ ภายใต้นโยบายเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของรัฐบาล
(Creative Economy) ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) กรรมการและเลขานุ การคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชา ติ และประธานคณะอนุกรรมการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ สร้างสรรค์ เสนอ โดยการดำเนินงานสำคัญ ภายใต้นโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ประกอบด้วย 1. การจัดสรรงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 2. การแต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนพันธสัญญาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของรัฐบาล 3. การจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ 4. การจัดตั้งสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Center of Excellence : COE) 5. การผลักดันหลักสูตรทรัพย์สินทางปัญญาและหลักสูตรเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในสถาบันการศึกษา 6. การเตรียมการจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์โลก (World Creative Economy Forum : WCEF)
|
||||||||||||||||||||||||
2685 | ขอแก้ไขมาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ว่างงานและผู้ประกอบธุรกิจแฟรนไชส์และขายตรง จากผลกระทบของเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ภายใต้ : โครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการธุรกิจโลจิสติกส์ไทย และปรับปรุงหลักเกณฑ์สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย | พณ | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ 1.1 ปรับแก้ไขมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ที่ถูกเลิกจ้างหรือผู้ว่างงานที่มีความประสงค์จะประกอบ ธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรงโดยเพิ่มเติมกลุ่มเป้าหมายของมาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบ การ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน และ 25 พฤษภาคม 2553 ให้ครอบคลุมผู้ถูกเลิกจ้างหรือผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมและประสงค์จะประกอบ ธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรงด้วย 1.2 ปรับปรุงหลักเกณฑ์สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย เพิ่มเติม ในมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2552 ดังนี้ 1.2.1 เพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในการใช้วงเงินสินเชื่อ โดยวงเงินสินเชื่อต่อราย : รายละไม่เกิน 5 ล้าน บาทเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน และเป็นเงินลงทุนในการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถบรรทุก/รถขนส่ง ให้แก่ผู้ประกอบ การในโครงการ โดยให้เป็นอำนาจหน้าที่ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ในการอนุมัติวงเงินสินเชื่อต่อราย 1.2.2 ผ่อนปรนให้ผู้กู้ที่มีกิจการเกี่ยวเนื่องกันสามารถใช้วงเงินสินเชื่อได้ตามประเภทของกิจการใน กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ โดยกรณีเป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกันหรือกิจการที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกัน ซึ่งสามารถแยกการ ดำเนินธุรกิจและ/หรือสถานประกอบการได้อย่างชัดเจน อนุโลมให้สามารถขอสินเชื่อได้ โดยกู้ได้วงเงินสูงสุดกิจการ ละไม่เกิน 5 ล้านบาท ของโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย 2. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงพาณิชย์แจ้งข้อมูลผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยตรงกรณีรายบุคคลให้กระทรวงแรงงานเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบกลุ่มนี้โดยให้ความสำคัญกับความ พร้อมในด้านการสร้างความรู้และฝึกอาชีพแก่ผู้ว่างงานเพื่อนำไปสู่ทางเลือกในการประกอบอาชีพใหม่ และให้กระทรวง พลังงานพิจารณาความเป็นไปได้ของการขยายผลของโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ซึ่งได้ดำเนินการมา อย่างได้ผลแล้ว โดยใช้เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 2,000 ล้านบาท และงบประมาณสมทบจากการปิโตรเลียม แห่งประเทศไทย (ปตท.) จำนวน 5,000 ล้านบาท เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ 11 แห่งปล่อยสินเชื่อผ่อนปรนแก่ผู้ใช้รถ ทั่วไปและผู้ประกอบการขนส่งทั่วประเทศ และความเห็นของคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและประชา ชนที่ทรัพย์สินได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมือง ที่เห็นควรพิจารณาให้แก่กลุ่ม ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเป็นอันดับแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อ ไป |
||||||||||||||||||||||||
2686 | รายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (ระหว่างวันที่ 1 - 31 มีนาคม 2553) | พณ | 06/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทาง
ปัญญา ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 1-31 มีนาคม 2553 ซึ่งสามารถจับกุมได้ 236 คดี ยึดของ กลางได้ 49,449 ชิ้น
|
||||||||||||||||||||||||
2687 | ขออนุมัติใช้เงินจากงบกลางเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นประจำปี 2553 และขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2552 | พณ | 29/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ 1.1 เงินงบกลางเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นประจำปี พ.ศ. 2553 ให้แก่องค์การคลังสินค้า (อคส.) จำนวน 149.372 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาข้าวสารที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม-กรกฎา คม 2552 1.2 จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2554 ให้แก่ อคส. จำนวน 310.462 ล้านบาท เพื่อเป็น ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาข้าวสารที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2552 ที่ อคส. ได้เสนอขอตั้งงบประมาณ ประจำปี พ.ศ. 2554 ไว้แล้ว 2. โดยรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาข้าวสาร ให้ อคส. ขอตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอน ต่อไป และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยว กับการเร่งระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาล โดยเร่งระบายในปริมาณและระยะเวลาที่เหมาะสมรอบคอบ และสอดคล้อง กับสถานการณ์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อระดับราคาข้าวในประเทศ และการออก สู่ตลาดของข้าวฤดูกาลใหม่ รวมทั้งภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลที่ต้องสูญเสียไปกับการเก็บรักษาและการเสื่อมคุณภาพ ของข้าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2688 | ความคืบหน้าการดำเนินการโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย | พณ | 29/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานความคืบหน้าการดำเนินการโครงการช่วย
เหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน 2553 ดังนี้ 1. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ได้เข้าร่วมชี้แจงเกี่ยวกับ หลักเกณฑ์สินเชื่อและกระบวนการขอสินเชื่อให้แก่สมาชิกที่เกี่ยวข้อง ระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน 2553 รวม 1,460 ราย 2. ธพว. จัดกิจกรรมทางการตลาดในระดับภูมิภาค เพื่อประชาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ พร้อมทั้งบริการรับคำขอกู้ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2553 มีผู้เข้าร่วมงานรวมทั้งสิ้น 1,905 ราย 3. ธพว. ได้รับคำขอสินเชื่อตามโครงการฯ เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2553 เป็นต้นมา มีผู้ยื่นขอกู้ จำนวน 224 ราย วงเงิน 780.70 ล้านบาท ได้รับอนุมัติสินเชื่อจำนวน 125 ราย วงเงิน 373.75 ล้านบาท และ การเบิกจ่ายเงินกู้ จำนวน 42 ราย เป็นเงิน 116.90 ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
2689 | ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... | กค | 22/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1.1 กำหนดหลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต เช่น ประเภทของบัตรเครดิต หลักเกณฑ์ การออกบัตร วงเงิน คุณสมบัติของผู้ถือบัตร เป็นต้น 1.2 กำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจ ผู้ถือบัตรและผู้รับบัตร 1.3 กำหนดห้ามผู้ประกอบธุรกิจเรียกเก็บเงินก่อนวันครบกำหนดชำระตามสัญญาและถ้าผู้ถือบัตร ชำระเงินเกินยอด และได้ร้องขอต่อผู้ประกอบธุรกิจเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้ประกอบธุรกิจต้องคืนเงินแก่ผู้ถือบัตร ทันที 1.4 กำหนดให้กรณีที่ผู้ถือบัตรซื้อสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเตอร์เน็ต เมื่อผู้ถือบัตรมีข้อโต้แย้ง เป็นลายลักษณ์อักษรว่า ตนมิได้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากผู้รับบัตรนั้น ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องระงับการ เรียกเก็บเงินจากผู้ถือบัตรไว้และทำการตรวจสอบ 1.5 กำหนดให้หนี้อันเนื่องมาจากการใช้บัตรเครดิตห้ามมิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้น 2 ปีนับแต่วันที่สัญญา บัตรเครดิตสิ้นสุดลง 1.6 กำหนดบทเฉพาะกาลโดยให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ได้รับอนุญาตก่อนพระราชบัญญัตินี้ ใช้บังคับให้ถือว่าได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ผู้ที่ได้รับผ่อนผันตามกฎหมายเดิมได้รับการผ่อนผัน ต่อไปจนกว่าจะมีคำสั่งตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งให้ถือว่าบัตรเครดิตตามกฎหมายเดิมเป็นบัตรเครดิตตามพระ ราชบัญญัตินี้ด้วย 2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กระทรวงยุติธรรม เกี่ยวกับการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ควรเพิ่มหลักเกณฑ์ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มี อำนาจในการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์จากผู้รับบัตรหรือผู้ถือบัตรที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายอันเนื่อง มาจากการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ใช้บัตรได้อย่างเต็มที่ ส่วนการยกเลิกการชำระ ค่าสินค้าหรือค่าบริการแก่ผู้ประกอบธุรกิจ ควรครอบคลุมถึงกรณีผู้ใช้บัตรมิได้รับสินค้าหรือบริการจากผู้รับจาก ผู้รับบัตร หรือกรณีได้รับสินค้าหรือบริการดังกล่าวแต่เพียงบางส่วนซึ่งไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของสัญญาด้วย รวมทั้งควรเพิ่มการจำกัดความรับผิดชอบของผู้ถือบัตรกรณีบัตรเครดิตสูญหาย ถูกขโมย หรือถูกฉ้อฉล หรือถูก นำไปใช้โดยบุคคลอื่น และความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าธรรม เนียม และค่าบริการอื่น ๆ ควรกำหนดอัตราขั้นสูงที่เหมาะสมและเป็นธรรมเพื่อเป็นการคุ้มครองประชาชนผู้ใช้ บริการให้ได้รับประโยชน์สูงสุด และในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องมิให้มีพฤติกรรมที่เป็นการ ผูกขาดหรือลดการแข่งขัน การตกลงร่วมกัน หรือพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจเข้าข่ายความรับผิด ตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการ ประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2690 | กรอบการเจรจาเพื่อแก้ไขกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้พิธีสารระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเปรู เพื่อเร่งเปิดเสรีการค้าสินค้าและอำนวยความสะดวกทางการค้า ปี พ.ศ. 2548 | พณ | 15/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบกรอบการเจรจาเพื่อแก้ไขกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้พิธีสารระหว่างราชอาณาจักรไทย กับสาธารณรัฐเปรู เพื่อเร่งเปิดเสรีการค้าสินค้าและอำนวยความสะดวกทางการค้า ปี พ.ศ. 2548 ตามที่กระทรวง พาณิชย์เสนอ โดยกรอบการเจรจาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ 1.1 แก้ไขข้อ F และ G ที่ระบุไว้ในบทบัญญัติข้อ 3 ภาคผนวก 2 หรือข้อบทที่เกี่ยวข้องกับเรื่องกฎว่า ด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้พิธีสารระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐเปรู เพื่อเร่งเปิดเสรีการค้าสินค้าและ อำนวยความสะดวกทางการค้า ปี พ.ศ. 2548 ทั้งนี้ การเจรจาดังกล่าวต้องไม่ทำให้ผลประโยชน์ไทยลดลงไปกว่าที่ เจรจาไว้เดิม 1.2 ให้ใช้กฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศของคู่ภาคีหรือกฎหมายระหว่างประเทศที่ เกี่ยวข้อง 2. ให้กระทรวงพาณิชย์แก้ไขความในข้อ 4 ข้อย่อย สาระสำคัญของกรอบการเจรจาฯ ซึ่งในย่อหน้าที่ 2 ระบุว่า "ให้ใช้กฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศของคู่ภาคีหรือกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง" แก้ไขเป็น "ให้ใช้กฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศของคู่ภาคี และ/หรือ กฎหมายระหว่างประเทศ ที่เกี่ยวข้อง" ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2691 | ขออนุมัติดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. 2554 - 2559 | กษ | 15/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานโครงการผลักดันการส่งออกกล้วยไม้ ปีละ 10,000 ล้านบาท รวมทั้งเห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. 2554-2559 เพื่อให้ ต่อเนื่องจากโครงการผลักดันการส่งออกกล้วยไม้ ปีละ 10,000 ล้านบาท ที่จะสิ้นสุดโครงการในปี พ.ศ. 2553 โดย มีเป้าประสงค์เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกกล้วยไม้ไทย โดยมีเป้าหมายอัตราการเติบโตของมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยร้อย ละ 19.24 ต่อปี และมีเป้าหมายการส่งออกมูลค่า 10,000 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2559 ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว และถือเป็นนโยบายให้ทั้งภาครัฐร่วมกับหน่วยงาน และเอกชนที่เกี่ยวข้องให้ร่วมมือปฏิบัติ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น พร้อมทั้งข้อสังเกตของกระทรวง การคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการ วิจัยแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรมีการรณรงค์ให้หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและหลีกเลี่ยงการค้าและการส่งออกกล้วยไม้ป่าชนิดที่ได้รับการอนุรักษ์และ ผิดกฎหมายอย่างจริงจัง พร้อมทั้งสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนากล้วยไม้ เชิงพาณิชย์ คำนึงถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโครงการที่จะส่งผลต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ และคุ้มค่าต่อ เศรษฐกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันของกล้วยไม้ไทย มีการติดตามประเมินผลการดำเนินเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ ผลการดำเนินงานบรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความรู้และการถ่ายทอดเทค โนโลยีให้เกษตรกร โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศคู่ค้า การ ส่งเสริมและสนับสนุนคลัสเตอร์กล้วยไม้ที่เข้มแข็งมาใช้เป็นแนวทางขยายผลในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และประสบ การณ์ให้แก่กลุ่มกล้วยไม้อื่นๆ การพัฒนาโลจิสติกส์กล้วยไม้ การสนับสนุนบทบาทของภาคเอกชนและเกษตรกรใน การขับเคลื่อนการพัฒนาพันธุ์กล้วยไม้ให้หลากหลายและสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การแข่งขันอุตสาหกรรมกล้วยไม้ในระยะยาว รวมทั้งส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาในพื้นที่และหน่วยงานสนับสนุน การวิจัยอื่น ๆ เข้ามาสนับสนุนการดำเนินงานของเกษตรกรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการ ต่อไปด้วย 3. สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยฯ ให้สำนักงบประมาณรับ ไปพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบ ประมาณ โดยการเบิกจ่ายเงินเพื่อการดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ รวมทั้งให้คำนึง ถึงความประหยัดและความเหมาะสม ตามความเห็นของกระทรวงการคลังด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2692 | การจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐฝรั่งเศส ฉบับที่ 2 (ปี 2553 - 2557) และการจัดทำข้อตกลงการหารือของเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยกับฝรั่งเศส (ปี 2553 - 2557) | กต | 15/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐฝรั่งเศส ฉบับ ที่ 2 (ปี 2553-2557) เป็นแผนความร่วมมือในกรอบกว้างระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ และร่างข้อตกลง การหารือของเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยกับฝรั่งเศส (ปี 2553-2557) เป็นกรอบความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ ทั้งในกรอบทวิภาคี ภูมิภาค และพหุภาคี โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ สามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในส่วนที่ไม่กระทบต่อสาระ สำคัญของร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ และร่างข้อตกลงการหารือของเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านเศรษฐกิจฯ โดยไม่ต้อง เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก 2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามแผนปฏิบัติการร่วมฯ 3. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามร่างข้อตกลงการหารือของเจ้าหน้าที่ระดับสูง ด้านเศรษฐกิจฯ |
||||||||||||||||||||||||
2693 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 16 | พณ | 08/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วง
การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 16 ระหว่างวันที่ 6-9 เมษายน 2553 ณ กรุงฮานอย และมอบหมายหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยในส่วนของการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้มี การพิจารณาประเด็นการมีผลบังคับใช้ของความตกลงด้านเศรษฐกิจของอาเซียน ได้แก่ 1. ASEAN Trade In Goods Agreement (ATIGA) ไทยและฟิลิปปินส์ได้จัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) เรื่อง ข้าว และรัฐมนตรีเศรษฐกิจทั้งสองประเทศได้ลงนามใน MOU ดังกล่าว เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2553 ทำให้ไทยสามารถ ดำเนินการภายในประเทศเพื่อให้สัตยาบัน ATIGA ได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2553 2. Vietnam''s Petroleum Products เวียดนามอยู่ระหว่างปรับปรุงตารางการลดภาษีสินค้าปิโตรเลียมที่เดิม อยู่ในรายการยกเว้นทั่วไป (General Exclusion List : GE) โดยเวียดนามต้องดำเนินการเช่นเดียวกับประเทศสมาชิก อื่นที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เช่น กัมพูชา ซึ่งจะต้องเริ่มลดภาษีในปี พ.ศ. 2554 รวมถึงการทบทวนตารางการลด ภาษีดังกล่าวในช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วย โดยเวียดนามจะเสนอตารางการลดภาษีดังกล่าวให้ที่ประชุม AEM ครั้งที่ 42 ในเดือนสิงหาคม 2553 ให้การรับรองต่อไป 3. ASEAN Comprehensive Investment Agreement (ACIA) อินโดนีเซียยืนยันที่จะปฏิบัติตามข้อผูกพันใน การปรับปรุงรายการข้อสงวนด้านการลงทุน โดยจะเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนพฤษภาคมศกนี้ 4. AEM Road Show อาเซียน 8 ประเทศตกลงจะเข้าร่วม Road Show ณ เมือง Seattle และ Washington DC โดยมีรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน 5 ประเทศ (มาเลเซีย บรูไน ลาว อินโดนีเซีย ไทย) รัฐมนตรีช่วยว่าการของเวียด นามและฟิลิปปินส์ ส่วนสิงคโปร์จะส่งเอกอัครราชทูตที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ร่วมเดินทางไปจัด AEM Road Show โดยมี ภาคเอกชนที่จะร่วมคณะ ได้แก่ อุตสาหกรรมสิ่งทอ โลจิสติกส์ ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหาร และให้มีการ หารือ TIFA Council อย่างไม่เป็นทางการ ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี โดยให้มีการหารือระหว่างอาเซียนก่อนพบกับฝ่าย สหรัฐฯ
|
||||||||||||||||||||||||
2694 | การดำเนินงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ (วันที่ 28 - 29 พฤษภาคม 2553 ณ ถนนสีลม) | พณ | 08/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างภาพ
ลักษณ์ของประเทศ สรุปผลการดำเนินงานได้ดังนี้ 1. กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดงาน "มหกรรมรวมพลังเพื่อวันใหม่ Together We Can Grand Sales" ระหว่างวันที่ 28-29 พฤษภาคม 2553 ณ บริเวณถนนสีลม กรุงเทพมหานคร ซึ่งผลการจัดงาน สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทั้งสิ้น 1,650 ราย มีประชาชนเข้าร่วมชมงานกว่า 400,000 คน ยอดการจำหน่ายสินค้า 2 วัน ประมาณ 140 ล้านบาท 2. กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการ ชุมนุมทางการเมือง ได้แก่ 2.1 การจัดงานมหกรรมธงฟ้าเฉลิมพระเกียรติ ระหว่างวันที่ 15-21 พฤษภาคม 2553 ณ อาคารชา เลนเจอร์ 2 เมืองทองธานี โดยเชิญผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ที่ได้รับผลกระทบเข้าร่วมงาน จำนวน 200 ราย มียอดจำหน่ายสินค้าประมาณ 55.65 ล้านบาท 2.2 การจัดรถโมบายธงฟ้า (Mobile Unit) เพื่อจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้กับชุมชนที่ได้ รับผลกระทบในชุมชนต่าง ๆ (มักกะสัน ประตูน้ำ บ่อนไก่ หลังวัดปทุมวนาราม) 2.3 การมอบถุงยังชีพบรรจุข้าวสาร อาหารแห้งและน้ำดื่ม เพื่อช่วยเหลือประชาชนบริเวณที่ได้รับความ เดือดร้อนในชุมชนต่าง ๆ (มักกะสัน ประตูน้ำ บ่อนไก่ หลังวัดปทุมวนาราม)
|
||||||||||||||||||||||||
2695 | ผลการจัดงานกระตุ้นเศรษฐกิจ "มหกรรมธงฟ้า...มหาชน เฉลิมพระเกียรติ" (ระหว่างวันที่ 15 - 21 พฤษภาคม 2553) | พณ | 08/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอผลการจัดงานกระตุ้นเศรษฐกิจ "มหกรรมธงฟ้า
...มหาชน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสบรมราชาภิเษกปีที่ 60" ระหว่างวันที่ 15- 21 พฤษภาคม 2553 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจตาม โครงการธงฟ้า...มหาชน ได้แก่ การจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสบรม ราชาภิเษกปีที่ 60 และเฉลิมพระชนมพรรษา และการจำหน่ายสินค้าราคาถูกภายใต้โครงการธงฟ้า-ราคาประหยัด ประกอบด้วย สินค้าขายตรงจากฟาร์มและโรงงาน สินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพราคาถูกกว่าตลาดร้อยละ 20-40 สินค้าอุตสาหกรรมคุณภาพส่งออกในราคาธงฟ้า สินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีชื่อเสียงของแต่ละจังหวัด (OTOP) สินค้า จากธุรกิจแฟรนไชส์ และสินค้าทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งเพิ่มช่องทางการจำหน่ายระบายสินค้าให้แก่ผู้ประกอบ การย่านราชประสงค์ ผ่านฟ้า และพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากการชุมชนทางการเมืองด้วย สำหรับผลการ จัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย มีประชาชนเข้าชมงานกว่า 6.74 แสนคน เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ประชาชนสามารถลดรายจ่ายได้รวมทั้งสิ้นกว่า 130 ล้านบาท มียอดการจำหน่ายสินค้ารวม 445 ล้านบาท เกิน เป้าหมายที่ตั้งไว้ 145 ล้านบาท มีเงินหมุนเวียนกว่า 570 ล้านบาท เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 270 ล้านบาท มียอด เงินรับฝากจากประชาชน 10 ล้านบาท และมีการขออนุมัติสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจและประชาชนสูงถึง 114 ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
2696 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 6/2553 | นร | 08/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขา
นุการคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจเสนอ ดังนี้ 1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ครั้งที่ 6/2553 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2553 2. เห็นชอบการถ่ายโอนภารกิจกำกับดูแลขับเคลื่อนความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ของ ฝ่ายไทยจากกระทรวงการต่างประเทศไปยังกระทรวงพาณิชย์ และนำเรื่องการเปลี่ยนจุดติดต่อจากกระทรวงการต่าง ประเทศเป็นกระทรวงพาณิชย์รวมไว้กับประเด็นอื่นๆ ที่จะนำเข้าสู่การเจรจากับญี่ปุ่นในรอบต่อไป และในช่วงระหว่าง รอการเจรจา ให้กระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่จุดติดต่อในการประสานงานการจัดประชุมระดับประเทศไปก่อน และให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักในขั้นตอนปฏิบัติงานภายในประเทศ โดยจัดประชุมหารือหน่วย งานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนไทย เพื่อกำหนดกลยุทธ์และท่าทีของฝ่ายไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการ ร่วมว่าด้วยหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3 ต่อไป 3. เห็นชอบมาตรการฟื้นฟูด้านการท่องเที่ยวและการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้ รับผลกระทบจากวิกฤตปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ ได้แก่ มาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาปัญหาสภาพคล่อง มาตรการลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว และมาตรการส่งเสริมการตลาดด้านท่องเที่ยว ตามผล การพิจารณาของคณะกรรมการ รศก. 4. เห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขมาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ย่านราช ประสงค์และพื้นที่ใกล้เคียง ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กำหนดวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมสำหรับการกู้ยืมแบบมีหลักประกันรายละไม่เกิน 3 ล้านบาท รวมเป็นผู้กู้ราย หนึ่งสามารถกู้ได้ทั้งแบบมีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน (Clean Loan) โดยวงเงินสินเชื่อต่อรายรวมทั้งสิ้นต้อง ไม่เกิน 4 ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
2697 | ขอความเห็นชอบแผนพัฒนาสุกรทั้งระบบและแผนปฏิบัติงาน พ.ศ. 2553 - 2557 | กษ | 02/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการแผนการพัฒนาสุกรทั้งระบบและแผนปฏิบัติงาน พ.ศ. 2553-2557 เพื่อเป็น กรอบในการดำเนินงานพัฒนาสุกรทั้งระบบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสาระสำคัญของแผนฯ เป็นการพัฒนา และควบคุมคุณภาพการผลิตสุกรตั้งแต่การจัดการฟาร์มที่ถูกสุขลักษณะ การเลี้ยงสุกรให้ปลอดจากโรค ตรวจสอบ คุณภาพอาหารสัตว์ปัจจัยการผลิต และการปรับปรุงพัฒนาโรงฆ่าสัตว์ การฆ่าชำแหละ รวมถึงการขนส่งซากสุกร ที่ถูกสุขอนามัย โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวง เกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ปรับแก้ไขถ้อยคำในหนังสือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ กษ 0614/2560 ลง วันที่ 9 เมษายน 2553 หน้า 5 ข้อ 2.4 บรรทัดที่ 3 จากเดิม "...ซึ่งมีทั้งหมด 4 แผนงาน 16 โครงการ" เป็น "...ซึ่งมีทั้งหมด 4 แผนงาน 18 โครงการ" ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติม 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ กิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการกำหนดให้มีมาตรการช่วยเหลือผู้เลี้ยงสุกรที่ขึ้นทะเบียน เช่น การตั้งศูนย์ช่วยเหลือเกษตรกรในระดับจังหวัด การกำหนดแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาที่ครอบคลุมการ สร้างมูลค่าและคุณค่าเพิ่มให้กับสินค้าโดยเฉพาะการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสุกรประเภทต่าง ๆ การประสานความ ร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ และผู้เลี้ยงสุกรในพื้นที่เพื่อร่วมมือกันขับเคลื่อนแผนฯ ให้ บรรลุตามเป้าหมาย รวมทั้งควรมีมาตรการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษีหรือจัด หาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2698 | การใช้พัสดุที่ผลิตในประเทศและเป็นกิจการของคนไทย | พณ | 02/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน
ที่ 19 มกราคม 2553 เกี่ยวกับการใช้พัสดุที่ผลิตในประเทศและเป็นกิจการของคนไทย ดังนี้ ความตกลงว่าด้วยการ อุดหนุน และมาตรการตอบโต้การอุดหนุนขององค์การการค้าโลกอนุญาตให้สมาชิกยกเว้น/คืนภาษีนำเข้าให้กับวัตถุ ดิบที่นำเข้ามาในประเทศเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกได้โดยไม่ถือว่าเป็นการอุดหนุนต้องห้าม (Prohibited Subsidy) แต่ต้องไม่มากกว่าภาษีนำเข้าที่เรียกเก็บจากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าส่งออก อย่างไรก็ตาม แม้มาตร การดังกล่าวจะไม่เป็นการอุดหนุนต้องห้าม แต่ก็ถือว่าเป็นการอุดหนุนที่ถูกตอบโต้ได้ (actionable subsidies) หาก การอุดหนุนดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสมาชิกอื่น โดยอาจถูกเก็บภาษีตอบโต้การอุดหนุน (countervailing duty-CVD) หรือถูกฟ้องร้องให้ยกเลิกโครงการอุดหนุนในองค์การการค้าโลกได้
|
||||||||||||||||||||||||
2699 | รายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (ระหว่างวันที่ 1 - 28 กุมภาพันธ์ 2553) | พณ | 02/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอรายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์
สินทางปัญญาตามที่ได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 1-28 กุมภาพันธ์ 2553 สามารถ จับกุมได้ 292 คดี ยึดของกลางได้ 103,180 ชิ้น
|
||||||||||||||||||||||||
2700 | การจัดสถานะประเทศไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี 2553 | พณ | 02/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอว่า สหรัฐ ฯ ได้ประกาศสถานะประเทศไทยตามกฎ
หมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี พ.ศ. 2553 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2552 ให้คงไทยเป็นประเทศที่ ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List-PWL) เช่นเดียวกับปี พ.ศ. 2550-2552 เนื่องจากเห็นว่าไทยยังมีการ ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่สีแดง คือ พันธุ์ทิพย์ คลองถม มาบุญครอง และสุขุม วิท อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังคงให้ไทยมีสิทธิได้รับการทบทวนนอกรอบ (OCR) ในช่วงกลางปี ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี ว่าสหรัฐฯ ตระหนักถึงความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาของไทยโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งการแก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์ และเครื่องหมายการค้า เพื่อเอาผิดเจ้าของพื้นที่ขาย ผลิต และเก็บรักษาสินค้าละเมิด ทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะได้มีหนังสือสอบถามสาเหตุที่แท้จริงเกี่ยวกับการจัดอันดับไทยในครั้ง นี้จาก สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative-USTR) ต่อไป
|
.....