ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 140 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2781 - 2800 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2781 | การขอความเห็นชอบมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เกี่ยวกับการแก้ไขข้อมูลทะเบียนเกษตรกร ดำเนินการทำสัญญาประกันรายได้ขยายระยะเวลาการออกหนังสือรับรองเกษตรกรและการกำหนดปริมาณข้าวเปลือก โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 | พณ | 12/01/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2553 เกี่ยว กับการแก้ไขข้อมูลทะเบียนเกษตรกร ดำเนินการทำสัญญาประกันรายได้ ขยายระยะเวลาการออกหนังสือรับรอง เกษตรกรและการกำหนดปริมาณข้าวเปลือก โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ 1.1 ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินการทำสัญญาประกันรายได้ (รอบที่ 1) ให้แก่เกษตรกรที่กรมส่งเสริมการเกษตรได้แก้ไขข้อมูลทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก เมื่อ วันที่ 18 ธันวาคม 2552 จำนวน 34,556 ราย จำแนกเป็นข้าวเปลือก จำนวน 24,268 ราย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน 2,726 ราย และมันสำปะหลัง จำนวน 7,562 ราย โดยให้ถือวันที่กรมส่งเสริมการเกษตรได้ให้รับรอง การขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่เป็นต้นฉบับที่ออกให้ครั้งแรกไม่ใช่วันที่ปรับปรุงแก้ไขเป็นวันทำสัญญา 1.2 ให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการทำสัญญาประกันรายได้ (รอบที่ 1) ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ตกสำรวจ ซึ่งขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร หลังวันที่ 31 ตุลาคม 2552 และผ่านการทำประชาคมแล้ว จำนวน 77,909 ราย โดยให้ถือวันที่เกษตรกรทำประชาคมเป็นวันทำสัญญา 2. สำหรับมติคณะกรรมการ กขช. เกี่ยวกับการขยายระยะเวลาออกหนังสือรับรองเกษตรกร ฯ และการ กำหนดปริมาณประกันรายได้ต่อครัวเรือน นั้น ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปเสนอคณะกรรมการ กขช. พิจารณาทบ ทวนอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
2782 | การขอความเห็นชอบมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เกี่ยวกับโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว | พณ | 12/01/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 8
มกราคม 2553 ที่เห็นชอบการขอปรับเปลี่ยนการเบิกจ่ายเงินจากแหล่งเงินเดิมของโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการ ประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ 1. อนุมัติปรับเปลี่ยนการเบิกจ่ายเงินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 จากงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง เป็นเบิกจ่ายจากเงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร วงเงิน ดำเนินการจำนวน 13 ล้านบาท 2. อนุมัติขยายระยะเวลาโครงการ ฯ จากเดิมพฤศจิกายน 2552-กรกฎาคม 2553 เป็นมกราคม-ตุลา คม 2553
|
||||||||||||||||||||||||
2783 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำกาแฟ ชา น้ำนมดิบและนมพร้อมดื่ม และนมผงขาดมันเนยเข้ามาในราชอาณาจักร ตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... | พณ | 05/01/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำกาแฟ ชา น้ำนมดิบและ
นมพร้อมดื่ม และนมผงขาดมันเนยเข้ามาในราชอาณาจักร ตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน ตามที่กระทรวง พาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศ ฯ มีสาระสำคัญคือ 1. ให้กาแฟ ชา น้ำนมดิบและนมพร้อมดื่ม และนมผงขาดมันเนยซึ่งมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากประเทศ สมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน เป็นสินค้าที่ต้องมีหนัง สือรับรองในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร 2. ให้นำสินค้า ตามข้อ 1. เข้ามาในราชอาณาจักรทางด่านศุลกากรที่มีด่านตรวจพืชและด่านอาหารและ ยา ตามเงื่อนไขการนำเข้าที่กำหนดสำหรับแต่ละสินค้า เพื่อให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบคุณภาพและ มาตรฐานสินค้า 3. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกหนังสือรับรองและรายชื่อด่านศุลกากร ที่มีด่านตรวจพืชและด่านอาหารและยา ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กำหนด 4. ให้สินค้าที่นำเข้าตามประกาศฉบับนี้ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรการอื่นที่มิใช่มาตรการ ทางภาษีที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า
|
||||||||||||||||||||||||
2784 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งมาใช้ในราชการ (จำนวน 2 คัน) | พณ | 05/01/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
เพื่อเช่ารถยนต์ประเภทรถประจำตำแหน่งอธิบดี และรองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา จำนวน 2 คัน วงเงินทั้งสิ้น 2,318,800 บาท เป็นระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553-2555 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ส่วน รายละเอียดเกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณดังกล่าวให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ 1. รถประจำตำแหน่งอธิบดี จำนวน 1 คัน เป็นเงินทั้งสิ้น 1,332,800 บาท เบิกจ่ายจากงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา จำนวนเงิน 392,000 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน เงิน 940,800 บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554-2555 2. รถประจำตำแหน่งรองอธิบดี จำนวน 1 คัน เป็นเงินทั้งสิ้น 986,000 บาท เบิกจ่ายงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา จำนวนเงิน 290,000 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน เงิน 696,000 บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554-2555
|
||||||||||||||||||||||||
2785 | การประกาศให้ปี 2553 เป็นปีแห่งการสร้างสรรค์ และให้วันที่ 26 เมษายน เป็นวันทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ | พณ | 05/01/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. การกำหนดให้วันที่ 26 เมษายนของทุกปีเป็นวันทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ เพื่อให้คนไทยตระหนัก ถึงความสำคัญของทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศให้สามารถพึ่งพาตนเองและแข่ง ขันในเวทีโลกได้นั้น เนื่องจากองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization หรือ WIPO) ได้กำหนดให้วันดังกล่าวเป็นวันทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World IP Day) จึงเป็นวันสากลที่ประเทศสมาชิก รับทราบและถือปฏิบัติเช่นเดียวกัน ดังนั้น การกำหนดให้วันที่ 26 เมษายนของทุกปีเป็นวันทรัพย์สินทางปัญญา แห่งชาติอีกจะเป็นการดำเนินการซ้ำซ้อน ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สามารถขอความร่วมมือและประสานกับหน่วยงาน ต่าง ๆ เพื่อจัดกิจกรรมในวันดังกล่าวได้อยู่แล้ว 2. การกำหนดให้ปี 2553 เป็นปีแห่งการสร้างสรรค์ของไทย (Creative Thailand Year) นั้น เนื่องจากได้ มีการประกาศคำมั่นสัญญาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 12 ข้อ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2552 และคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวัน ที่ 15 กันยายน 2552 รับทราบพันธสัญญาของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ดังนั้น ควรมุ่ง เน้นดำเนินการให้เป็นไปตามประกาศคำมั่นสัญญา ฯ และพันธสัญญา ฯ ดังกล่าวก่อน หากยังมีความจำเป็นที่จะ ต้องกำหนดให้ปี 2553 เป็นปีแห่งการสร้างสรรค์ของไทย ก็ให้กระทรวงพาณิชย์นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ครั้งหนึ่ง 3. การกำหนดให้ปีใดมีความสำคัญเพื่อรณรงค์เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ให้ทุกหน่วยงานรับไปพิจารณากำหนด ตามความจำเป็นและเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||
2786 | รายงานการรับและการใช้จ่ายเงินที่ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์) | พณ | 29/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินที่ไม่ต้องนำ
ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 และให้เสนอสภาผู้แทน ราษฎรและวุฒิสภาต่อไป ดังนี้ 1. ประเภทเงินฝากส่งเสริมธุรกิจ ประกอบด้วย 1.1 รายงานแสดงฐานะการเงิน มีสินทรัพย์หมุนเวียนรวม 44,288,996.81 บาท มีสินทรัพย์ไม่ หมุนเวียนรวม 3,900,000.00 บาท มีสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุนรวม 48,183,222.59 บาท 1.2 รายงานแสดงผลการดำเนินงาน มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 649,722.67 บาท ค่าใช้ จ่ายในการดำเนินงานรวม 286,717.00 บาท มีรายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ 363,005.67 บาท 1.3 รายงานการรับ-จ่ายเงิน มีรายรับรวม 1,421,936.46 บาท มีรายจ่ายรวม 290,419.99 บาท และมีเงินคงเหลือ ณ วันปลายงวด 43,190,509.04 บาท 2. ประเภทเงินค่าปรับและเงินที่หักไว้เป็นเงินสินบนรางวัล และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานก่อนนำส่ง คลัง มีรายรับรวม 79,017,100.00 บาท มีรายจ่ายรวม 34,283,433.50 บาท รายรับสูง (ต่ำ) กว่ารายจ่าย สุทธิ 44,733,666.50 บาท มีเงินคงเหลือ 23,031,274.94 บาท 3. ประเภทเงินฝากเงินสินบนรางวัล (ค่าปรับ) มีรายรับรวม 35,557,695.00 บาท มีรายจ่ายรวม 33,306,345.00 บาท รายรับสูง (ต่ำ) กว่ารายจ่ายสุทธิ 2,251,350.00 บาท มีเงินคงเหลือ 2,251,350.00 บาท 4. ประเภทเงินฝากเงินกองทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ค่าปรับ) มีรายรับรวม 11,852,565.00 บาท มีรายจ่ายรวม 977,088.50 บาท รายรับสูง (ต่ำ) กว่ารายจ่ายสุทธิ 10,875,476.50 บาท มีเงินคงเหลือ 20,779,924.94 บาท
|
||||||||||||||||||||||||
2787 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จำนวน 14 คน 1. นายชวลิต อัตถศาสตร์ ฯลฯ) | พณ | 29/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ชุดใหม่
จำนวน 14 คน เนื่องจากกรรมการชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งมาครบกำหนดสี่ปีตามวาระ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (29 ธันวาคม 2552) เป็นต้นไป ดังนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน 1. นายชวลิต อัตถศาสตร์ สาขานิติศาสตร์ 2. คุณหญิงประไพศรี พิทักษ์ไพรวัน สาขาเกษตรศาสตร์ 3. นางศิรินันท์ ศันสนาคม สาขานิติศาสตร์ 4. นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ สาขาวิทยาศาสตร์ 5. นางสมใจ วิชัยดิษฐ สาขาวิทยาศาสตร์ 6. นายนำชัย วิทยาวงศ์วณิช สาขาเศรษฐศาสตร์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ 7. นายสมเจตน์ ประทุมมินทร์ สาขาเกษตรศาสตร์ 8. นางสาวทรรศณีย์ ปรัชญาบำรุง สาขาเกษตรศาสตร์ 9. นางรมณี สงวนดีกุล สาขาวิทยาศาสตร์ 10. นางสาววิมล ชาตะมีนา สาขาเศรษฐศาสตร์ 11. นายอำพัน กิจงาม สาขาโบราณคดี 12. นายทศพร นุชอนงค์ สาขาภูมิศาสตร์ 13. นายสุรวิช วรรณไกรโรจน์ สาขาเกษตรศาสตร์ 14. นางรำไพพรรณ นาคะสาทิศ สาขาวิทยาศาสตร์
|
||||||||||||||||||||||||
2788 | รายงานการรับและใช้จ่ายเงินที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 170 สำหรับสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) | พณ | 29/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินที่ไม่ต้องนำ
ส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 170 สำหรับสถาบันวิจัยและ พัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป สรุป ได้ดังนี้ 1. ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป 1.1 รายงานแสดงฐานะการเงิน มีสินทรัพย์หมุนเวียนรวม 189,658,080.42 บาท มีสินทรัพย์ไม่ หมุนเวียนรวม 279,685,411.46 บาท มีสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุนรวม 330,958,059.12 บาท 1.2 รายงานแสดงผลการดำเนินงาน มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 194,668,587.65 บาท มี ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานรวม 64,711,908.42 บาท มีรายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ 129,956,679.23 บาท 1.3 รายการรับ-จ่ายเงินและเงินคงเหลือ มีรายรับรวม 194,729,992.41 บาท มีรายจ่ายรวม 213,937,912.01 บาท มีเงินคงเหลือรวมทั้งสิ้น 182,447,204.88 บาท 1.4 รายการรับ-จ่ายเงิน มีรายรับรวม 136,157,921.91 บาท มีรายจ่ายรวม 9,799,521.70 บาท และมีเงินคงเหลือ ณ วันปลายงวด 126,358,400.21 บาท 2. ประเภทเงินรายได้และเงินนอกงบประมาณ รายงานผลการดำเนินงาน มีรายรับ 136,157,921. 91 บาท มีรายจ่ายรวม 9,799,521.70 บาท และมีเงินคงเหลือ ณ วันปลายงวด 126,358,400.21 บาท
|
||||||||||||||||||||||||
2789 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... | พณ | 29/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุ
ดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ และส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้ว ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศ ฯ มีสาระสำคัญคือ 1. ให้ข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ตามพิกัดอัตราศุลกากรขาเข้าประเภทย่อยที่ 1005.90.90 ซึ่งมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามความตกลง เขตการค้าเสรีอาเซียนเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) หนังสือรับรองแสดงการได้ รับสิทธิในการยกเว้นภาษีทั้งหมดหรือบางส่วน และหนังสือหรือใบรับรองสุขอนามัยพืช หรือเอกสารหลักฐาน อื่นที่แสดงการรับรองสุขอนามัยพืช แสดงต่อกรมศุลกากรในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อประกอบการ ใช้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร 2. การขอและการออกหนังสือรับรองให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามระเบียบที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กำหนด 3. การนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีมูลค่าตามราคา เอฟ โอ บี ไม่เกินสองร้อยดอล ลาร์สหรัฐ ไม่ต้องแสดงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) ต่อกรมศุลกากร
|
||||||||||||||||||||||||
2790 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 9/2552 | นร | 29/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหา
ทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 9/2552 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2552 ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยมีผลการประชุมสรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งคณะทำงาน โดยมีอธิบดีกรม การค้าภายในเป็นประธาน และผู้แทนกรมการค้าภายในและภาคเอกชนเป็นเลขานุการร่วม เพื่อทบทวนหลักเกณฑ์ การกำหนดสินค้าควบคุม แนวทางการกำกับดูแลราคาสินค้าเฝ้าระวัง รวมทั้งหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาการขึ้น ราคาสินค้าและบริการ 2. ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดแจ้งผลการจัดสรรโควตาการนำเข้านมผงปี พ.ศ. 2553 ให้กระทรวงพาณิชย์เพื่อนำไปดำเนินการออกประกาศโควตานำเข้านมผงสำหรับปี พ.ศ. 2553 3. ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่าย เลขานุการคณะกรรมการ กรอ. รับผลการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 27 ไปพิจารณาประกอบในการจัดทำ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 และให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจประเทศ ของหอการค้าไทย โดยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดและกลุ่มจังหวัดนั้น ให้ประสานคณะกรรมการ นโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ และกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณานำยุทธศาสตร์ 18 กลุ่มจังหวัด ของหอการค้าไทย ไปใช้ประกอบในการขับเคลื่อนการพัฒนาในระดับที่ควบคู่ไปกับยุทธศาสตร์การ พัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดของภาครัฐต่อไป 4. ที่ประชุมมีมติรับทราบความคืบหน้าข้อเสนอมาตรการภาษีของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และมอบหมายให้กระทรวงการคลังเสนอรายงานดังกล่าวต่อคณะกรรมการ กรอ. อีกครั้ง ภายในเดือนมกรา คม 2553 5. ที่ประชุมมีมติรับทราบเกี่ยวกับความคืบหน้าการฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อบังคับให้รัฐต้องปฏิบัติตาม กฎหมายทุกขั้นตอนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 67 และให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการ กรอ. ไปประกอบการพิจารณาในการดำเนินการต่อไปด้วย 6. ที่ประชุมมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 21 ณ ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 11-12 พฤศจิกายน 2552 โดยมีประเด็นในเรื่องแผนงาน Ease of Doing Business ของเอเปคที่ให้ความสำคัญกับการลด อุปสรรคทางกฎระเบียบ ตามแผนปฏิบัติการว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ (The Ease of Doing Business Action Plan) ซึ่งกำหนดเป้าหมายให้สามารถลดต้นทุนระยะเวลา และจำนวนขั้นตอนลงร้อยละ 25 ภาย ในปี พ.ศ. 2558 ใน 5 เรื่องสำคัญ ตามเกณฑ์การวัดของธนาคารโลก ได้แก่ การเริ่มต้นธุรกิจ การได้รับสินเชื่อ การ ค้าชายแดน การบังคับตามสัญญา และการขอใบอนุญาต รวมทั้งได้กำหนดให้ลดค่าใช้จ่ายทางด้านธุรกรรมลงร้อย ละ 5 ภายในปี พ.ศ. 2554 โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงาน ประสานและบูรณาการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับปรุงบริการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถใน การประกอบธุรกิจให้เกิดผลสำเร็จต่อเนื่องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2791 | การเร่งรัดการชำระเงินค่าใช้จ่ายในการรับฝากสินค้า | นร | 29/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์รับไปเร่งรัดการดำเนินการขององค์การคลังสินค้า (อคส.)
เพื่อชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการเจ้าของโกดังสินค้าที่ อคส. เช่าพื้นที่สำหรับเก็บสินค้าที่เป็นผลิตผล ทางการเกษตรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้รายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีด้วย ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ |
||||||||||||||||||||||||
2792 | ขออนุมัติทำลายกระเทียมคงเหลือจากการจำหน่าย ปี 2550/51 ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน | มท | 29/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติทำลายกระเทียมคงเหลือของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามโครงการแก้ไขปัญหากระเทียม ปี 2550/ 51 ที่ฝ่อและเน่าเสีย ตามปริมาณที่คณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับ จังหวัดแม่ฮ่องสอนเสนอ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับการขอยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายก รัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้น ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอขออนุมัติต่อคณะกรรมการ ว่าด้วยการพัสดุต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดแม่ฮ่องสอน) รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็น ควรกำหนดวิธีการทำลายกระเทียมเสนอคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ในฐานะ คณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อพิจารณาอนุมัติวิธีการทำลายที่เหมาะสม และความ เห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้จังหวัดแม่ฮ่องสอนแจ้งให้เกษตรกรผู้ปลูกกระเทียมลดพื้นที่ปลูกกระเทียม โดยปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่มีสัญญาข้อตกลงซื้อขายทดแทน เช่น มันฝรั่งพันธุ์โรงงาน ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด และถั่วเหลือง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย รวมทั้ง คชก. และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า หากจะมีการแทรกแซงสินค้าเกษตรในลักษณะเดียวกับกระเทียม อีก ควรหาแนวทางแก้ไขปัญหากรณีที่ไม่สามารถจำหน่ายสินค้าเกษตรที่ซื้อมาได้ครบจำนวนแล้วต้องนำมาทำลาย ก่อให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2793 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 | พณ | 29/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วงการประชุม สุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 ระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคม 2552 ณ จังหวัดเพชรบุรี สรุปได้ดังนี้ 1.1 การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ที่ประชุม ฯ ได้พิจารณาประเด็นการมีผลบังคับใช้ของความ ตกลงด้านเศรษฐกิจอาเซียน ได้แก่ ความตกลงการค้าสินคาอาเซียน (ACIA) ความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน (ACIA) รวมทั้งข้อผูกพันการปิดตลาดการค้าบริการ ชุดที่ 7 ภายใต้ความตกลงการค้าบริการของอาเซียน (AFAS) และได้หารือเรื่องทิศทางการจัดทำ FTA ของอาเซียนในกรอบอาเซียน +3 และอาเซียน +6 1.2 การประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ได้มีการ พิจารณาแผนติดตามการดำเนินงานไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Scorecard) ซึ่งจากการวัดผล (1 มกรา คม 2551-30 กันยายน 2552) อาเซียนดำเนินงานตามแผนได้ร้อยละ 72.38 การประชุมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจ กับภาคเอกชนอาเซียน ได้มีการหารือร่วมกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียนและสมาพันธ์ยานยนต์อาเซียน โดยมีวัตถุ ประสงค์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน การประชุมอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรี เศรษฐกิจอาเซียน-อินเดียอย่างไม่เป็นทางการ และการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น รวมทั้ง การหารือทวิภาคีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีการค้า 5 ประเทศ (ฟิลิปปินส์ เวียดนาม จีน ญี่ปุ่น อินเดีย) 2. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับภารกิจในแต่ละมาตรการไปพิจารณาดำเนินการ และให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องแจ้งความคืบหน้าและผลการดำเนินการให้กระทรวงพาณิชย์ทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2794 | สรุปผลการหารือปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. .... | นร | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบสรุปผลการหารือปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานผู้แทนการค้าไทยเสนอ ซึ่งได้พิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ประเภทของธุรกิจที่ต้องขออนุญาต การจัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการรายเล็กดั้งเดิม (โชห่วย) อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาอุทธรณ์ และสัญญาประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งที่ไม่เป็นธรรม เป็นต้น สำหรับประเด็นข้อหารือกรณีสำนักงานผู้แทน การค้าไทยกำหนดให้มีคณะกรรมการกลางชุดเดียวในการดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัติ ฯ ในขณะที่กระทรวง พาณิชย์เสนอร่างที่ให้มีคณะกรรมการกลางและคณะกรรมการประจำจังหวัด นั้น ควรเห็นให้มีคณะกรรมการกลาง เพียงคณะเดียว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน 2. ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. .... ฉบับของสำนักงานผู้แทนการ ค้าไทย และฉบับของกระทรวงพาณิชย์ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณารวมเป็นฉบับเดียว โดย ให้แก้ไขปรับปรุงตามมติคณะรัฐมนตรีในข้อ 1 และรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานคณะกรรมการ คุ้มครองผู้บริโภค กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับ ขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายควรอยู่บนหลักความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และให้มีมาตรการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ ค้าปลีกหรือค้าส่งรายย่อยภายในชุมชนดั้งเดิมให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น รวมทั้งระยะเวลาในการเปิด บริการไว้ให้ชัดเจน เพื่อให้การประกอบอาชีพของประชาชนในชุมชนที่เกี่ยวกับการค้าขายเครื่องอุปโภคบริโภคจะได้ มีโอกาสในการแบ่งสัดส่วนในทางการตลาด นอกจากนี้ ควรมีมาตรการที่เคร่งครัดในการป้องกันการทุ่มตลาดของ ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง และการควบคุมการขยายตัวทางธุรกิจการค้าปลีกหรือค้าส่งให้มีความเหมาะสม กับสภาพชุมชนในแต่ละพื้นที่ ตลอดจนกำหนดสถานที่ตั้งให้เหมาะสมและไม่ก่อให้เกิดปัญหาจราจรติดขัดซึ่งนำไปสู่ ปัญหามลพิษทางอากาศและเสียง และการสิ้นเปลืองพลังงาน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะ รัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
2795 | การจำหน่ายมันสำปะหลังเส้นในสต็อกของรัฐบาลในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) (ปี 2552/53) | พณ | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานอนุกรรมการด้านการตลาดมัน
ปะหลังเสนอมติคณะอนุกรรมการด้านการตลาดมันสำปะหลัง ซึ่งให้ชะลอการจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเส้น แบบเสนอส่วนต่างราคา (Basis) โดยใช้กลไกตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) ไว้ก่อน เนื่อง จากเห็นว่า ขณะนี้รัฐบาลดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังปี 2552/53 ซึ่งเกษตรกรเริ่ม ขุดหัวมันสดออกสู่ตลาด จึงจำเป็นต้องรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังภายในประเทศให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม ขึ้นจากการจำหน่ายผลผลิตตามฤดูกาล
|
||||||||||||||||||||||||
2796 | การรับซื้อข้าวเปลือกอายุสั้นตามโครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี 2552/53 | พณ | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับแก้ไขการรับซื้อข้าวเปลือกอายุสั้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3
พฤศจิกายน 2552 ที่กำหนดให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) รับซื้อข้าว เปลือกเจ้า 10% ตันละ 8,189 บาท ข้าวเปลือกเจ้า 25% ตันละ 7,789 บาท เป็น "ให้ อคส. และ อ.ต.ก. รับ ซื้อข้าวเปลือกอายุสั้นตามโครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี 2552/53 โดยปรับราคาลดลงจากเกณฑ์ กลางอ้างอิงข้าวเปลือกเจ้า ณ ความชื้นไม่เกิน 15% ตามที่คณะอนุกรรมการกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการ ประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวประกาศ เพื่อใช้ในแต่ละช่วงเวลา โดยข้าวเปลือกเจ้าชนิด 10% มีราคาปรับลด ลงตันละ 200 บาท และข้าวเปลือกเจ้าชนิด 25% มีราคาปรับลดลง ตันละ 600 บาท" ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2797 | การรับซื้อข้าวเปลือกตามโครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี 2552/53 | พณ | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการดำเนินโครงการแทรกแซง
ตลาดรับซื้อข้าวเปลือกมีวัตถุประสงค์เพื่อจะรับซื้อข้าวเปลือกในช่วงที่ราคาข้าวเปลือกมีแนวโน้มอ่อนตัวลงเพื่อพยุง ราคาไม่ให้เกษตรกรเดือดร้อน โดยให้เกษตรกรจำหน่ายข้าวเปลือกได้ตามเกณฑ์กลางอ้างอิงที่ประกาศทุก 15 วัน แต่ปัจจุบันราคาตลาดสูงกว่าราคาเกณฑ์อ้างอิง จึงเห็นควรระงับการแทรกแซงการรับซื้อข้าวเปลือกในช่วงนี้เฉพาะ ชนิดข้าวที่ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงสูงกว่าราคาประกันรายได้เพื่อให้การซื้อขายข้าวเปลือกเป็นไปตามกลไกตลาด
|
||||||||||||||||||||||||
2798 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา พ.ศ. .... | พณ | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการ ปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจ สอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้ตัดความในร่างข้อ 4 ที่กำหนดให้ บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีใดที่กำหนดไว้แล้ว หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับระเบียบ นี้ ให้ใช้ระเบียบนี้แทน ออก โดยร่างระเบียบ ฯ มีสาระสำคัญคือ 1.1 กำหนดนิยามคำว่า "ทรัพย์สินทางปัญญา" หมายความว่าลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการ ค้า แบบผังภูมิของวงจรรวม สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ และความลับทางการค้า 1.2 กำหนดบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รวม 30 ฉบับ 1.3 กำหนดหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รวม 22 หน่วยงาน มีอำนาจหน้าที่ประสานการดำเนินการในลักษณะบูรณาการ เพื่อการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สิน ทางปัญญา 1.4 ให้มีคณะกรรมการบริหารกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เรียกโดยย่อว่า "คป.ทป." มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบาย แผนแม่บท มาตรการและดำเนินการบริหารกฎหมาย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา 2. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม ที่เห็นควรเพิ่มเติมสำนักงานปลัดกระทรวง มหาดไทย กรมการปกครอง และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการละ เมิดทรัพย์สินทางปัญญา และให้เพิ่มปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือผู้แทนเป็นกรรมการในคณะกรรมการ คป.ทป. และความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ ที่เห็นควรเพิ่มเติมสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาเป็นหน่วยงานของ รัฐที่เกี่ยวข้องกับการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อให้ครอบคลุมหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการ เสนอนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา และการสนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษาตามพระราชบัญญัติการ ศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการกำหนดให้กฎหมายว่าด้วย มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และ เพิ่มสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการป้องปรามการละเมิดทรัพย์ สินทางปัญญา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
2799 | แก้ไขคู่มือการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว (รอบที่ 1) | พณ | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2552 ซึ่งมอบหมายให้ปรับปรุงคู่มือการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนา ปี ปีการผลิต 2552/53 (รอบที่ 1) ในข้อ 8.1 กรณีผ่อนผันให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 ที่มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ตรวจสอบว่าเกษตรกรที่ได้จำหน่ายข้าวเปลือกไปก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2552 และได้รับการขึ้นทะเบียนเกษตรกรและทำประชาคมแล้ว หากเกษตรกรดังกล่าวไม่ได้ใช้สิทธิเข้าร่วม โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2552 ให้สามารถใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว นาปี ปีการผลิต 2552/53 ได้ โดยเกษตรกรที่ไม่ได้ใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังในที่นี้ให้หมาย ถึงเฉพาะการเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ในช่วงที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2552 และ 29 กันยายน 2552 ที่ให้ขยายระยะเวลารับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2552 ออกไปตั้งแต่ 1 กันยายน-15 ตุลาคม 2552 เท่านั้น
|
||||||||||||||||||||||||
2800 | การดำเนินการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 | พณ | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 ตาม มติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2552 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ 2. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดทำรายละเอียดและวิธีการปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อสร้างความเข้าใจแก่หน่วยงานไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง สามารถดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วทันต่อกรอบระยะเวลา เช่น การกำหนดจังหวัดเป้าหมาย กำหนดประเภทพันธุ์ ข้าวให้ครอบคลุมพื้นที่ปลูกในรอบที่ 2 และนำประเด็นปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาในรอบ 1 มาใช้ประกอบ การดำเนินงานในรอบที่ 2 เพื่อการดำเนินงานสามารถบรรลุเป้าหมายและเกิดประโยชน์แก่เกษตรกรอย่างแท้จริง ไปดำเนินการด้วย
|
.....