ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 745 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 14881 - 14900 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14881 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (นางสาวนิลุบล เครือนพรัตน์) | ทส | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางสาวนิลุบล เครือนพรัตน์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสาขาการเงินในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14882 | รายงานผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ครั้งที่ 4 | มท | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ครั้งที่ ๔ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการลงพื้นที่ของทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระดับตำบล ได้ลงพื้นที่ครบทั้ง ๔ รอบ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ระหว่างวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑) โดยจัดเวทีประชาคมครอบคลุมทั้ง ๘๒,๒๗๑ แห่ง มีประชาชนเข้าร่วม ๘.๐๘ ล้านคน (ข้อมูล ณ วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑) โดยไปสร้างการรับรู้และความเข้าใจตามกรอบหลักในการดำเนินงาน ๑๐ เรื่อง และได้เพิ่มประเด็นที่สำคัญต่าง ๆ เช่น การจัดเก็บข้อมูลปัญหายาเสพติดของหมู่บ้าน/ชุมชนของสำนักงาน ป.ป.ส. สถานการณ์ปัจจุบัน ได้แก่ การป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ และโรคพิษสุนัขบ้า การป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวงในรูปแบบต่าง ๆ และการนำแผนงาน/โครงการที่จะได้รับงบประมาณ ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปแจ้งให้ประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนได้รับรู้ รับทราบ เป็นต้น ๒. ความก้าวหน้าการดำเนินงานแผนงาน/โครงการ ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๙๕,๗๕๘.๑ ล้านบาท มีแผนงาน/โครงการที่สำคัญ เช่น (๑) โครงการมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้ดำเนินการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย ๘.๖ ล้านคน โดยเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประสงค์พัฒนาตน ๔.๐๕ ล้านคน (๒) โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) มี ๘๐,๗๕๑ หมู่บ้าน/ชุมชนเสนอโครงการแล้ว (จากทั้งหมด ๘๒,๒๓๓ หมู่บ้าน/ชุมชน) โดยคณะกรรมการบริหารงานอำเภอ/คณะกรรมการของกรุงเทพมหานครพิจารณาอนุมัติโครงการแล้ว ๘๐,๗๕๑ หมู่บ้าน/ชุมชน และ (๓) โครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืนโดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ กองทุนละไม่เกินสามแสนบาท ได้จัดประชุมคณะอนุกรรมการบริหารโครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืน โดยศาสตร์พระราชาตามแนวประชารัฐ เพื่อพิจารณากลั่นกรองโครงการที่กองทุนหมู่บ้านขอรับการสนับสนุนงบประมาณ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14883 | การเพิ่มเติมขั้นตอนและกระบวนการดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ ตาม "โครงการไทยนิยม ยั่งยืน" (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) | มท | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการเพิ่มเติมขั้นตอนและกระบวนการดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ ตาม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน” (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งรัดขั้นตอนการดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการและกรอบระยะเวลาการดำเนินงานโครงการฯ และพิจารณากลไกการติดตามตรวจสอบประเมินผลการดำเนินงานของโครงการฯ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่สะท้อนทั้งประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และประเมินกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน รวมทั้งประเมินผลลัพธ์ที่ก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง นอกจากนี้ การเพิ่มเติมขั้นตอนและกระบวนการดำเนินงานโครงการฯ ยังควรที่จะต้องยึดวัตถุประสงค์ของโครงการฯ โดยให้ตอบสนองต่อความต้องการและการแก้ไขปัญหาที่แท้จริงของประชาชนในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14884 | แนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 45/2561 และครั้งที่ 46/2561 | นร | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบแนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกี่ยวกับระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๔๕/๒๕๖๑ วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๔๖/๒๕๖๑ วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14885 | กำหนดการในการเดินทางไปตรวจราชการ และการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2561 ณ จังหวัดอุบลราชธานี | นร | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ (ร่าง) กำหนดการนายกรัฐมนตรีในการเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดอำนาจเจริญและจังหวัดอุบลราชธานี และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ ณ จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14886 | การดำเนินกิจการของรัฐภายหลังจากสัญญาร่วมทุนสิ้นสุดลง | นร | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า เพื่อให้การพิจารณาแนวทางการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของรัฐที่ได้ให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนเป็นไปด้วยความเหมาะสม รอบคอบ และเกิดประโยชน์สูงสุด จึงมีมติให้ส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐทุกแห่งที่เป็นเจ้าของโครงการ/สัญญาร่วมลงทุนต่าง ๆ ที่ดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ให้ส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการจัดทำแนวทางการดำเนินกิจการของรัฐในเรื่องนั้น ๆ ภายหลังจากอายุของสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดลง โดยให้เปรียบเทียบการดำเนินการกิจการของรัฐแยกเป็นกรณีที่หน่วยงานของรัฐดำเนินการเอง กรณีเปิดให้เอกชนรายใหม่แข่งขันเข้าร่วมลงทุน และกรณีให้เอกชนรายเดิมร่วมลงทุน โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐ ความเหมาะสม และความต่อเนื่องในการดำเนินกิจการของรัฐ เพื่อเสนอต่อกระทรวงเจ้าสังกัดอย่างน้อยห้าปีก่อนที่สัญญาร่วมลงทุนจะสิ้นสุดลง เพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ตามนัยมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14887 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านสังคม ดังนี้
๑. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคติดต่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรคที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลที่สำคัญ เช่น โรคไข้เลือดออก เป็นต้น และให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการเผยแพร่ความรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้ให้แก่นักเรียนให้ทั่วถึงอีกทางหนึ่งเพื่อสื่อสารไปยังผู้ปกครองและครอบครัวของนักเรียนต่อไป นั้น ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานของรัฐอื่นเร่งขยายผลการดำเนินการป้องกันโรคไข้เลือดออกให้กว้างขวางมากขึ้น โดยให้พิจารณาเชิญชวนจิตอาสาจากทุกภาคส่วนเข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในพื้นที่สาธารณะ เช่น วัด โรงเรียน สถานที่ราชการ เป็นต้น ด้วย ๒. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพิ่มแหล่งการทำประมงในเขตประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ทะเลซึ่งได้มีการเจรจาความร่วมมือด้านประมงไว้แล้ว เช่น บรูไนดารุสซาลาม กินี โดยให้เพิ่มเติมศรีลังกาซึ่งมีสัตว์ทะเลจำนวนมากด้วย นั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น เร่งรัดการดำเนินความร่วมมือด้านการทำประมงกับศรีลังกาให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยให้เน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการทำประมง และการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยต่าง ๆ ตลอดจนสนับสนุนการค้าและการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชนไทยในศรีลังกา ทั้งนี้ ให้กำหนดกลไกการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการเรื่องนี้ให้ชัดเจนด้วย ๓. เพื่อให้การจัดสวัสดิการในด้านที่พักอาศัยให้แก่ข้าราชการผู้มีรายได้น้อยกลุ่มต่าง ๆ เช่น ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร เป็นต้น เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม สำนักงาน ก.พ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น พิจารณากำหนดแนวทางการจัดสร้างที่พักอาศัย ตลอดจนหลักเกณฑ์การได้สิทธิเข้าพักอาศัยสำหรับข้าราชการดังกล่าว โดยให้คำนึงถึงรูปแบบของที่พักอาศัย ขนาดและทำเลที่ตั้งที่จะจัดสร้างให้เหมาะสม และให้พิจารณากำหนดแนวทาง/มาตรการรองรับเมื่อข้าราชการผู้ได้รับสวัสดิการด้านที่พักอาศัยดังกล่าวเกษียณอายุราชการ และจำเป็นต้องจัดหาที่พักอาศัยเป็นของตนเองด้วย ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14888 | การเร่งรัดการดำเนินการแผนงาน/โครงการตามนโยบายของรัฐบาล | นร | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้แผนงาน/โครงการตามนโยบายของรัฐบาลที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการ และได้อนุมัติงบประมาณไปแล้วบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของโครงการ จึงให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกแห่งเร่งรัดดำเนินการตามแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนงาน/โครงการที่เป็นการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14889 | การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 บี 3 และบี 4 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 3 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย) | คค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ ๕ และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี ๒ บี ๓ และ บี ๔ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและด้านกฎหมายของคณะกรรมการตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เช่น กทท. ควรนำผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและกฎหมายไปประกอบการพิจารณาวางแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับเมื่อสัญญาสิ้นสุด โดยต้องคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและประชาชน ความคุ้มค่า ซึ่งจะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินดังกล่าวของ กทท. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทท. ดำเนินการ ๒.๑ เร่งรัดการพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรืออื่น ๆ ที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๒ เร่งรัดการดำเนินการจัดทำแนวทางการประกอบการท่าเทียบเรือของสัญญาร่วมลงทุนโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี ๓ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของ กทท. ที่จะสิ้นสุดลงภายใน ๕ ปี ตามนัยมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้การบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือภายใต้อำนาจหน้าที่ของ กทท. เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14890 | การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 บี 3 และ บี 4 ณ ท่าเรือแหลมฉบังของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย) | คค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ ๕ และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี ๒ บี ๓ และ บี ๔ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและด้านกฎหมายของคณะกรรมการตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เช่น กทท. ควรนำผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและกฎหมายไปประกอบการพิจารณาวางแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับเมื่อสัญญาสิ้นสุด โดยต้องคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและประชาชน ความคุ้มค่า ซึ่งจะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินดังกล่าวของ กทท. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทท. ดำเนินการ ๒.๑ เร่งรัดการพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรืออื่น ๆ ที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๒ เร่งรัดการดำเนินการจัดทำแนวทางการประกอบการท่าเทียบเรือของสัญญาร่วมลงทุนโครงการลงทุนก่อสร้างบริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ ๕ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของ กทท. ที่จะสิ้นสุดลงภายใน ๕ ปี ตามนัยมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้การบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือภายใต้อำนาจหน้าที่ของ กทท. เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14891 | การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 บี 3 และบี 4 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 4 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย) | คค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ ๕ และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี ๒ บี ๓ และ บี ๔ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและด้านกฎหมายของคณะกรรมการตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เช่น กทท. ควรนำผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและกฎหมายไปประกอบการพิจารณาวางแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับเมื่อสัญญาสิ้นสุด โดยต้องคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและประชาชน ความคุ้มค่า ซึ่งจะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินดังกล่าวของ กทท. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทท. ดำเนินการ ๒.๑ เร่งรัดการพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรืออื่น ๆ ที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๒ เร่งรัดการดำเนินการจัดทำแนวทางการประกอบการท่าเทียบเรือของสัญญาร่วมลงทุนโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี ๔ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของ กทท. ที่จะสิ้นสุดลงภายใน ๕ ปี ตามนัยมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้การบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือภายใต้อำนาจหน้าที่ของ กทท. เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14892 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนด จำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. .... | มท | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดจำนวนคนต่างด้าว ซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรเป็นรายปีประเทศละไม่เกิน ๑๐๐ คนต่อปี และไม่เกิน ๕๐ คนต่อปี สำหรับคนไร้สัญชาติ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยสามารถยื่นคำขอมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยต่อไป อันเป็นการส่งเสริมให้คนต่างด้าวเข้ามาลงทุนและทำงานในประเทศไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบหรือพิจารณาประเมินพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของคนต่างด้าวที่ได้รับใบสำคัญถิ่นที่อยู่แล้วอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งปัญหาด้านความมั่นคงหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14893 | ร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... | กค | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีจากบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของหรือครอบครองที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของรัฐหรือเป็นเจ้าของห้องชุดที่มีมูลค่าเกิน ๕๐ ล้านบาท และใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเจ้าของห้องชุดรอการจำหน่ายซึ่งอยู่รอบพื้นที่ที่มีโครงการรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ท่าเรือ โครงการทางด่วนพิเศษ หรือโครงการอื่น ๆ ซึ่งพื้นที่ที่จัดเก็บภาษีดังกล่าวกำหนดขอบเขตไว้ไม่เกินรัศมี ๕ กิโลเมตร รอบพื้นที่โครงการฯ ในอัตราไม่เกินร้อยละ ๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีภายใต้ร่างพระราชบัญญัติฯ ควรพิจารณาไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บภาษี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเพิ่มภาระกับประชาชน และคณะกรรมการพิจารณากำหนดพื้นที่จัดเก็บภาษีที่จะจัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ควรพิจารณากรอบหลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจที่ชัดเจนและสอดคล้องกับหลักการของบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อป้องกันการใช้ดุลพินิจที่อาจกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่เห็นควรให้มีการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจในแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ถูกต้องตรงกันทั้งต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและผู้เสียภาษีตามที่พระราชบัญญัติฯ กำหนด เพื่อให้เกิดความราบรื่นและสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย รวมทั้งในขั้นตอนของการดำเนินงานควรให้มีการพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการพัฒนาพื้นที่บริเวณโดยรอบสถานี ซึ่งอาจจะส่งผลต่อปริมาณผู้ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14894 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) (นายสุพพัต อ่องแสงคุณ) | พณ | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสุพพัต อ่องแสงคุณ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14895 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2561 (ครั้งที่ 24) | พณ | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๑ (ครั้งที่ ๒๔) และผลการหารือทวิภาคีระหว่างไทยกับฮ่องกง ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวชุติมา บุณยประภัศร) เป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ ๒๔ รัฐมนตรีการค้าเอเปคได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และพิจารณาแนวทางการดำเนินการของเอเปค ภายใต้แนวคิดหลัก คือ “การสร้างโอกาสอย่างทั่วถึงเพื่อเปิดรับอนาคตทางดิจิทัล” ใน ๔ หัวข้อหลัก ได้แก่ (๑) การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี (๒) การส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึงผ่านประเด็นดิจิทัล (๓) การส่งเสริมความเชื่อมโยงและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคในเชิงลึก และ (๔) วิสัยทัศน์สู่เอเปคภายหลังปี ๒๕๖๓ (ค.ศ. ๒๐๒๐) ซึ่งการประชุมในครั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้กล่าวสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี โดยยึดถือกฎเกณฑ์ทางการค้าภายใต้ WTO และแก้ไขปัญหาทางการค้าโดยการหารือร่วมกัน และเห็นว่า เขตเศรษฐกิจควรให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการในประเด็นที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว รวมทั้งได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง โดยเห็นว่าเอเปคควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงในพื้นที่ห่างไกล การส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างทั่วถึง และการสนับสนุนให้ MSMEs ใช้ช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจสู่ตลาดโลกในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และรักษาการเป็นส่วนร่วมในห่วงโซ่คุณค่าโลก ๒. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้พบหารือทวิภาคีอย่างไม่เป็นทางการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และพัฒนาเศรษฐกิจฮ่องกง เพื่อหารือในประเด็นการค้าระหว่างกัน โดยฮ่องกงขอให้ช่วยสนับสนุนการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง (HKETO) ประจำประเทศไทย ซึ่งไทยแจ้งว่าอยู่ระหว่างดำเนินการ และหวังว่าฮ่องกงจะส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการในระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) รวมทั้งได้ขอบคุณฮ่องกงที่เป็นผู้นำเข้าข้าวหอมมะลิรายสำคัญของไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14896 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 22 และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 4 | กค | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ ๒๒ (ASEAN Finance Ministers’ Meeting : AFMM) และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ ๔ (ASEAN Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting : AFMGM) เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การประชุม AFMM ครั้งที่ ๒๒ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจ และความคืบหน้าเกี่ยวกับความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างประเทศสมาชิก เช่น ด้านศุลกากร ด้านการประกันภัยในอาเซียน ด้านการป้องกันอาชญากรรมทางการเงินและการต่อต้านการฟอกเงิน เป็นต้น ๑.๒ การประชุม AFMGM ครั้งที่ ๔ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินโดยใช้เทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech) การสนับสนุนให้ใช้เครื่องมือทางการเงินในการบริหารความเสี่ยงเพื่อส่งเสริมความแข็งแกร่งในการรับมือกับภัยพิบัติ และการใช้เศรษฐกิจดิจิทัลให้เป็นประโยชน์มากขึ้น รวมทั้งการติดตามความคืบหน้าการดำเนินการด้านการเงินการคลังอาเซียนภายใต้แผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒๐๒๕ เช่น การเปิดเสรีบัญชีทุนเคลื่อนย้ายที่ปัจจุบันไทยได้ร่วมจัดตั้งกลไกการชำระเงินสกุลท้องถิ่นแบบทวิภาคีกับมาเลเซียและอินโดนีเซียแล้ว และการเร่งเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินในระบบดิจิทัลของประเทศสมาชิก เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันจัดทำแถลงการณ์ร่วมของการประชุม AFMGM ครั้งที่ ๔ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับเนื้อหาของถ้อยแถลงร่วมการประชุม AFMGM ครั้งที่ ๔ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันไทยด้านนโยบาย ดังนั้น หากเป็นไปได้ ส่วนราชการเจ้าของเรื่องควรเสนอร่างถ้อยแถลงฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนตามนัยมาตรา ๔(๗) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ก่อนเข้าร่วมการประชุม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14897 | การกู้ยืมเงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 1 | กค | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการกู้ยืมเงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของ สพพ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑ ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑,๕๐๐ ล้านบาท โดยการกู้ยืมเงินดังกล่าวจะช่วยให้ สพพ. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่สอดคล้องกันของอายุเงินกู้และอายุเงินให้กู้ยืม (Mismatch Maturity) และความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) และสร้างความน่าเชื่อถือถึงฐานะของ สพพ. ในตลาดทุน ซึ่งจะส่งผลให้ สพพ. สามารถปฏิบัติภารกิจให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการในการร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ในขั้นตอนการออกพันธบัตร ให้ สพพ. ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14898 | ขออนุมัติแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารศูนย์การแพทย์ราชวิถี พร้อมรื้อถอนและปรับปรุงอาคารสำหรับผู้ป่วยนอกชั่วคราว | สธ | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์เปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารศูนย์การแพทย์ราชวิถี พร้อมรื้อถอนและปรับปรุงอาคารสำหรับผู้ป่วยนอกชั่วคราว โดยมีงานเพิ่ม-ลด จำนวน ๑๒๐ รายการ และเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จำนวน ๑๘๘,๒๔๓,๙๐๐ บาท โดยใช้เงินบำรุงโรงพยาบาลราชวิถีสมทบวงเงินค่างานก่อสร้างตามสัญญา จำนวน ๑,๙๓๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น ๒,๑๒๓,๒๔๓,๙๐๐ บาท ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ การดำเนินการก่อสร้างพร้อมรื้อถอนและปรับปรุงอาคารดังกล่าว เห็นควรให้กรมการแพทย์ดำเนินการให้เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่ได้รับ ผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพของหน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมถึงการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ในการดำเนินแผนงาน/โครงการใด ๆ ในอนาคต ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14899 | รายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีและผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนพฤษภาคม 2561 | นร02 | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นการประชาสัมพันธ์ในเดือนที่ผ่านมา (พฤษภาคม ๒๕๖๑) ได้แก่ โครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว และการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุรินทร์-บุรีรัมย์ ๒. ประเด็นการประชาสัมพันธ์ในเดือนต่อไป (มิถุนายน ๒๕๖๑) ได้แก่ การเพิ่มศักยภาพให้กับผู้มีรายได้น้อยตามบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว และการขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ๓. ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” มีประเด็นที่ประชาชนเข้าใจน้อยที่สุดคือ การรู้กลไกบริหารราชการ งานตามภารกิจของทุกหน่วยงาน และการรู้รักประชาธิปไตยไทยนิยม จึงเห็นควรดำเนินการ (๑) มอบหมายโฆษกกระทรวงมหาดไทยและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพิ่มความถี่ในการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ผ่านสื่อต่าง ๆ โดยปรับเนื้อหาให้สั้นเข้าใจง่าย และใช้ดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงและบุคลิกโดดเด่นเป็นตัวแทนนำเสนอข้อมูล และ (๒) มอบหมายโฆษกกระทรวงและหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางการขับเคลื่อนโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” ในประเด็นที่ประชาชนเข้าใจน้อยที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14900 | การรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม Focal Points Network on Women, Peace and Security ณ กรุงเบอร์ลิน ระหว่างวันที่ 9-10 เมษายน 2561 | กต | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม Focal Points Network on Women, Peace and Security ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ โดยร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมให้รัฐสมาชิกดำเนินการตามวาระสตรี สันติภาพ และความมั่นคง การสนับสนุนบทบาทขององค์การระดับภูมิภาคและภาคประชาสังคมในการติดตามการนำวาระดังกล่าวไปปฏิบัติ การส่งเสริมบทบาทสตรีตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงระดับผู้นำให้เป็นส่วนสำคัญต่อกระบวนการยุติธรรม การเน้นย้ำความสำคัญของการวิเคราะห์ความขัดแย้งที่คำนึงถึงประเด็นทางเพศและการจัดสรรงบประมาณที่ครอบคลุมการดำเนินการดังกล่าว การใช้ประโยชน์จากกลไกที่มีอยู่เพื่อติดตามและรายงานผลการดำเนินการตามผลลัพธ์การประชุม การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของสตรีในปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ และการเสริมสร้างการตรวจสอบได้ในกรณีความรุนแรงทางเพศและเพศสภาพในสถานการณ์ขัดแย้ง และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานศาลยุติธรรมรับทราบและถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงการปฏิบัติตามวาระ WPS ในระดับระหว่างประเทศเข้ากับการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติในระดับชาติทั้งในส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่นที่เป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำหลักการของความตกลงระหว่างเลขาธิการสหประชาชาติกับรัฐบาลของสมาชิก : คำมั่นในการขจัดการแสวงหาผลประโยชน์และการล่วงละเมิดทางเพศ (Compact between the Secretary-General of the United Nations and the Government of … : Commitment to eliminate sexual exploitation and abuse) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๑ มาปรับใช้กับการปฏิบัติตามวาระสตรี สันติภาพ และความมั่นคง (Women, Peace and Security) ด้วย เพื่อให้การดำเนินการของไทยเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และแสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องกันระหว่างนโยบายด้านการพัฒนาบทบาทสตรีของไทยกับความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย
|
.....