ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 749 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 14961 - 14980 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14961 | ร่างพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561)] | นร | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14962 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น จัดทำแผนการพัฒนาท่าเรือเพื่อเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้าและการค้าขายในภาพรวมของประเทศ โดยให้ครอบคลุมทั่งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย โดยให้เร่งจัดทำแผนฯ ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ให้รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนในพื้นที่เพื่อประกอบการจัดทำแผนฯ รวมทั้งให้สร้างการรับรู้แก่สาธารณชนให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศชาติจะได้รับเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการและรายงานผลการปฏิรูปการศึกษาในประเด็นต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการปฏิรูปการศึกษาดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในคราวประชุมครั้งต่อไป ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเด็กนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และบุคลากรทางการศึกษา หลักสูตรและตำราเรียน การศึกษานอกระบบ การอาชีวศึกษา การปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงาน การปรับปรุงกระบวนการทำงาน เป็นต้น ๒.๒ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเพื่อการปฏิรูปตำรวจต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงการปฏิบัติงานภายในองค์กร การแต่งตั้งโยกย้าย กลไกการรับเรื่องร้องเรียน การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ ระบบและการปฏิบัติงานของสถานีตำรวจ เป็นต้น ๒.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ดำเนินการสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลการทำการเกษตรในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศที่อาจก่อให้เกิดผลเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือทำให้เกิดการบุกรุกและตัดไม้ทำลายป่า โดยให้นำข้อมูลจากระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) มาใช้ประกอบการดำเนินการด้วย พร้อมนี้ให้พิจารณากำหนดมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมเป็นรูปธรรม แล้วให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14963 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ [เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) (วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561) | นร | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ [เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งให้สำนักงานศาลปกครองเป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่องดำเนินการรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในประเด็นที่คณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติขอแก้ไขเพิ่มเติม และแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อแจ้งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14964 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน รวม 2 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง และตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ....) | คค | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๒๑ สายต่อเขตเทศบาลเมืองภูเก็ตควบคุม-ห้าแยกฉลอง ที่บ้านโคกโตนด และเพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๒๔ สายห้าแยกคลอง-ราไวย์ ที่บ้านโคกโตนก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๒๑ สายต่อเขตเทศบาลเมืองภูเก็ตควบคุม-ห้าแยกฉลอง ที่บ้านโคกโตนด และเพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๒๔ สายห้าแยกฉลอง-ราไวย์ ที่บ้านโคกโตนด ในท้องที่เทศบาลตำบลราไวย์ และเทศบาลตำบลฉลอง อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง และตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง และตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เพื่อขยายทางหลวงชนบท ชบ.๑๐๓๒ และสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ กับทางหลวงชนบท ชบ.๑๐๓๒ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และควรพิจารณาจัดทำแนวทางการพัฒนาโครงข่ายถนนสายรอง เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าระหว่างนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออกกับท่าเรือแหลมฉบังที่มีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมของประเทศ พร้อมทั้งจัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาโครงข่ายที่คำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วน ความสอดคล้องกับสภาพการพัฒนาพื้นที่และชุมชนที่อยู่บริเวณตามแนวเส้นทาง เพื่อให้การลงทุนพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14965 | รายงานผลการส่งเสริมด้านการกีฬาและด้านการท่องเที่ยวตามมติคณะรัฐมนตรี | กก | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการส่งเสริมด้านการกีฬาและด้านการท่องเที่ยว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การกำกับดูแลการดำเนินการจัดการแข่งขันกีฬาให้มีมาตรฐาน โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการจัดการแข่งขันทั้งภายในประเทศและระดับชาติ มีหน่วยงานของการกีฬาแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาต่าง ๆ กรมพลศึกษา ตลอดจนองค์กรกีฬาระหว่างประเทศเป็นผู้ตรวจสอบและกำกับการจัดการแข่งขันให้ได้มาตรฐาน เช่น การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก ปี ๒๐๑๘ ที่จังหวัดนครปฐม ทางสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติได้ส่งผู้แทนสหพันธ์ฯ มาตรวจสอบความพร้อมทั้งในด้านสนามแข่ง และที่พักนักกีฬา เป็นต้น ๒. การส่งเสริมความสามารถด้านกีฬาของเยาวชนไทยที่มีอายุระหว่าง ๗-๑๐ ปี โดยกรมพลศึกษาดำเนินการส่งเสริมพัฒนาทักษะด้านกีฬาขั้นพื้นฐานในเด็กและเยาวชนทุกช่วงอายุ เช่น จัดทำคู่มืออบรมครูอนุบาลและครูผู้สอนเด็กปฐมวัย เพื่อต้องการให้เด็กไทยมีการเคลื่อนไหวร่างกายที่ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปตามวัย มีประสิทธิภาพและมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ จัดตั้งชมรมกีฬา เพื่อฝึกสอนกีฬาหรือฝึกซ้อมกีฬาหลังเลิกเรียน และจัดการแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียนส่วนภูมิภาคระดับจังหวัด เพื่อคัดเลือกนักกีฬาที่ชนะเลิศเป็นตัวแทนระดับเขตเข้าร่วมการแข่งขันกีฬานักเรียน นักศึกษาแห่งชาติ เป็นต้น ๓. การพิจารณาจัดทำโครงการเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการกีฬาของเยาวชนไทย โดยคัดเลือกเยาวชนที่มีอายุระหว่าง ๗-๑๐ ปี ที่มีความสามารถด้านการกีฬาชนิดต่าง ๆ เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน มาฝึกฝน เพื่อก้าวไปสู่การเป็นเยาวชนทีมชาติไทย ซึ่งได้แก่ โครงการพัฒนากีฬาเพื่อความเป็นเลิศ (Sports Hero) และโครงการส่งเสริมความสามารถด้านกีฬาของเยาวชนไทย ๔. จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีชุมชนที่สอดคล้องกับหลักการโครงการไทยนิยม ยั่งยืน และเหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยสนับสนุนเงินอุดหนุนให้ชุมชนท่องเที่ยวต่าง ๆ นำไปพัฒนา/ปรับปรุง/ซ่อมแซมแหล่งท่องเที่ยว และพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการท่องเที่ยวในชุมชน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14966 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ 51 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 21 | กค | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ครั้งที่ ๕๑ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๒๑ เมื่อวันที่ ๓-๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการ ADB ครั้งที่ ๕๑ ภายใต้หัวข้อ “Linking People and Economies for Inclusive Development” โดยประธาน ADB ได้กล่าวถึง ADB Strategy 2030 ซึ่งจะใช้เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวในการดำเนินงานของ ADB โดย ADB ยังคงเป้าหมายสูงสุดในการขจัดความยากจน และขยายเป้าหมายให้ครอบคลุมการดำเนินงานเพื่อบรรลุความมั่งคั่ง การพัฒนาอย่างทั่วถึง และยั่งยืนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และจะมีการประกาศใช้ ADB Strategy 2030 อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวถึงความท้าทายที่มีต่ออัตราการจ้างงานเมื่อมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ทดแทนแรงงาน และการส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อปรับตัวให้ทันต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งได้ยกตัวอย่างการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยให้เข้ากับการพัฒนาเทคโนโลยี ได้แก่ การส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นนวัตกรรมและเทคโนโลยีในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ๒. การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) การหารือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกับประธาน ADB เกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือระหว่างไทยและ ADB ในการพิจารณาแหล่งเงินกู้ในแต่ละโครงการของไทย และการหารือทวิภาคีกับผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรการเงินระหว่างประเทศ และสถาบันการเงินชั้นนำของต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจการเงินโลก และแนวทางการพัฒนาระบบสถาบันการเงินในภูมิภาค (๒) การหารือโต๊ะกลม (Governor’s Roundtable) ภายใต้หัวข้อ “The Role of Government in Harnessing New Technologies for Inclusive Growth” ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มอัตราการเติบโตของการผลิต และผลกระทบจากเทคโนโลยีต่อการจ้างงาน และการดำเนินนโยบายของประเทศต่าง ๆ ในการลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำในสังคม และ (๓) การประชุม Governor’s Plenary ในหัวข้อ “New ADB Strategy 2030” ซึ่งมีการนำเสนอยุทธศาสตร์ของ ADB โดยมีเป้าหมายขจัดความยากจน รวมถึงการดำเนินการเพื่อให้เกิดความมั่งคั่ง การพัฒนาอย่างทั่วถึง และยั่งยืนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ๓. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๒๑ ที่ประชุมได้มีการหารือเรื่องภาวะและแนวโน้นเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน+๓ และรับทราบแนวทางการพัฒนาความร่วมมือต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation : CMIM) (๒) การจัดทำยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานในระยะปานกลางของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) และ (๓) ความคืบหน้าการดำเนินงานภายใต้มาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative : ABMI) ๔. การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการ ADB ครั้งที่ ๕๒ และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๒๒ กำหนดจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๒-๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองนาดี สาธารณรัฐฟิจิ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14967 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอิตาลีและราชอาณาจักรสเปน | วธ | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอิตาลีและราชอาณาจักรสเปน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ณ สาธารณรัฐอิตาลี ประกอบด้วย (๑) การเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ณ นครรัฐวาติกัน และได้นำคัมภีร์พระมาลัยอักษรขอม (บาลี-ไทย) ถวายแด่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส (๒) การหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมไทยและพิพิธภัณฑ์วาติกัน โดยทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือในการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และอนุรักษ์โบราณวัตถุและศิลปวัตถุในอนาคตเพื่อให้เป็นแหล่งความรู้ทางวัฒนธรรม และ (๓) การหารือกับผู้แทนหน่วยงานทางด้านวัฒนธรรม ได้แก่ นายกเทศมนตรีเมือง Sermoneta และผู้แทนจากฝ่ายโบราณคดี เทศบาลกรุงโรม โดยได้ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการนำองค์ความรู้ทางด้านสถาปัตยกรรม ศิลปะสถาปัตยกรรม การออกแบบผังเมือง และการออกแบบภูมิทัศน์มาใช้ในการบริหารจัดการแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม ๒. ภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ณ ราชอาณาจักรสเปน ประกอบด้วย (๑) การเป็นประธานในพิธีเปิดการแสดงโขนและนิทรรศการโขน ณ โรงละคร Circulo de Bellas Artes ซึ่งได้กล่าวเปิดงานโดยให้ความสำคัญเกี่ยวกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมกับกระทรวงการต่างประเทศในการดำเนินโครงการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ เส้นทางประเทศในภูมิภาคยุโรปภายใต้รูปแบบ roadshow และ (๒) การหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในการจัดทำข้อตกลงทางวัฒนธรรมระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรสเปนกับผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม และการกีฬาสเปน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นควรให้มีการจัดทำข้อตกลงทางวัฒนธรรมในหัวข้อที่ต้องการแลกเปลี่ยนระหว่างกันเพิ่มเติม เพื่อขยายและเพิ่มพูนความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศให้มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14968 | สรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยโดยสถาบัน IMD ปี 2561 | นร11 | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยโดยสถาบันการจัดการนานาชาติ (International Institute for Management Development : IMD) ปี ๒๕๖๑ โดยผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจทั่วโลก จำนวน ๖๓ ประเทศ ปรากฏว่า สหรัฐอเมริกาขยับขึ้นมาครองอันดับที่ ๑ จากอันดับที่ ๔ ในปี ๒๕๖๐ ขณะที่ฮ่องกงตกลงจากอันดับ ๑ ในปี ๒๕๖๐ มาเป็นอันดับ ๒ ในปีนี้ ส่วนสิงคโปร์ยังคงอันดับที่ ๓ เช่นเดียวกับปี ๒๕๖๐ และเนเธอร์แลนด์ครองอันดับที่ ๔ ดีขึ้น ๑ อันดับ สำหรับการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในกลุ่มอาเซียน ปรากฏว่า ประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่มีอันดับด้อยลง โดยเฉพาะฟิลิปปินส์มีอันดับตกลงถึง ๙ อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ ๕๐ (จากอันดับที่ ๔๑ ในปี ๒๕๖๐) อินโดนีเซียตกลง ๑ อันดับ มาอยูในอันดับที่ ๔๓ (จากอันดับที่ ๔๒ ในปี ๒๕๖๐) และประเทศไทยมีอันดับด้อยลง ๓ อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ ๓๐ (จากอันดับที่ ๒๗ ในปี ๒๕๖๐) ทั้งนี้ อันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยปรับตัวลดลงมีสาเหตุสำคัญมาจากการปรับลดลงของด้านประสิทธิภาพของภาครัฐซึ่งปรับตัวลดลงในเกือบทุกปัจจัยย่อย เช่น ฐานะทางการคลัง นโยบายการคลัง และกรอบการบริหารด้านสถาบัน อันเป็นผลจากปัจจัยหลายประการ เช่น (๑) ภาครัฐมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและปฏิรูประบบต่าง ๆ ที่สำคัญส่งผลให้ประเทศไทยมีงบประมาณขาดดุลและภาระหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น และ (๒) จากการสำรวจของสถาบัน IMD พบว่า นักธุรกิจมีความคิดเห็นว่าอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่เอื้อต่อการประกอบอาชีพและการพัฒนาธุรกิจ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14969 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่งปี 2561 | นร11 | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่งปี ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสหนึ่งปี ๒๕๖๑ เทียบกับไตรมาสหนึ่งปี ๒๕๖๐ การจ้างงานลดลงร้อยละ ๐.๒ โดยภาคนอกเกษตรลดลงร้อยละ ๒.๘ ภาคการเกษตรขยายตัวร้อยละ ๖.๐ อัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ ๑.๒ และรายได้แรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๓ รายได้และผลิตภาพแรงงานขยายตัวได้ดี ด้านหนี้สินครัวเรือนมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น สะท้อนจากยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๑ การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลงร้อยละ ๒.๓ แต่ต้องเฝ้าระวังโรคที่แพร่ระบาดในช่วงฤดูร้อน เช่น โรคพิษสุนัขบ้า เป็นต้น ด้านคดีอาญารวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๗.๖ โดยเฉพาะคดียาเสพติดที่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๒ การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๖.๑ แต่มีผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ ๑๕.๙ มูลค่าความเสียหายลดลงร้อยละ ๒ และด้านค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ลดลงร้อยละ ๓.๑ และ ๒.๑ ตามลำดับ แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ในกลุ่มเยาวชน ๒. สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และปัญหาแรงงานประมงผิดกฎหมาย ในปี ๒๕๖๐ ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มที่ ๒ บัญชีรายชื่อที่ต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) เป็นปีที่ ๒ ติดต่อกัน และคณะกรรมาธิการยุโรปด้านประมงและทะเลสหภาพยุโรปให้ “ใบเหลือง” เพื่อแจ้งเตือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เรื่อง การขาดมาตรการที่เพียงพอในการต่อสู้กับการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) และ (๒) เด็กและเยาวชนไทยกับการเล่นพนันทายผลฟุตบอล ซึ่งต้องเฝ้าระวังในกลุ่มเด็กและเยาวชนช่วงอายุ ๑๕-๒๕ ปี โดยให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และเครือข่ายเด็กและเยาวชนได้ร่วมกันกำหนดมาตรการป้องกัน ปราบปราม และช่วยเหลือเยียวยาอย่างเป็นระบบเพื่อลดผลกระทบจากการพนันฟุตบอล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14970 | ผลการจัดโครงการค่ายเยาวชนอาเซียนรักษ์สิ่งแวดล้อม (ASEAN Youth Camp : ASEAN Youth Stepping Towards Environmental Sustainability) | ทส | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการจัดโครงการค่ายเยาวชนอาเซียนรักษ์สิ่งแวดล้อม (ASEAN Youth Camp : ASEAN Youth Stepping Towards Environmental Sustainability) ระหว่างวันที่ ๒๔-๓๐ เมษายน ๒๕๖๑ ณ จังหวัดชลบุรี โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย การบรรยายให้ความรู้ การศึกษาดูงาน และการเข้าร่วมกิจกรรมและฝึกปฏิบัติ ซึ่งมีเนื้อหาวิชาการที่ครอบคลุมทั้งด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการมลพิษในภาคอุตสาหกรรม และการจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชน/เมืองยั่งยืน นอกจากนี้ กลุ่มเยาวชนอาเซียนฯ ได้จัดทำข้อเสนอโครงการที่สามารถนำไปใช้ได้จริงตามความเหมาะสมของแต่ละบริบทของประเทศสมาชิกฯ และได้มีการนำเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน โดยในส่วนของประเทศไทยเสนอโครงการ ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการลดการเผาเศษวัชพืช ณ จังหวัดลำปาง (๒) โครงการค่ายสร้างจิตสำนึกเรื่องป่าไม้ ณ จังหวัดกาญจนบุรี และ (๓) โครงการบำบัดน้ำเสียธาตุเชิงชุม ณ จังหวัดสกลนคร ทั้งนี้ ผลสำเร็จจากการจัดโครงการฯ จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะทำงานอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมศึกษา (ASEAN Working Group on Environmental Education : AWGEE) ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ ๒๙ (the Meeting of the ASEAN Senior Officials on the Environment : ASOEN) ในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14971 | การจัดให้เช่าที่ราชพัสดุ บริเวณถนนสุขุมวิท ตำบลบางพระและตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี | กค | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการคัดเลือก โดยการให้เอกชนรายเดิม [บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)] เช่าที่ราชพัสดุบริเวณถนนสุขุมวิท ตำบลบางพระ และตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เพื่อดำเนินกิจการโรงกลั่นน้ำมันเป็นระยะเวลา ๓๐ ปี โดยชำระผลประโยชน์ตอบแทนการเช่าที่ราชพัสดุฯ ซึ่งมีมูลค่าปัจจุบัน ณ วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๕ รวมทั้งสิ้น ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท และให้กรมธนารักษ์กำกับให้บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแผนการลงทุนและปรับเพิ่มค่าเช่าและหรือกำหนดผลตอบแทนเพิ่มเติมในกรณีที่บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจหรือกิจการอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการโรงกลั่นน้ำมันตามเงื่อนไขของร่างสัญญาร่วมลงทุน ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจต่อไป ๑.๒ ร่างสัญญาร่วมลงทุนที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด ทั้งนี้ ก่อนลงนามในสัญญาร่วมลงทุน ให้กรมธนารักษ์ตรวจสอบเอกสารแนบท้ายสัญญาต่าง ๆ ให้ถูกต้องครบถ้วนและเป็นไปตามความประสงค์ของกรมธนารักษ์และผลการเจรจาของคู่สัญญา ตามข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแผนการลงทุนที่บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้เสนอประกอบการพิจารณาคัดเลือก และควรตรวจสอบเอกสารแนบท้ายสัญญาต่าง ๆ ให้ถูกต้องครบถ้วนและเป็นไปตามความประสงค์ของกรมธนารักษ์และผลการเจรจาของคู่สัญญา ก่อนการลงนามสัญญา รวมทั้งกำกับ ติดตาม และดูแลคู่สัญญาให้ดำเนินการตามสัญญาอย่างเคร่งครัด ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ประสานงานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำกับดูแลให้บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ตรวจสอบและเฝ้าระวังการรั่วซึมของสารเบนซินบริเวณพื้นที่โรงกลั่นน้ำมันอย่างสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามมาตรการที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14972 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน (กองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน) | กค | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๑ เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เนื่องจากการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว เป็นการจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานตามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนการดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ รวมถึงส่งเสริมให้มีมาตรการการร่วมลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งจะมีผลเป็นการยุบเลิกกองทุนส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ภายใต้พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เช่น การพิจารณาให้ความเห็นชอบให้แหล่งเงินของกองทุนดังกล่าวไม่ต้องนำส่งคลังตามนัยมาตรา ๒๕ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้น เพื่อนำไปประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำร่างพระราชบัญญัติที่ตรวจพิจารณาแล้วเสร็จเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14973 | สัญญาความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตรา (Bilateral Swap Arrangement) ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังญี่ปุ่น | กค | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงสัญญาความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตรา (Bilateral Swap Arrangement : BSA) ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ซึ่งกระทรวงการคลังญี่ปุ่นได้เสนอให้มีการปรับปรุงสัญญาความตกลง BSA เพื่อให้การแก้ไขปัญหาสภาพคล่องที่เกิดจากปัญหาการขาดดุลการชำระเงินมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยมีการเจรจาปรับปรุงสัญญาความตกลง BSA มาอย่างต่อเนื่องจนสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกัน และคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๑ อนุมัติให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับปรุงสัญญาความตกลง BSA โดยจัดทำเป็นสัญญาความตกลงฉบับใหม่ (ร่างสัญญาความตกลง BSA ฉบับปรับปรุง) และมีกำหนดลงนามในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ร่างสัญญาความตกลง BSA ฉบับปรับปรุง มีสาระสำคัญที่เปลี่ยนแปลงจากฉบับปัจจุบัน เช่น (๑) ขยายสัดส่วนวงเงินการเบิกถอนในกรณีที่ไม่เชื่อมโยงกับความช่วยเหลือของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF De-linked Portion : IDLP) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๓๐ (๙๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เป็นร้อยละ ๔๐ ของวงเงินสุดสุด (๑,๒๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ (๒) ปรับแก้สัญญาโดยกำหนดเพิ่มให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถเลือกเบิกถอนเป็นเงินสกุลเงินเยนได้ นอกเหนือจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14974 | การแก้ไขเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการประสานงานแห่งชาติเพื่อการปฏิบัติให้เป็นไปตามอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี | อก | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแก้ไขเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการประสานงานแห่งชาติเพื่อการปฏิบัติให้เป็นไปตามอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. เปลี่ยนแปลงจาก อธิบดีกรมการบินพลเรือน หรือผู้แทน กรรมการ เป็น อธิบดีกรมท่าอากาศยาน หรือผู้แทน กรรมการ ๒. เปลี่ยนแปลงจาก ผู้อำนวยการสำนักควบคุมวัตถุอันตราย กรรมการ เป็น ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการวัตถุอันตราย กรรมการ ๓. เพิ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือผู้แทน เป็นกรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14975 | ขอความเห็นชอบในการจัดทำร่างความตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนา | กห | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงกลาโหมจัดทำความตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนา และให้เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม โดยร่างความตกลงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการวิจัยและพัฒนาที่อยู่ในความสนใจของทั้งสองฝ่ายในลักษณะต่างตอบแทนบนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันในเชิงมูลค่า คุณภาพ และปริมาณ ซึ่งจะทำให้กระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศสามารถนำข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนายุทโธปกรณ์ทางทหารที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงมาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และศึกษาร่วมกันได้ นอกจากนี้ ร่างความตกลงฯ ได้กำหนดแนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ โดยให้มีการจัดทำภาคผนวกการแลกเปลี่ยนข้อมูล (EA) ในแต่ละเรื่อง/โครงการของข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนาในรายละเอียดให้สอดคล้องกับร่างความตกลงฯ และกำหนดให้ภาคีแต่ละฝ่ายเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลดังกล่าวภายใต้ความตกลงนี้ โดยมีกำหนดการลงนามวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการ ให้กระทรวงกลาโหมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกระทรวงกลาโหมที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับเพื่อการดังกล่าวไว้แล้วตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยกระทรวงกลาโหมจะต้องพิจารณาถึงประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติที่เห็นควรมีการนำข้อมูลดังกล่าวมาพัฒนาศักยภาพของกองทัพให้สามารถสนับสนุนภารกิจนอกเหนือจากสงคราม โดยเฉพาะการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้นักวิจัยจากหน่วยงานต่าง ๆ ในเครือข่ายขององค์การบริหารการวิจัยแห่งชาติเข้าร่วมในโครงการดังกล่าว เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และความสามารถของนักวิจัยไทยให้ก้าวกระโดดทัดเทียมต่างประเทศ และควรที่จะมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาถึงความเหมาะสมและผลกระทบก่อนที่จะดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14976 | ร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เพิ่มเติม) สำหรับการจัดทำความตกลงการค้าเสรี ไทย - ปากีสถาน และ ไทย - ตุรกี | พณ | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) (เพิ่มเติม) ไทย-ปากีสถาน และ FTA (เพิ่มเติม) ไทย-ตุรกี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเจรจาจัดทำ FTA ไทย-ปากีสถาน และ ไทย-ตุรกี ต่อไป โดยปากีสถานเสนอเป็นเจ้าภาพการประชุมเจรจาจัดทำ FTA ไทย-ปากีสถาน ครั้งที่ ๑๐ ภายในปี ๒๕๖๑ และไทยจะเป็นเจ้าภาพการเจรจาจัดทำ FTA ไทย-ตุรกี ครั้งที่ ๔ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ตัดข้อความเกี่ยวกับความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับศรีลังกาในร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เพิ่มเติม) สำหรับการจัดทำความตกลงการค้าเสรี ไทย-ปากีสถาน และ ไทย-ตุรกี ออก ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบการเจรจาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมเรื่องการระงับข้อพิพาท ต้องหลีกเลี่ยงกระบวนการอนุญาโตตุลาการ เพื่อป้องกันการเสียเปรียบของไทย โดยจะต้องแก้ไขข้อพิพาทผ่านการเจรจาเพื่อให้ได้ข้อยุติ รวมทั้งควรพิจารณาเพิ่มเติมประเด็นการเจรจาที่เป็นประโยชน์ต่อไทย ได้แก่ การเปิดเสรีในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ โดยให้ความสำคัญกับสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพสูง อาทิ ผลไม้ และข้าว การเปิดเสรีบริการจัดส่งพัสดุภัณฑ์เพื่อสนับสนุนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนาความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้บริการทางการเงินและระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาระบบรับรองผู้ซื้อผู้ขายที่มีมาตรฐาน การส่งเสริมความร่วมมือในการจัดมหกรรมสินค้าและบริการ และการลงทุนเพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนให้มากขึ้น รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างกัน โดยเน้นการให้ความช่วยเหลือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในสาขาที่ไทยเชี่ยวชาญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี ไทย-ปากีสถาน และ ไทย-ตุรกี จะมีการจัดทำความตกลงระหว่างกัน และเข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และได้รับการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบจากการจัดทำร่างความตกลงฯ ตามที่เห็นสมควรเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าว ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14977 | โครงการก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคาร SAT-1 และโครงการก่อสร้างสายส่ง 115 kV ไปยังสวิตซ์เกียร์ (GIS) ของสถานีไฟฟ้าย่อย DCAP 2 เพื่อการจ่ายไฟฟ้าให้กับโรงผลิตน้ำเย็น โดยการซื้อไฟฟ้ามาใช้เอง ของบริษัท ผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด | พน | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้บริษัท ผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด (District Cooling System and Power Plant Company Limited : DCAP) ดำเนินโครงการเพื่อรองรับปริมาณความต้องการไฟฟ้าและน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ ประกอบด้วย (๑) การดำเนินโครงการก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ ๑ (Satellite Airport Terminal-1 : SAT-1) และ (๒) การดำเนินโครงการก่อสร้างสายส่ง 115 kV ไปยังสวิตซ์เกียร์ (Gas Insulated Switchgear : GIS) ของสถานีไฟฟ้าย่อย DCAP 2 เพื่อการจ่ายไฟฟ้าให้กับโรงผลิตน้ำเย็น โดยการซื้อไฟฟ้ามาใช้เอง ในวงเงินลงทุนรวม ๙๙๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงาน โดย DCAP รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้ DCAP ประสานงานกับบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินงานก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสอดคล้องกับการดำเนินการโครงการของ ทอท. และเห็นควรให้ DCAP ดำเนินการก่อสร้างโดยมิให้กระทบกับการดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นอกจากนี้ เห็นควรให้ DCAP ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้จากแหล่งอื่น และเพื่อพัฒนาแผนงานธุรกิจให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมและ ทอท. เร่งดำเนินการโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ ๒ เพื่อให้สามารถเริ่มให้บริการได้ตามที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจัดทำแนวทางการพัฒนาระบบท่าอากาศยานของประเทศในภาพรวม และเร่งพัฒนาขีดความสามารถของท่าอากาศยานซึ่งมีจำนวนผู้โดยสารเกินขีดความสามารถในการรองรับและท่าอากาศยานที่มีแนวโน้มจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย DCAP ปรับปรุงแผนการเบิกถอนเงินกู้ของโครงการก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ ๑ (SAT-1) และโครงการก่อสร้างสายส่ง 115 kV ไปยังสวิตซ์เกียร์ (GIS) ของสถานีไฟฟ้าย่อย DCAP 2 เพื่อการจ่ายไฟฟ้าให้กับโรงผลิตน้ำเย็น โดยการซื้อไฟฟ้ามาใช้เอง ให้สอดคล้องตามข้อเท็จจริง รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้สามารถผลิตน้ำเย็นได้ทันตามความต้องการใช้น้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคาร SAT-1 ตามแผนการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม และ ทอท. รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14978 | ร่างตราสารต่ออายุความตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา | วท | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างตราสารต่ออายุความตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างตราสารฯ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม (ร่างตราสารฯ มีกำหนดการลงนามในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ สหรัฐอเมริกา) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากมีกิจกรรมที่เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพย์สินทางปัญญา ควรดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. ๒๕๔๓ และควรให้ความสำคัญกับการศึกษาและวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ในสาขาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งควรเพิ่มเติมประเด็นการนำเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์/การเงินมาใช้ดำเนินงานด้วย นอกจากนี้ ควรนำองค์ความรู้และผลการวิจัยที่เกิดจากความร่วมมือมาใช้ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในสาขาที่เกี่ยวข้องให้มากยิ่งขึ้น และควรจัดเตรียมงบประมาณให้เพียงพอต่อการสนับสนุนโครงการที่จะเกิดขึ้นตามความร่วมมือดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งสร้างการรับรู้ให้ประชาคมโลกเข้าใจถึงความก้าวหน้าของการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวของไทยด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14979 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงคมนาคม) (นายวันจักร ฉายากุล) | คค | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวันจักร ฉายากุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านอำนวยความปลอดภัย) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ตั้งแต่วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14980 | ร่างพระราชบัญญัติสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศร | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญสามารถกำหนดตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและการบริหารงานของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูณที่เปลี่ยนแปลงไป ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้ศาลรัฐธรรมนูญรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ควรให้คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณากำหนด และควรพิจารณาเทียบเคียงการกำหนดตำแหน่งระดับสูงของหน่วยงานอิสระที่มีภารกิจและปริมาณงานใกล้เคียงกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....