ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 743 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 14841 - 14860 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14841 | ผลการดำเนินงานของหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมไทย-ออสเตรเลีย (Taskforce Storm) | ยธ | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานของหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมไทย-ออสเตรเลีย (Taskforce Storm) ซึ่งเป็นกรอบการปฏิบัติงานจากการตกลงร่วมกันระหว่างสำนักงานตำรวจสหพันธ์ออสเตรเลีย (Australian Federal Police : AFP) และ ๔ หน่วยงานของประเทศไทย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ตามข้อตกลงการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมด้านปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติที่ได้มีการลงนามจัดตั้งเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงาน Taskforce Storm ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙-๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดสามารถยึดไอซ์ (ICE) ปริมาณ ๕ กิโลกรัม และสารเคมีอีฟีดรีน ไฮโดรคลอไรด์ (Ephedrine Hydrochloride) น้ำหนัก ๓.๙ ตัน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตเมทแอมเฟตามีนที่สามารถนำไปผลิตไอซ์ได้ถึงประมาณ ๒.๕ ตัน หรือผลิตยาบ้าได้ถึง ๑๒๕ ล้านเม็ด ส่วนฝ่ายออสเตรเลียสามารถสกัดจับสารเสพติดเป็นปริมาณถึง ๓.๐๔๕ ตัน และจับกุมผู้ลักลอบค้าสารเสพติด จำนวน ๔ ราย (ในออสเตรเลีย ๓ ราย และในประเทศไทย ๑ ราย) ซี่งนำไปสู่การสกัดจับสารเสพติดปริมาณ ๒.๖ ตัน มูลค่าประมาณ ๑๒ ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย นอกจากนี้ ความร่วมมือภายใต้ Taskforce Storm ยังทำให้ฝ่ายออสเตรเลียสามารถติดตามจับกุมอาชญากรรายสำคัญอื่น ๆ ได้อีกจำนวน ๓๑ กรณี ในประเทศอื่น ๆ ๒. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ได้ตอบรับคำเชิญของฝ่ายออสเตรเลียเพื่อเดินทางไปร่วมประชุมหารือข้อราชการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและการดูแลผู้สูงอายุของออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ ๑๕-๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เพื่อขยายความร่วมมือและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในประเด็นนโยบายยาเสพติดแห่งชาติออสเตรเลีย การบังคับใช้กฎหมายยาเสพติดและการควบคุมชายแดน รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์โดยถูกกฎหมาย การบำบัดรักษาโดยวิธีการชุมชนบำบัด (Therapeutic Community : TC) และศึกษาดูงานที่ศาลยาเสพติด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14842 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายในการบริหารจัดการกิจการลูกเสืออย่างมีประสิทธิภาพ ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายในการบริหารจัดการกิจการลูกเสืออย่างมีประสิทธิภาพ โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เช่น การปรับโครงสร้างการบริหารงานกิจการลูกเสือส่วนกลาง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ สำหรับส่วนภูมิภาคได้สนับสนุนเงินเพื่อจ้างเจ้าหน้าที่ลูกเสือในจังหวัดที่มีค่ายลูกเสือตั้งอยู่เพื่อสนับสนุนการดำเนินการรองรับกิจการลูกเสือโดยเฉพาะ และการปรับปรุงระบบสารสนเทศให้มีความทันสมัย รวมทั้งจะดำเนินการแก้ไขกฎ ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บรายได้ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน เป็นต้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14843 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายสลิล วิศาลสวัสดิ์ และนายเศกสรรค์ เรืองโวหาร) | นร13 | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ ดังนี้
๑. นายสลิล วิศาลสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการลงทุน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๑ ๒. นายเศกสรรค์ เรืองโวหาร ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการลงทุน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ตั้งแต่วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14844 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 | ทส | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ โครงการต่อขยายทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนีและปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงหมายเลข ๓๓๘ สายปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ของกรมทางหลวง โครงการทางพิเศษสายกะทู้-ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย โครงการศูนย์บริการสุขภาพและบริการสาธารณสุขพร้อมที่จอดรถของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) คำขอประทานบัตรที่ ๑๒/๒๕๕๖ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับคำขอประทานบัตรที่ ๑๓/๒๕๕๖ คำขอประทานบัตรที่ ๑๔/๒๕๕๖ คำขอประทานบัตรที่ ๑๕/๒๕๕๖ คำขอประทานบัตรที่ ๑๖/๒๕๕๖ คำขอประทานบัตรที่ ๑๗/๒๕๕๖ ประทานบัตรที่ ๒๗๓๔๐/๑๔๓๙๐ ประทานบัตรที่ ๒๗๓๔๑/๑๔๓๙๑ และประทานบัตรที่ ๒๗๓๔๘/๑๔๓๙๒ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๕, ๖ ตำบลมิตรภาพ อำเภอมวกเหล็ก และหมู่ที่ ๕ ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี โดยให้เจ้าของโครงการและหน่วยงานอนุญาตดำเนินการ (๑) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA อย่างเคร่งครัด (๒) ให้ตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ และ (๓) นำความเห็นของ กก.วล. เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๒. เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๐ และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ปรับเพิ่มเติมประเด็นการเพิ่มขึ้นของประชากรและปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในร่างรายงานฯ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ รวมทั้งให้รับความเห็นของ กก.วล. ในประเด็นทรัพยากรแร่และสถานการณ์สัตว์ป่าไปพิจารณาเพิ่มเติมในรายงานฯ ฉบับต่อไป ๓. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ รวม ๒ ฉบับ ออกไปอีก ๒ ปี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้ สผ. นำร่างประกาศฯ เสนอคณะรัฐมนตรีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ๔. เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานค่าความทึบแสงของฝุ่นละอองฟุ้งกระจายจากเรือที่มีการขนถ่ายสินค้าระหว่างกัน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ เสนอ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ นำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานค่าความทึบแสงของฝุ่นละอองฟุ้งกระจายจากเรือที่มีการขนถ่ายสินค้าระหว่างกันเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาลงนามในประกาศฯ ต่อไป และมอบให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่า ในฐานะหน่วยงานอนุญาตซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทยพิจารณากำหนดให้เรือขนถ่ายสินค้าระหว่างกันต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองและมีมาตรการในการควบคุมฝุ่นละอองที่เข้มงวดกับผู้ประกอบการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14845 | การขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2553 รวม 2 ฉบับ ออกไปอีก 2 ปี | ทส | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ ออกไปอีก ๒ ปี นับแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้ส่งร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหิน และอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ คืนให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินการ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่อป้องกันมิให้เกิดช่องว่างของการใช้บังคับกฎหมาย และควรให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำแผนงานและเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทั้งหมดที่รับผิดชอบให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นสุดอายุการใช้บังคับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14846 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สรุปได้ว่า ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจในการกำกับดูแลความมั่นคงของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) โดยมีหน้าที่ครอบคลุมถึงการออกเกณฑ์กำกับดูแลการตรวจสอบความเหมาะสมของผู้บริหาร และการติดตามและตรวจสอบ รวมถึงการสั่งการให้มีการแก้ไขปัญหา ส่วนการกำกับดูแลด้านโยบายและผู้ถือหุ้น กระทรวงการคลังมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง ๘ แห่ง ซึ่งธนาคารหงประเทศไทยได้ออกหลักเกณฑ์กำกับดูแล โดยได้ปรับปรุงเพิ่มเติมจากหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้สอดคล้องตามลักษณะการดำเนินธุรกิจและลักษณะเฉพาะของ SFIs นอกจากนี้ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยมีกระบวนการให้สินเชื่อที่รัดกุมยิ่งขึ้น และสามารถดูแลบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น และประเด็นโครงสร้างคณะกรรมการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำหนดให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยมีกรรมการซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิควรเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม นั้น กระทรวงการคลังจะนำข้อสังเกตดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาการแต่งตั้งต่อไป สำหรับการแก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๕ ในครั้งนี้ ไม่มีการออกกฎหมายลำดับรอง อย่างไรก็ดี ในการป้องกันไม่ให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยประสบปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Financing : NPF) เพิ่มสูงขึ้น ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยได้มีการทบทวนและการปรับปรุงข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่งที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการด้านสินเชื่อและการกำกับลูกหนี้รายใหญ่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14847 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... | ทส | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๙ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๙ เนื่องจากพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้บัญญัติให้มีคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ ซี่งมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกันแทนแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรกำหนดให้ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้มีผลใช้บังคับเมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้ว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14848 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชนแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชนแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2555) | มท | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชนแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทสถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการบางบริเวณให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการเกี่ยวกับโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการก่อสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ และให้ความสำคัญกับการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อประชาชน รวมทั้งนำข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการเกี่ยวกับโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุภายใต้การควบคุมของรัฐที่ปรับปรุงไปประกอบการพิจารณาจัดทำแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14849 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14850 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง แนวทางการกำหนดมาตรฐานสถานศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง แนวทางการกำหนดมาตรฐานสถานศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งมีข้อเสนอแนะว่า ควรมีการกำหนดมาตรฐานสถานศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน แบ่งออกเป็น ๒ ระดับ คือ มาตรฐานขั้นต่ำ และมาตรฐานขั้นท้าทาย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ และมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำ เช่น ควรกำหนดคำนิยามของคำว่า “มาตรฐานสถานศึกษา” และ “มาตรฐานการศึกษา” ควรระบุไว้ด้วยว่า ต้องมีทรัพยากรเพียงพอในการจัดการเรียนการสอน สถานศึกษาใดมีมาตรฐานต่ำกว่ามาตรฐานขั้นต่ำอาจถูกพิจารณาให้มีการส่งเสริมหรือพัฒนาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากไม่สามารถดำเนินการได้อาจควบรวมหรือยุบสถานศึกษา เป็นต้น ส่วนมาตรฐานขั้นท้าทาย ควรครอบคลุมภารกิจของหน่วยงานที่จัดการศึกษาทุกสังกัดทั่วประเทศ โดยมาตรฐานขั้นท้าทาย สามารถกำหนดให้แตกต่างกันได้ตามบริบทและความจำเป็นของแต่ละสถานศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14851 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด | พม | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กรมกิจการเด็กและเยาวชน) ได้ตรวจสอบข้อมูลผู้มีสิทธิ์โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดกับฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ พบว่า ผู้มีสิทธิ์รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดแต่ไม่มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ มีจำนวน ๒๑๑,๗๔๕ ราย โดยผู้มีสิทธิ์ดังกล่าวจะต้องมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบสถานะครัวเรือนภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งขณะนี้มีผู้มาให้ข้อมูลสถานะครัวเรือนเพิ่มเติมเพียง ๖๒,๕๖๕ ราย (ร้อยละ ๒๙.๕) ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ จึงมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการให้ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่มีสิทธิ์รายเดิม แต่ไม่ปรากฏชื่อในฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ หากไม่มาให้ข้อมูลภายในระยะเวลาที่กำหนด จะระงับสิทธิ์การรับเงินของผู้มีสิทธิ์รายเดิม ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้มีสิทธิ์รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดแต่ไม่มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้อย่างครบถ้วน และไม่ให้เกิดกรณีผู้มีสิทธิ์รับเงินอุดหนุนรายเดิมที่มีคุณสมบัติถูกต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดถูกระงับสิทธิ์การรับเงิน เช่น ๒.๑ จัดทำคำชี้แจงและประชาสัมพันธ์เผยแพร่เกี่ยวกับการให้ผู้มีสิทธิ์รับเงินอุดหนุนรายเดิมมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบสถานะครัวเรือนให้ผู้มีสิทธิ์ดังกล่าวได้รับทราบอย่างทั่วถึงผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ของหน่วยงาน สื่อประชาสัมพันธ์ รวมทั้งประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นหรือกลไกในระดับพื้นที่เพื่อติดตามกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวให้ครบถ้วน ๒.๒ พิจารณากำหนดช่องทางการรับแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความสะดวกและง่ายต่อการมาให้ข้อมูลของผู้มีสิทธิ์รับเงินอุดหนุน ๒.๓ กำหนดมาตรการรองรับกรณีที่มีผู้มีสิทธิ์รับเงินอุดหนุนรายเดิม ซึ่งเป็นผู้มีคุณสมบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ไม่สามารถมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14852 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10 พ.ศ. 2560 | สช | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๖๐ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติฯ ซึ่งประกอบด้วย ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) การส่งเสริมให้คนไทยทุกช่วงวัยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น (๒) การพัฒนาพื้นที่เล่นสร้างเสริมสุขภาวะของเด็กปฐมวัยและวัยประถมศึกษา (๓) ชุมชนเป็นศูนย์กลางในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และ (๔) การจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนแบบมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน โดยมติฯ ทั้ง ๔ เรื่องดังกล่าวได้ขอให้ทุกภาคส่วนในสังคม ได้แก่ รัฐบาล หน่วยราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงาน องค์กรภาคีต่าง ๆ ทั้งธุรกิจเอกชน องค์กรเอกชน ประชาสังคม องค์กรวิชาชีพ สถาบันวิชาการ และสมาชิกสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ตลอดจนประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้มีการติดตามผลการดำเนินการมาเสนอต่อสมัชชาสุขภาพแห่งชาติในคราวต่อ ๆ ไป และเสนอต่อสาธารณะต่อไปด้วย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้หน่วยงานทุกภาคส่วนสนับสนุนมติดังกล่าวเพื่อสานพลังให้เกิดการขับเคลื่อนสู่รูปธรรมและประชาชนมีสุขภาพดีถ้วนหน้าอย่างยั่งยืน และเห็นควรให้สร้างความรู้ความเข้าใจถึงความหมายของกิจกรรมทางกายและพื้นที่เล่นแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14853 | รายงานผลการจัดระดับประเทศไทยในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2561 | พม | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดระดับประเทศไทยในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกา ประจำปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานการค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report : TIP Report) ประจำปี ๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ระบุว่าประเทศไทยยังไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำในการขจัดปัญหาการค้ามนุษย์อย่างเต็มที่ แต่รัฐบาลได้เพิ่มความพยายามมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับรอบรายงานที่แล้ว ดังนั้น ประเทศไทยจึงได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นกลุ่มที่ ๒ (Tier 2) ดีขึ้นจากปีที่แล้ว ที่อยู่ในระดับ ๒ ที่ต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) ๒. ผลการดำเนินงานที่สำคัญของประเทศไทย เช่น การลดระยะเวลาในการดำเนินคดีและพิพากษาลงโทษคดีค้ามนุษย์ การออกระเบียบให้องค์กรพัฒนาเอกชนสามารถจัดตั้งสถานคุ้มครองในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการขอทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเด็กมาขอทาน เป็นต้น ๓. ข้อเสนอแนะต่อการดำเนินงานของประเทศไทย เช่น การเพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย พนักงานตรวจแรงงาน และผู้ปฏิบัติงานในการตรวจคัดกรองและคัดแยกผู้เสียหาย และรับรองว่าผู้เสียหายจะไม่ถูกจับกุม กักขัง หรือส่งกลับ อันเนื่องมาจากการกระทำผิดที่เป็นผลมาจากการเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (เช่น การค้าประเวณี และการหลบหนีเข้าเมือง) การเพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในการดำเนินคดีและพิพากษาลงโทษผู้กระทำผิดฐานค้ามนุษย์ด้านแรงงานและเพศ และการปรับปรุงสิทธิแรงงานต่างด้าวเพื่อลดความเสี่ยงต่อการค้ามนุษย์ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14854 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ในต่างประเทศ] | กค | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรซึ่งประกอบกิจการให้บริการโดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามประมวลรัษฎากร ให้มีความเหมาะสม ชัดเจน และสอดคล้องกับลักษณะการดำเนินธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน เพื่อเป็นการสนับสนุนให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เกิดความเหมาะสมและส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการกำหนดลักษณะและประเภทของธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัติฯ ให้มีความชัดเจนไว้ในกฎหมายลำดับรอง เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับไปพิจารณากำหนดให้ผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ในต่างประเทศที่ได้ให้บริการแก่ผู้รับบริการในประเทศไทยต้องมาตั้งสถานประกอบการในประเทศไทยหรือมีตัวแทนในการประกอบกิจการในประเทศไทยต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14855 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายณรงค์ บุญโญ และนายสุวิทย์ อมรนพรัตนกุล) | นร12 | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ โดยให้มีผลไม่ก่อนวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ จำนวน ๒ ราย ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้
๑. นายณรงค์ บุญโญ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการ (นักพัฒนาระบบราชการทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ.ร. ตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ๒. นายสุวิทย์ อมรนพรัตนกุล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการ (นักพัฒนาระบบราชการทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ.ร. ตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14856 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงมหาดไทย) (นางสุกานดา วรเชษฐบัญชา) | มท | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสุกานดา วรเชษฐบัญชา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14857 | มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ. 2561-2570 | อก | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐ โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้บูรณาการการดำเนินงานร่วมกับคณะทำงานพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve) (D5) จัดทำขึ้นเพื่อให้เกิดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำให้เกิดการขับเคลื่อนการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยสาระสำคัญของมาตรการฯ เป็นการกำหนดให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio Hub) อย่างครบวงจรภายในปี ๒๕๗๐ การกำหนดมาตรการและการดำเนินการที่สำคัญ ๔ มาตรการ คือ (๑) มาตรการขจัดอุปสรรคการลงทุนและสร้างปัจจัยสนับสนุน ประกอบด้วย มาตรการเร่งด่วน และมาตรการสนับสนุน (๒) มาตรการเร่งรัดการลงทุนภายในประเทศ (๓) มาตรการกระตุ้นอุปสงค์ และ (๔) มาตรการสร้างเครือข่ายในรูปแบบของศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านชีวภาพ โดยใช้กลไกความความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) เป็นตัวขับเคลื่อนผ่านคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมาตรการฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรคำนึงถึงผลกระทบจากมาตรการขจัดอุปสรรคการลงทุนและสร้างปัจจัยสนับสนุนที่จะให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวน ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการ จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมอย่างไร และควรมีการวางแผนการบริหารจัดการผลผลิตในภาพรวมตลอดห่วงโซ่คุณค่า และคำนึงถึงภาพรวมการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพที่ประเทศไทยต้องการบรรลุผล เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าเพิ่มสูงบนพื้นฐานของการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย และควรมีการสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทยอย่างยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14858 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และปัญหาอุปสรรค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การผลิตและการแจกจ่ายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิ จากจำนวนผู้มีสิทธิได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้งหมด ๑๑.๔๗ ล้านราย ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐-๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ มีผู้มีสิทธิมารับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว ๑๑.๐๖ ล้านราย (ร้อยละ ๙๖) ๑.๒ การวางเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture : EDC) จากเป้าหมายที่กำหนดจะวางเครื่อง EDC ณ จุดจำหน่ายสินค้าและบริการของหน่วยงานหรือร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ๔๕,๖๕๕ เครื่อง ณ วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ ได้วางเครื่องแล้ว ๓๐,๔๖๐ เครื่อง (ร้อยละ ๖๖) ๑.๓ การจ่ายเงินให้แก่หน่วยงานหรือร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ ได้จ่ายเงินแล้วรวม ๓๐,๗๑๖.๔๔ ล้านบาท ๑.๔ การใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกับรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และรถไฟฟ้า ได้พัฒนาระบบเพื่อรองรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามมาตรฐานกลางระบบตั๋วร่วม (แมงมุม) (Version 2.0) และกำหนดให้ผู้มีสิทธินำบัตรมา Reinitialize ที่สถานีรถไฟฟ้าได้ตั้งแต่วันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เพื่อให้สามารถเริ่มใช้ชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วงได้ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ รวมทั้งจะขยายการให้บริการให้สามารถใช้ได้กับระบบรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ และรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ๑.๕ ปัญหาอุปสรรค จากการลงพื้นที่ติดตามการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ๘ เดือนที่ผ่านมา ยังคงพบปัญหาร้านธงฟ้าประชารัฐทำผิดหลักเกณฑ์ ซึ่งสำนักงานคลังจังหวัดได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเพิกถอนการเป็นร้านธงฟ้าประชารัฐ และกรมบัญชีกลางได้สั่งการให้สำนักงานคลังจังหวัดเรียกคืนเครื่อง EDC จากเจ้าของร้านดังกล่าวแล้ว และจะไม่ให้วางเครื่อง EDC ของโครงการให้แก่ร้านค้าเหล่านี้ ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาเพิ่มช่องทางการชำระเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้มากยิ่งขึ้น เช่น การชำระเงินผ่าน QR code เป็นต้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการและประชาชนผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แล้วให้ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ในเรื่องดังกล่าวให้ถูกต้องและทั่วถึงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14859 | รายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมกีดขวางเส้นทางน้ำของกระทรวงคมนาคม | คค | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมกีดขวางเส้นทางน้ำ ของกระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท) รวมทั้งสิ้น ๑๐๘ แห่ง วงเงิน ๙๙๔.๕๘ ล้านบาท ขณะนี้ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๓๒ แห่ง คิดเป็นร้อยละ ๒๙.๖๓ อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๒๑ แห่ง คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๔๔ อยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง จำนวน ๑ แห่ง คิดเป็นร้อยละ ๐.๙๓ และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๖๒ แล้ว จำนวน ๕๔ แห่ง คิดเป็นร้อยละ ๕๐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมกีดขวางเส้นทางน้ำให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14860 | รายงานผลการพิจารณากำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมมิให้รถบรรทุกสินค้าบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นไปด้วยความเคร่งครัดของกระทรวงคมนาคม | คค | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณากำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมมิให้รถบรรทุกสินค้าบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นไปด้วยความเคร่งครัด ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ได้แก่ (๑) กรมทางหลวง กำหนดมาตรการป้องปราม มาตรการปราบปราม มาตรการประชาสัมพันธ์และรับเรื่องร้องเรียน และข้อเสนอแนะในการควบคุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินเพิ่มเติม (๒) กรมทางหลวงชนบท กำหนดมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมทั้งแต่งตั้งคณะทำงานจัดทำข้อกำหนดในการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมคุณภาพงานก่อสร้างและมาตรฐานความปลอดภัยในขณะก่อสร้าง และ (๓) กรมการขนส่งทางบก ดำเนินการควบคุม กำกับดูแลรถบรรทุกสินค้าตามกฎหมาย ตรวจสอบและจับกุมรถบรรทุกสินค้าที่จดทะเบียน และกำหนดมาตรการให้ใช้ประวัติการกระทำความผิดมาประกอบการพิจารณาต่ออายุใบอนุญาตประกอบการขนส่ง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น พิจารณากำหนดมาตรการเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของมาตรการในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมมิให้รถบรรทุกสินค้าบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และมาตรการในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ เช่น ด้านพลังงานเชื้อเพลิง ด้านภาษี เป็นต้น เพื่อส่งเสริมการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าจากถนนมาสู่ระบบราง ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ (เรื่อง การพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าภาระโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบังของการท่าเรือแห่งประเทศไทย) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน แล้วรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
.....