ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 742 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 14821 - 14840 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14821 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาหมอกควัน ของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาหมอกควัน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เนื่องจากเป็นแนวทางการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ มีการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว เช่น การจัดประชุมเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ช่วงสถานการณ์หมอกควัน การจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานในพื้นที่ตามรอบปีงบประมาณ การส่งเสริมอาชีพและลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้เพื่อลดการเผาทำลายป่า และการเร่งเพิ่มพื้นที่ป่าและคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับทรัพยากรป่าไม้ เป็นต้น รวมทั้งเห็นควรให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบจากสารเคมีทางการเกษตรที่ตกค้างจากการเผาไหม้ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบข้อสังเกตในประเด็นการจัดสรรงบประมาณเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เนื่องจากสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณตรงไปยังจังหวัดและหน่วยงานในพื้นที่ ทำให้มีหลายหน่วยงานต้องปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาวิกฤตหมอกควันภาคเหนือ โดยไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม ทำให้ไม่มีงบประมาณเพียงพอสำหรับการดำเนินงาน เช่น กองทัพภาคที่ ๓ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14822 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | กค | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๓ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๗ โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขค่าธรรมเนียมการค้ำประกันและการจ่ายค่าชดเชย เป็นดังนี้ ๑.๑ ภาระงบประมาณของโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๓ จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย การชดเชยค่าธรรมเนียมค้ำประกันในปีแรก อัตราร้อยละ ๒ ต่อปี จำนวน ๓๐๐ ล้านบาท และการชดเชยการจ่ายค่าประกันชดเชยอัตราร้อยละ ๑๘ ของวงเงินค้ำประกัน จำนวน ๒,๗๐๐ ล้านบาท เห็นควรให้ บสย. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ ภาระงบประมาณของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๗ จำนวน ๑๓,๕๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย การชดเชยค่าธรรมเนียมค้ำประกันในอัตราเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ ๒.๒๕ ของวงเงินค้ำประกันเป็นจำนวนไม่เกิน ๓,๓๗๕ ล้านบาท และการชดเชยการจ่ายค่าประกันชดเชยตลอดอายุโครงการ ๑๐ ปี เป็นเงินจำนวนไม่เกิน ๑๐,๑๒๕ ล้านบาท เห็นควรให้ บสย. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย บสย. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินและไม่เคยใช้บริการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ก่อนเป็นลำดับแรก การกำหนดคุณสมบัติผู้ประกอบการที่ขอรับการค้ำประกันควรกระจายวงเงินให้ครอบคลุมผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs รายเล็กในต่างจังหวัดที่มีศักยภาพมากขึ้น รวมทั้งการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันและความรับผิดชอบจ่ายค่าประกันชดเชยต่อราย SMEs และการจ่ายค่าประกันชดเชยสูงสุดต่อ Portfolio ซึ่งกำหนดตามความเสี่ยงของผู้ประกอบการรายย่อย หรือตามความเหมาะสมของแต่ละกลุ่ม SMEs ควรพิจารณาให้สะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง โดย บสย. ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการและสถาบันการเงินผู้เข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๓ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๗ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการให้ชัดเจนและทั่วถึง รวมทั้งให้ติดตามการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันมิให้การปรับลดอัตราการจ่ายค่าประกันชดเชยเป็นอุปสรรคต่อการขอรับสินเชื่อของผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14823 | ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการดำเนินงาน และขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าเช่าอาคารเพื่อใช้เป็นที่ทำการชั่วคราวของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ | นร | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติดำเนินการเช่าอาคารเพื่อเป็นที่ทำการชั่วคราวในลักษณะของการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๖๔ รวมระยะเวลา ๓๐ เดือน ภายในวงเงิน ๖๗,๔๐๒,๕๐๐ บาท เป็นกรณีเฉพาะราย ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยแหล่งเงินที่จะใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๑๓,๔๘๐,๕๐๐ บาท เห็นควรอนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๑ จากงานปรับปรุงอาคารที่ทำการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จำนวน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๑๗,๙๗๔,๐๐๐ บาท ให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติส่วนที่เหลือ จำนวน ๓๕,๙๔๘,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๖๔ และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. อนุมัติให้เปลี่ยนแปลงรายการจากงานปรับปรุงอาคารที่ทำการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จำนวน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อไปดำเนินการตามข้อ ๑ และเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาครุภัณฑ์สำหรับใช้ในอาคารที่ทำการชั่วคราว จำนวน ๑๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๗,๔๘๐,๕๐๐ บาท ๓. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน อย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่ได้รับ ผลสัมฤทธิ์ และประสิทธิภาพของหน่วยงาน และจัดทำรายละเอียดเพื่อตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14824 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 1,353.60 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยระหว่างเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2560 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๑ จำนวน ๑,๒๔๘,๑๑๐,๕๐๐ บาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๑๒๓ แห่ง ของกระทรวงคมนาคม โดยแยกเป็น กรมทางหลวง จำนวน ๖๓ แห่ง วงเงิน ๖๘๔,๖๖๑,๕๐๐ บาท และกรมทางหลวงชนบท จำนวน ๖๐ แห่ง วงเงิน ๕๖๓,๔๔๙,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลการดำเนินการของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทอย่างใกล้ชิดเพื่อให้สามารถฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้โดยเร็วตามแผนที่กำหนดไว้ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14825 | ขอความเห็นชอบท่าทีของฝ่ายไทยในการประชุมคณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วมระหว่างไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ 25 | กต | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบท่าทีของไทยในการเจรจากับฝ่ายมาเลเซียในการประชุมคณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วมระหว่างไทย-มาเลเซีย (Joint Thailand-Malaysia Land Boundary Committee : LBC) ครั้งที่ ๒๕ โดยสาระสำคัญของร่างท่าทีของไทยฯ ครอบคลุมการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ เช่น (๑) การพิจารณาบัญชีหลักเขตแดนที่ตั้งอยู่นอกสันปันน้ำ (๒) การพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการก่อสร้างและบำรุงรักษารั้วเดี่ยวบนเส้นเขตแดนที่บ้านด่านนอก/บูกิตกายูฮิตัม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และ (๓) การพิจารณาร่างความตกลงว่าด้วยการรับรองผลการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนแบบคงที่ตามแม่น้ำโก-ลก (พื้นที่เร่งด่วน ๘) เป็นต้น ๑.๒ เห็นชอบให้ LBC (ฝ่ายไทย) เจรจากับฝ่ายมาเลเซียบนพื้นฐานของท่าทีของไทยฯ และจัดทำบันทึกการประชุม LBC ครั้งที่ ๒๕ ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะรายงานผลการประชุมดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบในโอกาสแรกต่อไป ๑.๓ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการก่อสร้างและบำรุงรักษารั้วเดี่ยวบนเส้นเขตแดนที่บ้านด่านนอก/บูกิตกายูฮิตัม [Memorandum of Understanding between the Government of Malaysia and the Kingdom of Thailand for the Construction and Maintenance of a Single Barrier on Certain Boundary related matters in the Area between BP 20A/12 and BP 23/104 in Area III (BP 16-BP 27)] ๑.๔ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้นายวศิน ธีรเวชญาณ [ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ (ด้านกฎหมายเขตแดน)] ประธาน LBC (ฝ่ายไทย) หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากนายวศินฯ ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๕ เห็นชอบร่างคำสั่งจัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อก่อสร้างและบำรุงรักษารั้วเดี่ยวบนเส้นเขตแดนที่บ้านด่านนอก/บูกิตกายูฮิตัม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา โดยให้นายวศินฯ ลงนามในร่างคำสั่งดังกล่าว ทั้งนี้ เป็นไปตามผลการประชุมส่วนราชการซึ่งจัดโดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ๑.๖ รับทราบการจัดการประชุม LBC ครั้งที่ ๒๕ ที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๓๐ กรกฎาคม-๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ในส่วนของการจัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อก่อสร้างและบำรุงรักษารั้วเดี่ยวบนเส้นเขตแดนที่บ้านด่านนอก/บูกิตกายูฮิตัม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการภายใต้อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย (ฝ่ายไทย) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ [เรื่อง คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงการต่างประเทศ)] และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการและคณะกรรมการซึ่งรับผิดชอบเรื่องเขตแดนทางบกระหว่างไทย-ลาว ไทย-เมียนมา และไทย-มาเลเซีย) ต่อไป ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจฯ กำหนดไว้ชัดเจนว่ามีวัตถุประสงค์ในทางบริหารและไม่กระทบกับตำแหน่งที่ถูกต้องของเขตแดนระหว่างกัน จึงไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาประเภทอื่นตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14826 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงมหาดไทย) (นายชรัส บุญณสะ) | มท | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายชรัส บุญณสะ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14827 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทรัพย์สินอื่นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... | พณ | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทรัพย์สินอื่นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ต้นไม้ตามบัญชีท้ายกฎหมายว่าด้วยสวนป่า เป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ ควรกำหนดประเภททรัพย์สินให้มีความชัดเจนแก่ผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย การที่กำหนดให้ไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ต้นไม้ ตามบัญชีท้ายกฎหมายว่าด้วยสวนป่าเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ซึ่งมีถึง ๕๘ ชนิด นั้น โดยที่คำว่า “เช่น” หมายถึง ยกตัวอย่างสิ่งซึ่งมีอยู่จำนวนมากที่นำมาแสดงได้ไม่หมด จึงมีผลทำให้เกิดความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดต้นไม้ดังกล่าว เพราะแสดงให้เห็นว่า นอกจากต้นไม้ตามบัญชีท้ายกฎหมายว่าด้วยสวนป่าเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้แล้ว ยังมีต้นไม้อื่นที่ยังมิได้กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงนี้ด้วย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14828 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 | นร11 | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ (อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และยโสธร) ระหว่างวันที่ ๑๓-๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ซึ่งมีประเด็นการพัฒนาและข้อสั่งการ ได้แก่ (๑) การเพิ่มมูลค่าข้าวหอมมะลิ พืชเศรษฐกิจ ปศุสัตว์ และประมง ด้วยอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปและมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์ (๒) การขยายฐานตลาดการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และ (๓) การสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ เพื่อเชื่อมโยงธุรกิจการค้าการลงทุนสู่สากล และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการไปพิจารณาดำเนินการ แล้วรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14829 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 | นร11 | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ (อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และยโสธร) เมื่อวันอังคารที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และเห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) ด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ (๒) ด้านการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและแก้ไขปัญหาอุทกภัย (๓) ด้านการยกระดับการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร (๔) ด้านคุณภาพชีวิต และ (๕) ด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งข้อสั่งการเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนินการพัฒนาอาชีพให้กับประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกิน และสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดระบบการผลิตที่ครบวงจร สำหรับสินค้าเกษตรคุณภาพ ทั้งด้านการตลาดและระบบโลจิสติกส์ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14830 | แนวทางการพัฒนาโครงข่ายด้านคมนาคมขนส่งของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 และผลการดำเนินงานโครงการที่สำคัญ | คค | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการพัฒนาโครงข่ายด้านคมนาคมขนส่งของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ (อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และยโสธร) และผลการดำเนินงานโครงการที่สำคัญ โดยกระทรวงคมนาคมได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ให้ครอบคลุมในภูมิภาคเดียวกัน และเชื่อมโยงด้านคมนาคมขนส่งระหว่างภูมิภาค รวมถึงพื้นที่ชายแดน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาโครงข่ายการเดินทางให้เกิดการเชื่อมโยงทั่วถึงตลอดแนวเหนือ-ใต้ และแนวตะวันออก-ตะวันตก เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีแนวทางการพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางบก ให้เป็นประตูเชื่อมต่อการเดินทางในภูมิภาคและระหว่างภูมิภาค รวมทั้งเชื่อมโยงโครงข่ายกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสนับสนุนการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว (๒) การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางราง รองรับการเดินทางและการขนส่งสินค้า ส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางเส้นทางเชื่อมโยงสู่ภูมิภาคอินโดจีน CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) และเชื่อมไปถึงจีน (๓) การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางน้ำ ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มศักยภาพ และ (๔) การเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางอากาศ รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน รวมทั้งสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคอินโดจีน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14831 | แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 | กก | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ (อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และยโสธร) โดยมีแนวทางการพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ (๑) พัฒนาและยกระดับคุณภาพแหล่งท่องเที่ยว สินค้า และบริการ ด้านการท่องเที่ยวให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน บนอัตลักษณ์ และความโดดเด่นของกลุ่มจังหวัด (๒) พัฒนาระบบคมนาคมโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในกลุ่มจังหวัด ทั้งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ และทางราง (๓) พัฒนาและยกระดับศักยภาพของบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวภายในกลุ่มจังหวัด (๔) สร้างความสมดุลให้กับการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัด เน้นการส่งเสริม การเรียนรู้วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชน (๕) ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน และ (๖) ส่งเสริมและกระชับความร่วมมือการบูรณาการการบริหารจัดการการท่องเที่ยว การยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว พัฒนาความเชื่อมโยงการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ และการอนุรักษ์ทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวในทุกมิติ ผ่านการขับเคลื่อนตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อดำเนินการขับเคลื่อนแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทาง/มาตรการในการดำเนินการเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านให้เข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องศึกษาและกำหนดแนวทางในการดำเนินการ “สร้างภาพจำใหม่” ให้แก่จังหวัดต่าง ๆ โดยให้พิจารณาปรับเรื่องเล่า (story) ที่เกี่ยวข้องของแต่ละจังหวัด และแนวทางการนำเสนอให้มีความทันสมัย น่าสนใจ และสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของชุมชนในพื้นที่ที่ชัดเจน รวมทั้งให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความพร้อมและมีศักยภาพให้เป็น “การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูสุขภาพในชุมชน” เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจได้เข้ามาท่องเที่ยวและใช้บริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14832 | มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 ด้านการตลาด | พณ | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ ด้านการตลาด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โครงการที่ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๒ โครงการ กรอบวงเงินงบประมาณ ๖๕,๐๑๖.๙๘ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี กรอบวงเงินงบประมาณ ๖๔,๕๐๙.๑๗ ล้านบาท และ (๒) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยสถาบันเกษตรกร กรอบวงเงินงบประมาณ ๕๐๗.๘๑ ล้านบาท โดยภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามผลการดำเนินการจริง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป สำหรับวงเงินชดเชยส่วนต่างที่อาจจะเกิดขึ้น จำนวน ๒,๖๙๘.๕๐ ล้านบาท นั้น เห็นควรที่กระทรวงพาณิชย์และ ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องบริหารจัดการระบายข้าวที่อยู่ในความรับผิดชอบโดยคำนึงถึงวิธีการและขั้นตอนที่มีความโปร่งใส ชัดเจน โดยนำข้าวที่ผ่านการตรวจนับปริมาณและมีการตรวจวิเคราะห์และจัดระดับคุณภาพแล้วมาระบายตามจังหวะเวลา และช่องทางที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ การกำหนดเกณฑ์ราคาขั้นต่ำจะต้องไม่เป็นการชี้นำราคาข้าวในตลาด รวมถึงจำกัดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการบริหารจัดการโครงการดังกล่าวอย่างรอบคอบ ตลอดจนมีการติดตามการดำเนินโครงการและพิจารณาทบทวนให้เหมาะสมกับสถาพการณ์ ทั้งนี้ หากได้ดำเนินการตามขั้นตอนและคำนึงถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบแล้ว และยังมีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นก็ให้เสนอคณะรัฐมนตรีในโอกาสแรก ๑.๒ โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน กรอบวงเงินงบประมาณ ๕๗๒ ล้านบาท หากมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการค่าชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าในการเก็บสต็อกที่เสนอตั้งไว้ จำนวน ๑๗๑.๕๑๙๙ ล้านบาท เป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้กรมการค้าภายในปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๑.๓ การดำเนินโครงการในภาพรวมดังกล่าวข้างต้นจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งดำเนินการอย่างโปร่งใส คำนึงถึงความคุ้มค่า ต้นทุนที่เหมาะสม ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการ รวมถึงการลดภาระงบประมาณของรัฐบาลในระยะยาว อันจะนำไปสู่เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของภาครัฐในภาพรวม โดยพิจารณาเป้าหมายและประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรพิจารณาบูรณาการการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องร่วมกันเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งกับโครงการที่ส่งเสริมให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นหรือดำเนินกิจกรรมทางการเกษตรรูปแบบอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ามากกว่าการปลูกข้าว และควรเชื่อมโยงข้อมูลการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่มีรายได้น้อยที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงการคลังด้วย เพื่อให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังกำกับดูแลโครงการสินเชื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างเคร่งครัดและไม่ก่อให้เกิดภาระทางด้านงบประมาณที่เพิ่มเติมจากกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ๔. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีติดตามและตรวจสอบการดำเนินการตามมาตรการฯ ให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินมาตรการฯ เป็นไปด้วยความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้รายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือนด้วย ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14833 | แต่งตั้งผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค (นายนพรัตน์ เมธาวีกุลชัย) | มท | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายนพรัตน์ เมธาวีกุลชัย ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในปีแรกอัตราเดือนละ ๒๗๐,๐๐๐ บาท (ตามมติคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค ครั้งที่ ๖/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๗/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑) ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้าง และการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14834 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561) | นร | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14835 | ร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561)] | นร | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ ๑๐ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ ๑๐ ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14836 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อรองรับระบบภาษี และเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงิน แบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) (วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561) | นร | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14837 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านสังคม ดังนี้
๑. ตามที่ได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ร่วมกับสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทยพิจารณาความเป็นไปได้ในการสนับสนุนงบประมาณของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองให้แก่ชุมชนที่เสนอโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลได้มีไฟฟ้าใช้ โดยให้นำกลไกประชารัฐมาสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวด้วย นั้น ให้กระทรวงพลังงานรับไปประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อกำกับดูแลการดำเนินการติดตั้งระบบพลังงานทดแทนจาก Solar Cell ในครัวเรือนของประชาชน รวมทั้งการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าของครัวเรือนเข้าสู่ระบบไฟฟ้าส่วนกลางให้เหมาะสม ถูกต้อง เป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ตามที่ได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ ให้ทุกส่วนราชการประชาสัมพันธ์และสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนยื่นข้อร้องเรียนหรือร้องทุกข์ที่ศูนย์ดำรงธรรมของทุกส่วนราชการและทุกจังหวัด โดยสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้แก่ประชาชน รวมถึงติดตามให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้มีการร้องทุกข์หรือร้องเรียน ณ ที่อื่น ๆ ด้วย นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับติดตามการดำเนินการกรณีที่ประชาชนให้ข้อมูลหรือมีข้อร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรม หรือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยให้ประชาชนสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนได้ทุกประเด็น รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตของข้าราชการด้วย ทั้งนี้ ให้มีมาตรการในการคุ้มครองและปกปิดข้อมูลของผู้ร้องเรียนให้เป็นความลับ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลประชาชนผู้ร้องเรียนอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. ตามที่ได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๐ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปฏิรูปการศึกษาให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษาในแต่ละระดับ่ให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปีข้างหน้า เช่น การเน้นการจัดการสะเต็มศึกษา (STEM Education) และความรู้ด้านภาษาอังกฤษ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ ให้กระทรวงกลาโหมเร่งดำเนินการให้โรงเรียนต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงกลาโหมจัดให้มีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษตั้งแต่ในระดับปฐมวัย เพื่อให้เด็กนักเรียนมีความคุ้นเคยและมีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันได้ตั้งแต่เด็กและพัฒนาต่อยอดต่อไปเมื่อเติบโตขึ้น และได้เล่าเรียนในระดับสูงขึ้นไปตามลำดับ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหมเร่งดำเนินการในโรงเรียนที่มีความพร้อมเป็นลำดับแรกเพื่อให้เป็นโรงเรียนต้นแบบนำร่องก่อน โดยอาจพิจารณาดำเนินการจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษในวิชาต่าง ๆ ๑ ห้องเรียนในปีการศึกษา ๒๕๖๑ และให้รายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็วด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการให้โรงเรียนในสังกัดจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษให้แก่เด็กตั้งแต่ระดับปฐมวัยเช่นเดียวกับที่ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการตามข้อ ๓.๑ ทั้งนี้ ให้พิจารณานำแนวทางการจัดการเรียนการสอนวิชานี้ของต่างประเทศที่ดำเนินการแล้วได้ผลดีเป็นที่ประจักษ์มาประยุกต์ให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพด้วย เช่น กรณีของประเทศภูฏาน เป็นต้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๑ และให้มีการประเมินผลในปีการศึกษาต่อไปด้วย ๔. ตามที่ได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการให้ข้าราชการในสังกัดทุกระดับ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลอย่างถูกต้อง ชัดเจน และสามารถนำนโยบายไปขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลสัมฤทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องประเทศไทย ๔.๐ และเศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอดำเนินการส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบได้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้มากขึ้นด้วย นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานและเร่งรัดการดำเนินการสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในท้องถิ่นมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นประเทศไทย ๔.๐ รวมถึงนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วด้วย โดยให้แต่ละกระทรวงส่งเนื้อหาข้อมูลการดำเนินนโยบายสำคัญของรัฐบาลให้เป็นภาษาที่กระชับ เข้าใจง่าย และมีข้อมูลช่องทางการติดต่อกับส่วนราชการที่ชัดเจนให้กระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดบูรณาการการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนด้วย ๕. ตามที่ได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ร่วมกับกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินการเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างต่อเนื่อง โดยใช้การเจรจาประนอมหนี้หรือลดหนี้ เปลี่ยนหนี้นอกระบบเป็นหนี้ในระบบ และให้มีมาตรการดูแลเพื่อไม่ให้เกิดหนี้นอกระบบขึ้นอีกในระยะยาว รวมทั้งให้เร่งแก้ไขปัญหาและปราบปรามผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ โดยให้ประสานงานกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำบัญชีสถานภาพหนี้ โดยมีข้อมูลต่าง ๆ ที่สำคัญให้ชัดเจนด้วย เช่น แหล่งที่มาของหนี้ ข้อมูลเจ้าหนี้/ลูกหนี้ จำนวนหนี้ที่เกิดขึ้น เป็นต้น เพื่อใช้ประโยชน์ในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานต่อไป นั้น ให้ กอ.รมน. ร่วมกับกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งขับเคลื่อนการดำเนินการดังกล่าวอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง รวมทั้งให้กำชับ ติดตาม และตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐในทุกหน่วยงานไม่ให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิดหรือปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ทำให้มีการปล่อยกู้นอกระบบด้วย ๖. ตามที่ได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ และ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งกำกับให้สถาบันอาชีวศึกษาทุกจังหวัดทั่วประเทศจัดหลักสูตรการฝึกอบรมวิชาชีพและช่างฝีมือในสาขาต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับความต้องการแรงงานในแต่ละพื้นที่ และให้ครอบคลุมถึงการกำหนดหลักสูตรการศึกษาอบรมของสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ด้วย เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงานให้แก่ผู้ที่ไม่มีวุฒิการศึกษา ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานและเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ รวมทั้งให้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อสร้างเครือข่ายและต่อยอดการพัฒนาฝีมือในอนาคตต่อไปด้วย นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยให้ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมถึงผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองด้วย และให้รายงานผลการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็วด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14838 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสุนทรี รัตนชูเอก) | สธ | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางฉวีวรรณ ภักดีธนากุล ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตกรรม) กลุ่มงานศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล กลุ่มภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ ๒. นางสุนทรี รัตนชูเอก ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ ๓. นางวนิดา ลิ่มพงศานุรักษ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๐ ๔. นายสมจิต ศรีอุดมขจร ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14839 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางวนิดา ลิ้มพงศานุรักษ์) | สธ | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางฉวีวรรณ ภักดีธนากุล ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตกรรม) กลุ่มงานศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล กลุ่มภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ ๒. นางสุนทรี รัตนชูเอก ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ ๓. นางวนิดา ลิ้มพงศานุรักษ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๐ ๔. นายสมจิต ศรีอุดมขจร ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14840 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางฉวีวรรณ ภักดีธนากุล) | สธ | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางฉวีวรรณ ภักดีธนากุล ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตกรรม) กลุ่มงานศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล กลุ่มภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ ๒. นางสุนทรี รัตนชูเอก ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ ๓. นางวนิดา ลิ่มพงศานุรักษ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๐ ๔. นายสมจิต ศรีอุดมขจร ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
|
.....