ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 665 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 13281 - 13300 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13281 | โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562 | กค | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ภายใต้วงเงินงบประมาณจำนวน ๑๒๑.๘๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาล จำนวน ๑๒๑.๘๐ ล้านบาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ต่อปี ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ ให้ได้ตามเป้าหมายและตามกำหนดเวลาการเอาประกันภัยของเกษตรกร ทั้งในส่วนที่ ๑ (Tier 1) และส่วนที่ ๒ (Tier 2) พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัยและร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมาย และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการดำเนินการในเบื้องต้นแล้ว ๑.๕ มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการประกันภัยข้าวนาปีและให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินการรับรองความเสียหายของเกษตรกรในกลุ่มข้างต้น และจัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต ๒๕๖๒ ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการ และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๗ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยประสานงานกับ ธ.ก.ส. กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบการประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการในอนาคต โดยส่งเสริมให้ ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์จากการประกันภัยของเกษตรกรร่วมจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น และส่งเสริมให้เกษตรกรที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ได้มีส่วนร่วมในระบบประกันภัยพืชผลมากยิ่งขึ้น โดยทยอยให้เกษตรกรเพิ่มการมีส่วนร่วมในการรับภาระค่าเบี้ยประกันด้วย และในระยะต่อไปหากระบบการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้รับความสนใจจากเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราค่าเบี้ยประกันภัยมีแนวโน้มลดลง รวมทั้งควรพิจารณาการมีส่วนร่วมของเกษตรกรในการรับผิดชอบค่าเบี้ยประกันภัยเองในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระงบประมาณในการชดเชยค่าเบี้ยประกันภัย นอกจากนี้ ควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ ตลอดจนการศึกษาต้นทุนการประกันภัยที่สะท้อนความเสี่ยงจริง และการพิจารณานำข้อมูลความเสี่ยงภาคเกษตรอื่น ๆ อาทิ ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลความเสี่ยงการเกิดภัยแล้งและน้ำท่วม มาใช้ประกอบการคิดอัตราเบี้ยประกันภัยและการพัฒนาระบบการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13282 | ผลการประชุมคณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 ครั้งที่ 2/2561 และครั้งที่ 3/2561 | วท | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบและได้พิจารณาประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานระบบดาวเทียมนำทาง (Global Navigation Satellite System : GNSS) ของประเทศ (๒) โครงการสำรวจความสูงภูมิประเทศของประเทศไทยด้วยแสงเลเซอร์ (LiDAR) (๓) โครงการกราด (scan) ฟิล์มภาพถ่ายทางอากาศเป็นข้อมูลเชิงเลข เพื่อการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (๔) โครงการพัฒนาระบบภูมิสารสนเทศสถิติ (NSO-GIS) (๕) โครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) และ (๖) โครงการจัดทำข้อมูลแนวเขตการปกครองระดับหมู่บ้านมาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13283 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 25 (25th ALMM) และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย | รง | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ (25th ASEAN Labour Ministers Meeting : the 25th ALMM) และการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๑๐ (The 10th ALMM+3) ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (พลตำรวจเอก สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ ในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ จัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลัก “การส่งเสริมงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการเจริญเติบโตอย่างเท่าเทียมและทุกคนมีส่วนร่วมในประชาคมอาเซียน” ซึ่งที่ประชุมสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเร่งส่งเสริมให้แรงงานมีความพร้อม มีทักษะ และมีขีดความสามารถในการปรับตัวควบคู่ไปกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมที่สำคัญ เช่น ขอบเขตอำนาจหน้าที่รัฐมนตรีอาเซียน (TOR) รัฐมนตรีแรงงานอาเซียน (ALMM) เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของกรอบความร่วมมือรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนให้มีแนวปฏิบัติเป็นมาตรฐานสากล และแถลงการณ์ร่วมของที่ประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ ซึ่งเป็นเอกสารสรุปผลการประชุม ความคืบหน้าของการขับเคลื่อนเอกสารผลลัพธ์ต่าง ๆ และการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริมการขับเคลื่อนงานด้านแรงงาน เป็นต้น ๒. การประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๑๐ ในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและแนวปฏิบัติของแต่ละประเทศในการส่งเสริมงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการจ้างงานรูปแบบใหม่ และการเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งได้รับทราบและชื่นชมผลการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างอาเซียนและประเทศบวกสาม ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลีในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน การให้บริการจัดหางาน และระบบประกันสังคมและประกันการจ้างงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13284 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ด่านพรมแดนบ้านฮวก) | กค | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยกำหนดด่านพรมแดนเพิ่มเติม ในลำดับที่ ๗ จังหวัดเชียงราย คือ ด่านพรมแดนบ้านฮวก ตั้งอยู่บริเวณบ้านฮวก หมู่ที่ ๑๒ ตำบลภูซาง อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา รวมทั้งกำหนดให้บริเวณบ้านฮวกดังกล่าวเป็นเขตศุลกากร เพื่อให้สอดคล้องกับการเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวกตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๑ เรื่อง การเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13285 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "มาตรฐานสถานรับดูแลผู้สูงอายุ" ของคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง “มาตรฐานสถานรับดูแลผู้สูงอายุ” โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รวบรวมผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ โดยมีผลการดำเนินการรวม ๓ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านนโยบาย เช่น กรมกิจการผู้สูงอายุได้กำหนดมาตรฐานการดูแลผู้สูงอายุเพื่อเป็นมาตรฐานกลางของประเทศ โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักขับเคลื่อนมาตรฐานสถานดูแลผู้สูงอายุ ส่วนกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักขับเคลื่อนมาตรฐานผู้ดูแลผู้สูงอายุ และกรมอนามัยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักขับเคลื่อนมาตรฐานหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุ เป็นต้น (๒) ด้านกฎหมาย เช่น กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำร่างกฎกระทรวงกำหนดให้กิจการดูแลผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงเป็นสถานประกอบการเพื่อสุขภาพตามกฎหมายว่าด้วยสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ขณะนี้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวอยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรี สำหรับการจัดเก็บภาษีจากค่าบริการดูแลผู้สูงอายุจากชาวต่างชาติในอัตราสูงกว่าคนไทย กระทรวงการคลังเห็นว่าไม่สามารถปฏิบัติได้ในระดับรัฐบาลกลาง เนื่องจากขัดกับหลักการจัดเก็บภาษีอากร และ (๓) ด้านการปฏิบัติการ เช่น กรมกิจการผู้สูงอายุได้อาศัยกลไกคณะอนุกรรมการบูรณาการจัดทำมาตรฐานการดูแลผู้สูงอายุ ภายใต้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ โดยทบทวนกิจการการดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทยเพื่อหามาตรการกำกับดูแลก่อนที่กฎกระทรวงฯ มีผลใช้บังคับ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13286 | การจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง | นร09 | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงคมนาคม รวม ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ได้แก่ (๑) ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยกลุ่มภารกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... และ (๓) ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกลุ่มภารกิจให้สอดคล้องกับการจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง และการปรับปรุงโครงสร้างของกรมการบินพลเรือน และจัดตั้งเป็นกรมท่าอากาศยาน และเป็นการแบ่งส่วนราชการของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรและกรมการขนส่งทางรางให้สอดคล้องกับการจัดตั้งกรมการขนส่งทางรางดังกล่าว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำร่างกฎกระทรวงตาม (๑) เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนาม และส่งร่างกฎกระทรวงตาม (๒) และ (๓) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาลงนาม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการลงนามเมื่อร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๒ (การจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง) มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมาย แล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรมีการบูรณาการระหว่างกรมการขนส่งทางรางกับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เพื่อให้การพัฒนาระบบรางเชื่อมโยงกับการขนส่งระบบอื่น และการสรรหาบุคลากรในกรมการขนส่งทางราง ควรเน้นการคัดเลือกบุคลากรที่มีองค์ความรู้ตามภารกิจที่กำหนด ซึ่งจำเป็นต้องมีความชำนาญสูง นอกจากนี้ ภารกิจการออกใบอนุญาตประกอบกิจการขนส่งทางรางของกองกำกับกิจการขนส่งทางราง ควรพิจารณาให้มีกลไกการกำกับดูแลและอำนาจในการลงโทษ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13287 | ผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง สถานการณ์คนต่างด้าวในประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง สถานการณ์คนต่างด้าวในประเทศไทย โดยกระทรวงแรงงานได้รวบรวมผลการพิจารณาศึกษาข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่าได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ในบางส่วนแล้ว เช่น กรณีส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดส่งแรงงานแบบรัฐต่อรัฐอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย กระทรวงแรงงานได้ประชุมระดับวิชาการระหว่างประเทศเพื่อหารือการนำเข้าแรงงานตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐ (MOU) ตามที่ประเทศไทยได้มีการลงนามกับประเทศต้นทาง (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) กรณีพิจารณาจำกัดโควตาเรือขนาดใหญ่ซึ่งลูกเรือเกือบทั้งหมดเป็นแรงงานต่างด้าวให้มีจำนวนเรือสมดุลกับทรัพยากรในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน คงเรือประมงขนาดเล็กต่ำกว่า ๓๐ ตันกรอสส์แทน กรมประมงได้กำหนดให้เรือประมงแต่ละลำสามารถทำการประมงได้ทั้งปี โดยคงเรือขนาดน้อยกว่า ๓๐ ตันกรอสส์ ส่วนกรณีพิจารณาจำกัดขอบเขตในการให้บริการสาธารณสุขแก่คนต่างด้าว กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดขั้นตอนการรับบริการไว้อย่างชัดเจน โดยคนต่างด้าวต้องเข้าสู่การบริการสุขภาพตามระบบที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด และกรณีพิจารณาทบทวนการให้สถานะบุคคลและสัญชาติแก่ชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์ ๑๙ กลุ่ม (Set Zero) เพื่อให้เกิดความภูมิใจในความเป็นคนไทย กระทรวงมหาดไทยได้คำนึงถึงหลักความมั่นคงของประเทศควบคู่กับหลักสิทธิมนุษยชนอย่างสมดุล ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ โดยได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมาโดยตลอด ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13288 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางชะนี และตำบลไทรน้อย อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... | กษ | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางชะนี และตำบลไทรน้อย อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางชะนี และตำบลไทรน้อย อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อประโยชน์แก่การชลประทานในการก่อสร้างประตูระบายน้ำและประตูเรือสัญจรพร้อมอาคารประกอบตามโครงการประตูระบายน้ำปากคลองบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13289 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... | สว | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... ได้แก่ (๑) การเร่งรัดให้มีการแต่งตั้งประธานสภาและกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิชุดใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศมีความต่อเนื่องและรวดเร็ว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เตรียมกระบวนการในการสรรหา แต่งตั้งประธานสภาและกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว (๒) การเร่งรัดการจัดทำกฎหมายลำดับรองเพื่อรองรับการดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ และให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปด้านกฎหมาย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดทำระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือกรอบการดำเนินการบริหารภายในของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไว้แล้ว และ (๓) การพิจารณาปรับปรุงแก้ไขแนวทางปฏิบัติ หรือรายละเอียดการปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติประจำปีที่จัดทำไว้เดิมให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่มีการแก้ไข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้กำหนดแนวทางดำเนินการไว้ ๒ แนวทาง คือ เมื่ออยู่ระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติมแผนพัฒนาฯ ให้หน่วยงานดำเนินการตามแผนประจำปีเดิมที่กำหนดไว้ และเมื่อแก้ไขเพิ่มเติมแผนพัฒนาฯ เสร็จแล้ว ให้หน่วยงานดำเนินการปรับแผนการดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ ฉบับแก้ไข โดยกรอบวงเงินงบประมาณจะต้องไม่เกินจากกรอบเดิม เพื่อไม่ให้กระทบต่องบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้จัดสรรไว้ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13290 | ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ระยะที่ 2 | ปช | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ระยะที่ ๒ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) ได้แก่ ให้สำนักงาน ป.ป.ท. เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการยกระดับค่าคะแนน CPI และให้สำนักงาน ป.ป.ท. ประสานกับหน่วยงานภาคเอกชนหรือมูลนิธิที่มีความพร้อมเพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ พร้อมทั้งส่งเสริมให้ภาคส่วนต่าง ๆ ตระหนักถึงความสำคัญของการยกระดับค่าคะแนน CPI ๑.๒ ข้อเสนอต่อรัฐบาล เช่น รัฐบาลควรมอบหมายหน่วยงานหลักและหน่วยงานรองเพื่อรับผิดชอบการยกระดับค่าคะแนน CPI ในทุกแหล่งข้อมูล รัฐบาลต้องนำแผนปฏิรูปประเทศ ๑๑ ด้าน ไปขับเคลื่อนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดให้มีกลไกการคุ้มครองพยานและผู้แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริต (Whistleblower) เป็นต้น ๒. ให้สำนักงาน ป.ป.ท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น (๑) ประเด็นการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันในประเด็นต่าง ๆ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่า สำนักงาน ป.ป.ท. ควรเป็นหน่วยงานในการขับเคลื่อนการยกระดับคะแนน CPI ร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. และควรกำหนดหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบแผนปฏิรูปประเทศทั้ง ๑๑ ด้าน เพื่อดำเนินการร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. และ (๒) ประเด็นการสนับสนุนงบประมาณและการจัดตั้งหน่วยงานเพิ่มเติม สำนักงบประมาณเห็นว่า สำนักงาน ป.ป.ท. ควรพิจารณาปรับปรุงบทบาท ภารกิจ โครงสร้างของหน่วยงานที่มีอยู่เดิมเป็นลำดับแรกก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการซ้ำซ้อนของภารกิจและก่อให้เกิดภาระงบประมาณรายจ่ายเกินความจำเป็น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13291 | รายงานการติดตามผลการบริหารจัดการขยะติดเชื้อขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร01 | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการติดตามผลการบริหารจัดการขยะติดเชื้อขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วยรายงานสถานการณ์ในภาพรวม และอุปสรรคในการดำเนินงาน พร้อมทั้งข้อเสนอของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๑ เกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการจัดการขยะติดเชื้อขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เช่น การจัดทำแผนแม่บทการจัดการขยะติดเชื้อ (Master Plan) การออกกฎกระทรวง หลักเกณฑ์ และวิธีการเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการขยะติดเชื้อขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การป้องกันการลักลอบนำขยะติดเชื้อออกนอกระบบ การจัดทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เป็นแหล่งกำเนิดขยะติดเชื้อ การจัดทำคู่มือในการดำเนินงานการบริหารจัดการขยะติดเชื้อ และการจัดอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาปรับปรุงแผนการบริหารจัดการขยะติดเชื้อให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิบัติการการจัดการมูลฝอยติดเชื้อ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔ พร้อมทั้งให้ทำการบำบัดขยะติดเชื้อก่อนขนส่งไปกำจัดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคในระหว่างขนส่ง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13292 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 7 ของกระบวนการบาหลีว่าด้วยการลักลอบขนคน การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้อง และการประชุมระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนของกระบวนการบาหลี ครั้งที่ 2 | กต | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๗ ของกระบวนการบาหลีว่าด้วยการลักลอบขนคน การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้อง (กระบวนการบาหลี) (Bali Process on People Smuggling, Trafficking in Persons and Related Transnational Crime-Bali Process) และผลการประชุมระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนของกระบวนการบาหลี ครั้งที่ ๒ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วม เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๗ ของกระบวนการบาหลีว่าด้วยการลักลอบขนคน การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้อง ที่ประชุมได้รับรองปฏิญญาการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๗ ของกระบวนการบาหลีว่าด้วยการลักลอบขนคน การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีประเด็นเพิ่มเติมในเรื่องการย้ำถึงบทบาทของกระบวนการบาหลีในฐานะเวทีเพื่อหารือเชิงนโยบาย แบ่งปันข้อมูล และเสริมสร้างศักยภาพ บนพื้นฐานของความสมัครใจ และไม่มีข้อผูกมัด และย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะไม่ให้ผู้พลัดถิ่นกลายเป็นเหยื่อของการลักลอบขนคน และการค้ามนุษย์ รวมทั้งสนับสนุนการเดินทางกลับอย่างสมัครใจ ปลอดภัย และยั่งยืน นอกจากนี้ ยังเห็นว่าในอนาคตกระบวนการบาหลีน่าจะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาช่องทางการโยกย้ายถิ่นฐานแบบปกติและถูกกฎหมาย โดยเฉพาะการนำข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติมาปฏิบัติใช้ ๒. การประชุมระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนของกระบวนการบาหลี ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมได้รับทราบเอกสารข้อเสนอแนะเรื่องการตระหนักรู้ การดำเนินการปฏิบัติ และความก้าวหน้า (Acknowledge, Act, Advance Recommendations : AAA Recommendations) ที่เสนอโดยผู้แทนภาคเอกชน มีสาระสำคัญเกี่ยวกับข้อเสนอแนะสำหรับการดำเนินการร่วมกันในการขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงาน การทาสสมัยใหม่ และการใช้แรงงานเด็กในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ผ่านการสร้างความตระหนักรู้และการยอมรับปัญหา (acknowledge) การลงมือแก้ไขปัญหา (act) และการขับเคลื่อนต่อยอดความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน (advance)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13293 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการค้ามนุษย์ | พม | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการค้ามนุษย์ มีสาระสำคัญมุ่งป้องกันและปราบปรามบุคคลและกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยเชื่อมั่นว่า การปราบปรามการค้ามนุษย์และการคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์โดยการร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพ และปรารถนาที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือระดับทวิภาคีอันเป็นประโยชน์ร่วมกันสำหรับทั้งสองประเทศในการต่อต้านการค้ามนุษย์และกระชับความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างคู่ภาคี ทั้งนี้ ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในการจัดพิธีลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13294 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2562 | นร10 | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๒ ซึ่งมีประเด็นข้อสั่งการสำคัญที่มอบหมายให้คณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่ารับไปดำเนินการรวม ๑๓ ประเด็น เพื่อให้คณะรัฐมนตรีติดตามและประเมินผลปฏิบัติราชการของหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น (๑) การสร้างความรู้ ความเข้าใจ และดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฝุ่นละออง PM25 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น (๒) การพัฒนาแนวทางการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ และ (๓) การพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ของประเทศเพื่อเพิ่มทักษะการทำงานยุคประเทศไทย ๔.๐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงแรงงาน ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13295 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ | นร01 | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑ ได้แก่ (๑) การจัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค (๒) การพัฒนาคูคลองในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ปทุมธานีและนนทบุรี) และ (๓) กิจกรรมพัฒนาคลองเปรมประชากรและคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริให้ถูกต้องทั่วถึง รวมทั้งให้เชิญชวนส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ เอกชน และประชาชนในทุกภาคส่วน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนการดำเนินโครงการจิตอาสาฯ ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้อย่างแท้จริง เช่น การจัดหาเครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ และปัจจัยการผลิตทางการเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในแต่ละพื้นที่
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13296 | การให้สัตยาบันกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนโดยยานพาหนะทางถนน (ASEAN Framework Agreement on the Facilitation of Cross Border Transport of Passengers by Road Vehicles:ASEAN CBTP) | คค | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในการให้สัตยาบันกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้ร้ายข้ามพรมแดนโดยยานพาหนะทางถนน (ASEAN Framework Agreement on the Facilitation of Cross Border Transport of Passengers by Road Vehicles : ASEAN CBTP) ของประเทศไทย มีสาระสำคัญเป็นการแลกเปลี่ยนสิทธิในการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนโดยใช้ยานพาหนะทางถนนเส้นทางที่กำหนด ภายใต้โควตาการออกใบอนุญาตเดินรถโดยสารไม่เกิน ๕๐๐ คัน/ประเทศ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสารเพื่อการดังกล่าวและดำเนินการยื่นต่อเลขาธิการอาเซียนต่อไป ทั้งนี้ กรอบความตกลง ASEAN CBTP มีกำหนดการเริ่มดำเนินการในปี ๒๕๖๒ โดยในปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดยื่นสัตยาบันสาร ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาแนวทางการสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางจากถนนสู่รางบริเวณด่านการค้าชายแดน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานระบบรางของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติงานและจัดสร้างแนวทางการบูรณาการการทำงานเพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์ของกรอบความตกลง ASEAN CBTP โดยการดำเนินงานให้คำนึงถึงกรอบยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) และนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13297 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร รายการเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม | ศย | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ แผนงานบุคลากรภาครัฐ ค่าใช้จ่ายบุคลากร รายการเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม ที่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แล้วมาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ การใช้จ่ายเงินสำหรับการดำเนินภารกิจดังกล่าวจะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด พิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืน ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13298 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ 6 และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส กระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ 5 ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล | รง | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ (Colombo Process : CP) ครั้งที่ ๖ และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน (พลตำรวจเอก อำนาจ อันอาตม์งาม) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๕ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (๑) ที่ประชุมฯ มีมติรับทราบความก้าวหน้าของผลการดำเนินงานของคณะทำงานประเด็นหลัก (Thematic Area Working Groups : TAWGs) ภายใต้ CP ทั้ง ๕ คณะ โดยในส่วนของการวิเคราะห์ตลาดแรงงานที่ไทยเป็นประธานคณะทำงาน นั้น ได้มีการรายงานว่า ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๐-ปัจจุบัน ได้มีการดำเนินกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ โครงการศึกษาระบบข้อมูลตลาดแรงงานในประเทศสมาชิก CP ซึ่งเป็นโครงการเกี่ยวกับการจัดทำข้อมูลสถานการณ์ตลาดแรงงาน และนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการจัดทำนโยบายด้านการจ้างแรงงานในต่างประเทศของรัฐบาลประเทศสมาชิก CP (๒) ที่ประชุมฯ มีมติสนับสนุนร่างข้อตกลงระหว่างการโยกย้ายถิ่นฐานแรงงานระหว่างประเทศและร่างข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ (Global Compact for Safe, Orderly and Regular Migration : GCM) และนำข้อกำหนดภายใต้วัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องของ GCM ไปเป็นแนวทางในการดำเนินการด้านการจ้างงานในต่างประเทศและแรงงานที่มีสัญญาจ้างทั้งในระดับภูมิภาคและระดับทวิภาคี เพื่อส่งเสริมให้บรรลุเป้าหมายหลักของ CP คือ การโยกย้ายถิ่นฐานแรงงานที่ปลอดภัยในทุกขั้นตอนของการโยกย้ายถิ่นฐาน แรงงานเข้าถึงการทำงานที่มีคุณภาพในประเทศผู้รับ และ (๓) ที่ประชุมฯ ได้พิจารณาเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ ร่างรายการข้อกำหนดของความตกลงการโยกย้ายถิ่นฐานแรงงานระหว่างรัฐหรือร่างประเด็นที่จำเป็นในการจัดทำบันทึกข้อตกลงทวิภาคีด้านแรงงาน ที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบไม่เสนอร่างรายการข้อกำหนดฯ ให้ที่ประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบก ครั้งที่ ๖ รับรอง เนื่องจากร่างดังกล่าวจัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญประเทศกระบวนการโคลัมโบ ประจำการ ณ นครเจนีวา เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่ผ่านการหารือจากประเทศสมาชิกกระบวนการโคลัมโบ (ในส่วนของเมืองหลวง) และร่างปฏิญญากาฐมาณฑุหรือร่างปฏิญญารัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ที่ประชุมฯ เห็นชอบให้ปรับแก้ร่างปฏิญญาฯ โดยไม่กระทบต่อสาระสำคัญ และให้เสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๖ ต่อไป ๒. ผลการประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๖ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ที่ประชุมฯ ได้รับรองร่างปฏิญญากาฐมาณฑุหรือร่างปฏิญญารัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ซึ่งเป็นฉบับที่ปรับแก้ไขตามมติที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๕ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13299 | แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2561 - 2564 | มท | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ เพื่อเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความปลอดภัยทางถนน ตามที่คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติเสนอ และให้คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ควรกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละตัวชี้วัดและกลยุทธ์ ควรกำหนดโครงการที่มีความสำคัญในระดับพื้นที่ ควรตรวจสอบแผนงาน/โครงการภายใต้แผนแม่บทฯ ในประเด็นการเข้าข่ายการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (๒) ควรให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบการจัดการด้านความปลอดภัยทางถนนให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว ควรพิจารณาจัดทำแผนปฏิบัติการ โดยให้ความสำคัญกับการกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง และในกรณีที่แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประกาศใช้แล้ว เห็นควรให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพิจารณาปรับปรุงแผนแม่บทฯ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ ให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๕ (๑) อีกครั้งหนี่งต่อไป และ (๓) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรบูรณาการการดำเนินการตามกรอบแนวทางที่กำหนดไว้ โดยกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบ เป้าหมาย และตัวชี้วัดให้ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการจราจรอย่างเป็นระบบ และสามารถแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดคับคั่งได้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น การควบคุมสัญญาณไฟจราจรที่ควรปรับเปลี่ยนระยะเวลาการให้สัญญาณหยุดรถและเดินรถได้อย่างอัตโนมัติ สอดคล้องกับปริมาณการจราจรจริงในสายทางนั้น ๆ และเชื่อมโยงกับสภาพการจราจรในพื้นที่ข้างเคียง การแจ้งเตือนพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่นหรือเป็นจุดเสี่ยงอันตราย รวมทั้งการพิจารณาปรับปรุงการกำหนดอัตราความเร็วของรถให้มีความเหมาะสมกับสภาพการจราจรในพื้นที่ต่าง ๆ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้วย เช่น อัตราความเร็วสูงของรถบนทางหลวงและทางหลวงพิเศษ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13300 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงพลังงานและกระทรวงแรงงานและการสนับสนุนงบประมาณให้กับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อใช้สำหรับการบรรจุอัตราพนักงานตั้งใหม่ | นร10 | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับกระทรวงพลังงาน (กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ) และกระทรวงแรงงาน (กรมการจัดหางานและสำนักงานประกันสังคม) โดยไม่ให้นำตำแหน่งที่ได้รับจัดสรรมายุบเลิกเพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอื่นเป็นระดับสูงขึ้น ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ตามลำดับ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะกรรมการและเลขานุการร่วม คปร. เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว หากมีความจำเป็นต้องสรรหาอัตราบุคลากรตั้งใหม่และสามารถบรรจุได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามความจำเป็นและทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมตามความสามารถในการใช้จ่ายตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาพัฒนาศักยภาพบุคคลที่มีอยู่เดิมทั้งข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างให้มีความพร้อมที่จะรองรับภารกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้การใช้กำลังคนมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่า รวมทั้งให้เร่งดำเนินการบรรจุและแต่งตั้งบุคคลในอัตราข้าราชการ/พนักงานตั้งใหม่ให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจที่เพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้บรรลุผลสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. รับทราบผลการพิจารณาของ คปร. ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เกี่ยวกับอัตราพนักงานตั้งใหม่ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
.....