ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 668 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 13341 - 13360 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13341 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... | นร09 | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแบ่งส่วนราชการของกรมศุลกากร เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและเหมาะสมกับสภาพงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่และอำนาจมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13342 | รายงานการตรวจสอบสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | กค | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการตรวจสอบสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ประกอบด้วยการตรวจสอบการเงินและบัญชี การตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง และการตรวจสอบการดำเนินงาน ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่า งบการเงินแสดงฐานะการเงินของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ และผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันโดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13343 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สม | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รวมพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้กับร่างพระราชกฤษฎีกาที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกันซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็นฉบับเดียวกัน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13344 | มาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน | ปช | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) มีข้อเสนอแนะเพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ได้แก่ (๑) ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล (๒) ข้อเสนอแนะต่อ สพฐ. และ (๓) ข้อเสนอแนะต่อกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมาตรการดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งรัดการดำเนินมาตรการลดความไม่โปร่งใสในการรับนักเรียนอย่างจริงจัง ควบคู่กับการปรับเชิงระบบ/โครงสร้างในการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพสถานศึกษาเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13345 | การดำเนินโครงการตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) | อื่นๆ | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) นำเงินงบประมาณตามมติคณะรัฐมนตรีที่คงเหลือ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ จำนวน ๔๐๐,๔๒๗,๐๓๗ บาท เพื่อดำเนินโครงการตามภารกิจของ บจธ. จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร วงเงิน ๒๓๓,๒๕๓,๕๓๕ บาท (๒) โครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน วงเงิน ๔๔,๗๘๕,๕๐๑ บาท (๓) โครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน วงเงิน ๘๖,๐๓๒,๖๘๗ บาท และ (๔) โครงการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านที่ดินจากการดำเนินนโยบายของรัฐ จำนวน ๓๖,๓๕๕,๓๑๔ บาท โดยมีระยะเวลาในการดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑-๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ตามที่ บจธ. เสนอ ทั้งนี้ ให้ บจธ. เร่งดำเนินโครงการทั้ง ๔ โครงการ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมและบรรลุวัตถุประสงค์ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ และรายงานผลการดำเนินโครงการต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อทราบ รวมทั้งให้ บจธ. ประสานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อนำผลการดำเนินโครงการไปบรรจุไว้ในผลการดำเนินงานของรัฐบาลด้วย ๒. ให้ บจธ. ประสานงานกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายในการดำเนินโครงการ เช่น กลุ่มเป้าหมาย ความต้องการรับความช่วยเหลือ พื้นที่ดำเนินการ เพื่อลดขั้นตอนและระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล รวมทั้งเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินโครงการและไม่เป็นภาระต่องบประมาณของประเทศมากเกินไป ๓. ให้ บจธ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงบประมาณ เช่น ผู้เข้าร่วมโครงการอาจมีสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาเช่าที่ดินที่มีลักษณะเป็นสัญญาระยะยาว ดังนั้น ในการดำเนินโครงการ บจธ. ควรคำนึงถึงประเด็นที่จะต้องมีการยุบเลิกหน่วยงานตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงควรมีแผนรองรับในกรณีที่ไม่สามารถจัดตั้งองค์กรใหม่ได้ทันตามกำหนดเวลา นอกจากนี้ บจธ. ควรมีการกำหนดรายละเอียดวิธีการดำเนินโครงการให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และควรมีแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เกิดจากการดำเนินโครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13346 | ขอเสนอให้ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ | กษ | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๑ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม เป็นประธานกรรมการ พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า มิติวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ปลากัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติแล้ว มิติด้านประโยชน์ใช้สอย ปลากัดไทยได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอยในหลายประการ โดยเฉพาะด้านการส่งเสริมการเพาะเลี้ยง และการสร้างนวัตกรรมด้านการเพาะพันธุ์ ซึ่งนำไปสู่การนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์การประมงเพื่อสะท้อนความเป็นไทยได้ และมิติด้านความเป็นเจ้าของและความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว “ปลากัดไทย” (ชื่อวิทยาศาสตร์ Betta splendens) นั้น เป็นที่รู้จักในระดับสากล ผ่านชื่อ “Siamese Fighting Fish” หรือ “Siamese Betta” จึงเป็นเครื่องสะท้อนอย่างชัดเจนว่า ปลากัดไทยมีต้นกำเนิดมาจากไทย และสามารถใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้ จึงเห็นควรให้ใช้เหตุผลนี้ประกาศให้ “ปลากัดไทย” เป็นสัตว์น้ำประจำชาติเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13347 | ร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. .... | รง | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง วิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน การชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน การปิดงานและการนัดหยุดงาน คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ เพิ่มบทบัญญัติให้มีคณะกรรมการส่งเสริมการแรงงานสัมพันธ์ ตลอดจนปรับปรุงอัตราโทษให้เหมาะสม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13348 | ร่างพระราชบัญญัติอาหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติอาหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์อาหาร และการกำกับดูแลอาหาร โดยกำหนดให้ผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศทำหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาอนุญาตอาหาร การผลิตเพื่อการส่งออก กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการโฆษณาอาหาร การดำเนินการกับอาหารหรือภาชนะบรรจุที่พนักงานเจ้าหน้าที่ยึดหรืออายัดไว้ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กลไกในการพิจารณาอนุญาตมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาอัตราโทษปรับให้มีความเหมาะสม และให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิตอาหารเพื่อส่งออกต้องจัดเก็บเอกสารหรือหลักฐานเกี่ยวกับข้อกำหนดของประเทศผู้ซื้อหรือผู้สั่งซื้อ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบนั้น อาจเป็นการเพิ่มภาระของผู้ประกอบการในการจัดเก็บเอกสารดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวควรมีความชัดเจนและไม่ซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และควรระบุคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาอนุญาตที่อาจยกเว้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือบางส่วนให้ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13349 | โครงการปรับปรุงกิจการประปาภายหลังการรับโอน การประปาส่วนภูมิภาคสาขากันตัง (ควนกุน) | มท | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนงานโครงการปรับปรุงกิจการประปาภายหลังการรับโอนการประปาส่วนภูมิภาค สาขากันตัง (ควนกุน) (ฉบับปรับปรุง) วงเงินลงทุน ๒๙,๕๗๙,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้จัดสรรงบประมาณให้แล้ว จำนวน ๕,๕๑๓,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑๖,๖๗๑,๒๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่ได้รับอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาค (กปน.) รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณ เช่น (๑) เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเข้มงวด (๒) ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. คำนึงถึงศักยภาพของแหล่งน้ำดิบในพื้นที่ให้เพียงพอต่อการใช้น้ำในอนาคต และ (๓) กปภ. ควรกำกับดูแลและบริหารโครงการฯ ให้สอดคล้องกับแผนงานที่กำหนดไว้ และควรศึกษารูปแบบและแนวทางจัดหาแหล่งเงินทุนอื่น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ (เรื่อง การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนประเทศไทย) วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานการศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) และวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เป็นกรณีเฉพาะราย ทั้งนี้ ในส่วนของการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทน ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. ดำเนินการให้เป็นไปตามนัยระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13350 | โครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) | มท | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟภ.) ยกเลิกการดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๐ และอนุมัติให้ กฟภ. ดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) วงเงินลงทุน ๒๒๑ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๑๖๕ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน ๕๖ ล้านบาท รวมทั้งเห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๑๖๕ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการฯ โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติของประเทศไทย และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ) เพื่อดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) ของ กฟภ. รวมถึงผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ เกี่ยวกับการห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณี เพื่อดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) ของ กฟภ. ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศในกรอบวงเงิน ๑๖๕ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว และพิจารณาปรับสัดส่วนแหล่งเงินลงทุนของโครงการฯ โดยให้ใช้เงินรายได้ของ กฟภ. เพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมของสถานะทางการเงินของ กฟภ. พร้อมทั้งจัดทำแผนการใช้เงินและเสนอความต้องการกู้เงินสำหรับบรรจุไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ปฏิบัติตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมกรณีการดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด สำหรับค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงป่าชายเลนตามระเบียบดังกล่าว ให้ กฟภ. ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ กฟภ. ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของ กฟภ. ในคราวต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กฟภ. ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13351 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อื่นๆ | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาดำเนินการของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) และแก้ไขการกำหนดอายุขั้นสูงของประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการ บจธ. ตามที่ บจธ. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ขยายระยะเวลาดำเนินการของ บจธ. ออกไปอีกคราวละไม่เกิน ๑ ปี แต่รวมระยะเวลาแล้วไม่เกิน ๓ ปี โดยมีเงื่อนไขว่า หากคณะรัฐมนตรีเห็นว่าการดำเนินการของ บจธ. ไม่เกิดผลสัมฤทธิ์หรือไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับภาระงบประมาณตามรายงานผลการดำเนินการในแต่ละปีที่ บจธ. ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๙๐ วัน ก่อนครบกำหนดระยะเวลาในแต่ละ ๑ ปี และมีมติให้ยุบเลิก บจธ. ก็ให้ บจธ. เป็นอันยุบเลิก แล้วให้รัฐมนตรีประกาศยุบเลิก บจธ. ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้ บจธ. ไปพิจารณาปรับปรุงการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจนให้สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาการสูญเสียที่ดินและการจัดการที่ดินให้เกษตรกรนาแปลงรวม และรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน เช่น ควรเร่งผลักดันให้มีการจัดตั้งธนาคารที่ดินโดยเร็วขึ้น และควรกำหนดแผนและเป้าหมายการดำเนินการที่ชัดเจน ให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดในเชิงคุณภาพและปริมาณของยุทธศาสตร์ในแผนบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรที่ดินของประเทศ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๕) เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13352 | แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอหนังสือสัญญาตามบทบัญญัติมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย | นร05 | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอหนังสือสัญญาตามบทบัญญัติมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดทำขึ้น และให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติ ดังนี้
๑. กรณีหน่วยงานของรัฐจัดทำหนังสือสัญญาที่ไม่ต้องเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้แก่ หนังสือสัญญาที่ไม่เข้าลักษณะประเภทหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสองและวรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบก่อนดำเนินการต่อไป ๒. กรณีหน่วยงานของรัฐจัดทำหนังสือสัญญาที่ต้องเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสองและวรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้แก่ หนังสือสัญญาที่เข้าลักษณะสี่ประเภทตามที่กำหนดในมาตรา ๑๗๘ วรรคสองและวรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้แก่ (๑) หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย (๒) หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย หรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญา หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ (๓) หนังสือสัญญาที่จะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา และ (๔) หนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้า หรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องถือปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ ๒.๑ กรณีเป็นหนังสือสัญญาที่กำหนดขั้นตอนการลงนามและขั้นตอนการแสดงเจตนาให้มีผลผูกพัน (consent to be bound) แยกออกจากกัน โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อได้มีการแสดงเจตนาให้มีผลผูกพัน ซึ่งการลงนามในขั้นตอนนี้เป็นการแสดงเจตจำนงทางการเมืองในทางนโยบายของไทยที่จะดำเนินการตามหนังสือสัญญาดังกล่าว โดยหนังสือสัญญายังไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายตามกฎหมายระหว่างประเทศต่อประเทศไทย สำหรับขั้นตอนการแสดงเจตนาให้มีผลผูกพัน (consent to be bound) เช่น การให้สัตยาบัน การแจ้ง การรับรอง หรือการยอมรับ เป็นขั้นตอนที่ทำให้หนังสือสัญญามีผลผูกพันทางกฎหมายตามกฎหมายระหว่างประเทศต่อประเทศไทย ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบ และขออนุมัติการลงนามในหนังสือสัญญาดังกล่าว พร้อมทั้งขอให้คณะรัฐมนตรีเสนอขอความเห็นชอบต่อรัฐสภามาในคราวเดียวกัน โดยเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่เสนอและให้ขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องดำเนินการให้มีการลงนามได้ เมื่อลงนามแล้วจึงเสนอเรื่องต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว จึงจะดำเนินการแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันได้ ๒.๒ กรณีเป็นหนังสือสัญญาที่กำหนดขั้นตอนการลงนามเพียงขั้นตอนเดียว โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อได้มีการลงนามแล้ว ซึ่งเป็นขั้นตอนการแสดงเจตนาให้มีผลผูกพัน (consent to be bound) หรือเป็นหนังสือสัญญาที่มีผลใช้บังคับไปแล้ว และประเทศไทยประสงค์จะเข้าเป็นภาคีในภายหลังโดยการภาคยานุวัติ (accession) ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องเสนอขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบก่อนการลงนามในหนังสือสัญญาดังกล่าว หรือก่อนการภาคยานุวัติ ๓. กรณีหน่วยงานของรัฐมีปัญหาว่าหนังสือสัญญาใดเป็นกรณีตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสองหรือวรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่ ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องเสนอหนังสือสัญญาดังกล่าวเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการตามมาตรา ๑๗๘ วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13353 | แผนการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2562 - 2564) | กต | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแผนการหารือระหว่างกัน ณ กรุงเทพมหานครและกรุงมอสโก ในประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) ความร่วมมือระดับทวิภาคี (๒) ความร่วมมือระดับภูมิภาคและพหุภาคีในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในด้านการเมือง ความมั่นคง และการรวมตัวทางเศรษฐกิจ และ (๓) การปลดอาวุธและไม่แพร่ขยายอาวุธ เป็นต้น โดยจะมีการหารือในสองระดับ คือ ระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและระดับกรมของกระทรวงการต่างประเทศที่มีขอบเขตความรับผิดชอบใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ จะมีการลงนามในร่างแผนการหารือฯ ฉบับที่ ๔ ในช่วงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดินทางเยือนสหพันธรัฐรัสเซีย ระหว่างวันที่ ๗-๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างแผนการหารือฯ ฉบับที่ ๔ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนการหารือฯ ฉบับที่ ๔ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13354 | ขอความเห็นชอบข้อกำหนดคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรป ในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และแต่งตั้งคณะทำงานฝ่ายไทย ของคณะทำงานร่วมฯ | นร | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อกำหนดคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรปในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และการแต่งตั้งคณะทำงานฝ่ายไทยของคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรปในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม โดยข้อกำหนดฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบแนวทางในการดำเนินความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและสหภาพยุโรปเพื่อต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) โดยกำหนดจัดประชุมหารือทุกปีเกี่ยวกับข้อริเริ่มระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาคในการต่อต้านการทำประมง IUU การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมด้านการทำประมง IUU และสถานการณ์ที่น่ากังวลในประเทศที่สาม รวมทั้งประสานงานในโครงการพัฒนาต่าง ๆ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ประธานอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อกำหนดฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้คณะทำงานฝ่ายไทยของคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรปฯ รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาความเหมาะสมในการสร้างความร่วมมือในการศึกษาวิจัยเพื่อสนับสนุนการขยายผลการต่อต้านการทำประมง IUU โดยให้ความสำคัญกับการติดตาม รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อชี้ให้เห็นถึงผลประโยชน์ในมิติต่าง ๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศที่เข้าร่วมการต่อต้านการทำประมง IUU และการถอดบทเรียนจากความสำเร็จในการดำเนินการของประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ เพื่อเผยแพร่ให้ทุกประเทศตระหนักและให้ความร่วมมือในการต่อต้านการทำประมง IUU ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ประธานอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13355 | แนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป | ลต | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑ เห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปตามมติที่ประชุมซี่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๒ ดังนี้ ๑.๑ ให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่และลูกจ้างในสังกัดของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐ ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อได้รับการร้องขอจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด หรือคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง ๑.๒ ให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่และลูกจ้างในสังกัดทุกประเภท ทุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นวางตัวเป็นกลางทางการเมือง ๑.๓ นับแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปจนถึงวันเลือกตั้ง การแต่งตั้ง (โยกย้าย) ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภทและทุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นให้พิจารณาเท่าที่จำเป็น เพื่อไม่ให้กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการเลือกตั้ง ๑.๔ ให้ข้าราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานของรัฐให้การสนับสนุนสถานที่เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๕ ให้หน่วยงานทุกฝ่ายตามข้อ ๑.๔ สนับสนุนเกี่ยวกับสถานที่ปิดประกาศและที่ติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งให้เพียงพอและเท่าเทียมกัน ๑.๖ ให้มีการสนธิกำลังระหว่างทหาร ตำรวจ พลเรือน และอาสาสมัครด้านความปลอดภัยเพื่อให้การคุ้มครองประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเจ้าหน้าที่จัดการเลือกตั้งได้รับความปลอดภัย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๒. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๙ [เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้ง] มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ [เรื่อง มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้ง] มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๐ [เรื่อง สรุปผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการการเลือกตั้ง] และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ [เรื่อง มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้ง]
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13356 | การตรวจลงตราให้กับเจ้าหน้าที่สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย [ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522] | มท | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ตามมาตรา ๑๒ (๑) ประเภทคนอยู่ชั่วคราว และอัตราค่าธรรมเนียมคำขออนุญาตเพื่ออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไป ตามมาตรา ๓๕ แก่เจ้าหน้าที่สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย และครอบครัว ซึ่งเป็นบุคคลซึ่งรัฐบาลต่างประเทศโดยความเห็นชอบของรัฐบาลไทยให้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจในราชอาณาจักร รวมทั้งคู่สมรส หรือบุตร ซึ่งอยู่ในความอุปการะและเป็นส่วนแห่งครัวเรือนของของบุคคลนั้น ตามมาตรา ๑๕ (๓) และ (๖) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้พิจารณารูปแบบ และบทอาศัยอำนาจให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13357 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (จำนวน 3 ราย 1. นางสาวอมรรัตน์ กล่ำพลบ ฯลฯ) | กค | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวอมรรัตน์ กล่ำพลบ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๑ ๒. นางวรนุช ภู่อิ่ม ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่า (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๓. นางนงลักษณ์ ขวัญแก้ว ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13358 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (จำนวน 2 คน 1. นางดวงพร รอดพยาธิ์ ฯลฯ) | พณ | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย โดยให้การแต่งตั้งมีผลตั้งแต่วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นางดวงพร รอดพยาธิ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ๒. นายวรวุฒิ โปษกานนท์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13359 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรี | นร04 | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๒/๒๕๖๒ ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13360 | รายงานผลการดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 1/2562 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรและมาตรการด้านสิทธิบัตรเป็นกรณีพิเศษ ลงวันที่ 28 มกราคม 2562 | พณ | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๖๒ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรและมาตรการด้านสิทธิบัตรเป็นกรณีพิเศษ ลงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๒ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการจำหน่ายและสั่งยกคำขอรับสิทธิบัตรสารสกัดจากกัญชาธรรมชาติ หรือที่มีสารดังกล่าวเป็นองค์ประกอบ ซึ่งนักวิชาการหรือนักวิจัยมีความห่วงกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อการวิจัยด้านการแพทย์ จำนวน ๑๓ คำขอแล้ว โดยมีรายละเอียด ดังนี้
๑. การดำเนินการตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติมก่อนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีผลใช้บังคับ จำหน่ายคำขอออกจากระบบสิทธิบัตรเนื่องจากผู้ขอรับสิทธิบัตรไม่ดำเนินการตามกฎหมาย จำนวน ๓ คำขอ และแจ้งปฏิเสธคำขออีก จำนวน ๒ คำขอ รวมทั้งหมด ๖ คำขอ ๒. การดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สั่งยกคำขอรับสิทธิบัตร ๑๐ คำขอ (รวมคำขอรับสิทธิบัตรที่แจ้งปฏิเสธ ๓ คำขอตามข้อ ๑) ทั้งนี้ ผู้ขอรับสิทธิบัตรมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งยกคำขอรับสิทธิบัตรของอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาต่อคณะกรรมการสิทธิบัตรได้ภายใน ๖๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
|
.....